กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1050.3 เวทกระบี่ของเฉินชิงตูธรรมดาสามัญ
ชิงถงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “สหายเคยไล่ฆ่าต่งซานเกิงจริง หรือ?”
นักพรตเนิ่นลูบหนวดยิ้ม “ลูกผู้ชายไม่พูดถึงความกล้าหาญใน วันวาน ไล่ฆ่าอะไรกันก็แค่ความเข้าใจผิดกันครั้งหนึ่ง ไม่ตีกันก็ไม่ได้ รู ้จักกัน คนที่เหมือนกันก็มักจะเห็นค่าและทะนุถนอมกันและกันก็ เท่านั้น”
อันที่จริงความจริงก็คือปีนั้นต่งซานเกินที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางของ เปลี่ยวร ้างได้สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งแล้วก็ตัด หัวของอีกฝ่ ายบรรจุใส่ตะกร ้าไม้ไผ่น ากลับไปยังก าแพงเมืองปราณ กระบี่ เพราะเพิ่งจะหลุดพ้นจากรุมล้อมโจมตีมาได้ไม่นาน ต่งซานเกิง จึงได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด เถาถิงเห็น โอกาสให้ฉกฉวยจึงคิดจะพุ่งเข้าไปกัดสักสองที เพราะถึงอย่างไรเฒ่า ตาบอดก็ไม่สนใจเรื่องหาอาหารให้เขา บวกกับที่ปีนั้นต่งซานเกิงที่ สะพายตะกร ้าไม้ไผ่ไว้บนหลังก าลังเร่งเดินทางต้องอ าพรางลมปราณ อีกทั้งเถาถิงก็จาได้อย่างเลือนรางว่าตอนที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นไป เยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร ้างคล้ายจะยังเป็ นแค่ผู้ฝึกกระบี่โอสถ ทองที่ต่าต้อยเหมือนมดตัวหนึ่ง เวลาหนึ่งร ้อยปี ขอบเขตจะสูงได้สัก
เท่าไรกันเชียว? คิดดูแล้วกัดลงไปหนึ่งคาก็คงกินก่อกาเนิดได้เลย? ตอนนั้นเถาถิงไม่รู ้ด้วยซ้าว่าจะยัดซอกฟันตัวเองพอหรือไม่….
ตอนนั้นต่งซานเกิงรีบเดินทาง คร ้านจะพัวพันอยู่กับเถาถิงให้ มากเกินไป จึงถูกเถาถิงโอ้อวดบารมีใส่อยู่พักใหญ่
รอกระทั่งเถาถิงคิดจะเรียกท่าไม้ตายออกมา เฒ่าตาบอดก็เอ่ย เตือนมันคาหนึ่งว่าคนหนุ่มผู้นั้นคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานแล้ว เจ้าไม่รู ้จักเขาต่งซานเกิง แต่หัวในตะกร ้าไม้ไผ่ พวกเจ้าต้องรู ้จักกัน แน่นอน อยากจะไปเบียดอยู่เป็ นเพื่อนกันรึ?
เถาถิงตกใจจึงรีบเอ่ยขออภัยผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแซ่ต่งไปหลายค า ไม่รอให้อีกฝ่ ายเปิดปากก็ร่ายวิชาหลบหนีแห่งชะตาชีวิต กลับคืนสู่ ร่างจริง หนีบหางหนีกลับไปอยู่ข้างกระท่อมบนภูเขาสูง เถาถิงเพิ่งคิด จะเอ่ยขอบคุณเฒ่าตาบอดอย่างจริงใจสักสองสามค า อีกฝ่ายอุตส่าห์ ใจดีมีเมตตาเอ่ยเตือนตนในเรื่องนี้…
ผลคือเห็นว่าข้างกายของเฒ่าตาบอดมีเพื่อนบ้านบางคนที่น้อย ครั้งนักจะมาเยือนภูเขาใหญ่แสนลี้ยืนอยู่ เฉินชิงตู!
