กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1049.2 ภูเขาสายน้าของที่แห่งนี้ประหนึ่งรังโจร
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังใช ้วิธีเสียงในใจเอ่ยความใน ใจที่เขาเก็บกลั้นมานานหลายปีแล้ว “เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไม่เคย หยุดพักทั้งกลางวันกลางคืน ลาบากอาจารย์ใหญ่แล้ว”
คาโบร่าโบราณในหมู่ชาวบ้านมักจะมีคากล่าวทานองว่าความ ยุติธรรมอยู่ในใจคนหรือไม่ก็บอกว่าในใจของชาวบ้านมีตาชั่ง…คา กล่าวทานองนี้มองดูเหมือนเป็ นคาเลื่อนลอยแต่สาหรับบัณฑิตที่ได้ ครอบครองตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตคนแรกของโลกมนุษย์ผู้นี้กลับ ไม่ใช่ถ้อยคาที่เหลวไหลแม้แต่น้อย บนเส้นทางของโลกมนุษย์ ทั้งใน และนอกต ารา ทุกค าพูดการกระท า ความดีความเลวทุกอย่างที่ขยาย ยาวออกไปจากคาพูดหนึ่งประโยคหรือเรื่องหนึ่งเรื่อง เมื่อมาปรากฏ กับอาจารย์ใหญ่เต้าหลิงท่านนี้ก็ล้วนชัดเจนอยู่ในสายตาชัดเจนอยู่ ในหู เสียงพวกนั้นมากมายเหมือนอาณาประชาราษฎรในโลกมนุษย์ มากมายเหมือนรถม้าบนถนนหนทางที่เดินทางไม่หยุดพักทั้ง กลางวันกลางคืน เสียงดังสนั่นดุจเสียงฟ้ าค าราม
บัณฑิตสวมชุดผ้าฝ้ ายที่ห้อยกระบวยตักน้าใบหนึ่งไว้ตรงเอว ไม่ได้จงใจจะโอ้อวดตัวตนของตัวเองกับคนบนโลก แต่นี่เป็ นการ “จาแลงแห่งมรรคา” ที่แสดงออกมาภายนอกอย่างหนึ่ง
้
มีความเป็ นไปได้อย่างมากว่าในกระบวยมีน้ามากหรือน้อยก็คือ ความตื้นลึกของความเมตตากรุณาในโลกมนุษย์
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ นการคาดเดาของเฉินผิงอันเอง
บัณฑิตสวมชุดผ้าฝ้ ายยิ้มเอ่ย “เป็ นเพื่อนบ้านกับมรรคา ยินดี และมีความสุขยิ่ง”
“ในความเห็นของข้า การเปลี่ยนแปลงของวิญญูชนมีอยู่สาม อย่าง หนึ่งเปลี่ยนไปเป็ นปราชญ์ สองเปลี่ยนไปเป็ นอริยะ พอเปลี่ยน อีกครั้งก็เปลี่ยนไปถึงมรรคา”
“มีความสุขกับสภาพแวดล้อมที่ยากจนและพร ้อมอุทิศตนเพื่อ ศีลธรรม เชื่อว่าอาจารย์ฉีก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นเรื่องบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็ นการปฏิบัติหน้าที่อันพึงกระทาของอริยะปราชญ์ หรือการ ใช ้ความแค้นตอบแทนความแค้นของวีรบุรุษผู้กล้า เจ้าคิดว่า จ าเป็ นต้องทาก็ทาให้เต็มที่ เพียงแต่ว่าในสภาพจิตใจไม่ควรให้มีการ อืดอาดชักช ้ามากเกินไป เชื่อว่าอาจารย์ฉีเองก็ไม่ต้องการให้จิตแห่ง มรรคาของเจ้าติดขัด เป็ นอุปสรรคต่อการฝึกตนเพราะเหตุนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้า
บัณฑิตพลันถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้ามองความรู ้ของหย่าเซิ่ง อย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช ้า “พูดถึงแค่สองประโยคที่ว่า “ยามยากจน ดูแลตนให้ดี ยามร่ารวยช่วยเหลือทั่วหล้า” “เมื่อการกระทาไม่ได้
