กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1050.1 เวทกระบี่ของเฉินชิงตูธรรมดาสามัญ
“อ่านต าราพิชัยยุทธสามารถหลบร ้อน ร ้อยช่องโพรงเย็นสบาย อ่านกวีที่ดีเหมือนได้ขับไล่ความเหน็บหนาว ทั่วร่างอุ่นซ่าน เวลานี้ ทิวทัศน์เช่นนี้ พวกเราสามพี่น้องควรจะดื่มน้าผงรากบัวกันสักชาม”
ขุยตงซานยิ้มพลางหยิบน้าผงรากบัวใส่น้าแข็งสองชามออกมา จากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้กับเจียงซ่างเจินและเฝิงเซวี่ยเทา เฝิงเซวี่ย เทาเอ่ยขอบคุณ รู ้สึกว่าตัวเองตามความคิดของเจ้าส านักชุยไม่ทัน เลยจริงๆ
ชุยตงซานถามว่าต้องการซ ้อนหรือไม่ เจียงซ่างเจินบอกว่าไม่ ต้อง เขาถือถ้วยด้วยมือข้างเดียวเงยหน้ากระดกดื่มน้าผงรากบัว ชุย ตงซานเสกออกมาอีกสองชาม ถือไว้ในมือข้างละชาม ยกถ้วยฝั่งซ ้าย ที่ฝั่งขวาทีชุดเข้าปาก
หนึ่งบินทะยานสองเซียนเหรินมีกลิ่นอายแห่งเทพเซียนกันเช่นนี้
บนฝั่งของท่าเรืออวี่หลินมีเทพธิดาหลายคนที่มาเยือนเพราะได้ ยินชื่อเสียง ไม่ได้เห็นหมี่อวี้ แต่กลับเห็นเด็กหนุ่มที่สวมชุดขาวพลิ้ว ไสวคนนั้นก็ให้รู ้สึกดีใจอย่างไม่คาดฝัน
ชุยตงซานโบกมือให้พวกนางพลางพูดคุยถึงสถานการณ์ล่าสุด ของสานักเบื้องล่างกับเจียงซ่างเจินไปด้วย อยู่บนภูเขา มีเรื่องกับใคร ก็ไม่ควรไปมีเรื่องกับพวกพี่สาวเทพธิดาที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์รูปโฉม
ของผู้คนพวกนี้เด็ดขาด นี่ไม่เกี่ยวข้องกับขอบเขตว่าสูงหรือต่า พ่อ ครัวเฒ่าที่เป็ นคนอาบน้าร ้อนมาก่อนพูดไว้ได้ดี ขอแค่มี ความสัมพันธ ์ที่ดีกับพวกนาง ชื่อเสียงของสานักก็ไม่มีทางแย่อย่าง แน่นอน
สานักกระบี่ชิงผิงได้สานสัมพันธ ์กับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของสกุล หยวนราชวงศ์ต้ายวนแล้ว ราชวงศ์สกุลหยวนที่เดิมทีแบ่งออกเป็ น สามฝ่ าย ในที่สุดทุกวันนี้ก็กลับมารวมเป็ นหนึ่งเดียวกันได้อีกครั้ง หยวนอิ๋งขึ้นครองราชย์ตั้งตนเป็ นจักรพรรดิ หยวนลี่และหยวนมี่ยอม ยกธงขาวไปเป็ นอ๋องเจ้าเมือง สานักกระบี่ชิงผิงเป็ นเพื่อนบ้านกับ ราชวงศ์ต้ายวน ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของสกุลหยวนรับปากว่าใน อนาคตไม่เพียงแต่ตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ที่จะพบเจอได้หรือไม่ก็ต้องดูที่ โชควาสนาเท่านั้น ขอแค่เจอตัวเด็กในอาณาเขตของแคว้นที่เหมาะ กับการฝึกตนก็ล้วนจะส่งตัวมาที่ภูเขาเซียนตู ขอแค่ทางฝั่งของสานัก กระบี่ชิงผิงยินดีรับเอาไว้ พวกเขาก็จะกลายไปเป็ นลูกศิษย์ฝ่ ายนอก โดยอัตโนมัติ ส่วนจะได้อยู่ต่อหรือไม่ก็อยู่ที่วาสนาของพวกเขาเอง แล้ว
