กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1050.2 เวทกระบี่ของเฉินชิงตูธรรมดาสามัญ
ผู้ฝึกลมปราณคิดอยากจะเดินทางไปกลับสองใต้หล้าสักรอบก็มี แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานเท่านั้นที่ถึงจะทาได้
“หลังจากพวกท่านกลายเป็ นผู้ถวายงานของส านักแล้วก็ต้องได้ ออกไปผ่อนคลายอารมณ์ ไปฝึ กประสบการณ์ข้างนอก พกกระบี่ เดินทางไปยังเก้าทวีปอย่างเลี่ยงไม่ได้”
“ใต้หล้าไพศาล นอกจากสายฝนพร่างพรมเหนือใบอู๋ถง ก็ยังมี สายลมแห่งฝูเหยา มีแสงเรืองรองเต็มม่านฟ้ า (หมายถึงหลิวเสียทวีป) มีหิมะขาวโพลนกระจ่างตา (หมายถึงธวัลทวีป) ทัศนียภาพของแต่ละ ทวีปแตกต่างกันออกไป เวลาสั้นๆ ภายในร ้อยปีก็ไม่มีทางมองเบื่อ”
“เรื่องที่ไม่เป็ นธรรมในไพศาลมีอยู่มากมาย”
“ขอแค่พวกท่านออกกระบี่อย่างมีเหตุผล ในอนาคตไม่ว่าจะ สร ้างเรื่องเละเทะใหญ่โตแค่ไหน ข้าทีเป็ นเจ้าส านักก็จะเป็ นคน รับผิดชอบแทนเอง พวกท่านเชิญออกกระบี่ใช ้เหตุผลได้ตามสบาย ไม่จาเป็ นต้องกังวลถึงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง”
ฟังมาถึงตรงนี้ หลิวสุยก็ตัดบทค าพูดห้าวเหิมของขุยตงซาน หญิงชราพูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “รับผิดชอบเองทั้งหมดได้เลย หรือ? ต่อให้เจ้าสานักชุยจะเป็ นเซียนเหรินคนหนึ่งแต่พูดแบบนี้ก็ เหมือนจะโอ้อวดตัวเกินไปหรือไม่? พูดถึงแค่วันหน้าพวกเราไปเยือน
ทวีปแห่งอื่น ไปมีเรื่องกับขอบเขตบินทะยานหรือไปท้าทายสานัก อักษรจงเก่าแก่เข้า ผลคือเกิดคดีฟ้ องร ้องกันไปจนถึงศาลบุ๋น บางที เฉินผิงอันอาจจะรับผิดชอบได้ แต่เจ้าชุยตงซานจะจัดการได้จริง หรือ? หรือจะบอกว่าเมื่อเกิดเรื่องก็ให้พวกเราไปหาภูเขาลั่วพั่วที่เป็ น สานักเบื้องบน?”
หากเป็ นผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิดอย่างกาแพงเมืองปราณกระบี่ที่ พูดเช่นนี้ นางก็คงจะเชื่อ
ตามคากล่าวของหมื่อวี้ เจ้าส านักหนุ่ มแซ่ชุยผู้นี้คือผู้ฝึ ก ลมปราณขอบเขตเซียนเหรินอีกทั้งยังสามารถมองเป็ นผู้ฝึกกระบี่ครึ่ง ตัวได้ด้วย
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หากเกิดเรื่องจริงๆ ต้องไม่มีทางไปขอร ้อง ให้ภูเขาลั่วพั่วช่วยแน่นอน ขอแค่เป็ นกิจธุระของสานักเบื้องล่าง สานักกระบี่ชิงผิงของพวกเราก็สามารถคลี่คลายได้เอง ข้าชุยตงซาน ไม่กล้า ไม่เหมาะ แล้วก็ไม่ต้องไปรบกวนอาจารย์”
สิงอวิ๋นยิ้มเอ่ย “เจ้าส านักชุย ท่านอย่าให้กลายเป็ นว่าไม่มี ความสามารถของผู้ฝึ กกระบี่ มีแต่นิสัยเจ้าอารมณ์ของผู้ฝึ กกระบี่ แทนล่ะ ข้าคนนี้พูดจาไม่น่าฟัง แค่ชินไปแล้วก็ดีเอง”
หลิ่วสุ่ยปรายตามองสิงอวิ๋น หาได้ยากนักที่เจ้าจะพูดจาเข้าหูคน
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลักษณะการพูดจาเช่นนี้ของพวก ท่าน ไม่ต้องให้ข้าปรับตัวให้ชินหรอก นี่ก็ดีมากแล้ว”
ลิงอวิ๋นกับหลิ่วสุ่ยสบตากัน เจ้าคนแซ่ชุยผู้นี้ คล้ายจะถูกใจพวก เราอยู่บ้าง?