้
ผลลัพธ ์อย่างที่คาดการณ์ก็ควรย้อนกลับมาหาสาเหตุที่ตัวเอง” ก็มี สิทธิ์ที่จะสืบทอดต่อไปให้กับโลกยุคหลังได้อีกหมื่นปีแล้ว”
“ยังมีอะไรอีก”
เจ้าเฉินผิงอันอย่าคิดจะใช ้ประโยคนี้มา “ปัดให้เรื่องผ่านอย่างขอ ไปที” อยู่ไกลเกินกว่าจะพอมากนัก
หากเจ้าไม่พูดถึงข้าดีๆ ข้าก็คงไม่เอาเรื่องนี้มาทดสอบเจ้าแล้ว
เห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะถูกคาถามทาให้สะอึกอึ้ง เขาก็ยิ้มเอ่ย “เปลี่ยนคาถามเป็ นรูปธรรมที่ไม่เลื่อนลอยเหมือนเมื่อครู่แล้วกัน ไม่สู้ เจ้าลองพูดถึงความคิดที่มีต่อการโต้เถียงแบบฉี่หลิ่วและการโต้เถียง แบบน้าเชี่ยวให้ฟังคร่าวๆ หน่อยเถอะ”
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนจะตอบคาถามข้อนี้ของอาจารย์ใหญ่ ข้า ขอพูดถึงความเข้าใจส่วนตัวของข้าสักสองสามข้อก่อน”
“มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานเพียงเล็กน้อย หลักๆ แล้ว เป็ นเพราะมนุษย์มีคุณธรรมและสติปัญญา หากไม่มีสี่คุณธรรม พื้นฐาน มนุษย์ก็จะไม่ใช่มนุษย์ ผู้ฝึกลมปราณที่เดินขึ้นเขาฝึ กตน จาเป็ นต้องเข้าใจสัจธรรมในเรื่องนี้มากกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป”
“แต่ข้ากลับไม่เห็นด้วยในคากล่าวที่ว่า “เด็กน้อยสองสามขวบไม่ มีใครที่ไม่รู ้จักรักพ่อแม่ของตน รอกระทั่งพวกเขาเติบใหญ่ก็ไม่มีใคร ที่ไม่รู ้จักให้ความเคารพพี่ชายของตน” หย่าเซิ่งมองข้ามครอบครัว ตระกูล รอยตราประทับจากประสบการณ์ที่ขนบธรรมเนียมของ
้
สถานที่แห่งหนึ่งมีต่อคน มองข้ามสัญชาตญาณที่คนคนหนึ่งเกิดมา ก็เอนเอียงเข้าหาผลประโยชน์หลีกเลี่ยงหายนะ”
“มีเพียงประโยคเดียวที่ข้าคิดว่าหย่าเซิ่งตั้งใจอย่างลึกซึ้งยาวไกล มีเพียง “ค าพูดเทพเซียนบนภูเขา” ประโยคเดียวเท่านั้น นั่นคือ “มนุษย์มีจิตสานึกพื้นฐานที่เหมือนกัน…”
ฟังมาถึงตรงนี้ บัณฑิตสวมชุดผ้าฝ้ ายก็หัวเราะ ถึงกับไม่ยอมให้ เฉินผิงอันพูดต่อไป “หยุดแค่นี้เถอะ”
อาจารย์ใหญ่ท่านนี้ก็ไม่ได้บอกว่าเขาพูดถูกหรือว่าพูดผิด
เฉินชิงหลิวลุกขึ้นยืน ไม่รู ้ว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงรู ้สึกคิดถึงศิษย์พี่ หญิงเซี่ยคนโง่ผู้นั้นขึ้นมาเสียแล้ว
ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายของตน กลับกลายเป็ นว่าศิษย์พี่ หญิงเซี่ยรักหลิ่วเต้าฉุนที่สมองไม่ค่อยเฉียบไวอย่างลาเอียงมากที่สุด แต่กลายเป็ นว่านางกลับไม่มีอะไรให้พูดคุยเจิ้งจวีจง
ชุดคลุมเต๋าสีชมพูที่สะดุดตาตัวนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็ นศิษย์พี่ หญิงเซี่ยที่มอบให้หลิ่วเต้าฉุนเป็ นของขวัญพบหน้า นอกจากนี้ยัง มอบหอแก้วใสเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแก่เขาด้วย
