กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1049.1 ภูเขาสายน้าของที่แห่งนี้ประหนึ่งรังโจร
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1049.1 ภูเขาสายน้าของที่แห่งนี้ประหนึ่งรังโจร
เซี่ยโก่วจ าเป็ นต้องทวงความเป็ นธรรมแทนเฉินผิงอัน “ท าไม วันนี้เว่ยป้ อไม่เห็นจะดื้อด้านเลยเล่า? ตอนอยู่กับเจ้าขุนเขาของพวก เราหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี แต่พอได้เจอกับบัณฑิตที่พอจะมีประวัติ ความเป็ นมากลุ่มนี้กลับขับเรือตามกระแสลม เห็นได้ชัดว่าเข้าข้าง คนนอกนี่นา”
ภูเขาพีอวิ๋นเป็ นเพื่อนบ้านกับภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ห่างกันไปแค่ไม่กี่ ก้าว ขอแค่จวนซานจวินขุนเขาเหนือมีลมพัดใบไม้ไหวสักหน่อย สามารถปิ ดบังคนอื่นได้ แต่กลับปิ ดบังเซี่ยโก่วที่ชอบไปเดินเล่น เตร็ดเตร่แถวนั้นเป็ นประจาไม่ได้ ดังนั้นเซี่ยโก่วจึงรู ้เรื่องที่เว่ยป้ อตั้ง ฉายาตัวเองว่า “หลิงเจ๋อ” อีกทั้งนางยังรู ้ด้วยว่าเฉินผิงอันเคยโน้ม น้าวเว่ยป้ อมาก่อน แค่ว่าไม่เป็ นผลก็เท่านั้น
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจอกับคนที่เลื่อมใสศรัทธาจากใจจริง คิดดูแล้วไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็พูดง่ายไปหมด ต่อให้จะเป็ นคนดื้อดึงแค่ ไหนก็ไม่มีทางตะแบงต่อแล้ว”
จาได้ว่าจูเหลี่ยนบอกว่าหากอยากจะให้คนคนหนึ่งฟังคาโน้ม น้าวก็มีความเป็ นไปได้แค่สามข้อเท่านั้น หากไม่เจอกับคนที่ตัวเอง คิดว่าแข็งแกร่งหรือสูงศักดิ์ช่วยพูดชี้แนะ หรือประสบพบเจอมากับ ตัวเอง เจอกับเรื่องบางอย่าง ต้องเดินเส้นทางที่อ้อมไปไกล เคยเผชิญ
กับความยากล าบากมาก่อน รู ้สึกว่าความเคยชินหรือเหตุผล บางอย่างของตัวเองจะไม่เปลี่ยนไม่ได้ ก็คืออ่านเจอมาจากในตารา
ฝ่ ายแรกอาศัยดวง ฝ่ ายหลังอาศัยวาสนาและสติปัญญา ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงมักจะเป็ นสถานการณ์ที่สองเสียมากกว่าที่ทาให้คนเรา จาต้องผ่านการขัดเกลามากขึ้น
เซี่ยโก่วหัวเราะร่า “คนที่เว่ยซานจวินเลื่อมใสจากใจจริงคงไม่ได้ มีหลายสิบคนหรอกกระมัง?”