ตอนนั้นเฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลัง เพียงแค่ยิ้มตาหยีเอ่ย ประโยคหนึ่งว่า สหายเถาถิงมีบารมีมากเลยนะ
เฒ่าตาบอดบอกให้เถาถิงไสหัวไปให้ไกล อย่ามาอยู่ขวางหูขวาง ตา
เถาถิงเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบวิ่งหนีไปไกล
เฒ่าตาบอดกล่าว “ไม่ฆ่าผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจตนนั้น ต่งซานเกิง ก็ไม่ต้องบาดเจ็บถึงรากฐานมหามรรคา ผลสาเร็จบนวิถีกระบี่ของเขา ในวันนี้ คิดดูแล้วคงไม่มีทางต่าเป็ นแน่รอกระทั่งต่งซานเกิงเลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่ เจ้าก็จะผ่อนคลายได้อีกหลายส่วนไม่ใช่หรือ?”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ เพื่อให้ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัว ก าแพงเมือง ช่วยสร ้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล เป็ นเรื่องที่น่า เสียดายเกินไป การค้าครั้งนี้ของต่งซานเกิงใช ้อารมณ์มากเกินไป ไม่ คุ้มค่าเอาเสียเลย
เฒ่าตาบอดเงียบไปพักใหญ่ถึงได้โพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “โชคดีที่ผู้ฝึกกระบี่ต้องการความบริสุทธิ์
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ดังนั้นเจ้าถึงได้ถูกลิขิตมาแล้วว่าจะมิอาจ กลายเป็ นผู้ฝึกกระบี่ได้
เฒ่าตาบอดถามคาถามที่เก็บกลั้นอยู่ในใจมานานหลายปี “เจ้า คนผู้นั้นเป็ นอย่างไรกันแน่ คนบางคนที่สามารถฆ่าได้ดันไม่ฆ่า แต่ กับคนที่ไม่มีความจาเป็ นจะต้องถามกระบี่อย่างเจ้าแห่งถ้าปี้เซียว กลับเป็ นฝ่ายวิ่งโร่ไปท้าทายถึงหาดลั่วเป่า
นั่นคือผู้ฝึกกระบี่ประหลาดคนหนึ่งที่แม้กระทั่งใบหน้าก็ยังเห็นได้ ไม่ชัด
เฉินชิงตูตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ชอบซ่อนหัวซ่อนหาง เป็ น น้าเต้าตันคนหนึ่ง ปีนั้นเจ้าหมอนี่อวดดี คล้ายกับว่าเห็นใครก็ไม่ชอบ
ขี้หน้าทั้งนั้น ทั้งหลงจวิน หยวนเซียงต่างก็เคยขอความรู ้ด้านเวท กระบี่จากเขาอย่างจริงใจ แต่เขากลับไม่เคยสนใจ ข้าถามกวนจ้าวว่า มองรากฐานมหามรรคาและเส้นสายเวทกระบี่ของเขาออกหรือไม่ กวนจ้าวก็แค่ยิ้มไม่พูดอะไรจาได้ว่ามีครั้งหนึ่งมาเจอกับข้า เจ้ารู ้ หรือไม่ว่าเจ้าหมอนี่ทาท่ายังไง?”
เฒ่าตาบอดถามอย่างประหลาดใจ “ท ายังไง?”
เฉินชิงตูยิ้มเอ่ย “ตอนที่เดินสวนไหล่ผ่านกันไป ไอ้หมอนี่ถึงกับ จงใจชะลอฝี เท้า เหลือบตามองข้าแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็ตบไหล่ ตัวเอง”
เฒ่าตาบอดยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม ‘มีความหมายลึกซึ้งหรือ?”