คงเป็ นเพราะมีความสัมพันธ ์ชั้นนี้อยู่ เฉินชิงหลิวจึงมีความ ล าเอียงต่อลูกศิษย์คนเล็กที่ชื่อว่าหลิ่วชื่อเฉิงอยู่หลายส่วน
้
หลิ่วชื่อเฉิงเป็ นแค่ลูกศิษย์คนเล็ก อันที่จริงเฉินชิงหลิวยังไม่ได้ รับลูกศิษย์ปิดส านัก แต่หลิ่วชื่อเฉิงกลับเรียกตัวเองว่าเป็ นลูกศิษย์ปิด ประตูของอาจารย์ด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด
ปิดประตู? อย่างเจ้านั่นเรียกว่าดักขวางอยู่หน้าประตูมากกว่า
เฉินชิงหลิวถอนหายใจเบาๆ ต้นไม้ดอกไม้ในภูเขาลูกนี้มี มากมาย ขาดก็แต่ต้นท้อไปเท่านั้น กลับเป็ นตรอกเถาเย่ในเมืองเล็ก ที่ดอกท้อบานสะพรั่งทั้งสีแดงเข้มสีชมพูอ่อนไม่เงียบเหงา
หากวันใดข้าได้เป็ นเทพเจ้าแห่งวสันตฤดู ข้าจะจัดให้ดอก เบญจมาศและดอกท้อเบ่นบานในฤดูใบไม้ผลิพร ้อมกัน
ก่อนหน้านี้เฉินชิงหลิวช่วยเปิดปากขอเทียบอักษรมาให้สองชิ้น ชิ้นหนึ่งที่มอบให้กับภูเขาลั่วพั่ว ซินจี้อันตัดเนื้อหามาจากเนื้อหาเก่า ในกวีสือไผที่มีชื่อว่าทานองเพลงสายน้า
เนิ่นนานที่นักเดินทางไม่ได้มาเยือน ทิวทัศน์อันงดงามยังคงรอ คอยท่านอยู่…ปลุกแสงจันทร ์ให้ส่องสว่างไสว สาดส่องลงมายังน้าแข็ง และหิมะในใจของข้า ร ้อยธารายังไหลรินยิ่งใหญ่ตระการ
โดยไม่ทันรู ้ตัว ในภูเขาของภูเขาลั่วพั่วเวลานี้
ล าพังแค่ผู้ฝึ กตนขอบเขตบินทะยานและเหนือขอบเขตบิน ทะยานขึ้นไปก็มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ คนพิฆาตมังกร เฉินชิงหลิว
ซินจี้อัน เสี่ยวโม่ ป๋ ายจิ่ง
้
ขุนนางผู้เรียบเรียงต าราของภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายผมขาวที่ใช ้ นามแฝงว่าคงโหว เทวบุตรมารนอกโลกที่เป็ นขอบเขตบินทะยาน
เต้าหลิง โจวกั๋ว เหมินหมิ่น หลีโหวที่เลื่อนขั้นเป็ นสิบศิษย์เอกผู้มี เทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋น
หากยังรวมผู้ฝึ กตนเฒ่าขอบเขตก่อก าเนิดจากหลิวเสียทวีป อย่างจิงเฮาฉายาชิงกงไท่เป่าที่ไม่กล้าโผล่หน้ามาเข้าไปด้วย
ก็มีถึงสองมือนับแล้ว
อืม เจ้าขุนเขาของภูเขาแห่งนี้ที่เป็ นเจ้าบ้าน คือขอบเขต ก่อก าเนิด
……
เมืองหลวงแคว้นอวิ๋นเหยียน ชิงถงแยกย้ายกับหย่างจื่อแล้วก็เดิน เล่นไปตามตรอกซอกซอยเพียงล าพังอย่างไร ้จุดหมาย
จู่ๆ ก็มองเห็นเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งตรงมุมเลี้ยวของตรอกที่ ค่อนข้างเงียบสงัด เขายืนเอนหลังพิงก าแพง ในมือถือกังหันลม กระดาษพับสีสันสดใส
หากจะให้พูดจากใจจริงๆ ชิงถงยินดีที่จะคบค้าสมาคมกับเฉินอิ่ นกวาน แต่ไม่ยินดีจะพบเจอกับคนผู้นี้เลยจริงๆ
้
ชุยตงซานเดินเร็วๆ มาหาชิงถง ระหว่างที่เขาเดินกังหันลมสีสัน สดใสก็หมุนติ้วๆ เขาเอ่ยด้วยสีหน้ากระตือรือร ้นว่า “ได้เจอกับรองผู้ ถวายงานชิงถงนอกภูเขาได้ ข้าดีใจเหลือเกิน!”