เสี่ยวโม่ใช ้เสียงในใจตอบกลับ “ไม่ได้เกินจริงขนาดนั้น น่าจะมี ประมาณหนึ่งมือนับ”
ได้ยินอาจารย์ผู้เฒ่าจูเล่าให้ฟังถึงประวัติชีวิตคร่าวๆ ของเว่ย ซานจวินมาก่อน เรื่องราวของอีกฝ่ ายมีมากมาย มีชาติก าเนิดจาก ตระกูลขุนนาง สกุลเว่ยมีคาเรียกขานที่งดงามว่า “บ้านอยู่ที่แม่น้าอี๋สุ่ ยหกร ้อยวสันตกาล” คือตระกูลขุนนางใหญ่ที่โชคชะตาบุ๋นโดดเด่น ควันธูปสืบทอดกันมายาวนาน อาศัย “ข้อสอบขุนนาง เคอจวี่มาเป็ น ทางลัดในวงการขุนนางทาให้มีอนาคตเจริญก้าวหน้า อีกทั้งยังใช ้ “ข้อสอบของชนเผ่า” ที่ต้องเรียกว่าเป็ นการประชันขันแข่งที่ดุเดือด มาช่วงชิงอันดับที่หนึ่ง แล้วยังสอบได้อันดับหนึ่งสามครั้งติดกัน เดินที ละก้าวจนไปสู่จุดศูนย์กลางของราชส านัก สุดท้ายได้รับค าเรียกขาน อย่างไพเราะว่า “เหวินเจิน” (ชื่อสมัญญานามขุนนางหรือบุคคลที่ ได้รับการยกย่องในด้านความรู ้และคุณธรรม) ได้รับการแต่งตั้ง ตามหลังให้เป็ นอาจารย์ของรัชทายาท หลังจากเว่ยป้ อตายไปก็กลาย
มาเป็ นวิญญาณวีรบุรุษที่ปกป้ องพื้นที่แห่งหนึ่ง ได้รับการแต่งตั้งอย่าง ถูกต้องจากทางราชส านักสุดท้าย “ต าแหน่งขุนนาง” ก็ไต่ระดับจน เป็ นได้ถึงซานจวินอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเสินสุ่ยในอาณาเขตสู่โบราณ
หากจะพูดถึงเรื่องของการฝึ กอบรมบ่มเพาะตนเอง เว่ยป้ อ เลื่อมใสอาจารย์ใหญ่แห่งศาลบุ๋นที่สุด พูดถึงเรื่องการศึกษาหา ความรู ้เขียนบทความ เลื่อมใสอาจารย์ชินมังกรในกลุ่มถ้อยค า พูด ถึงเรื่องของการอยู่ร่วมสังคม ศรัทธาในตัวของอาเหลียงมือกระบี่ที่มา จากจวนหย่าเซิ่ง พูดถึงเรื่องกลยุทธทางการทหารการต่อสู้ เลื่อมใส เทพสังหารบางคนที่เนื่องจากมีจุดด่างพร ้อยด้านคุณูปการจึงถูกลด ต าแหน่งในศาลบู๊ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หากจะพูดถึงความสามารถที่มี มากมาย ไม่ว่าอะไรก็ถนัดเชี่ยวชาญไปเสียหมด ยังคงให้ความ เคารพคุณชายผู้สูงศักดิ์แห่งพื้นที่มงคลดอกบัวที่อยู่ใกล้ในระยะ ประชิดอย่าง…จูเหลี่ยน
เซี่ยโก่วพูดด้วยเสียงในใจ “เจ้าขุนเขาวางมาดใหญ่โตขนาดนี้ วันนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มารับรองแขกด้วยร่างจริงด้วยซ้า ไม่ค่อย เหมาะสมเท่าไรกระมัง? บัณฑิตเจ้าคิดเจ้าแค้นพวกเขาทนรับการ วางมาดข่มของคนร่วมอาชีพไม่ได้ที่สุดแล้ว”
เสี่ยวโม่อธิบาย “ตรงกับช่วงสอนในโรงเรียนพอดี ดังนั้นตอนที่ อาจารย์ใหญ่อยู่ที่ตีนเขาก็ได้บอกกล่าวกับคุณชายไว้ก่อนแล้วว่าไม่ จาเป็ นต้องหยุดสอนเพียงแค่เพื่อมาต้อนรับพวกเขา เทียบกับการ รับรองแขกแล้วยังคงเป็ นการสอนหนังสือที่สาคัญกว่า อาจารย์ใหญ่
ไม่ได้ทาให้คุณชายต้องลาบากใจ ตอนนั้นอาจารย์จวีจิ้งยังเอ่ย สัพยอกด้วยว่า ในฐานะอาจารย์สอนหนังสือที่เปิดโรงเรียนสอน เรื่อง อย่างการลาหยุดนี้จะให้มีครั้งแรกไม่ได้”
เซี่ยโก่วพยักหน้า “หากบัณฑิตเป็ นแบบนี้เหมือนกันหมด วิถีทางโลกไม่อยากจะสงบสุขก็ยังยาก”
นางพลันร ้องเอ๊ะขึ้นมา ถามอย่างรู ้ตัวช ้าว่า “เสี่ยวโม่! ทาไมเสียง ในใจของเต้าหลิงกับหลีโหวมีแต่เจ้าที่ได้ยิน แต่ข้ากลับไม่ได้ยินเลย สักค า?”