นอกจาก “ไป้ กวาน” ที่เป็ นเค่อชิงแล้วก็ยังมีวังม่านเมิ่งผู้ฝึกตน หญิง เฉียนจวิ้นที่มีฉายาว่าเฉียนโหวเอ๋อร ์ ทุกวันนี้พวกเขาต่างก็ กลายเป็ นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสานักกระบี่ชิงผิงแล้ว
คนหนึ่งรับหน้าที่อยู่ในหน่วยหมักและผลิต เป็ นผู้ช่วยให้กับฉิวตู๋ ส่วนเฉียนโหวเอ๋อร ์นั้นรับหน้าที่อยู่ในหน่วยบุปผาจันทรา ถือว่าเป็ น ผู้ช่วยให้กับเซียนกระบี่ใหญ่หมี่
นอกจากนี้ทางฝั่งของลาคลองหลินเหอก็ยังมีเสมียนจวนวารีของ พ่อปู่ลาคลองที่หัวไวมีไหวพริบอีกหลายคนที่จะได้เข้ามาอยู่ในอาณา เขตของภูเขาเซียนตู ยังไม่ได้ถูกบันทึกชื่อลงทาเนียบ แค่แขวนชื่อไว้ ที่ยอดเขาอู๋เฉาของชุยตงซานไปก่อนชั่วคราว
หากจะบอกว่าภูเขาลั่วพั่วมีภูเขาใต้อาณัติเยอะ สมาชิกท าเนียบ มีน้อย องค์กรต่างๆ ก็น้อย เฉลี่ยแล้วบนภูเขาลูกหนึ่งก็มีคนอยู่แค่ ไม่กี่คนเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้น “ที่ว่าการ” ของสานักกระบี่ชิงผิงก็แทบจะมีเยอะกว่า “ขุนนาง” ไปแล้วเฉลี่ยแล้วก็แทบจะหนึ่งคนต่อหนึ่งที่ว่าการเลย ทีเดียว?
แล้วนับประสาอะไรกับที่เจียงซ่างเจินเองก็มองออกได้ในปราด เดียวว่า อีกเดี๋ยวกองงานใหญ่อย่างกองคุณความชอบและความผิด และกองประสานงานก็จะต้องมีที่ว่าการใต้อาณัติงอกเพิ่มขึ้นมาอีก
มิน่าเล่าชุยตงซานถึงได้รีบร ้อนอยากรวบรวมผู้คนถึงเพียงนี้ ภู เขาลั่วพั่วไม่ต้องสนใจว่าจานวนคนจะมากหรือน้อยได้ แต่สานักเบื้อง ล่างกลับทาแบบนั้นไม่ได้
เพียงแต่ว่ากิจธุระในบ้านของสานักเบื้องล่างพวกนี้ เขาเจียงซ่าง เจินที่เป็ นผู้ถวายงานของสานักเบื้องบนกลับไม่เหมาะจะมายุ่งเกี่ยว แล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าเก้าอี้ในศาลบรรพ จารย์ยอดเขาจี้เซ่อ ต้องหายไป แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังต้องพิถีพิถันในเรื่องที่ว่า แม้กระทั่งพี่น้องแท้ๆ ก็ต้องคิดบัญชีกันอย่างชัดเจนด้วย
เจียงซ่างเจินเอ่ยสัพยอก “ไม่เลือกขนาดนี้เลยหรือ?”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ตะแกรงร่อน ตะแกรงร่อน ต้องร่อนออกมา ก่อนถึงจะเลือกได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็ นสตรีมากฝีมือแต่ไร ้วัตถุดิบปรุง อาหารก็แสดงฝีมือไม่ออกแล้ว”
เจียงซ่างเจินถาม “ต้องการใช ้กรณีตัวอย่างส าเร็จรูปมาสอน อาจารย์ของเจ้าว่าควรจะจัดการกับสานักแห่งหนึ่งอย่างไรหรือ?”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเดือดดาล “ข้าหรือจะกล้ามีความคิดเนรคุณ เช่นนี้ โจวอันดับหนึ่งเจ้าอย่าใส่ร ้ายคนอื่นนะ!”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “อิจฉาเจ้าจริงๆ สามารถย้อนกลับมาเริ่ม ใหม่ได้อีกครั้ง ภูเขาตะวันออก (ตงซาน) ผุดขึ้นมาได้ใหม่” (เปรียบ เปรยว่าหวนกลับมาตั้งตัวเป็ นใหญ่อีกครั้งหนึ่ง)