เค่อชิงอันดับหนึ่งของสานักกระบี่ชิงผิงคือเย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งผูซาน ส่วนผู้ถวายงานอันดับรองก็คือชิงถงที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว
อาจารย์เคยพูดอย่างเปิดเผย ให้คาวิจารณ์ที่สูงมากต่อสหาย ชิงถง บอกว่าเขาก็คือภูเขาที่มองไม่เห็นลูกที่สี่ของสานักกระบี่ชิงผิง
ดังนั้นจึงได้เชิญให้เขามาเป็ นผู้ปกป้ องมรรคาที่สถานะถูกปิดบัง อ าพรางเอาไว้ของสานักเบื้องล่างด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันยังรับปากว่าจะพาอาจารย์ของเขาไปช่วยพูดจาเป็ น ธรรมให้กับชิงถงที่ศาลบุ๋น
ดูว่าจะสามารถเลือกพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลสักแห่งที่อยู่ใกล้กับหอ สยบปีศาจเพื่อให้เขาได้เปิดสานักก่อตั้งพรรคได้หรือไม่ พยายามที่ จะรับสมัครผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจในท้องถิ่นของใบถงทวีปที่ชาติกาเนิด ใสสะอาดให้กลายมาเป็ นผู้ฝึกตนทาเนียบ เพื่อให้ชิงถงได้เป็ นบรรพ จารย์รุ่นแรก
ตอนนั้นที่อยู่บนยอดเขามี่เซวี่ย ชิงถงไม่กล้าพูดจาใหญ่โตอะไร แค่รับรองว่าจะทุ่มเทสุดก าลังที่มีโดยที่ไม่มีการให้คามั่นสัญญาอย่าง อื่นอีก
้
ดูเหมือนเฉินผิงอันจะรอประโยคนี้ของเขาพอดี ทั้งสองฝ่ายจึงตก ลงกันตามนี้
ชิงถงเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “คารวะเจ้าสานักชุย”
ชุยตงซานพยักหน้ารับแรงๆ “มาเจอกับคนรู ้จักในต่างบ้านต่าง เมืองถือเป็ นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน”
ชิงถงไม่ได้บอกเรื่องที่ตัวเองบังเอิญเจอหย่างจื่อที่ร ้านปิ้งย่าง
ชุยตงซานก็แสร ้งทาเป็ นว่าไม่รู ้เรื่อง
ชิงถงถาม “ครั้งนี้เจ้าสานักชุยปรากฏตัวในเมืองหลวง เพราะ เตรียมจะมาจัดการเรื่องการขุดเจาะลาน้าใหญ่ด้วยตัวเองหรือ?”
ชุยตงซานส่ายหน้าเหมือนกลองป๋ องแป้ ง “ไม่ใช่ๆ มีอาจารย์จ้ง ศิษย์น้องเฉาและเซียนกระบี่ใหญ่หมี่อยู่ด้วย ข้าก็สามารถเป็ นเถ้าแก่ สะบัดมือทิ้งร ้านที่ไม่ต้องท างานท าการอะไรได้อย่างสบายใจแล้ว”
ชิงถงพูดจาตามมารยาทไม่เป็ น บรรยากาศจึงเงียบชวนอึดอัด
ชุยตงซานกล่าว “ครั้งนี้บังเอิญมาเจอกับรองผู้ถวายงานก็บังเอิญ เลย จะบอกเรื่องสาคัญของสานักเราให้ผู้อาวุโสรู ้ ไป ไปคุยกันที่ เรือถงอินเถอะ”
จะดีจะชั่วชิงถงก็เป็ นผู้ถวายงานอันดับรองอย่างสมชื่อ มิอาจ ปฏิเสธได้จริงๆ จึงได้แต่เดินเท้าตามชุยตงซานไปยังท่าเรืออวี่หลินที่อ ยู่นอกเมือง
้
หากรู ้แต่แรกว่าจะเป็ นเช่นนี้ก็ไม่สู้ฝืนนิสัยกินอาหารปิ้งย่างเป็ น เพื่อนหย่างจื่อกับแม่ย่าล าคลองน้อยยังจะดีเสียกว่า
ชุยตงซานถามชวนคุย “รองผู้ถวายงานชิงถงเลือกที่ตั้งสานักได้ หรือยัง?”