เฉินชิงตูหัวเราะอย่างฉุนๆ “แรกเริ่มข้าก็ครุ่นคิดอยู่เหมือนกัน ผลคือยังคงเป็ นกวนจ้าวที่เดาความหมายของอีกฝ่ ายออกได้ก่อน มี ความหมายลึกซึ้งกะผายลมอะไรเล่า คงอยากจะพูดกับข้าว่า เวท กระบี่ของเจ้าเฉินชิงตูถึงแค่ไหล่ของข้าเท่านั้น
ปีนั้นเฒ่าตาบอดหัวเราะอย่างที่หาได้ยาก
หมี่อวี้นั่งอยู่บนราวรั้วของเรือข้ามฟากถงอิน หลีกเลี่ยงไม่ให้ทาง ท่าเรืออวี๋หลินมีความเคลื่อนไหวอะไรขึ้นมาอีก พอเห็นเขาก็ทาราว กับเห็นผี เขาจึงจงใจเลือกสถานที่เงียบๆ
หมี่อวี้ปลดน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ “หาวเหลียง” ตรงเอวที่เวลาปกติใช ้ แทนกาเหล้าลงมาด้านในบรรจุเหล้าทะเลสาบคนใบ้ไว้หลายจิน
นอกจากสิงอวิ๋น หลิ่วสุ่ยผู้ฝึกกระบี่ที่มาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ยังมีเกาส่วง จู๋ซู่ จินเก้า กวอตู้ หวงหลิง เซวียนหยาง เหมยคาน…
ยอดเขามี่เซวี่ยของสานักกระบี่ชิงผิงมีผนังหินราบเรียบแห่งหนึ่ง ที่ลาดชันเหมือนถูกกระบี่ตัด วันหน้าผู้ฝึ กกระบี่สามารถแกะสลัก ตัวอักษรลงไป เนื้อหาเขียนได้ตามแต่ใจ เอาที่ทุกคนชื่นชอบ
คิดไปคิดมา หมื่อกี้ก็ยังไม่รู ้เลยว่าตัวเองจะเขียนอะไรดี
นักพเนจรเดินทางไกล ดุจดั่งจอกแหล่องลอยที่บ้างรวมตัวบ้าง แยกจาก หมื่อวี้ดื่มเหล้าทะเลสาบคนใบ้ไปเงียบๆ
พืชพรรณเขียวขจี คนเก่าในวันวาน ความคิดถึงทุกเช ้าค่า
……
แคว้นชิงซิ่ง ร ้านรวงในท่าเรือจิ่วฮวาตั้งเรียงราย ผู้คนเบียดเสียด กันคับคั่ง
คนสองกลุ่มที่แยกจากกันมารวมตัวกันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ เผยเฉียนทนการรบเร ้าจากหันเชี่ยวเซ่อไม่ไหวจึงเลือกอาวุธวิเศษที่ ทาขึ้นอย่างประณีติซุกซ่อนกลิ่นอายของเครื่องประทินโฉมมาสอง ชิ้น คิดว่าจะเอาไปมอบให้หน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อย
หันเชี่ยวเซ่อเห็นแล้ว ตอนที่ควักเงินจ่ายก็ถามเผยเฉียนว่าจะเอา ไปมอบให้ใคร พอได้ค าตอบ เซียนเหรินหญิงแห่งนครจักรพรรดิขาว ผู้นี้ก็หยิบสมบัติอาคมสองชิ้นออกมาจากชายแขนเสื้อ หนึ่งคือที่วาง
