กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1050.5 เวทกระบี่ของเฉินชิงตูธรรมดาสามัญ
และสุยโย่วเปียนที่ตอนที่หลูเซิงมีชีวิตอยู่ได้ถ่ายทอดวิชาความรู ้ ให้จนหมดหน้าตักก็ได้สร ้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่เรียกได้ว่าไม่เคยมีใคร ท าได้มาก่อนในประวัติศาสตร ์และจะไม่มีใครท าได้อีกในอนาคต นาง เดินไปบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ ขณะเดียวกันก็ถึงกับดึงดูด เอาโชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งของใต้หล้ามาไว้บนร่างตัวเองคนเดียว จูเห ลี่ยนและติงอิงในโลกยุคหลังที่แม้ขอบเขตวิถีวรยุทธจะสูงกว่าสุยโย่ วเปียน แต่กลับมิอาจทาเรื่องนี้ได้สาเร็จ
สุดท้ายสุยโย่วเปียนก็ใช ้เรือนกายของผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์พกกระบี่ บินทะยานเหมือนเซียนกระบี่หญิงคนหนึ่ง ราวกับว่านางได้ปล่อย กระบี่ใส่ฟ้ าดินไปสามครั้ง สุดท้ายก็ล้มเหลวเลือดเนื้อสลายหายไปสิ้น โครงกระดูกกลายเป็ นผุยผง จิตวิญญาณแตกฉานซ่านเซ็นไปนับแต่ นั้น
ใช ้คาเปรียบเปรยของลู่เฉินก็เหมือนกับเป็ นการ “สละร่างครั้ง แรก” ของพื้นที่มงคลดอกบัว
การบินทะยานของสุยโย่วเปี ยนล้มเหลวก็คล้ายกับเป็ นการ พิสูจน์เรื่องหนึ่งว่า วิถีแห่งฟ้ ามิอาจละเมิด คนยากจะเอาชนะสวรรค์ ได้
หลังจากนั้นมาผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าก็คล้ายจะไม่เหลือความกล้า มากพอที่จะงัดข้อกับสวรรค์อีก ได้แต่วนเวียนไปมาอยู่ในยุทธภพ ของโลกมนุษย์
หลูเซิงยิ้มถาม “ตาราทั้งหลายที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าในปีนั้น ไฉนถึง เก็บถนอมไว้เป็ นอย่างดีไม่เอาออกมาให้ใครเห็น? กลัวว่าจะมีคนแย่ง ชิงอันดับหนึ่งในใต้หล้ากับเจ้าหรือ?”
ก่อนหน้านี้เจ้าลัทธิลู่มองอาจารย์ซีโจวท่านนี้สูง เพราะถึง อย่างไรหลูเซิงก็เคยใช ้ลมปราณแท้จริงเฮือกหนึ่งของผู้ฝึ กยุทธมา พยายาม “เติมมหาสมุทรให้เต็ม” สุดท้ายสร ้าง “ตับและถุงน้าดีที่ส่อง สว่างให้แก่กัน (เปรียบเปรยถึงการเปิดเผยจริงใจต่อกัน) คล าจนเจอ เส้นทางฝึกตนที่ใช ้การหลอมลมปราณมาเป็ นอมตะ ที่แท้ระหว่างการ ฝึกวรยุทธฝึกกระบี่ของหลูเซิง เขาก็ได้ทาการ “วิดน้าให้แห้งเพื่อจับ ปลา” ต่อต าราประวัติศาสตร ์ เกร็ดพงศาวดารทั้งหมดในพื้นที่มงคล จากนั้นก็ทยอยรวบรวมคาถาท่องปากเปล่า คาถาทางใจทั้งหลายที่ กระจัดกระจายกันประกบประกอบเข้าด้วยกัน สุดท้ายก็ร่ายเส้นทาง ในการเดินขึ้นเขาออกมาได้หลายเส้น