ชิงถงเอ่ย “ตอนนี้ยังเลือกไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องรีบร ้อน”
อันที่จริงมีที่ตั้งที่ถูกใจอยู่สองสามแห่งแล้ว แต่ไม่อยากจะคุยเรื่อง นี้กับเจ้าสานักชุยก็เท่านั้น
ยังคงเป็ นการพูดเรื่องการค้ากับเฉินผิงอันที่ชวนให้สบายใจได้ มากกว่า ชิงถงมักมีความรู ้สึกว่าชุยตงซานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของ เด็กหนุ่มชุดขาว” ผู้นี้เป็ นคนประเภทไร ้ข้อห้ามใดๆ บางทีอาจมีเพียง ตอนอยู่กับเฉินผิงอันที่เป็ นอาจารย์ของเขาเท่านั้นที่จะสารวมมาก หน่อย เป็ นเหมือนคนปกติทั่วไปมากหน่อย
ชุยตงซานชูแขนขึ้นสูงแล้วโบกเบาๆ กังหันลมหลากสีหมุนติ้วๆ ไม่หยุด เขายิ้มเอ่ยว่า “แบบนี้เองหรือ เดิมทีข้ายังคิดว่าหากเจ้ามีที่ตั้ง ที่ถูกใจแล้ว พอดีกับที่ช่วงนี้ข้าเองก็มีที่ตั้งสานักเบื้องล่างของสานัก กระบี่ชิงผิง เรื่องดีจะได้มาเป็ นคู่กันพอดี”
ชิงถงนึกว่าตัวเองฟังผิดไป “สานักเบื้องล่าง?”
สานักกระบี่ชิงผิงเพิ่งจะเป็ นสานักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วได้แค่ กี่วันเอง เจ้าชุยตงซานก็คิดอยากจะมีสานักเบื้องล่างเป็ นของตัวเอง แล้วหรือ?
้
ชุยตงซานไม่ได้หลอกชิงถงจริงๆ เขาคิดวางแผนที่จะสร ้าง “สานักเบื้องล่าง ของสานักกระบี่ชิงผิงแล้วจริงๆ
อีกทั้งยังไม่ใช่สานักที่กาหนดไว้ว่าจะก่อตั้งอยู่ในใต้หล้าห้าสี เพียงแค่เพราะช่วงนี้ศาลบุ๋นได้ป่ าวประกาศกฎข้อหนึ่งบอกว่า รากฐานของผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้าห้าสีจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับ ใต้หล้าไพศาล
ชุยตงซานจึงส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปยังสถานศึกษาหลี่จี้ด้วย ท่วงท่าดุดัน สอบถามรองผู้อ านวยการเหมาว่าสรุปแล้วเป็ นเจ้าคน ผู้ใดของศาลบุ๋นที่กินอิ่มว่างงาน หัวสมองเลอะเลือน ถึงได้เสนอแนะ ออกมาอย่างนี้
ผลคือรองผู้อ านวยการเหมาตอบกลับจดหมายมาแค่ค าเดียวว่า ข้า
ชุยตงซานจึงได้แต่ถอยมาเลือกระดับรอง เลือกที่ตั้งอยู่ในภาค กลางของใบถงทวีปก่อนชั่วคราว ตาแหน่งอยู่ตรงจุดที่ลาคลองหลิน เหอไหลเข้าสู่มหาสมุทร ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่ต้องปะทะอย่างดุเดือด กับสานักกุยหยกที่เพิ่งเป็ นพันธมิตรกันได้ไม่นาน ส่วนลาคลองหลิน เหอ อีกเดี๋ยวสานักกระบี่ชิงผิงจะทาการก่อสร ้างท่าเรือตระกูลเซียน แห่งหนึ่งอย่างเป็ นทางการแล้ว ชื่อก็ตั้งไว้เรียบร ้อยแล้ว ให้ชื่อว่า ท่าเรือหม่านเสีย (เต็มไปด้วยแสงสีเรืองรองของท้องฟ้ า)