พู่กันกระเบื้องเคลือบสีสันสดใสลักษณะคล้ายหญ้าแขวนกระบี่ (หญ้า ลักษณะพิเศษชนิดหนึ่งที่ใบจะพุ่งขึ้นตรงแล้วโน้มเอียงลงมาเบื้องล่าง ใบที่เอียงโน้มลงมาเหมือนกระบี่ที่ชาวยุทธพกไว้ตรงเอว ชาวบ้านจึง เรียกว่าหญ้าแขวนกระบี่) อีกชิ้นหนึ่งคือที่ทับกระดาษหินหยกที่เป็ น รูปจิ้งจอกเก้าหาง บอกว่าของสองชิ้นก่อนถือว่าเจ้าเผยเฉียนเป็ นค นมอบให้ ส่วนของสองชิ้นนี้ถือเป็ นของขวัญพบหน้าที่ข้ามอบให้แม่ นางน้อยสองคนนั้น ตัวคนไม่ไปถึงภูเขาลั่วพั่ว แต่เอาของขวัญไป มอบให้ก่อน อืม นี่เรียกว่ากองทัพยังไม่เดินขบวนเสบียงอาหารน าไป ก่อน ถือว่าตาราพิชัยยุทธที่อ่านมาช่วงนี้ไม่ได้อ่านมาอย่างเสียเปล่า จริงๆ
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าขอพูดคุยกับสหายหลิงเยี่ยนสักสองสาม
ประโยค”
จื่ออู่เมิ่งเหลือบตามองกู้ช่าน กู้ช่านไม่สะทกสะท้าน
จื่ออู่เมิ่งนินทาในใจไปหนึ่งประโยคว่า กีบเท้าหมูหรือไร บุรุษนี่ พึ่งพาไม่ได้จริงๆ
แล้วนางก็ได้แต่ติดตามอิ่นกวานหนุ่มที่มีรูปโฉมเป็ นเด็กหนุ่ม สะพายกระบี่เดินเล่นไปด้วยกัน หลังจากที่พวกเขาเดินห่างไปได้ ระยะทางช่วงหนึ่งแล้ว กู้ช่านที่ยืนอยู่ที่เดิมถึงได้เอ่ยเตือนว่า “ห้าม แอบฟังพวกเขาคุยกัน”
หันเชี่ยวเซ่อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถึงอย่างไรก็เป็ นอาจารย์ เฉินที่ทาให้ศิษย์พี่ออกไปต้อนรับด้วยตัวเองได้ ข้ารู ้ว่าควรท า อย่างไร”
เฉินผิงอันเปิดปากกล่าว “ในเมื่ออยู่ข้างกายกู้ช่านก็มีความคิด ชั่วร ้ายให้น้อยๆ หน่อยเจอกับเรื่องอะไรอย่าได้ยุแยงกระพือไฟ พยายามทาเรื่องใหญ่ให้เป็ นเรื่องเล็ก ทาเรื่องเล็กให้กลายเป็ นไม่มี เรื่องเลย”
จื่ออู่เมิ่งยอบกายคารวะ “ใต้เท้าอิ่นกวานมีคาสั่ง หลิงเยี่ยนย่อม จดจาให้ขึ้นใจ มิกล้าลืมเลือน”
เฉินผิงอันไม่ต้องเดาก็รู ้ว่านางไม่มีทางจริงจัง จึงเอ่ยว่า “อย่าได้ รู ้สึกว่าข้าเรื่องมากอย่าลืมว่ากู้ช่านคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ เจิ้ง ในเวลาร ้อยปี ที่เป็ นขีดจากัดนี้ เจ้าที่เป็ นสาวใช ้ข้างกายของ กู้ช่านในนาม อยู่ร่วมกับเขาตลอดเวลา เรื่องเดียวที่ต้องทา อันที่จริง ก็เรียบง่ายมาก นั่นคือรักษาตัวรอดให้ดี พยายามรักษาชีวิตบนมหา มรรคาของตัวเองเอาไว้ให้ได้ ในอนาคตอย่าได้ถูกอาจารย์เจิ้งข้าม แม่น้ารื้อสะพาน ถูกทอดทิ้ง หากถูกอาจารย์เจิ้งคิดบัญชีขึ้นมา อย่า ว่าแต่เจ้าเป็ นขอบเขตหยกดิบอะไรเลย ต่อให้เป็ นขอบเขตบินทะยาน แล้วจะอย่างไร ก็ยังต้องแบกรับผลลัพธ ์ที่ตามมาอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
ใบหน้าของจื่ออู่เมิ่งฉายความตะลึงพรึงเพริด เจ้าพูดถึงเจิ้งจวีจง แบบนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?