แล้วเขียนออกมาเป็ นบันทึก ส่วนตัวของตัวเอง ล้วนมอบให้กับลูกศิษย์อย่างสุยโย่วเปียนทั้งหมด หวังว่านางจะสามารถพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น ส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรือง อีกทั้งยังแตกกิ่งก้านสาขาสืบทอดต่อไป บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ นอกเหนือจากเส้นทางแห่งการเรียนวรยุทธ ผลคือสุยโย่วเปียนยึดมั่น อยู่แต่กับเวทกระบี่ ไม่สนใจ ‘วิชาเซียน” ประเภทนี้ ได้แค่เหมือนเพียง
ภาพลักษณ์ไม่เหมือนทางจิตวิญญาณ นางมิอาจเดินไปบนเส้นทาง ของการหลอมลมปราณได้อย่างแท้จริง สุยโย่วเปียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เงียบงันไม่เอ่ยค าใด นางมีใจเห็นแก่ตัวจริงๆ แต่กลับไม่ได้กังวลว่าจะมีใครมาแย่งชิง อันดับที่หนึ่งกับตน ก็แค่ไม่ยินดีจะเปิ ดต าราอ่านให้คนนอกเห็นก็ เท่านั้น
ตอนนั้นสุยโย่วเปียนไม่ได้ทาลายตารา หลังจากที่นาง “พกกระบี่ บินทะยาน” ล้มเหลวตาราพวกนั้นก็ปะปนอยู่ในตาราที่สกุลสุยเก็บ รักษาไว้ ภายหลังก็หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปตลอดทาง สุดท้ายมี เพียงตาราลับเขียนด้วยมือจานวนไม่ถึงครึ่งที่ตกไปอยู่ในมือของอวี๋เจิ นอี้แห่งพรรคหูซาน
สุยโย่วเปียนนั้นตรงกันข้ามพอดี อวี๋เจินอี้ที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่ ก าเนิดถือว่าได้จิตวิญญาณไป แต่น่าเสียดายที่รูปลักษณ์ไม่สมบูรณ์ ทว่าอาศัยความสามารถของตัวเอง อวี๋เจินอี้ก็ยังคงกลายเป็ นผู้ฝึ ก ลมปราณคนแรกตามความหมายที่แท้จริงของพื้นที่มงคลดอกบัวได้ อยู่ดี
เปลี่ยนจากคนแก่กลายมาเป็ นเด็ก ขี่กระบี่บินทะยานด้วยท่วงท่า ของเซียนเหริน
ดังนั้นหากว่ากันในบางระดับแล้วก็สามารถพูดได้ว่าพื้นที่มงคล ดอกบัวมีระบบการสืบทอดที่มองไม่เห็นอยู่สายหนึ่งที่มีจุดเริ่มต้นมา
จากหลวี่เหยียนฉุนหยางเจินเหรินที่ถ่ายทอดให้กับหลูเซิง จากนั้นก็ ส่งต่อให้กับสุยโย่วเปียน สุดท้ายจึงไปผลิดอกออกผลอยู่ที่อวี๋เจินอี้
แม้ว่าควันธูปจะล่องลอย เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ แต่เส้นสายนั้นก็ไม่ เคยหล่นร่วงลง
รอกระทั่งสุยโย่วเปียนมาถึงใต้หล้าไพศาล แล้วกลายเป็ นผู้ฝึ ก ลมปราณ ถึงได้รู ้ถึงน้าหนักของตาราที่อาจารย์ตนทิ้งไว้ให้อย่าง แท้จริง
หลูเซิงยิ้มเอ่ย “ไม่ว่าอะไรก็ต้องการทั้งหมด ผลคือโลภมากจึง เคี้ยวไม่ละเอียด สมกับเป็ นบัณฑิตที่ไร ้ประโยชน์จริงๆ”
สุยโย่วเปียนถามอย่างระมัดระวัง “ขอบเขตของอาจารย์?”