ทั้งสองฝ่ ายใช ้เสียงในใจพูดคุยกัน “สิงอวิ๋น จะไปที่ภูเขาลั่วพั่ว พบเฉินผิงอันก่อนสักรอบหนึ่งแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะมาอยู่สานัก กระบี่ชิงผิงดีหรือไม่?”
“ข้าคิดว่าไม่มีความจาเป็ นนี้ ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา ก็เหมือน อย่างที่ชุยตงซานพูดเองวันใดอยู่แล้วรู ้สึกไม่สบายใจก็จากไปได้เลย”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าติดต่อไปหาเหมยคาน ข้าจะไปหาหวงหลิง?”
“ได้ แล้วยังมีจินเก้ากับจู๋ซู่ที่ติดต่อไปพร ้อมกันเลย จะได้ไม่ถูก ฉีถิงจี้ลากตัวไปเป็ นพวกฉีถิงจี้ตอนอยู่นอกสนามรบ ไม่ว่าจะมอง
อย่างไรก็ขัดหูขัดตา”
“เหอะ อิจฉาที่คนเขาเนื้อหนังมังสาดีกว่าเจ้างั้นหรือ?”
“พูดเรื่องเป็ นการเป็ นงานกันอยู่ดีๆ เจ้ามาพูดเรื่องนี้ทาไม ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าเซวียนหยางจะมีความสัมพันธ ์ไม่เลวกับอาจารย์ของเจ้า ทุกวันนี้เขาเพิ่งจะเป็ นเค่อชิงของสานักกระบี่หลงเซี่ยงเท่านั้น เจ้า สามารถพูดคุยกับเขาได้ ดูสิว่าจะยินดีมารับหน้าที่เป็ นผู้ถวายงาน ของที่นี่หรือไม่”
“หากเหมยคานกับจู๋ซู่มาอยู่ที่นี่ เจ้าคงดีใจมากเลยสินะ?” “ความรักชายหญิงไม่มีความหมาย มีแต่จะถ่วงรั้งการฝึกกระบี่”
“นี่คือประโยคที่โจวเฉิงพูดกับเจ้าปีนั้นหรือ?”
“หลิ่วสุ่ย เจ้านี่ไม่รู ้จักจบจักสิ้นสักทีนะ?!”
