กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1051.1 ไร ้ศัตรูเทียมทานบนโต๊ะสุรา
ภูเขาเขียวกับยอดฝีมือ พบเจอเหมือนนัดหมายกันมา ยอดเขา พันยอดนอกหอเรือนปลายพู่กันที่ละออกมาแต่ยังไม่กลับสู่รูปเดิม เมฆขาวในคันอ่อง ดวงจันทร ์ตกลงตรงหน้าขั้นบันได ดวงตะวันใหญ่ โผล่พ้นมหาสมุทรบูรพา เวลาผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน
แม่นางน้อยสวมชุดดาสะพายกระเป๋ าผ้าฝ้ ายเอียงๆ คนหนึ่ง ใน มือถือไม้เท้าไผ่เขียวบนบ่าแบกคานหาบสีทอง หน้าที่ที่ต้องออก ลาดตระเวนภูเขายามฟ้ าสางเป็ นอันเสร็จสิ้นแล้ว นางจะออกจากบ้าน ไปท่องยุทธภพแล้ว!
เมื่อไม่กี่วันก่อนนางนัดหมายวันเวลาและสถานที่กับผู้พิทักษ์ ฝ่ ายตรอกฉีหลงไว้เรียบร ้อยแล้วว่าจะไปเจอกันที่ภูเขาฮุยเหมิง วันนี้ จะไปที่ภูเขาหวงหูด้วยกัน
วิ่งตะบึงไปบนเส้นทางเล็กของภูเขาด้านหลังยอดเขาจี้เซ่อ สอง ขาเล็กสั้นสับไวราวกับล้อรถ
สายลมพัดผ่านป่าเขา อากาศเย็นสบายสดชื่น ใบไผ่ไหวซู่ คลื่น สนดังเป็ นระลอก ดุจดั่งกาลังฟังเสียงจากสวรรค์
เมื่อวันเวลาที่เจ้าขุนเขาคนดีกลับมาบ้านนานเข้าเรื่อยๆ ความใจ กล้าของผู้พิทักษ์ขวาก็ใหญ่ขึ้นทุกวัน
ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่เช ้าค่าลาดตระเวนระหว่างยอดเขาจี้เซ่อและ ยอดเขาจี๋หลิงสองรอบ บางครั้งหมี่ลี่น้อยก็ยังไปเยือนภูเขาฮุยเหมิง หรือแม้กระทั่งภูเขาหวงหูที่อยู่ไกลกว่าด้วย
หลักๆ แล้วเป็ นเพราะฟังจิ่งชิงเล่าว่าที่ภูเขาหวงหูมักจะมี นายอ าเภอขุนนางเล็กเท่าเมล็ดงาคนหนึ่งไปตกปลาที่นั่นเป็ นประจา ชื่อว่าฟู่ หู ดูเหมือนว่าจะเป็ นขุนนางดุจบิดามารดาของอ าเภอผิงหนัน ไม่รู ้ว่าไปรู ้จักกับนายท่านบ้านตนได้อย่างไร
หมี่ลี่น้อยไม่ได้เสียดายปลาที่ฟู่ หูตกไปได้ หลักๆ แล้วเป็ นเพราะ รู ้สึกว่านายอ าเภอฟู่ คือมนุษย์ธรรมดาที่ไม่เคยหลอมลมปราณ แต่ใน ทะเลสาบกลับมีเผ่าน้าที่แรงเยอะอยู่ไม่น้อยลาพังแค่ปลาดาที่หนัก สองร ้อยกว่าจินก็มีอยู่หลายตัวแล้ว อย่าให้นายอ าเภอฟู่ ตกปลาไม่ ส าเร็จกลายเป็ นถูกปลาตกไปแทนเสียล่ะ
ภูเขาหวงหูเคยเป็ นถิ่นของเจียวน้าหงเซี่ย ได้บุกเบิกจวนน้าแห่ง หนึ่งไว้ใต้ทะเลสาบข้องราชามังกรสองใบของเฉินหน่วนซู่และเฉิน หลิงจวินก็ถูกหลอมให้เป็ นค่ายกลใหญ่ของที่นี่