หลูเซิงกล่าว “สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็ นเพราะจิตแห่ง มรรคาของตัวเองยังไม่แข็งแกร่งมากพอ เป็ นเหตุให้หยุดค้างอยู่ที่ ขอบเขตหยกดิบมานานมากแล้ว รอกระทั่งเจียงซ่างเจินเปิดปากพูด เตือน ข้าถึงได้รู ้ความจริงบางอย่าง คนในสถานการณ์มักสับสน แต่ คนนอกสถานการณ์กลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่ามันสาย ไปแล้ว”
ตลอดหลายปีที่หลูเซิงออกมาจากพื้นที่มงคลนี้ จนถึงทุกวันนี้ กลับยังไม่ได้เลื่อนเป็ นเซียนเหริน ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติในการฝึก ตนไม่มากพอ แต่เป็ นเพราะเจ้าแห่งถ้าปี้เซียวจงใจ “สร ้างความ ล าบากใจ” ให้กับหลูเซิงผู้นี้
หลูเซิงที่ “ตายไปครั้งหนึ่ง” หลังจากการถามมรรคาที่ไม่มีบุคคล ที่สามรู ้เรื่องวงในล้มเหลว เขาสะลึมสะลืออยู่ท่ามกลางความมืดมิด รอกระทั่งลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นนักพรตเฒ่าเรือนกายสูงใหญ่คน หนึ่ง ทั้งสองนั่งกันอยู่ในธารดวงดาวสีเงินหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ก้มลงมอง โลกมนุษย์ไปด้วยกัน
นักพรตเฒ่าที่บอกว่าตัวเองคือเจ้าแห่งถ้าปี้เซียวบอกว่าอันที่จริง คุณสมบัติในการฝึกตนของเขาไม่เลว ไม่ถือว่าเป็ น “ก าเนิดฟ้ า’ ได้ แต่ถือว่าเป็ น ‘ก าเนิดดิน” เหมาะแก่การฝึกตนแต่ติดขัดที่เนื้อหนังมัง สาและระดับขั้นของพื้นที่มงคลจึงช่วยเปลี่ยนเรือนกายใหม่ให้แก่เขา เปลี่ยนสถานที่ที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเพื่อฝึกตนต่อ มีข้อตกลง กันข้อหนึ่ง คราวหน้าเมื่อทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกันอีกครั้ง หากหลูเซิง สามารถอาศัยเวทกระบี่ของตัวเองมาทาลายกรงขังได้ก็จะมี คุณสมบัติที่จะเรียกขานเขาว่าสหาย โอสถทองเม็ดนั้นถือเป็ น ของขวัญก่อนจากลา ถือเป็ นของในกระเป๋ าของเจ้าหลูเซิงแล้ว ไม่ จาเป็ นต้องทาสิ่งที่เกินความจาเป็ นด้วยการนาไปมอบส่งต่อให้คนอื่น
น่าเสียดายก็แต่ถึงแม้หลูเซิงที่อยู่ในพื้นที่มงคลถ้าเมฆาจะเดินที ละก้าวจนมาถึงขอบเขตหยกดิบ ทั้งยังเป็ นผู้ฝึ กกระบี่ แต่กลับไม่ สามารถท าลายตราผนึกก่อนก าเนิดของชุดคลุมเต๋าขนนกกระสาตัว นั้นได้
ชุดคลุมอาคมก็คือถ้าสวรรค์ คล้ายกับบทกวีบทหนึ่งของป๋ าย เหย่ที่บอกว่ามหามรรคาดุจดั่งฟ้ าคราม มีเพียงข้าที่ออกไปไม่ได้
นี่ก็คือการทดสอบอย่างหนึ่งที่เจ้าอารามผู้เฒ่าตั้งใจทา