ความมีชีวิตชีวาของคนหนุ่มสาวและปณิธานที่กล้าแกร่งห้าว หาญมากมายมักจะถูกเรื่องราวบนโลกฉีกทิ้งจนกลายไปเป็ นชาก อ้อยไร ้รสหวานเกลื่อนเต็มพื้น
ด้วยขอบเขตและวิธีการของเจียงซ่างเจิน ต่อให้ไม่พูดถึงสถานะ ของผู้ฝึกตนท าเนียบส านักกุยหยกและเจ้าประมุขสกุลเจียง ก็ใช่ว่า เขาจะไม่สามารถเปลี่ยนสถานที่แห่งใหม่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าใหม่ มาเปิดภูเขาก่อตั้งพรรคได้
เพียงแต่ว่าสภาพจิตใจของเขาไม่อนุญาต แล้วก็คร ้านจะหาเรื่อง ใส่ตัว ก็เหมือนเดินซ้าไปบนเส้นทางสายเดิม เดินได้มั่นคงก็จริง เพียงแต่ว่าทิวทัศน์ระหว่างก็ยังเหมือนเดิม
เฝิงเซวี่ยเทาอิจฉาในความสัมพันธ ์ระหว่างเจียงซ่างเจินกับชุยตง ซานอยู่บ้าง บนภูเขาคิดอยากจะหาสหายแท้จริงที่มีปณิธานเดียวกัน อีกทั้งนิสัยยังเข้ากันได้ดีแบบนี้ให้เจอ ไม่เพียงแต่มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ ร่วมต้าน ยังร่วมกันทาเรื่องราวต่างๆ อยู่ด้วยกันมานานโดยที่ยังไม่ เบื่อหน่ายกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เฝิงเซวี่ยเทาที่มีฉายาว่าชิงมี่ ตัวเขา เองเป็ นผู้ฝึกตนอิสระบ้านเกิดอยู่ที่ธวัลทวีป รู ้จักกับเทพเจ้าแห่งโชค ลาภหลิวและเหวยเซ่อมาเนิ่นนาน แต่กลับเข้ากันได้ไม่ดีนัก
ขุยตงซานกล่าว “ทุกวันนี้หย่างจื่อก็อยู่ในเมืองหลวง นางเปลี่ยน สถานะใหม่ เปลี่ยนชื่อมาเป็ นจิ่งสิง กลายเป็ นผู้ถวายงานของ ราชวงศ์ต้าเฉวียน”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “เมืองหลวงแคว้นอวิ๋นเหยียนไม่ใช่บนเรือ ราตรีลานั้นเสียหน่อยพาพี่เฝิงกับหมื่อวี้ไปด้วยกันไหม?”
ชุยตงซานส่ายหน้า “ต่อจากนี้นางกับนักพรตเนิ่นจะเป็ นกาลัง ส าคัญในการช่วยเคลื่อนย้ายสายน้าและยอดเขามากมาย”
เจียงซ่างเจินหัวเราะร่วน “ล้วนเป็ นการฝึ กตนนี่นา มักจะเป็ น เช่นนี้เสมอ ทั้งๆ ที่รู ้ว่าบนภูเขามีเสือก็ยังดึงดันจะเดินขึ้นเขาไปหา เสือ”
ชุยตงซานเงยหน้ากระดกดื่มผงรากบัวใส่น้าแข็งเสียงดังซู้ด “ฝัน ดีว่าได้พบสาวงามถือตะกร ้าใส่ดอกท้ออยู่หลายครา”
เจียงซ่างเจินกล่าว “ที่นี่ยังมีเรื่องที่ต้องให้ข้าออกหน้าอีกหรือไม่? หากไม่มีข้าจะตรงไปที่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว หากยังไม่ไปอีก ข้ากังวลว่าจะ รักษาตาแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งไว้ไม่อยู่แล้ว”
อาจารย์เสี่ยวโม่ผู้นั้นคือศัตรูที่น่ากลัวอย่างมากเลยนะ
มีเสี่ยวโม่อยู่ในภูเขาลั่วพั่ว ไม่ใช่การกดดันยกระดับสินค้าอย่าง ไม่เป็ นธรรมแล้วจะเรียกว่าอะไร!