หลังจากที่ชุยตงซานขอตัวลากลับไป หลิ่วสุ่ยก็ไม่ได้ออกจาก ห้องไปทันที
สิงอวิ๋นนึกถึงเรื่องราวและคนรู ้จักเก่าของบ้านเกิด อันที่จริงเขา กับเกาขุยที่เวทกระบี่สืบทอดมาจากสายของหลงจวิน ทั้งสองคือ เพื่อนรักที่สนิทสนมกันอย่างมาก มักจะออกไปเฝ้ าหัวก าแพงเมืองอยู่ ด้วยกัน ทุกครั้งที่ออกจากเมืองไปเข่นฆ่าปีศาจก็ยิ่งรบเคียงบ่าเคียง ไหล่กันหลายต่อหลายครั้ง บอกว่าเป็ นพี่น้องที่ฝากชีวิตไว้ให้กันได้ก็ ไม่เกินจริงเลยสักนิด
เกาขุยมีอาจารย์ผู้สืบทอด แต่น่าเสียดายที่เป็ นการสืบทอดที่ว่ามี สู้ไม่มียังดีเสียกว่าส่วนสิงอวิ๋นนั้นมาจากชั้นล่างสุดของหมู่ชาวบ้าน ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาทีละก้าว บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกแหยนชือ ระหว่างที่ฝึ กกระบี่ก็คอยประคับประคองช่วยเหลือกันและกันกับ เกาขุยมาโดยตลอด ต่างคนต่างยืมเงินต่างติดหนี้กัน ต่างก็พูดกันว่า ที่ตัวเองมีสมุด บัญชีอยู่เล่มหนึ่ง ใครก็อย่าคิดจะเบี้ยวหนี้ไม่จ่ายเงิน แต่ในความเป็ นจริงแล้วก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง อยู่ที่บ้านเกิดมีสถานะ ผู้ฝึกกระบี่ไม่นับเป็ นอะไรได้ สังหารปีศาจสะสมคุณความชอบด้าน การสู้รบก็ไม่นับเป็ นอะไร ล้วนถือเป็ นเรื่องปกติ ไปๆ มาๆ ร ้านเหล้า น้อยใหญ่ในกาแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต มีห้องบัญชีของร ้าน ใดบ้างที่ไม่มีบัญชีเลอะเลือนที่ติดหนี้ไว้ไม่ได้จ่ายอยู่กองโต?
ดูเหมือนว่ามีแค่ร ้านเหล้าเล็กในภายหลังเท่านั้นที่ไม่ไว้หน้าใคร ทั้งนั้น ยืนกรานว่าไม่ยอมให้ใครเชื่อเงิน?
หลิ่วสุ่ยก็มีสานักอยู่ที่บ้านเกิดเหมือนกัน จานวนผู้ฝึกกระบี่ไม่ น้อย ถือว่าค่อนข้างมีหน้ามีตาในกาแพงเมืองปราณกระบี่ นางยังจา ได้ว่าตอนที่ออกมาจากบ้านเกิด มีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่อายุน้อยที่สุด
เป็ นเด็กกาพร ้า คล้ายจะชื่อว่าหันหรง?
พรสวรรค์ในการฝึ กกระบี่ของเด็กน้อยธรรมดา แต่นิสัยดื้อรั้น อย่างมาก ทุกครั้งขอแค่ได้กลิ่นเหล้าจากบนร่างของพวกผู้อาวุโสใน สานัก ต่อให้จะเป็ นผู้ฝึกกระบี่อาวุโสรุ่นอาจารย์เด็กน้อยก็ยังกล้าชัก สีหน้าไม่พอใจใส่
ดูเหมือนว่าขอแค่มีใครดื่มเหล้าก็เท่ากับเป็ นศัตรูของเด็กน้อย แล้ว
ดังนั้นหลิ่วสุ่ยถึงได้จดจาเด็กคนนี้ได้
ก่อนหน้านี้หลิ่วสุ่ยได้ถามคาถามกับหมื่อวี้ไปไม่น้อย หนึ่งในนั้น ก็ถามหมื่อวี้ว่ารู ้จักผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ชื่อว่าหันหรงหรือไม่ ทุกวันนี้ คนผู้นี้อยู่ในนครบินทะยานหรือไม่
เพียงแต่ว่าหมี่อวี้ที่อยู่ในเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัวและคฤหาสน์ หลบร ้อนล้วนท าหน้าที่เป็ นเทพทวารบาลมาโดยตลอด รู ้แค่บันทึกใน เอกสารของห้าขอบเขตบนและผู้ฝึกกระบี่เซียนดินบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นหมี่อวี้จึงไม่รู ้ว่าหันหรงได้ติดตามนครบินทะยานไปอยู่ใต้หล้า