หากหลูเซิงสามารถท าลายขีดจ ากัดของชุดคลุมอาคมได้ ท าลายก่อนแล้วค่อยหยัดยืนขึ้นมาใหม่ ฟ้ าก็จะสูงแผ่นดินก็จะกว้าง ใหญ่สาหรับเขา นั่นจึงจะถือว่าได้ออกมาจาก “บ่อโบราณของอาราม เต๋า” แห่งนั้นอย่างแท้จริง หลูเซิงไม่ต้องเป็ นกบใต้บ่ออีกต่อไป ถึงจะมี คุณสมบัติพอที่จะให้เจ้าแห่งถ้าปี้เซียวยอมรับเขาเป็ นสหายด้านการ ฝึกตนคนหนึ่ง
น่าเสียดายที่หลูเซิงกักตัวเองอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่ง สวมชุดคลุม อาคม เฝ้ าดูแลโอสถทองบรรพกาลเม็ดหนึ่งมานานแสนนาน บนไหล่ มีคางคกสีทองสามขาตัวหนึ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยโชคลาภนอนหมอบ อยู่
อันที่จริงปีนั้นก็เป็ นหลูเซิงที่แนะนาให้เจียงซ่างเจินพาสหายรัก บนภูเขาอย่างลู่ฝ่างไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวรี
ผลคือพื้นที่มงคลกลับมีตาหนักคลื่นวสันต์และลู่ฝางแห่งยอดเขา เหนี่ยวค่านเพิ่มมาแต่ลู่ฝ่ างกลับยังไม่อาจฝ่ าด่านรักได้ ไม่เคยหมด อาลัยตายอยาก ตายก่อนแล้วค่อยฟื้นขึ้นมาใหม่ได้อย่างแท้จริง
ตอนที่อยู่พื้นที่มงคลถ้าเมฆา เจียงซ่างเจินเคยได้สนทนากับหนี หยวนจานครั้งหนึ่ง
“ข้าอยากขอยืมกระบี่จากท่านมาสร ้างแสงสว่างให้กับฟ้ าดินอัน มืดมิด” “ไม่มีกระบี่ที่ว่านี้ อย่าได้หลอกคนอื่น” “เจ้าคนนี้ก็คือกระบี่
ตอนนั้นหลูเซิงไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง คิดแค่ว่าเจียงซ่าง เจินบ่นที่ตัวเองขัดขวางการฝึกตนของสหายรักลู่ฝ่ างก็เลยจงใจด่า กัน เพียงแต่หลูเซิงฉลาดถึงเพียงใด เพียงไม่นานก็ขบคิดความหมาย แฝงออก
ค ากล่าวของเจียงซ่างเจินมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ จะบอกว่า เรือนกายนี้ของเขาหนีหยวนจานก็เป็ นกระบี่ที่เจ้าอารามผู้เฒ่าหลอม ขึ้นมาด้วยมือตัวเอง หลอมได้ครึ่งหนึ่งก็ละทิ้งไปก่อนกลางทาง
เป็ นเหตุให้อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือต้องให้หนีหยวนจานมาหลอมต่อ ด้วยตัวเอง “ใช ้เรือนกายหลอมกระบี่” ต่ออีกครั้ง แล้วสักวันหนึ่งเมื่อ หลอมส าเร็จแล้ว หลูเซิงก็ย่อมสามารถท าลายกรงขังของชุดคลุม อาคมได้เอง
ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ของใต้หล้ามืดสลัว นักพรตหญิงอู๋โจวก็ได้ เดินไปบนเส้นทางแห่งการผสานมรรคาที่ “หมื่นสรรพสิ่งล้วนสามารถ หลอมได้
หลูเซิงบัณฑิตแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวเท่ากับว่าได้บุกเบิกเส้นทาง ใหญ่สองเส้นอย่างการหลอมลมปราณและหลอมวัตถุเพียงผู้เดียว