เฉินผิงอันพูดอยู่กับตัวเองว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ได้เข้าร่วมสงคราม ใหญ่ที่รุกรานเข้ามาในไพศาล ถือเป็ นคนหน้าใหม่ของใต้หล้าเปลี่ยว ร ้าง แล้วก็ไม่มีบัญชีเก่าให้พลิกเปิ ด นี่คือเรื่องดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ กระทาลงไปในวันวานก็เหมือนว่าได้ตายไปในวันวานแล้ว ทุกสิ่งทุก อย่างที่ทาไปในวันนี้ก็เหมือนชีวิตของชาตินี้ “พรุ่งนี้” จะเป็ นเช่นไร สาคัญที่ทุกๆ วันนี้ในเวลาร ้อยปีนี้ อาจารย์เจิ้งคือหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ คิดบัญชีเก่งที่สุดในใต้หล้า เจ้าอยู่ข้างกายกู้ช่าน ช่วยให้เขาได้ก่อตั้ง ส านักอย่างสุดก าลังความสามารถ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้รับโชค หลังเคราะห์ร ้าย เวลาร ้อยปีมีคุณความชอบในการปกป้ องมรรคา เชื่อ ว่าอาจารย์เจิ้งย่อมปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี”
จื่ออู่เมิ่งคลี่ยิ้มหวาน “ความหมายของอิ่นกวาน ข้าเข้าใจ อันที่ จริงก็มีแค่สองเรื่องเรื่องแรกคืออย่าก่อเรื่อง ขีดเส้นความสัมพันธ ์ กับจื่ออู่เมิ่งแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร ้างอย่างชัดเจนข้อสอง ภายใต้เงื่อนไข ที่ไม่สร ้างเรื่องให้กับกู้ช่าน ค่อยๆ สะสมคุณความชอบไปทีละนิด วัน หน้าจะได้ขอรางวัลจากเจ้านครเจิ้งได้”
เฉินผิงอันกล่าว “มีข้าอยู่ รอให้ถึงเวลาร ้อยปีที่กาหนดไว้ กู้ช่าน ก็จะไม่มีทางหาข้ออ้างอะไรมาถอดโม่ฆ่าลา สังหารเจ้าทิ้ง พูดแบบนี้ เจ้าเข้าใจได้หรือไม่?”
จื่ออู่เมิ่งเอ่ยอย่างหนักแน่น “เข้าใจ!”
ทาไมจะไม่เข้าใจล่ะ เข้าใจมากๆ เลยล่ะ! หากเปลี่ยนคากล่าว ใหม่ก็จะเข้าใจได้ง่ายยิ่งกว่านี้อีก ในอนาคตเมื่อเฉินผิงอันยืนกราน ว่าจะสังหารจื่ออู่เมิ่ง กู้ช่านที่เป็ นเจ้านายของนางก็ไม่มีทางขัดขวาง
เฉินผิงอันกล่าว “อีกไม่นานข้าจะออกเดินทางไปเยือนทวีปแดน เทพแผ่นดินกลางต้องได้ไปเยือนนครจักรพรรดิขาวแน่ หากถึงเวลา นั้นมีโอกาสได้เจออาจารย์เจิ้งก็จะคุยถึงเรื่องของเจ้า”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็นวดคลึงหว่างคิ้ว ปวดหัวจริงๆ