บุรุษร่างกายาที่สวมกวานสูงพกกระบี่เหล็กเงยหน้ามองผู้ฝึ ก กระบี่หญิงป๋ ายจิ่งที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาว
เซี่ยโก่วกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ นางพลันโมโหจนบดฟันดังกรอดๆ ยื่นมือไปจับประคองหมวกขนเตียว นางยกแขนข้างหนึ่งขึ้นทาท่าทาง ท้าทายด้วยการใช ้ฝ่ามือตบเข้าที่แขน
ก็แค่เคยถามกระบี่กันครั้งหนึ่งแล้วยังไม่รู ้ผลแพ้ชนะไม่ใช่หรือ? ต้องขี้โมโหขนาดนี้เชียว?
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “อย่างเจ้านั่นไม่เรียกว่าถามกระบี่นะ ปล่อยห่าฝน ปราณกระบี่แถบใหญ่ใส่ขบวนรถของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ผลคือ เจ้าเพิ่งจะออกกระบี่ก็เก็บกระบี่เผ่นหนีแล้ว โจวกั๋วจะไม่โกรธได้ อย่างไร?”
เซี่ยโก่วเบ้ปาก “ไล่ตามข้ามาก็ได้ถามกระบี่กันแล้วไม่ใช่หรือ”
เสี่ยวโม่หน้าดาทะมึน
เซี่ยโก่วรู ้ตัวทันทีว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว ไปกระตุกเรื่องเสียใจที่ ไม่อยากหวนกลับไปมองของเสี่ยวโม่เข้าให้แล้ว นางที่เป็ นตัวการ สาคัญจึงรีบยอมรับผิด “เรื่องอย่างการลอบโจมตีเช่นนี้ไม่ค่อยมี คุณธรรมสักเท่าไร ไม่น่าภาคภูมิใจ ต้องเปลี่ยนสักหน่อยแล้ว วัน หน้าจะต้องเปลี่ยนนิสัยให้ดี”
คนทั้งกลุ่มเดินขึ้นเขากันมาช ้าๆ หลีโหวเปิดปากถามก่อนว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ภูเขาลั่วพั่วเป็ นสานักเบื้องบน ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนบน ท าเนียบบวกกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัว จ านวนคนมีเกินร ้อยแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าว “จานวนคนยังไม่ถึงร ้อย ต่อให้เพิ่ม เค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งมีชื่ออยู่ในทาเนียบของศาลบรรพ จารย์ยอดเขาจี้เซ่อเข้าไปด้วย หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือ อันที่จริงยัง ไม่ถึงครึ่งร ้อยด้วยซ้า เพราะประกาศแก่ภายนอกไปว่าปิดภูเขา ใน ยี่สิบสามสิบปี ในอนาคต เชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของสมาชิกก็น่าจะมี ขีดจ ากัดอยู่มาก”
หลีโหวยิ้มเอ่ย “อาศัยคนเพียงเท่านี้ แต่ทาการค้าใหญ่ขนาดนี้ ได้ส าเร็จก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างละอายใจ “ตีกลองผ้าต่อหน้ากลองหลวง เป็ นที่ขบขันของทุกท่านแล้ว”
หมิ่นเหมินยิ้มเอ่ย “ตาราตราประทับร ้อยเซียนกระบี่และสองร ้อย เซียนกระบี่ จวีจิ้งเก็บรักษาไว้เป็ นส่วนตัวอย่างละสิบชุด เขาคิดว่าเป็ น ของหายากที่ควรกักตุน เหมาะแก่การรอให้ราคาสูงแล้วค่อยเอาออก ขาย”
หลีโหวกล่าว “ล้วนไหว้วานให้สหายบนภูเขาซื้อมาให้ ในมือเจ้า ขุนเขาเฉินยังมีต าราตราประทับเหลืออยู่บ้างหรือไม่? แน่นอนว่าต้อง เป็ นฉบับจัดพิมพ์ชุดแรกของร ้านตระกูลเยี่ยนก าแพงเมืองปราณ กระบี่ด้วยนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ตัวข้าเองเก็บไว้แค่สองเล่มเท่านั้น”
หากรู ้แต่แรกว่าจะมีค่าเช่นนี้ ปีนั้นพวกช่างพิมพ์ของร ้านหนังสือ ที่ตระกูลเยี่ยนสร ้างขึ้นมาชั่วคราวก็อย่าหวังว่าจะได้ว่างงานกันเลย ไม่เอากลับมาด้วยสักสี่ห้าหมื่นเล่มก็ถือว่าร ้านผ้าห่อบุญอย่างเจ้า ขุนเขาเฉินเป็ นได้ไม่สมชื่อแล้ว
หลีโหวเอ่ยอย่างเสียดาย “น่าเสียดายที่เป็ นตาราตราประทับ ถึง ได้ไม่มีแม่พิมพ์สลัก” หากว่ามีแม่พิมพ์สลัก
อย่าว่าแต่จัดพิมพ์เพิ่มอีกหลายร ้อยหลายพันเล่มเลย ล้านเล่มจะ ไปยากอะไร?