แต่โชคชะตาเล่นตลก ทั้งสองเส้นทางล้วนทิ้งไปกลางคันทั้งสิ้น
หลูเซิงมองกระบี่ยาวที่สุยโย่วเปียนสะพายอยู่แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สองค าว่าฉางเซิงอมตะ เมื่อสลับตาแหน่งกัน ก็เป็ นคาว่าเซิงจ่าง
เติบโต” (ฉางเซิงกับจ่างเซิง ตัวอักษรจีนเขียนว่า 长生 เหมือนกัน แต่อ่านออกเสียงต่างกันเล็กน้อย)
เฉินผิงอันได้ชุดคลุมอาคมจินหลีไปจากร่องเจียวหลง รวมไปถึง กระบี่ชื่อซินที่ให้สุยโย่วเปียนยืมเล่มนี้ ความมหัศจรรย์ที่สุดของมัน นั้นอยู่ที่สามารถยกระดับของกระบี่ได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนความมหัศจรรย์ที่ใหญ่ที่สุดของโอสถทองเม็ดนั้นก็อยู่ที่ว่า สามารถท าให้ผู้ฝึ กลมปราณคนหนึ่งสร ้างโอสถทองที่ระดับขั้นสูง มากเม็ดหนึ่งขึ้นมาได้จากความว่างเปล่า
ได้โอสถทองเม็ดนี้ไปก็จะไม่มีที่ติ เหมือนผู้ฝึกตนได้บุกเบิกถ้า สวรรค์ที่แท้จริงแห่งหนึ่งมาเพิ่มเติม มีช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตเพิ่มมา อีกมากมาย อีกทั้งยังสามารถสืบทอดระบบที่สมบูรณ์แบบของผู้ฝึก ตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบคนหนึ่งได้
ผู้ฝึ กลมปราณที่ต่ากว่าขอบเขตสิบสี่ลงไป เจอกับโอสถทอง เช่นนี้ ใครบ้างที่ไม่น้าลายสออยากได้?
หลูเซิงพูดด้วยความรู ้สึกเสียใจเล็กน้อย “ไม่เป็ นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอีกต่อไปแล้ว”
จุดท้ายหลูเซิงยิ้มเอ่ยว่า “ดวงอาทิตย์ตกแม่น้าทะเลสาบขาว คือ เฉาสือ น้าขึ้นถาโถมฟ้ าดินเป็ นสีคราม คือเฉินผิงอัน”
……
โรงเรียนในอ าเภอสุ้ยอันจังหวัดเหยียนโจว
เพราะทุกวันนี้มีลูกศิษย์อย่างหนิงจี๋ที่ได้มาเหนือความคาดหมาย เพิ่มมาคนหนึ่ง บวกกับที่จะปล่อยให้ลูกศิษย์จ้าวซู่เซี่ยปูที่นอนนอน อยู่บนพื้นห้องครัวตลอดก็ไม่สมควร เฉินผิงอันจึงเช่าบ้านเก่าที่มี หลังคาเปิดอ้ามาจากคนในหมู่บ้านแซ่เฉินซึ่งมีศาลบรรพชนชื่อว่า ศาลสวินอวี้ (ตามหาหยก) มาหลังหนึ่ง มีสามห้อง อยู่กันคนละห้อง ได้พอดี ชั้นสองเอาไว้วางของจุกจิก ใต้ชายคายังมีรังนกนางแอ่น ที่มาสร ้างรังไว้เมื่อปีก่อนอยู่หลายรัง หนิงจี๋คิดไว้แล้วว่าอยากซื้อลูก หมูมาสักสองตัว พอถึงวันปีใหม่ก็เชือดหมูจะได้มีกลิ่นอายของวันปี ใหม่มากกว่าเดิม ส่วนที่พักที่อยู่ติดกับโรงเรียน หากคืนไหนเฉินผิง อันเตรียมบทเรียนหรืออ่านหนังสือดึกก็จะพักอยู่ที่นั่นเลย
ซ่งเหอมาพักอยู่ที่นี่ติดต่อกันหลายวันแล้ว ในที่สุดก็เตรียมจะ ออกเดินทาง ต้องกลับเมืองหลวงต้าหลีแล้ว