้
อีกไม่นานสองฝากฝั่งเหนือใต้ของที่นั่นจะมีแคว้นเล็กสองแห่ง ปรากฏขึ้นมา ด้านหนึ่งคือฮ่องเต้หญิงตู๋กูเหมิงหลง ผู้ถวายงานอันดับ หนึ่งเส้าพอเซียน เจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นอู๋อี้ส่วนอีกฝั่งหนึ่งจะเป็ นขอ งอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย
ชุยตงซานไม่ได้แค่ทุ่มทองพันชั่งเท่านั้น เขาควักกระเป๋ าเงินของ ตัวเอง ซื้อๆๆ นอกจากภูเขาสามลูกในอาณาเขตของสานักแล้วยังมี ท่าเรือเหย่อวิ๋นที่เดิมทีเป็ นของภูเขาหลิงปี้ภูเขาใต้อาณัติของถ้า มังกรขาวด้วย ทุกวันนี้ได้กลายเป็ นท่าเรือส่วนตัวของสานักกระบี่ชิง ผิงไปแล้ว ชุยตงซานก็ได้จ่ายเงินฝนธัญพืชหนึ่งร ้อยเหรียญซื้อมา
นอกจากนี้ชุยตงซานยังจ่ายเงินอีกก้อนใหญ่ เตรียมจะย้ายซาก ปรักพื้นที่ประกอบพิธีกรรมจวนเซียน ขุนเขาเก่าของแคว้นต่างๆ ใน ใบถงทวีปจ านวนมากกว่าเดิมมาวางไว้ในอาณาเขตโดยรอบสาม ภูเขาที่มีแต่เดิมในคราวเดียว เป็ นการขยับขยายเขตอิทธิพลออกไป ข้างนอกทีละนิด แล้วยังต้องซื้อ ‘แดนบิน” เพิ่มให้สานักอีกหลายที่ ภูเขาใต้อาณัติแต่ละแห่งที่กระจายตัวอยู่ในใบถงทวีป สักวันหนึ่งจะ ค่อยๆ เชื่อมต่อกันกลายเป็ นเส้นเส้นหนึ่ง และในเรื่องของขนาดพื้นที่ อิทธิพลก็จะสามารถงัดข้อกับส านักกุยหยกได้แล้ว
เจ้ามีพื้นที่มงคลถ้าเมฆาอยู่แห่งหนึ่ง ข้าก็มีถ้าสวรรค์ฉางชุน เหมือนกันไม่ใช่หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่โจวอันดับหนึ่งแห่ง พื้นที่มงคลถ้าเมฆาก็เท่ากับว่าเป็ นคนในครอบครัวเดียวกันกับข้า ด้วยไม่ใช่หรือ?
้
เพียงแต่ว่านอกจากนี้แล้ว ศาลบุ๋นยังได้มอบพื้นที่มงคลอีกแห่ง หนึ่งมาให้สานักกุยหยกเนื่องด้วยมีคุณความชอบ ชุยตงซานจึงเอา ความสนใจไปไว้ที่พื้นที่มงคลสามภูเขาของส านักว่านเหยา แน่นอน ว่าอาจจะยากอยู่สักหน่อย แต่ก็ค่อยๆ เป็ นค่อยๆ ไปแล้วกัน
ไปถึงท่าเรืออวี่หลินที่ผู้คนเบียดเสียดกันแออัด ชุยตงซานพา ชิงถงขึ้นไปบนเรือข้ามฟากถงอินด้วยกัน
ชิงถงสังเกตเห็นว่านอกจากพวกหมี่อวี้จ้งชิวแล้ว ในห้องยังมีคน นั่งอยู่อีกไม่น้อยระดมกาลังใหญ่โตเช่นนี้ ดูท่าเรื่องที่จะปรึกษากันคืน นี้ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วกระมัง?
ชุยตงซานตบหัวตัวเอง “ลืมเชิญผู้อาวุโสบนภูเขาอีกท่านหนึ่ง มาเข้าร่วมการประชุมเสียได้ พวกเจ้ารอสักครู่ ข้าไปแปบเดียวเดี๋ยว กลับมา!”