นี่ทาให้เจียงซ่างเจินกลัดกลุ้มอย่างมาก
ชุยตงซานกล่าว “ไปเถอะๆ หากยังไม่ไปก็จะสายเกินจริงๆ แล้ว”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “พอดีกับที่ข้าจะได้ปล่อยฝีไม้ลายมือใน เรื่องที่ศาลบุ๋นแต่งตั้งห้าขุนเขาได้พอดี”
ชุยตงซานจุ๊ปาก “ดูเหมือนพวกพี่หญิงเทพธิดาจะกาลังซุบซิบ กันอยู่ว่าสรุปแล้วเจ้าใช่อดีตเจ้าส านักเจียงหรือไม่”
เจียงซ่างเจินกินผงรากบัวหมดแล้วก็เริ่มเลียชาม คว่าชามลงบน ใบหน้า ล าพังแค่การกระทาชวนสะอิดสะเอียนนี้ก็ทาให้เหล่าเทพธิดา ที่อยู่บนท่าเรือมั่นใจได้แล้วว่าคนผู้นี้ต้องไม่ใช่เจียงซ่างเจินอย่าง แน่นอน
ชุยตงซานหัวเราะชั่วร ้าย “เจ้าเดาสิว่าหนีหยวนจานจะเป็ นฝ่ าย
ไปหาสุยโย่วเปียนด้วยตัวเองหรือไม่?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “หลเชิงผู้นี้ เกินครึ่งน่าจะต้องไปเยือนหอ ซ่าวฮวายอดเขาเจ๋อเซียนรอบหนึ่งแน่”
ชุยตงซานถาม “เจ้าอารามผู้เฒ่าคิดอย่างไรกันแน่ ในเมื่อเชิญ หลูเชิงออกมาจากอารามกวานเต๋าแล้วก็ปล่อยให้พื้นที่มงคลดอกบัว มีผู้ฝึกกระบี่ที่คล้ายกับสิงกวานหาวซู่เพิ่มมาอีกคนก็ไม่ดีหรอกหรือ? ดันมาหลอกหนีหยวนจาน กดข่มการฝึกตนของเขาไว้เช่นนี้”
เจียงซ่างเจินกล่าว “เจ้าอารามผู้เฒ่าขึ้นชื่อว่ามีนิสัยประหลาด อยู่แล้ว คงไม่คิดว่าผู้ฝึ กตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งจะสาคัญ ตรงไหนกระมัง เขาน่าจะให้ความส าคัญกับพวกสหายบนมรรคาที่มี หวังจะเดินไปบนเส้นทางใหม่เอี่ยมได้เพียงลาพังมากกว่า?”
ชุยตงซานพยักหน้า “เจ้าอารามผู้เฒ่าชอบเรื่องแปลกใหม่ แล้วก็ รังเกียจวิชาความรู ้ในกองกระดาษเก่าๆ ที่เน้นแต่เรื่องการอธิบาย คาศัพท์โบราณไม่เน้นเนื้อหาสาระอยู่มากจริงๆ”
เสี่ยวโม่ เพราะว่าติดตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
ผู้ฝึกกระบี่ป๋ ายจิ่ง ก็เพราะมีเสี่ยวโม่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว
เถาถิงแห่งเปลี่ยวร ้างก็เพราะมีเฒ่าตาบอดที่อารมณ์แปรปรวน ถึงได้กลายมาเป็ นนักพรตเนินแห่งไพศาล
หย่างจื่อ เพราะมีโทษติดตัว เพราะมีกฎของศาลบุ๋น หรือพูดให้ ถูกก็คือเพราะมีจอมปราชญ์น้อยอยู่
ไม่อย่างนั้นปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร ้างที่พยศยากจะการาบพวกนี้ พูดถึงแค่นิสัยดุร ้ายก็ไม่ใช่สิ่งที่ชิงถึงซึ่งร่างจริงเป็ นต้นอู๋ถงต้นหนึ่งจะ เปรียบเทียบได้แล้ว
แม้ว่าชุยตงซานจะมีผงรากบัวอยู่สองชาม แต่เขากลับเป็ นคน แรกที่กินหมดก่อนใคร
รอกระทั่งเจียงซ่างเจินกินหมดแล้ว เฝิงเซวี่ยเทาก็ยังเหลือผงราก บัวอยู่อีกครึ่งชาม
อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็พูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาว่า “วิญญูชนพูดถึง ความคิดจิตใจ คนถ่อยกลับโจมตีความคิดจิตใจ อย่างข้านี่ถือว่า ความคิดจิตใจกระจ่างแต่อันตราย ใช ้วิธีการไม่ขอบเพื่อให้ได้มาซึ่ง ชื่อเสียงเกียรติยศหรือไม่?”