ศัตรูในจินตนาการที่เป็ นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ ไม่กล้ามีเจิ้งจวีจง มากที่สุด นี่ไม่ได้ล้อเล่น
“ในใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขต ก่อกาเนิดคนหนึ่งที่แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวก าแพงเมืองได้”
“แต่อยู่ในใต้หล้าไพศาล เจ้ากลับต้องกริ่งเกรงคนประเภทนี้ให้ มาก นี่เรียกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม”
“หลักการเหตุผลในเรื่องนี้ วันหน้าสหายหลิงเยี่ยนก็จงขบคิด ใคร่ครวญให้มาก”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ “คุยเสร็จแล้วพวกเราก็ย้อนกลับไปทาง เดิมกันเถอะ ขออวยพรล่วงหน้าให้เจ้าเดินทางราบรื่น”
กลับไปรวมตัวกับพวกกู้ช่านอีกครั้ง เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เพิ่งจะได้ ข่าวมาว่าหลิวเสี้ยนหยางน่าจะจัดงานเลี้ยงสุราแล้ว ถึงเวลานั้นพวก เราสองคนไปเป็ นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เขากัน”
กู้ช่านพยักหน้ายิ้มรับ “ขอแค่หลิวเสี้ยนหยางไม่มีความเห็นต่าง ไม่รู ้สึกว่าข้าเป็ นเพื่อนเจ้าบ่าวจะลดเกียรติของเขา ข้าก็ยินดี”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ “พูดจาเหลวไหลให้น้อยๆ หน่อย”
กู้ช่านรู ้สึกน้อยใจอยู่บ้าง พวกเขาสองคนล้วนสนิทกับเฉินผิงอัน ที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือหากเป็ นตอนที่อยู่บ้านเกิด ทุกครั้งหากไม่มีเฉิน ผิงอันเป็ นคนกลางคอยไกล่เกลี่ย หากจะบอกว่ากู้ช่านเจ้าคิดเจ้าแค้น ถ้าอย่างนั้นเขาหลิวเสี้ยนหยางใจกว้างนักหรือ? เขาเองก็ใจแคบ เหมือนกันนั่นแหละ กู้ช่านกับหลิวเสี้ยนหยางตีกันมาสิบกว่าครั้งแล้ว กระมัง
กู้ช่านถามเหมือนชวนคุย “จัดงานเลี้ยงสุราที่เมืองเล็ก หรือว่า?”
เฉินผิงอันตอบ “หลิวเสี้ยนหยางบอกว่าจะจัดทั้งที่เมืองเล็กบ้าน เกิดแล้วก็สานักกระบี่หลงเฉวียนอย่างละรอบ”
กู้ช่านพยักหน้า แล้วก็ไม่ถามอะไรให้มากความอีก
อยากให้ข้าเป็ นคนถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เจ้าหลิวเสี้ยนหยางกิน ผายลมไปเถอะ เจ้าก็ต้องเป็ นคนส่งเทียบเชิญแล้วพูดชวนเองไม่ใช่ หรือ?