ห้าสีหรือไม่ อันที่จริงหมื่อวี้นั้นรู ้ดีว่า หลิ่วสุ่ยอยากจะถามว่าหันหรงยัง มีชีวิตอยู่หรือไม่ดังนั้นหมี่อวี้จึงบอกว่าใต้เท้าอิ่นกวานต้องรู ้เรื่องนี้ แน่นอน เขาสามารถช่วยส่งจดหมายกระบี่บินไปถามที่ยอดเขาจี้เซ่อ ได้ แต่หลิ่วสุ่ยกลับบอกว่าไม่จาเป็ น
หมี่อวี้มีความคิดเป็ นของตัวเอง เรื่องที่ถามนั้นยังต้องถาม หาก ใต้เท้าอิ่นกวานตอบกลับมาบอกว่าหันหรงรบตายไปนานแล้ว หมื่อวี้ ก็จะทาเป็ นว่าไม่เคยรู ้เรื่องนี้ แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะนามาบอกแก่หลิ่ว สุ่ย
สิงอวิ๋นเปิ ดเหล้ากาหนึ่งบนโต๊ะ มองไปทางหลิ่วสุ่ย หญิงชรา พยักหน้า สิงอวิ๋นจึงเทเหล้าสองชาม ฟังหมี่อวี้เล่าว่านี่คือเหล้าที่มี ชื่อเสียงมากที่สุดและขายดีมากที่สุดในกาแพงเมืองปราณกระบี่
เหล้าประเภทนี้ในร ้านแบ่งออกเป็ นสามระดับ รสชาติจืดจางที่สุด ราคาแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญเดียว แล้วยังมีแบบที่ขายห้าเหรียญเงิน เกล็ดหิมะ ส่วนที่แพงที่สุดก็คือสิบเหรียญ มีชื่อเรียกอีกชื่อว่าเหล้า เทพชิงซาน อีกทั้งทุกวันจะขายแค่กาเดียว ใครมาก่อนก็ได้ก่อน
บนเรือข้ามฟาก เหล้าถ้าสวรรค์จูไห่มีแค่สองชนิด ตาม คาอธิบายของหมื่อวี่ เหล้าภูเขาชิงเสินที่แพงที่สุดเลิกขายไปนาน แล้ว
ยกชามเหล้าขึ้นจิบเหล้าเบาๆ หนึ่งคา สิงอวิ๋นที่พอมาถึงใต้หล้า ไพศาลก็ยังไม่เคยได้ดื่มเหล้าเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองดื่มเหล้าปลอม ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าคิดว่ารสชาติเป็ นอย่างไร?”
หลิ่วสุ่ยชิมเหล้าหนึ่งคาแล้วขมวดคิ้วกล่าว “ไม่เหมือนเหล้าหมัก ตระกูลเซียนรสชาติดั้งเดิมสักเท่าไร”
สิงอวิ๋นหมุนกาเหล้ามา เห็นว่าตัวอักษรสีดาบนกระดาษสีแดงที่ เขียนไว้ว่า “เหล้าถ้าสวรรค์จู๋ไห่” จริงๆ สิงอวิ๋นก็เอ่ยอย่างขาๆ ปนฉุน ว่า “มโนธรรมในใจถูกหมาคาบไปกินหมดแล้ว!”
สิงอวิ๋นดื่มหมดหนึ่งชามก็เปิดเหล้าอีกกาที่ว่ากันว่าขายราคาห้า เหรียญเงินเกล็ดหิมะเป็ นเหล้าถ้าสวรรค์จูไห่เหมือนกัน ความ แตกต่างเดียวจากกาแรกก็คือด้านข้างชื่อเหล้าที่อยู่บนกระดาษแดง เขียนตัวอักษรสองค าแบบบรรจงตัวเล็กเท่าหัวแมลงวันว่า “ชั้นดี” และด้านข้างของคาที่อยู่ด้านข้างนี้ก็เขียนไว้อีกประโยคว่า “เซียน กระบี่หมักสุราพานพบกันด้วยความปรีดา สิงอวิ๋นรินเหล้าอีกชาม เดาะปากเดาะลิ้น พยักหน้าเอ่ย “รสชาติเหล้าเช่นนี้ก็กล้าหายห้า เหรียญเงินเกล็ดหิมะ แม้แต่หมาก็ยังไม่คาบไปกิน!”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น หมี่อวี้ยืนอยู่ตรงระเบียงนอกประตู ยิ้มถาม ว่า “สะดวกหรือไม่? คงไม่ได้รบกวนพวกเจ้าหรอกกระมัง?”