นอกจากฮองเฮาอวี๋เหมี่ยน เด็กสาวอวี๋อวี๋แล้ว ข้างกายพวกเขา ไม่มีผู้ติดตามเลยแม้แต่คนเดียว สาหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันรู ้สึก ประหลาดใจอย่างมาก ซ่งเหอยิ้มเอ่ยว่ามีอาจารย์เฉินอยู่ในหมู่บ้านยัง ต้องกังวลเรื่องนักฆ่าอีกหรือ ฮ่องเต้พระองค์นี้ใช ้ชีวิตอย่างสุขสบาย อยู่ในหมู่บ้านทุกวันจริงๆ ก็เหมือนอย่างเรื่องที่ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าแซ่ เค่อของหมู่บ้านตายไป คืนนั้นพวกผู้เยาว์ของตระกูลนั้นโวยวายว่าจะ เปิดศาลบรรพชนเอาโลงศพไปวาง ซ่งเหอก็รอดูอยู่ตลอดว่าจะมีการ ต่อยตีกันไหม ผลคือยังไม่ทันบุกเข้าไปถึงประตูใหญ่ของศาลบรรพ
จารย์ก็ดูเหมือนว่าจะถูกผู้เฒ่าที่คนในหมู่บ้านเคารพนับถือโน้มน้าว ให้กลับไป หมาพันธ ์พื้นบ้านหลายตัวที่ก่อนหน้านี้พอเห็นฮ่องเต้ก็ เห่าไม่หยุด ทุกวันนี้มาส่ายหางอยู่ข้างกายซ่งเหอแล้วสนิทสนมกัน อย่างมากแล้ว
ยามฟ้ าสาง เฉินผิงอันเดินไปส่งถึงหน้าประตูหมู่บ้านอู่ซี รถม้า สองคันจอดอยู่ใต้ต้นการบูรเก่าแก่ต้นหนึ่ง ผู้ว่าเผยถงและแม่ทัพอวิ้น โจวฉุ่เหลียงต่างก็มารออยู่ข้างทางนานแล้ว
เฉินผิงอันถาม “ฝ่าบาทคิดดีแล้วจริงๆ หรือ หากข้ารับหน้าที่เป็ น ราชครูของต้าหลีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึ กตน ส านักโม่อาจจะยกเลิกการร่วมมือกับราชวงศ์ต้าหลีไปกลางคัน”
การลุกผงาดของราชส านักต้าหลี ส านักโม่ออกแรงเยอะมาก พูดถึงแค่จอมยุทธพเนจรสวี่รั่วแห่งสานักโม่ก็ยังเป็ นผู้ถวายงาน อันดับรองของสกุลซึ่งต้าหลี
แต่จวี้จื่อของสานักโม่นั้นไม่ถือว่ามีความรู ้สึกที่ดีต่ออื่นกวาน หนุ่มสักเท่าไรเลยจริงๆ
บอกได้ว่าเป็ นความสัมพันธ ์ที่ทั้งสองฝ่ ายไม่เคยพบหน้ากัน แล้ว ก็ไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันด้วย เป็ นเหตุให้ซิ่วไฉเฒ่า ได้ต าแหน่งเทพในศาลบุ๋นกลับคืนมาแล้ว จวี้จื่อแห่งสานักโม่ที่หนึ่ง คนก็คือหนึ่งนครของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างผู้นี้กลับบ้านเกิดมาเข้าร่วม การประชุมศาลบุ๋น แต่ก็ยังไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีที่สวนกงเต๋อ
แต่ในความเป็ นจริงแล้วจวี้จื่อแห่งสานักโม่กลับมีมิตรภาพส่วนตัวกับ เหวินเซิ่งอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็ นเพราะซิ่วไฉเฒ่าหาลูกศิษย์ปิดส านัก คนนี้มา บวกกับที่ตอนนั้นเฉินผิงอันอยู่ในสวนกงเต๋อด้วย จวี้จื่อแห่ง สานักโม่ผู้นี้จึงไม่ไปพบซิ่วไฉเฒ่าเสียเลย