บนภูเขามีต้นชาเก่าแก่อยู่หลายต้น บวกกับน้าพุบนยอดเขาหย่ วนมู่ ก่อนวันฝนธัญพืชของทุกปี พ่อครัวเฒ่าจะขึ้นเขามาเก็บชาด้วย ตัวเองแล้วเอากลับไปผัดไปต้มที่เรือน ทุกครั้งที่หมี่ลี่น้อยดื่มชาก็จะ เอ่ยชมหลายประโยค รสชาตินี้ มีรสหวานตามมา
ศาลาแห่งหนึ่งริมเส้นทางภูเขาทิศเหนือของภูเขาฮุยเหมิง หมี่ลี่ น้อยไปเจอกับผู้พิทักษ์ฝ่ ายซ ้ายตัวนั้น แล้วก็พากันเดินเตร็ดเตร่ไปที่ ภูเขาหวงหู
เอาขนมที่เตรียมไว้นานแล้วออกมา แบ่งให้ผู้พิทักษ์ฝ่ ายซ ้าย ครึ่งหนึ่ง ก็คือขนมดอกท้อกับขนมกรอบซิ่งเหรินของร ้านยาสุ้ย
ตรอกฉีหลงบ้านตัวเอง
กินหมดแล้ว หมี่ลี่น้อยก็ปัดมือ ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้พิทักษ์ซ ้าย รู ้หรือไม่ ว่าไม่เพียงแต่ภูเขาหวงหูของพี่หญิงหงเซี่ยเท่านั้น ค่ายกลใหญ่ พิทักษ์ภูเขาใต้อาณัติมากมายของบ้านพวกเราล้วนเป็ นโจวอันดับ หนึ่งที่ควักเงินจ่ายเองทั้งนั้นเลยนะ มีเงินเยอะมากเลย”
หมาพันธ ์พื้นบ้านพยักหน้า
โจวเฝยผู้นั้นมีเงินมากจริงๆ คือเศรษฐีบ้านนอกที่จ่ายเงินโดยไม่ กะพริบตา ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งเช่นนี้สามารถมีเพิ่มได้อีกหลายๆ คน ไม่รังเกียจที่มีมากไป
หมี่ลี่น้อยพูดเหมือนคนแก่ว่า “ฟู่ หูที่ชอบมาตกปลาริมทะเลสาบ ผู้นั้นเป็ นนายอาเภอของอาเภอผิงหนัน คือนายท่านขุนนางตัวจริง เสียงจริงเลยล่ะ ฟังจิ่งชิงเล่า เมื่อก่อนนายอาเภอพู่นั่งเก้าอี้อันดับหนึ่ง อยู่ที่หน่วยรายงานข่าวของเมืองหลวงต้าหลี มาเป็ นนายอาเภอที่ อาเภอผิงหนันถือเป็ นการโยกย้ายในระดับที่เท่าเทียมกันของวงการ ขุนนาง ไม่ถือว่าเป็ นการเลื่อนขั้น แต่ถือเป็ นการให้มารับหน้าที่
ส าคัญ หากพวกเราสองคนได้เจอกับนายอ าเภอฟู่ จริงๆ ก็จ าไว้ว่า ก่อนจะท าอะไรต้องดูสายตาของข้า พวกเราสองคนต้องหัวไวกัน หน่อยนะ”
หมาพันธ ์พื้นบ้านยังคงพยักหน้ารับ เฉินหลิงจวินพูดไม่ผิด ก็คือ ขุนนางต าแหน่งเท่าเมล็ดงา แต่สามารถมารับหน้าที่อยู่ในอาเภอฉู่ โจวต้าหลีได้ก็มีอนาคตมากกว่าเป็ นคนว่างงานอยู่ในที่ว่าการน้าใส อย่างหน่วยรายงานข่าวมากนัก ที่บ้านต้องมีภูมิหลังแน่นอน จาได้ว่า มีคนแซ่ฟู่ คนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะชื่อฟู่ อวี้อะไรสักอย่าง เคยมาเป็ นเจ้า เมืองที่เขตเป่ าซี เป็ นลูกหลานขุนนางของเมืองหลวง แรกเริ่มสุดมา เป็ นเลขาฝ่ ายบุ๋นจัดการเอกสารงานบัญชีให้กับอู๋ยวน เกินครึ่งก็ น่าจะเป็ นญาติกับฟู่หูด้วยกระมัง?