สิงอวิ๋นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ประตูไม่ได้ลงกลอนเสียหน่อย”
หมื่อวี้เพียงแค่ผลักประตูเปิดออก ไม่ได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้า มา ยิ้มเอ่ยว่า “หลิวสุยใต้เท้าอิ่นกวานตอบจดหมายกลับมาแล้ว ทุก วันนี้หันหรงเป็ นขอบเขตประตูมังกร อยู่ที่นครบินทะยาน มีสถานะ เป็ นผู้ฝึกกระบี่ของสายเฉวียนฝู่”
หลิวสุ่ยพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หมี่อวี้เหลือบมองเหล้าสองกาที่เปิดแล้วบนโต๊ะ ยิ้มเอ่ยว่า “ใต้ เท้าอิ่นกวานยังบอก ด้วยว่า หันหรงคือลูกค้าประจ าของร ้านเหล้า ขอ แค่ไม่ต้องขึ้นไปบนหัวกาแพงเมือง ทุกวันเช ้าและค่าสองครั้งจะต้อง ดื่มเหล้าสองกาแบบที่ฟ้ าผ่าก็ไม่สะเทือน คือคนยากจนที่หากขาด สุราก็เหมือนเอาชีวิตเขาไป ทุกครั้งจะดื่มแค่เหล้าถ้าสวรรค์จู๋ไห่ราคา หนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะเท่านั้น ไม่ชอบดื่มเหล้าที่โต๊ะ มีที่ว่างก็ไม่ยอม นั่ง มักจะไปนั่งยองดื่มเหล้าข้างทางกับใต้เท้าอิ่นกวานเป็ นประจ า แล้วยังชอบขอเหล้าคนอื่นดื่มด้วย แต่ทั้งความคอแข็งและพฤติกรรม ยามดื่มเหล้าของหันหรงต่างก็ไม่เลว มีคาพูดติดปากว่า ความสามารถในการดื่มนั้นต้องมีมาตั้งแต่เกิด มิอาจฝึ กฝนกันได้ บางครั้งจะเลี้ยงเหล้าดีๆ ให้เขา หันหรงจะชอบบอกว่าไม่ต้อง เขาไม่ ชอบติดค้างน้าใจใคร”
หญิงชรายิ้มจนตาหยี แต่ปากกลับบ่นหมี่อวี้ว่าทาเรื่องเกินความ จ าเป็ น บอกแล้วว่าไม่ต้องถามใต้เท้าอิ่นกวาน แต่เจ้ากลับยังยุ่งไม่ เข้าเรื่อง
ฟังสิฟัง ดูเหมือนหญิงชราจะเรียกเฉินผิงอันว่าใต้เท้าอิ่นกวาน เป็ นครั้งแรกนะ?
หมื่อวี้ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สุดท้ายใต้เท้าอิ่นกวานบอกว่า ปีนั้นหัน หรงเขียนประโยคหนึ่งไว้บนป้ ายสงบสุขของร ้านเหล้า สิงอวิ๋น เจ้า อยากฟังหรือไม่?”
สิงอวิ๋นโบกมือ “ไม่ต้อง”
หลิ่วสุ่ยกลับถามอย่างอยากรู ้“ไหนลองว่ามาสิ”
หมี่อวี้ยิ้มเอ่ย “สิงอวิ๋นไม่รู ้จักดีชั่ว เขากล้ากลับบ้านเกิด ข้าผู้ อาวุโสจะประทานฝ่ามือฟาดหน้าเขาหนักๆ”
สิงอวิ๋นไม่โกรธกลับกันยังหัวเราะ “ตะพาบน้อยขอบเขตประตู มังกรคนหนึ่ง ขอบเขตไม่สูง แต่พูดจาวางโตไม่เบา”
หมี่อวี้หมุนตัวได้ก็เดินจากไปทันที
หลิ่วสุ่ยพลันชี้ไปที่กาเหล้าบนโต๊ะ ถามว่า “ไม่เห็นเขียนชื่อ ชื่อ ว่าเหล้าอะไร?”