ชุยตงซานหดย่อพื้นที่หวนกลับไปที่เมืองหลวงแคว้นอวิ๋นเหยียน อีกครั้ง
นักพรตเนิ่นดื่มเหล้ากับซือถูเมิ่งจิงเจ้าขุนเขาเสี่ยวหลงชิวที่มี ฉายาว่าหลงหรานไปรอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่ง่วง คาถาหลอมภูเขาก็ฝึก มาได้ถึงคอขวดแล้ว จึงมานั่งชมทิวทัศน์อยู่บนหลังคาบ้านเพียง ล าพัง
้
เมืองหลวงของแคว้นเล็กเท่าฝ่ ามือแห่งนี้ ถึงกับสามารถรักษา ความสมบูรณ์ท่ามกลางสงครามที่ม้วนหอบไปทั่วทวีปได้ หรือใน ความมืดมิดที่มองไม่เห็นมีผีและเทพคอยช่วยปกป้ องอยู่จริงๆ?
บนถนนนอกเรือนมีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งโบกกังหันลมสีสัน สดใสในมือแรงๆ “นักพรตเนิ่น นักพรตเนิ่น ทางนี้ ทางนี้!”
นักพรตเนิ่นถามอย่างสงสัย “สหาย เจ้าคือ?”
นานๆ ทีจะได้เจอกับผู้ฝึกลมปราณที่เขามองตบะตื้นลึกไม่ออก “ข้าคือตงซานไงล่ะ”
เด็กหนุ่มชุดขาวหัวเราะร่าเอ่ยว่า “คนกันเอง! หากนับกัน ตามล าดับอาวุโสของสายบุ๋นข้ากับหลี่ไหวก็คือศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วม ส านักกัน”
อันที่จริงนักพรตเนิ่นเดาตัวตนของอีกฝ่ ายออกแล้ว หลี่ไหวเคย พูดถึงคนผู้นี้ บอกว่าเป็ นคนที่ในอดีตเสนอตัวเป็ นลูกศิษย์ของเฉินผิง อัน เคยเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อด้วยกัน
ชุยตงซานกล่าวอย่างเขินอายว่า “มาเยี่ยมเยือนวันนี้เพราะมีเรื่อง อยากจะขอร ้องเพียงแต่ไม่รู ้ว่าจะเอื้อนเอ่ยเช่นไร”
นักพรตเนิ่นกล่าว “ในเมื่อไม่รู ้ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ต้องพูดแล้ว”
พูดจาตามมารยาทกับข้าใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มัวมา เกรงใจเจ้าแล้ว
้
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้อาวุโสไม่รู ้อะไร ในอดีตตอนที่ ผู้เยาว์เดินทางอยู่ล่างภูเขาก็เคยมีฉายาที่เลื่องลืออย่างหนึ่ง เหมือนกัน มีความคล้ายคลึงกับฉายา “นักพรตเนิ่น” ของผู้อาวุโสอยู่ บ้าง ฉายานั้นก็คือ “นักพรตโก้ว!” (垢)
นักพรตโก่ว? (狗 โก่วคานี้แปลว่าหมา ออกเสียงใกล้เคียงกับคา ว่าโก้ว)
นักพรตเนิ่นสีหน้ามืดทะมึน อายุน้อยๆ ไม่รู ้จักเรียนรู ้อะไรดีๆ มา หาถึงบ้านเพื่อมาด่ากันอย่างนั้นรึ?
เงินหนึ่งอีแปะก็ทาให้วีรบุรุษลาบากใจได้ อัดอั้น อัดอั้น เงินเทพ เซียนในกระเป๋ าของชุยตงซานพอจะมีสะสมมาไว้บ้างเล็กน้อย
แต่ตะพาบเฒ่าผู้นั้นคล้ายจะเดาได้แม่นยาว่าตนจะต้องมาเปิ ด สานัก เงินส่วนที่ทิ้งไว้ให้ชุยตงซานในวัตถุจื่อชื่อหลายชิ้นทั้งไม่ทาให้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่ก็ไม่ถือว่ามากมายเหลือเฟื อ สรุปก็คือชุยตง ซานอย่าได้หวังว่าจะหลับหูหลับตาใช ้เงินมือเติบ