หากหาตัวข้ากู้ช่านไม่เจอก็ไม่รู ้จักส่งจดหมายไปที่นคร จักรพรรดิขาวเลยหรือไร? กระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งจะใช ้เงินเจ้าสานัก ใหญ่หลิวสักกี่แดงกัน
หันเชี่ยวเซ่อเอ่ยเตือน “เรื่องการรวบรวมตาราพิชัยสงคราม อาจารย์เฉินอย่าลืมนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รับรองว่าภายในสองสามปีนี้ ทุกๆ ครึ่งปีจะ ส่งไปให้นครจักรพรรดิขาวหนึ่งครั้ง ครั้งแรกสุดก็กาหนดไว้ที่ช่วงฝน ธัญพืชของปีนี้ก็แล้วกัน หันเซียนซือรอรับหนังสือได้เลย”
หันเชี่ยวเซ่อพยักหน้า “ข้าสามารถจ่ายเงินฝนธัญพืชห้าร ้อย เหรียญเป็ นค่ามัดจ าให้ก่อนล่วงหน้าได้ จะมอบให้อาจารย์เฉินตอนนี้
เลย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้อง มิตรภาพส่วนมิตรภาพ การค้าขาย ส่วนการค้าขาย หันเซียนซือรับหนังสือไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึง เวลานั้นเงินมาของไปก็จะค่อนข้างสบายใจกันหน่อย”
นี่ไม่ใช่เพราะกังวลว่าครั้งแรกที่ส่งตาราพิชัยยุทธไปให้นคร จักรพรรดิขาวจะมีหนังสือเยอะเกินไปจนเงินห้าร ้อยเหรียญไม่พอ หรอกหรือ
นอกจากพื้นที่มงคลรากบัวของบ้านตนก็ยังมีจวนเซียนอักษรจง ในพื้นที่มงคลส่วนตัวทั้งหลายที่ความสัมพันธ ์ไม่เลวอีก อย่างพื้นที่ มงคลถ้าเมฆาของเจียงซ่างเจิน พื้นที่มงคลชิงถานของหันโจ้วจิ่น
รวมไปถึงป๋ ายเสวียนสายยันต์ เป็ นต้น เฉินผิงอันจะต้องส่งจดหมาย ฉบับหนึ่งไปขอหนังสือพิชัยสงครามมาจากพวกเขา เพราะต่อให้มีแค่ ฉบับสาเนาก็ได้หมด แน่นอนว่าได้แต่รวบรวมตาราพิชัยยุทธมาไว้ที่ ภูเขาลั่วพั่วก่อน ในเรื่องของคุณภาพนั้น เฉินผิงอันจะต้องตรวจสอบ ด้วยตัวเองอีกที การค้าที่เป็ นดั่งน้าเส้นเล็กไหลยาวเช่นนี้จะให้เสียชื่อ ป้ ายอักษรทองร ้านผ้าห่อบุญที่ไม่รังคนอ่อนแอของเฉินผิงอันไม่ได้ เด็ดขาด
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจะไปที่เมืองหลวงกับเผยเฉียนรอบหนึ่ง พวกเจ้าขึ้นเรือกันเถอะ”
กู้ช่านยิ้มกล่าว “ทุกวันนี้เวินจื่อซี่พักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ใน อารามของเฉิงเฉียนทุกวันนี้ปรมาจารย์วิถีวรยุทธท่านนี้ค่อนข้างน่า สงสาร คิดอยากจะรวบรวมสมาธิก็ยังยากก่อนจะออกเดินทางข้า แนะนาเขาว่าไม่สู้ลองละทิ้งสายของการหลอมลมปราณ หันไปมุ่งมั่น เดินขึ้นสู่ยอดสูงบนวิถีวรยุทธแทน ในเมื่อหยิ่งทระนงถึงเพียงนั้น แล้ว คุณสมบัติก็ดีถึงเพียงนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสกอบกู้ศักดิ์ศรี กลับคืนมาจากเผยเฉียน”
เผยเฉียนยิ้มอย่างชอบใจ พูดจาแสลงหูถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าตนถึง ได้ถูกชะตากับกู้ช่าน
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ก่อนหน้านี้ตอนที่ประลองฝี มือกัน หน้าประตูใหญ่ของภูเขาเหอฮวาน หมัดของเผยเฉียนก็ไม่ได้หนัก นะ”
เผยเฉียนพยักหน้า “ไม่หนัก”
กู้ช่านใช ้เสียงในใจเอ่ย “ศึกที่เปลี่ยวร ้าง ในบรรดาคู่ต่อสู้ ผู้ฝึก กระบี่หลิวป๋ ายแสดงออกได้ไม่โดดเด่นนัก แต่ลางสังหรณ์บอกกับข้า ว่านางอันตรายมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ ายแยกจากกัน เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยกับเผย เฉียนว่า “แวะไปเมืองหลวงแล้วเจ้าก็กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วก่อน ลูก ศิษย์สายเหวินเซิ่งอย่างพวกเราควรมารวมตัวกันหน่อย