“ถ้าอย่างนั้นพี่เฝิงก็นิสัยแปลกแยกดึงดัน โกรธเคืองโลกเกลียด สังคมน่ะสิ”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “ส่วนข้าก็ถือว่าจดจาเรื่องน่าอายเพื่อสร ้าง ความรอบรู ้ให้ตนปล่อยละเลยความผิดทั้งยังช่วยปิดบัง”
ชุยตงซานกล่าว “ยังดีที่พวกเราต่างก็ไม่ชอบหาข้ออ้างมาแก้ตัว “ก็เป็ นแบบนี้ ใครจะ ทาอะไรข้าได้”
ชุยตงซานรอให้เฝิงเซวี่ยเทากินผงรากบัวหมดก็เก็บชามเปล่าใส่ ไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “ไปท าธุระก่อนล่ะ พวกเจ้าก็ตามสบาย”
เจียงซ่างเจินที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีเขียว มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือ จับประคองราวรั้วประดุจต้นไม้หยกรับลม
เห็นภาพนี้แล้ว พวกผู้ฝึกตนหญิงบนฝั่งก็เริ่มไม่มั่นใจกันขึ้นมา อีก หรือว่าจะเป็ นเจียงซ่างเจินจริงๆ?
ชุยตงซานไปหาสิงอวิ๋นกับหลิ่วสุ่ย ผู้ฝึกกระบี่บ้านเดียวกันที่อายุ การฝึกตนใกล้เคียงกันสองคน คนหนึ่งกลับเป็ นเด็กหนุ่ม อีกคนกลับ มีรูปโฉมเป็ นหญิงชรา
ชุยตงซานประสานมือคารวะ ยิ้มเอ่ยว่า “นานขนาดนี้กว่าจะมา พบผู้อาวุโสเขียนกระบี่ทั้งสองท่าน โปรดอภัย โปรดอภัย”
การประชุมในห้องก่อนหน้านี้ จ้งชิวเสนอว่าให้หมี่อวี้ออกหน้า เชิญผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองท่านมาเข้าร่วมการประชุม แต่กลับถูกพวกเขา ปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม บอกว่าไม่มีความเคยชินเช่นนี้
อย่าเห็นว่าหมื่อวี้พูดจาแข็งกระด้างกับผู้ฝึกกระบี่อาวุโสทั้งสอง ท่าน แต่พอมาอยู่กับชุยตงซานกลับยังช่วยอธิบายให้อีกฝ่ ายหลาย ค า
บอกว่าที่กาแพงเมืองปราณกระบี่มีธรรมเนียมที่ว่าต้องเป็ นเซียน กระบี่ใหญ่เท่านั้นถึงจะเข้าร่วมการประชุมบนหัวก าแพงเมืองได้ ผู้ฝึก
กระบี่ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เข้ารับฟัง
สิงอวิ๋นกับหลิ่วสุ่ยเพียงแค่ผงกศีรษะรับเจ้าสานักหนุ่มผู้นี้
เพราะถึงอย่างไรคนที่ทาให้ผู้ฝึ กกระบี่สองคนสนใจได้อย่าง แท้จริงก็ยังคงเป็ นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ผู้ นั้นมากกว่า พวกเขาที่อยู่ในเปลี่ยวร ้างต่างก็เคยได้ยิน “เรื่องเล่า น่าสนใจ” เกี่ยวกับเฉินผิงอันมาไม่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นคากล่าวที่ว่าใต้หนันโซ่วเหนืออิ่นกวาน หรือ ยกตัวอย่างเช่นลูกศิษย์คนสุดท้ายของโจวมี่อย่างโจวชิงเกาที่ไม่เคย ปิดบังว่าตัวเองเป็ นผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสในตัวเฉินผิงอัน
ยามอยู่กับพวกเขากับตอนที่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจินและเฝิ ง เซวี่ยเทา ชุยตงซานก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็ นคนละคน ไม่มีท่าทีทะเล้น ทะลึ่ง เขาพูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ทางฝั่งของสานักกระบี่หลงเซี่ยง ทักษินาตยทวีป ทุกวันนี้มีผู้ฝึ กกระบี่ในท้องถิ่นของกาแพงเมือง ปราณกระบี่อย่างเกาส่วง กวอตู้ขอบเขตหยกดิบ คนรักของเขาหลิงส วินที่เป็ นผู้ฝึกกระบี่ของเปลี่ยวร ้างมาอยู่ด้วยแล้ว เกาส่วงนั้นเมื่อเทียบ
กับพวกท่าน ไม่ว่าจะเป็ นขอบเขตวิถีกระบี่ที่เคยไปถึงหรืออายุ ล้วน ถือเป็ นผู้อาวุโสของพวกท่าน นอกจากนี้ลาพังเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่ที่ กลับบ้านเกิดหลังจากออกเดินทางไกลเท่าที่ข้ารู ้มาก็ยังมีจินเก้าแห่ง ถนนไท่เซี่ยง อดีตผู้ถวายงานประจ าตระกูลฉี จู๋ซู่ผู้ฝึกกระบี่หญิงแห่ง ถนนเสวียนฮู่ หวงหลิงและเขวียนหยางที่ต่างก็เคยได้ครอบครองจวน เซียนกระบี่ส่วนตัวนอกเมืองอย่าง ‘จินกังโพ” และ “ป๋ ายหาวอัน นอกจากนี้ยังมีอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่หญิงเหมยคาน ลูก ศิษย์มีฉายาว่าเจิ้นเจ๋อแต่กลับเป็ นผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจของเปลี่ยวร ้าง เหมยคานเป็ นขอบเขตหยกดิบ แต่ลูกศิษย์กลับเป็ นเซียนกระบี่แล้ว เท่าที่ข้ารู ้มาตอนนี้ก็มีแค่นี้”
สิงอวิ๋นยิ้มเอ่ย “ข่าวสารของเจ้าสานักชุยว่องไวมากเลยนะ”
หลิ่วสุ่ยขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา ดูท่าคนหนุ่มต่างถิ่นแซ่เฉินผู้นั้น ปี นั้นที่อยู่คฤหาสน์หลบร ้อนน่าจะเคยอ่านเอกสารลับของพวกเขามา ไม่น้อย
ชุยตงซานอธิบาย “ผู้อาวุโสทั้งสองอย่าได้เข้าใจผิด ข่าวสาร พวกนี้ล้วนเป็ นข้าที่หาช่องทางสืบเสาะมาเอง ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับ อาจารย์ของข้า”
หมื่อวี้พยักหน้า “ข้าเป็ นพยานให้ได้”
นอกจากฉีถิงจี้แล้ว ดูเหมือนว่าผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกาแพง เมืองปราณกระบี่อย่างพวกเขาต่างก็ไม่มีใครมีความคิดที่จะมาเปิด ภูเขาก่อตั้งสานักอยู่ในใต้หล้าไพศาล
ชุยตงซานกล่าว “นอกจากข้าอยากจะขอเชิญให้ผู้อาวุโสทั้งสอง ท่านมาเป็ นผู้ถวายงานของสานักกระบี่ชิงผิงจากใจจริงแล้ว ยังหวังว่า พวกท่านจะช่วยแนะน าหวงหลิงและเหมยคานด้วย”