ในที่สุดโจวกั๋วก็เปิดปากพูดบ้าง “ข้าเคยอ่านตาราตราประทับทั้ง สองเล่มมาก่อน ตัวอักษรที่เป็ นรอยพิมพ์ตราประทับซึ่งมีความ เกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีของก าแพงเมืองปราณกระบี่
และยังมีตราประทับที่สร ้างขึ้นเพื่อผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นทั้งหลาย ไม่ว่า จะเป็ นอักษรตราประทับหรืออักษรริมขอบ รอยพิมพ์ตราประทับสอง อย่างนี้มีเนื้อหาดีมากทั้งคู่ยอดเยี่ยมมากอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่า นอกจากนี้แล้วก็ถือเป็ นการเอาโน่นมาประกอบนี่ ปะชุนซ่อมแซม หากตกอยู่ในสายตาของคนที่ศึกษาวิชาความรู ้อย่างแท้จริง รวมไป ถึงในสายตาของผู้เชี่ยวชาญด้านหินและทองแล้วก็ยากที่จะได้รับการ ประเมินที่สูง”
ความนัยนอกเหนือจากประโยคนี้ก็คือ มีชื่อเสียงมากกว่าเนื้อหา สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะตาราตราประทับอาศัยชื่อของกาแพง เมืองปราณกระบี่ ทั้งยังอาศัยยศของอิ่นกวานคนสุดท้ายถึงได้มีค า วิจารณ์และความนิยมในใต้หล้าไพศาลอย่างในทุกวันนี้
โจวกั๋วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “คาพูดที่เดิมที่ควรพูดเพื่อให้ การสนับสนุนกัน เพียงแค่เพราะว่าเขาค่อนข้างให้การยอมรับในตัว เจ้าจึงไม่มีทางพูดอย่างตรงไปตรงมา ข้าก็เลยได้แต่เป็ นคนชั่วแทน แล้ว”
เหวินหมิ่นพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ในเมื่อมีใจเห็นแก่ตัว แน่นอนว่า ย่อมไม่ต าหนิเจ้าขุนเขาเฉินแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นักปราชญ์ผู้ล่วงลับได้ใช ้บทกวีมาทาลาย ปมของปัญหาไปนานแล้ว บทความกริ่งเกรงการขาดเอกลักษณ์ ดั่ง เสื้อที่ตัดเย็บจากเศษผ้าหลายบ้าน แต่หากเป็ นบทประพันธ ์หวือหวา เกินไป คนธรรมดาก็ยากจะเข้าใจได้เช่นกัน”
เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยต่ออีกว่า “เรื่องของการศึกษาหา ความรู ้ ข้าไม่เคยเรียนที่โรงเรียนมาก่อน ทั้งไม่มีความรู ้และทักษะที่ ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเด็กจากในครอบครัว ภายหลังก็ออกเดินทาง ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกตลอด ทั้งการฝึกวรยุทธและการฝึกกระบี่ล้วน ไม่กล้าเกียจคร ้าน ในเรื่องของการเขียนบทความจึงไม่ได้ลงแรงมาก นัก ไม่กล้าพูดว่าได้เดินเข้าห้องแล้วจริงๆ โชคดีที่เหล่าผู้ฝึ กกระบี่ ของกาแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ค่อยพิถีพิถันในเรื่องพวกนี้กันนัก”
ขอแค่ขายดีที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ สามารถทาให้คนควัก กระเป๋ าเงินซื้อ พูดชมเชยบนโต๊ะสุราสักสองสามประโยคก็เพียงพอ แล้ว ส่วนค าวิจารณ์ดีเลวในใต้หล้าไพศาลเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย
เพราะคนทั้งกลุ่มที่เดินขึ้นเขากันมาต่างก็ไม่ได้ใช ้เสียงในใจยาม พูดคุยกัน ดังนั้นกลุ่มคนที่นั่งเรียงกันเป็ นแถวเหมือนนกกระจอกบน ขั้นบันไดสูงจึงได้ยินเนื้อหาที่คนกลุ่มนั้นคุยกัน
เหวยเหวินหลงเทพเจ้าแห่งโชคลาภประจ าภูเขาลั่วพั่วที่เพิ่งตาม มาถึงเป็ นคนสุดท้ายเพราะได้ยินข่าว เวลานี้ใบหน้าแดงก่าไปหมด พึมพากับตัวเองซ้าไปซ้ามาว่าเป็ นอาจารย์จวีจิ้งจริงๆ หรือ ถึงกับเป็ น อาจารย์จวีจิ้งจริงๆ หรือนี่…
จางเจียเจินที่เป็ นนักบัญชีเช่นเดียวกันคงเป็ นเพราะบ้านเกิด ไม่ได้อยู่ในใต้หล้าไพศาล กลับกลายเป็ นว่าควบคุมตัวเองได้ดีกว่า
เกรงว่าตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วในเวลานี้ “คนมีไหวพริบ” ที่ยังไม่รู ้ สถานะของบัณฑิตกลุ่มนั้นก็คงจะมีแค่นายท่านใหญ่เฉิน เฉินหลิง จวินที่คิดว่า “ขอแค่ตนโง่กว่านี้อีกสักหน่อย ป่ านนี้ก็คงถูกคนต่อย ตายด้วยหมัดเดียวไปนานแล้ว
จะว่าไปแล้วสหายจิ่งชิงก็ผ่านคลื่นลมมรสุมใหญ่มาเยอะมาก จริงๆ เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่อาเภอไหวหวง เขาก็ได้ เจอกับบรรพจารย์สามลัทธิแล้ว มีตรงไหนบ้างที่เขารับรองแขกได้ บกพร่องไม่ดีพอ?
เฉินหลิงจวินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เลวๆ พูดจาแข็งกระด้างด้วย น้าเสียงอ่อนโยน เป็ นสาลีซ่อนเข็ม ตาราที่อ่านมาไม่เสียเปล่าเลย จริงๆ”
หากเปลี่ยนเป็ นบัณฑิตทั่วไป เผชิญหน้ากับอริยะปราชญ์ผู้มี เทวรูปตั้งวางที่เดินออกมาจากภาพแขวนของศาลบุ๋นเหล่านี้ แค่พูด เสียงไม่สั่น ลิ้นไม่พันกัน เชื่อว่าก็คงไม่ง่ายแล้วจริงๆ
หน่วนซู่รู ้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง นางยื่นมือไปกาชายกระโปรงตามจิต ใต้ส านึก นางไม่เหมือนกับเฉินหลิงจวินที่บางทีชีวิตนี้อาจเคยเดินเข้า ไปในศาลบุ๋นแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นนางรู ้ตัวตนที่แท้จริงของบัณฑิต กลุ่มนั้นได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นแล้ว
“ไม่ต้องตื่นเต้น นี่เรียกว่าอริยะปราชญ์มักขัดแย้งกับผู้อื่นก่อน แล้วค่อยปรองดองกันแต่คนธรรมดาทั่วไปมักจะปรองดองกันก่อน แล้วค่อยมาแตกแยกกันภายหลัง”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยปลอบใจ “หากจะพูดถึงบัณฑิตบนโลก คนที่เดิน ตัวตรงนั่งตัวตรง ทั้งคาพูดการกระทาและจิตใจล้วนเป็ นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรเจ้าขุนเขาของพวกเราก็ต้องถือเป็ นคนหนึ่งในนั้นได้ จะ กลัวอะไรเล่า”
เฉินชิงหลิวกล่าว “ได้ยินมาว่าพ่อครัวเฒ่าเชี่ยวชาญสารพัด วิชาการต่อสู้ ดูท่าวิชากระบองน่าจะสูงกว่าเวทกระบี่และวิชาหอก สินะ?”