หมื่อวี้หยุดเดินหันหน้ากลับมามองกาเหล้าบนโต๊ะแล้วยิ้มตอบ “คือเหล้าต้มพื้นบ้านชนิดหนึ่ง ชื่อว่าเหล้าทะเลสาบคนใบ้”
หมี่อวี้เดินตรงดิ่งจากไป ประตูห้องก็ปิดลงด้วยตัวเอง
ในห้องเงียบงันกันไปนาน หลิ่วสุ่ยแกะผนึกดินบนเหล้ากานั้น ออก แกว่งอยู่สองสามทีแล้วก้มหน้าลงสูดดม “ชื่อดี”
สิงอวิ๋นใช ้สองนิ้วคีบชามเหล้าขึ้นมาแล้วเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ บอกเป็ นนัยว่าให้รินเหล้า
ข้างโต๊ะสุรา เซียนกระบี่กับเหล้าหมัก หญิงชรากับเด็กหนุ่ม
บุคคล ทิวทัศน์ สภาพจิตใจ ล้วนสงบบริสุทธิ์
จากบ้านเกิดไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนานพันปี ใจข้ายังคงเป็ น เด็กหนุ่มอ่อนเยาว์
คนกลุ่มหนึ่งเร่งรุดเดินทางมาที่ท่าเรืออวี๋หลิน ได้แก่จงขุย ผี เซียนอวี่จิ่น หลี่เป่ าผิง เจิ้งโย่วเฉียน ถานอิ๋งโจว จับมือกันออก เดินทางครั้งนี้ พวกเขาได้ไปเยือนสถานที่มาไม่น้อย ท่องเที่ยวผ่าน ใบถงทวีปมาเกือบครึ่ง
พวกเขาไม่รีบร ้อนขึ้นไปบนเรือข้ามฟากถงอิน ภายใต้คาแนะนา ของอวี่จิ่น พวกเขาหาร ้านอาหารใกล้ท่าเรือกันก่อน คิดจะกินกุ้งหอย ปูปลาดองแบบสดๆ สักหน่อย จงขุยไม่ชอบกินของพวกนี้จริงๆ จึงสั่ง หม้อไฟมาพร ้อมกับหลี่เป่าผิง
ในมือจงขุยมีร่มกระดาษน้ามันอยู่คันหนึ่ง ก่อนหน้านี้เก็บมาได้ จากตรงตีนเขาแห่งหนึ่ง ทุกวันนี้ท่าเรืออวี๋หลินไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่อง ลูกค้าที่จะควักกระป๋ าเงิน คนที่เดินทางมาเมืองหลวงแคว้นอวิ๋นเห ยียนทางเรือมีมากกว่าคนที่เดินทางบนบกมากนัก กิจการของ ร ้านอาหารดี แต่ลูกจ้างร ้านกลับไม่ใช่คนที่มือเท้าคล่องแคล่วนัก เจ้า อ้วนกูซูเร่งไปสองครั้งก็ถูกลูกจ้างหนุ่มเถียงกลับมา เจ้าอ้วนจึงเอ่ย
อย่างเดือดดาลว่า “ตาไปงอกอยู่บนกัน รู ้จักแต่มองเสื้อผ้าไม่รู ้จักมอง คน หากเป็ นในอดีต คนแบบนี้เป็ นขุนนางก็เป็ นได้ไม่ดี ป่านนี้คงถูก ลากออกไปตัดหัวสองครั้งแล้ว”
เจิ้งโย่วเฉียนช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ “ผู้อาวุโสกูซูอย่า โมโหเลย ต่างก็พูดกันว่าในท้องอัครเสนาบดีถ่อเรือได้ (เปรียบเปรย ถึงคนเป็ นผู้ใหญ่ที่ใจกว้าง ให้อภัยผู้อื่นได้) แล้วนับประสาอะไรกับคน ที่เคยเป็ นฮ่องเต้มาก่อน”