หมี่ลี่น้อยก้มหน้าลงมองแล้วถามอย่างสงสัยว่า “เรื่องนี้ผู้พิทักษ์ ซ ้ายก็รู ้ด้วยหรือ? หรือว่าพี่หญิงหน่วนซู่จะพูดถูก เจ้าสามารถหลอม ร่างและสติปัญญาเปิดออกแล้วจริงๆ?”
หมาพันธ ์พื้นบ้านรีบส่ายหน้า
หากหมี่ลี่น้อยรู ้ความจริงเข้า อย่าว่าแต่ภูเขาลั่วพั่วเลย เกรงว่า ต่อให้เป็ นสานักกระบี่ชิงผิงที่อยู่ไกลถึงใบถงทวีปก็น่าจะรู ้กันด้วย อัน ที่จริงใครรู ้ก็ไม่สาคัญ แต่จะปล่อยให้เผยเฉียนรู ้ไม่ได้
ผู้พิทักษ์ซ ้ายแห่งตรอกฉีหลงผู้นี้ อันที่จริงมีชื่อมาตั้งนานแล้ว ชื่อว่าหันหลู
หากไม่เป็ นเพราะมีเผยเฉียนอยู่ มันที่มี ชื่อจริง” บวกกับที่เคยกิน ยาแทนข้าวไปตั้งมากมาย ป่านนี้ก็หลอมเรือนกายได้สาเร็จนานแล้ว
พอคิดถึงถ่านดาน้อยในอดีตผู้นั้น…เรื่องในอดีตไม่อยากหวนนึก ถึง ต่อให้ปีนั้นหลังจากที่เผยเฉียนกลายเป็ นเด็กสาว ก่อนจะออกจาก บ้านเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปก็เหมือนจะเคยกาชับหมี่ลี่น้อยว่า พวกเจ้าต่างก็เป็ นสหายร่วมงานในวงการขุนนาง อย่าปัดแข้งปัดขา กัน ต้องรักและปรองดองกัน ตอนที่นางไม่อยู่บ้านก็ให้ผู้พิทักษ์ซ ้าย มาขานชื่อที่นี่บ่อยๆ อย่าเอาแต่เดินเล่นเตร็ดเตร่ส่งเดช ยุทธภพ อันตราย มียอดฝีมือขโมยหมาบางคนที่จับหมาเก่งมาก ไม่ต้องใช ้ ซาลาเปาไส้เนื้อด้วยซ้า แค่ก้มตัวลงมาก็สามารถเอาผ้าห่อหมา ลักพาตัวไปได้โดยที่ผีไม่รู ้เทพไม่เห็นแล้ว แล้วผู้พิทักษ์ซ ้ายก็ต้องไป อยู่ในหม้อตุ๋นของคนอื่นแล้ว พวกเราก็ไม่ได้กินเนื้อหมาด้วย…พวก เจ้าไปขอข้าวกินจากพ่อครัวเฒ่า อย่าปล่อยให้ผู้พิทักษ์ซ ้ายหิว เด็ดขาด นอกจากเจ้าแล้วก็จ าไว้ว่าเตือนพ่อครัวเฒ่าด้วยว่าให้โยน กระดูกลงบนพื้นเยอะๆ หน่อย
ไม่กิน ก็คือไม่ให้หน้า ง่ายที่จะถูกหมี่ลี่น้อยจดลงบัญชี แล้วก็ถูก เผยเฉียนกลับมาคิดบัญชีย้อนหลัง กินเข้าไปก็ลดเกียรติของตัวเอง
หมี่ลี่น้อยเหลียวซ ้ายแลขวา รอบด้านไม่มีใครอยู่จึงหยิบเอาผ้า คลุมเนื้อแพรต่วนผืนหนึ่งออกมาจากถุงผ้าฝ้ าย หลังจากผูกไว้ที่คอ เรียบร ้อยแล้วก็ร่ายวิชากระบี่มารคลั่งไปคารบหนึ่ง
ผลคืออยู่ดีๆ ก็มีคนสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวเดินออกมาจากใน ศาลาที่ล้อมด้วยผนังขาวกระเบื้องดา มองหมี่ลี่น้อยที่กาลัง “อิ่มอกอิ่ม ใจอยู่กับตัวเอง” ด้วยใบหน้าประดับยิ้มสายตาอ่อนโยน