กวาดกระบองฟาดออกไปแถบใหญ่เลยนี่นะ การประจบสอพลอ ครั้งนี้ของจูเหลี่ยนทั้งชื่นชมเจ้าขุนเขาบ้านตน ทั้งยังพูดจาดีๆ ถึงลูก ศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของปรมาจารย์มหาปราชญ์อย่าง ‘ตวนเจิ้ง” และ “เซียงจี่” ด้วย
จูเหลี่ยนโน้มกายไปด้านหน้า กุมหมัดสองมือให้กับคนพิฆาต มังกรผู้นั้น พูดเลียนแบบคุณชายบ้านตนว่า “ตีกลองผ้าต่อหน้า กลองหลวง เป็ นที่ขบขันของทุกท่านแล้ว”
เฉินชิงหลิวใช ้เสียงในใจถาม “ที่มานี่มีแค่อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูป สี่คนเท่านั้น การแต่งตั้งห้ามหาบรรพตของแจกันสมบัติทวีปต้องใช ้ คนห้าคน วันนี้มีใครที่ยังไม่ได้มา?”
ชินจี้อันตอบ “ข้าเองก็ไม่รู ้เหมือนกัน”
หากไม่ผิดไปจากที่คาด ตามหลักแล้วโจวกั๋วจะต้องเป็ น ผู้ดาเนินการในพิธีแต่งตั้งภูเขาพีอวิ๋นมหาบรรพตอุดร อาจารย์ใหญ่ เต้าหลิงรับหน้าที่แต่งตั้งขุนเขากลางและป่ าวประกาศฉายาเทพ เพราะถึงอย่างไรหากอิงตามกฎระเบียบของศาลบุ๋นแล้ว ฐานะของ แผ่นดินกลางจะต้องเหนือกว่าอีกสี่ขุนเขาที่เหลือระดับหนึ่ง แน่นอน ว่าก็มีความเป็ นไปได้ที่สองฝ่ ายจะสลับสับเปลี่ยนกัน ประเด็นสาคัญ คือต้องดูระดับความหนาของหนังหน้าเว่ยซานจวินแล้ว หรือบางทีคง ต้องดูว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะยินดีเป็ นคนกลางช่วยพูดแทนเว่ยป้ อให้ อาจารย์ใหญ่อยู่ต่อที่ภูเขาพีอวิ๋นหรือไม่
เฉินชิงหลิวเอ่ย “เชื่อว่าในทางส่วนตัวหลีโหวกับเฉินผิงอันต้อง คุยกันถูกคอแน่นอน”
หนึ่งเพราะทั้งสองฝ่ ายต่างก็เป็ นนักบัญชีที่เก่งกาจด้านการหา เงิน อีกอย่างพวกเขาสองคนแต่ละคนต่างก็เลื่อมใสและรักปกป้ อง อาจารย์ของตนเองอย่างที่เรียกได้ว่าไม่เหลือแรงทิ้งไว้ ที่สาคัญที่สุดก็ คือนอกจากห้องหนังสือพื้นที่ประกอบพิธีกรรมและนอกจากตารา อริยะปราชญ์ คนทั้งสองต่างก็ยินดีนาสิ่งที่ได้เรียนรู ้มาใช ้มาทุ่มเท แรงกายแรงใจกับล่างภูเขา
แล้วก็จริงดังคาด โจวกั๋วพยักหน้าเอ่ยว่า “หากก าแพงเมือง ปราณกระบี่เป็ นเหมือนใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็คงรักษาไว้ไม่ได้ นานแล้ว ก่อนจะมาพวกเราต่างก็ได้ยินอาจารย์เล่าให้ฟังว่า เซียน
กระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่กาแพงเมือง ปราณกระบี่ บอกว่าการที่สามารถหยัดยืนมาได้นานเป็ นหมื่นปี รากฐานความรู ้นั้นอยู่ที่ห้าคา “แค่ไม่ไพศาลเท่านั้น” นี่จึงเป็ นเหตุให้ กาแพงเมืองปราณกระบี่ไม่จาเป็ นต้องเรียนรู ้จากใต้หล้าไพศาล และ ใต้หล้าไพศาลก็ยิ่งมิอาจเอาอย่างกาแพงเมืองปราณกระบี่ได้”
เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยาก
ช่างเถิดๆ ตนก็ยกเอาคาพูดจาในตาราออกมาตั้งมากมาย เซียน กระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแค่ลอกเลียนแบบตนครั้งเดียวจะนับเป็ นอะไรได้