หากเฉินผิงอันกลายเป็ นราชครูคนใหม่ของต้าหลีก็หมายความ ว่าอาจารย์กลไกของสานักโม่ที่ทักษะโดดเด่นเหนือใครก็มีความ เป็ นไปได้มากว่าจะถอนตัวออกไปจากราชส านักต้าหลีทันที
ซ่งเหอพยักหน้า “เรื่องพวกนี้ล้วนเคยผ่านการพิจารณามา หมดแล้ว”
อวี๋อวี๋หน้ามุ่ย
สัมผัสได้ถึงสายตาของอาจารย์เฉินที่มองมา อวี๋อวี๋ก็คลี่ยิ้มกว้าง สดใสทันที
เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งศิษย์พี่ชุยของข้า เขาได้พูดถึงลูกศิษย์ ของตัวเองกับฝ่ าบาทบ้างหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นรู ้สึกว่าใครคือลูก ศิษย์ผู้สืบทอดที่เขาให้การยอมรับ สามารถถือว่าเป็ นลูกศิษย์เข้าห้อง ได้”
ซ่งเหอส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ดูเหมือนว่านอกจากผู้ว่าฉู่โจวอู๋ยวนที่ พอจะถือว่าเป็ นลูกศิษย์เข้าห้องของราชครูได้แล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือ แม้กระทั่งตัวข้าเองด้วยก็ไม่มีสถานะที่เป็ นทางการอะไร หากคิดกัน
ตามระบบสายบุ๋นแล้วได้แต่ถือว่าเป็ นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ฝ่ายนอกซึ่งยังไม่เคยได้เดินเข้าห้องกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ซ่งเหอถามอย่างประหลาดใจ “อาจารย์เฉินเตรียมจะจัดระเบียบ เส้นสายการสืบทอดของสายเหวินเซิ่งหรือ?”
พูดมาถึงตรงนี้ ซ่งเหอก็หัวเราะกับตัวเอง “หากว่าเป็ นเช่นนี้จริง ข้าก็ต้องเปลี่ยนคาพูดใหม่แล้ว ข้าก็ถือว่าเป็ นลูกศิษย์ที่ราชครูชุย ยอมรับกับปากตัวเองได้แล้ว!”
“ไม่มีความจาเป็ นนี้หรอก”
เฉินผิงอันยิ้มพลางกุมหมัด “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่งไกลกว่านี้ ลากันตรงนี้เถอะ”
ซ่งเหอประคองอวี๋เหมี่ยนขึ้นรถม้า จากนั้นจึงกุมมือคารวะอาลา เฉินผิงอัน
อวี๋อวี๋ใช ้ความเร็วที่ฟ้ าผ่าไม่ทันป้ องหูยอบกายคารวะแล้วรีบขึ้น ไปหลบบนรถม้าอย่างว่องไว
เฉินผิงอันที่เดิมทีคิดอยากจะพูดอะไรกับอวี๋อวี๋สักเล็กน้อยก็ได้ แต่หันตัวไปกุมมืออ าลาเผยทงและฉู่เหลียง ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดิ นาทั้งสองท่านกุมหมัดคารวะกลับคืนพร ้อมร ้อยยิ้ม แล้วไปนั่งรถม้า อีกคัน พากันจากไป
เฉินผิงอันพาลูกศิษย์สองคนอย่างจ้าวซู่เซี่ยและหนิงจี๋เดิน กลับไปที่โรงเรียนพร ้อมกันช ้าๆ ภูเขาเขียวน้าใส พวกเขาคนหนึ่ง เดินฝั่งซ ้าย คนหนึ่งเดินฝั่งขวา เฉินผิงอันเดินอยู่ตรงกลาง