อันที่จริงถานอิ๋งโจวไม่เคยเข้าใจเลยสักนิด เจ้าอ้วนที่ชอบพูดคา ว่า “กว่าเหริน” ติดปากผู้นี้ นอกจากจะหน้าตาอัปลักษณ์แล้ว อันที่ จริงก็เป็ นบุคคลที่มีอารมสุนทรีมีรสนิยมอย่างมากเลย
ตลอดทางที่เดินทางร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็ นการแต่งกวีท่องกลอน คัดลอกป้ ายศิลาโบราณ เคาะน้าแข็งต้มชา ก่อไฟเผาเผือก ชมดอก เหมยท่ามกลางหิมะ…เจ้าอ้วนที่ชื่อว่าอวี่จิ่นแต่กลับเรียกตัวเองว่ากูซู ล้วนเชี่ยวชาญทุกอย่างที่ว่ามา
เด็กหนุ่มชุดขาวเดินสะบัดชายแขนเสื้อสองข้างก้าวอาดๆ เข้ามา ในร ้านแล้วยกมือตบลงบนท้ายทอยของเจ้าอ้วนหนักๆ
เห็นซุยตงซาน หลี่เป่ าผิงและเจิ้งโย่วเฉียนที่อยู่ในสายเหวินเซิ่ง เหมือนกัน แต่ค าเรียกขานกลับไม่เหมือนกัน เจิ้งโย่วเฉียนเรียกอีก ฝ่ายว่าศิษย์พี่เล็ก ส่วนหลี่เป่าผิงกลับเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่
หากเปลี่ยนคนอื่นมาเรียกชุยตงซานอย่างนี้ ชุยตงซานคงไม่สบ อารมณ์ไปนานแล้ว จะต้องเถียงกลับไปให้ได้ว่าเจ้าน่ะสิศิษย์พี่ใหญ่ คนทั้งบ้านเจ้าล้วนเป็ นศิษย์พี่ใหญ่
แต่ในเมื่อเป็ นหลี่เป่าผิงที่เรียกเช่นนี้ ชุยตงซานจึงอดทนเอาไว้ หลี่เป่ าผิงกล่าว “อาจารย์อาน้อยบอกวันเวลามาแล้ว บอกให้
พวกเราไปที่ภูเขาลั่วพั่วกันสักรอบ”
ชุยตงซานทาหน้าเหลอหรา “อาจารย์ไม่เห็นพูดเรื่องนี้กับข้า เลย”
หลี่เป่ าผิงหัวเราะร่า “ก็ไม่เห็นจะแปลก เจ้าคือลูกศิษย์ผู้เป็ นที่ ภาคภูมิใจของอาจารย์อาน้อยนี่นา”
ชุยตงซานหัวเราะแห้ง “นั่นสิ นั่นสิ”
บนเรือข้ามฟากถงอิน หลังจากที่นักพรตเนิ่น “ราลึกความหลัง’ กับชิงถึงไปแล้วก็มาที่หัวเรือด้วยกัน ชื่นชมทัศนียภาพยามค่าคืนอัน รุ่งเรืองที่แสงไฟสว่างไสวราวเวลากลางวันของท่าเรืออวี๋หลิน
อันที่จริงก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้มีไมตรีใดๆ ต่อกัน ก็เหมือน อย่างที่ชิงถงกล่าวนักพรตเนิ่นอยู่กับตนและหย่างจื่อล้วนถือว่าเป็ น ผู้เยาว์
หย่างจื่อยังดี เมื่อหมื่นปีก่อนก็อยู่ที่เปลี่ยวร ้าง นางกับบรรพบุรุษ สายสุนัขขับไล่ภูเขาอย่างเถาถึงมีการไปมาหาสู่กันเป็ นประจ า แต่ ชิงถงกลับถูกแยกให้มาอยู่ที่ใบถงทวีป
อยู่ดีๆ นักพรตเนิ่นก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ เหมือนเปลี่ยวร ้าง ไม่มีทางนึกจะหายก็หายไป”