โจวกั๋วคลี่ยิ้มอย่าสง่างาม “หากเจ้าเห็นพวกเราแล้วดีแต่พูดจา เออออตามไป คงจะผิดต่อความตั้งใจจริง หากนอบน้อมคล้อยตามไป ทุกเรื่องก็มีแต่จะทาให้คนผิดหวัง ต้องรู ้ว่าสายตาการเลือกลูกศิษย์ผู้ สืบทอดของเหวินเซิ่งนั้นเรื่องมากมาโดยตลอด มากพอจะภาคภูมิใจ ในตัวเองได้เลย ทุกวันนี้เลือกเจ้าเป็ นลูกศิษย์ปิดสานักแล้ว หากเจ้า เป็ นอย่างที่ว่ามา ก็จะถือว่าซิ่วไฉเฒ่าไม่สามารถรักษาศีลธรรมและ เกียรติยศในช่วงบั้นปลายชีวิตไว้ได้แล้ว คิดดูแล้วตอนนั้นที่เซียน กระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเลือกเจ้าให้เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร ้อน คน อื่นๆ ก็คงมีความเห็นต่างไม่น้อย แต่อย่างมากสุดพวกผู้ฝึกกระบี่ก็แค่ ไม่กล้าแสดงความสงสัยอะไรภายนอก แต่ค านินทาและความไม่ พอใจต้องมีไม่น้อยแน่นอน โชคดีที่เจ้าขุนเขาเฉินไม่เคยท าผิดต่อ ตัวอักษรในต าราตราประทับสองเล่มและสถานะของอิ่นกวานคน สุดท้าย”
กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษสวมกวานสูงที่เคยติดตามปรมาจารย์มหา ปราชญ์เดินทางไปทั่วใต้หล้า ท่องไปทั่วทุกแคว้นก็หันหน้ามายิ้มถาม ว่า “ศิษย์พี่ใหญ่?”
อาจารย์สวมชุดผ้าฝ้ ายที่ถูกเว่ยป้ อเรียกขานด้วยความเคารพว่า อาจารย์ใหญ่พยักหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีเพียงความสุภาพและ คุณธรรมเท่านั้นที่ถึงจะกลายเป็ นวิญญูชนได้เดี๋ยวกลับไปข้าจะเสนอ เรื่องนี้กับทางศาลบุ๋น”
เฉินผิงอันเป็ นลูกศิษย์ปิดสานักของสายเหวินเซิ่ง จนถึงตอนนี้ กลับยังไม่ใช่แม้แต่นักปราชญ์ เป็ นบุปผาที่บานอยู่ในกาแพงแต่ส่ง กลิ่นหอมไปนอกกาแพง จะไม่ทาให้เมธีร ้อยส านักตลกขบขันกันแย่ หรอกหรือ
เห็นเฉินผิงอันท าท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด คล้ายอยากจะปฏิเสธเรื่อง นี้อย่างบัวไม่ให้ช้าน้าไม่ให้ขุ่น โจวกั๋วก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากไม่ต้องการจะเป็ นวิญญูชนจริงๆ เจ้าก็ลองไปปรึกษากับหลี่เซิ่งดู ได้”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้งพูดไม่ออกไปทันที
เพื่อไม่ต้องเป็ นวิญญูชนสานักศึกษาก็ต้องไปหาหลี่เซิ่ง โดยเฉพาะเลยหรือ?
คาดว่าต่อให้อาจารย์จะล าเอียงเข้าข้างตนแค่ไหนก็ยังต้องบ่น ตนอยู่หลายค ากระมัง
เฉินชิงหลิวพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “บัณฑิต ชอบเล่นตัวกันอย่างนี้แหละ ยศวิญญูชนที่ยื่นส่งมาให้ถึงที่ กลับยัง ทาท่าอิดเอื้อนไม่ยินดีจะรับไว้ หากเป็ นข้านะอย่าว่าแต่วิญญูชนเลย ต่อให้เป็ นต าแหน่งเจ้าลัทธิศาลบุ๋น ข้าก็ยังจะรับไว้ไม่ปฏิเสธแน่นอน”
พอได้ยินว่าสหายรักของตนพูดจาไม่ดีต่อนายท่านตัวเอง เฉิน ชิงหลิวก็ไม่สบอารมณ์ทันที ใช ้ศอกถองไปที่ไหล่ของเฉินชิงหลิว “เจ้าก็เป็ นบัณฑิตเหมือนกันไม่ใช่หรือ ด่าคนอื่นในโปงผ้าห่มต้องดม กลิ่นตดเหม็นๆ นะ!”