ทุกวันนี้หวงหลิงเป็ นขอบเขตเซียนเหริน ถือเป็ น “กระบี่ส่วนตัว” ของก าแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนที่เขาออกจากบ้านเกิด อันที่จริงก็ เป็ นขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งแล้ว มีความสัมพันธ ์สนิทสนมแนบแน่น กับเยว่ชิงและซุนจวี้เฉวียน
คนผู้นี้ชอบดื่มเหล้า ชอบเคาะกระบี่ร ้องเพลง กระบี่พกคือ “ซาน คู” ว่ากันว่ากระบี่เล่มนี้สืบทอดมาจากมือกระบี่แซ่เฝิ งของก าแพง เมืองปราณกระบี่ เจ้าของเก่าผู้ครอบครองกระบี่เล่มนี้เคยสังหาร ปีศาจกาจัดมารร ้ายในใต้หล้าไพศาลไปเยอะมาก ปราณกระบี่เกาะ ตัวเชือกยาวที่ล้อมวนอยู่บนด้ามกระบี่ก็คือเชือกกักปีศาจหนึ่งในเส้น ที่มีระดับขั้นสูงที่สุดในฟ้ าดิน ตัวกระบี่แกะสลักคาว่า “ตะวันจันทรา เคลื่อนไปบนฟ้ า เจ้าของเก่าแห่งแดนเทพ” มือกระบี่แซ่เฝิงที่ใช ้กระบี่ แลกสุราผู้นั้นเคยเรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจว่า “ผู้เฒ่าไท่ผิง
ส่วนเหมยคานนั้นถือเป็ นผู้เยาว์ในกลุ่มของผู้ฝึกกระบี่ที่ออกเดิน ทางไกลกลุ่มนี้ อายุน้อยมาก เล่าลือกันว่าในอดีตนางเคยเจ็บปวด จากความรักถึงได้ไปจากสถานที่แห่งความเสียใจอย่างก าแพงเมือง
ปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าแรกเริ่มสุดนางไม่ได้ไปที่เปลี่ยวร ้าง แต่เดิน ทางผ่านภูเขาห้อยหัวมาเยือนใต้หล้าไพศาลรอบหนึ่ง เพียงแต่ว่า ผ่านไปได้แค่ไม่กี่ปีก็กลับสู่กาแพงเมืองปราณกระบี่แล้วเดินทางลงใต้ ไปยังเปลี่ยวร ้าง
ชุยตงซานกล่าว “ผู้อาวุโสทั้งสองท่านกลายเป็ นผู้ถวายงานที่ ได้รับการบันทึกชื่อของสานักกระบี่ชิงผิงแล้วก็ไม่ถ่วงรั้งการที่พวก ท่านจะไปรับหน้าที่อยู่ในนครบินทะยานเมื่อใต้หล้าห้าสีเปิดประตูครั้ง ถัดไป แค่ทิ้งชื่อไว้ในทาเนียบศาลบรรพจารย์ยอดเขามี่เซวี่ยก็พอ ต่อ ให้ไปแล้วไม่กลับมาอีกก็ไม่เป็ นไร แน่นอนว่าก่อนจะถึงวันนั้น หากมี วันใดพวกท่านรู ้สึกว่าอยู่บนภูเขาแล้วไม่สบายใจก็สามารถตัดขาด ความสัมพันธ ์กับส านักกระบี่ชิงผิงได้ทุกเมื่อพวกเรามีแต่จะขอให้อยู่ ต่อ แต่ไม่กล้าฝืนบังคับรั้งไว้”
เหมาเสี่ยวตงรองผู้อานวยการสถานศึกษาหลี่จี้ที่วันๆ ไม่ทาเรื่อง เป็ นการเป็ นงานเอาแต่ทาเรื่องเหลวไหลไร ้สาระ ก่อนหน้านี้ที่เขา เสนอแนะศาลบุ๋นว่าไม่ให้ส านักของไพศาลมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับ ใต้หล้าห้าสี อันที่จริงก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน
เพียงแต่ว่าหลังจากที่ใต้หล้าห้าสีเปิดประตูในครั้งถัดไปก็จะไม่มี เรื่องดีแบบนี้อยู่อีกแล้ว