หมี่ลี่น้อยกระอักกระอ่วน วิ่งเร็วๆ ไปหาเจ้าขุนเขาคนดีที่มาโดย ไม่บอกไม่กล่าว เอ่ยอย่างเหนียมอายว่า “เหมือนเด็กน้อยไปหน่อย
นะ”
“จะเหมือนเด็กน้อยได้ยังไง เพราะเจ้าจับจุดส าคัญไม่ได้ถึงได้ รู ้สึกอึดอัด”
ระหว่างที่พูดเฉินผิงอันก็ทาท่าเอาสองนิ้วคีบสิ่งของ จากนั้น สะบัดข้อมือ “จอมยุทธหญิงในยุทธภพก็ล้วนเป็ นเช่นนี้”
หมี่ลี่น้อยทาตาม ยื่นมือไปดึงมุมหนึ่งของผ้าคลุมขึ้นมาแล้ว สะบัดข้อมือแรงๆ เสียงผ้าดังพับๆๆ
ว้าว ว้าว
ที่แท้ก็เป็ นแบบนี้นี่เอง!
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตอนนี้ยังรู ้สึกเหมือนเด็กน้อย อยู่อีกไหม?”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง “เปี่ยมอานาจมากบารมีต่างหากล่ะ”
เฉินผิงอันผงกศีรษะให้หมาพันธ ์พื้นบ้านตัวนั้น มันก็เข้าใจได้ ทันที วิ่งออกไปเล่นของตัวเอง
เล่าสถานการณ์ล่าสุดของสานักเบื้องล่างให้หมี่ลี่น้อยฟัง บอกว่า ทางฝั่งของสานักกระบี่ชิงผิงได้ก่อตั้งสามจวนหกกองงานแปด หน่วยงานขึ้นมาใหม่ มีใครเป็ นขุนนางอะไรบ้างทาหน้าที่อะไรบ้าง
หมี่ลี่น้อยฟังด้วยความมึนงง คิ้วสีเหลืองอ่อนจางสองข้างขมวด เข้าหากัน นางจดจ าได้อย่างชัดเจน เทพรายงานข่าวเป็ นกันได้ง่าย
ขนาดนั้นเลยหรือ?
หลังจากที่ห่านขาวใหญ่ได้เป็ นเจ้าสานักก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เอาแต่แจกหมวกขุนนางให้คนอื่นอย่างสุดชีวิตเลย
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เจ้าส านักชุยก าลังสอนข้าว่าควรท าอย่างไร อยู่น่ะ”
หมี่ลี่น้อยกะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันกลั้นขา “คงไม่ได้บอกเรื่องตาราวีรบุรุษกับเผยเฉียนห รอกกระมัง?”
หมี่ลี่น้อยส่ายหน้าอย่างแรง “รับปากกับเซียนกระบี่ป๋ าย ป๋ ายโส่ว เจ้ายอดเขาเพียนหรานสานักกระบี่ไท่ฮุยไว้แล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้”
แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ป๋ ายโส่วเรียกขานตัวเองเป็ นพี่เป็ นน้องกับ เจ้าขุนเขาคนดี หมี่ลี่น้อยกลับเล่าให้เผยเฉียนฟังอย่างไม่มีปิดบัง
ตอนนั้นเผยเฉียนหน้าดาทะมึน บอกว่าดีมาก ข้าจาเอาไว้แล้ว
หมี่ลี่น้อยจึงเอ่ยความในใจไปประโยคหนึ่ง บอกว่าป๋ ายโส่วสนิท กับเจ้าขุนเขาคนดีจริงๆ มองออกว่าถึงแม้ปากของเซียนกระบี่ป๋ ายจะ ไม่เคยพูด แต่อันที่จริงในใจกลับเลื่อมใสเจ้าขุนเขาคนดีอย่างมาก อืม พ่อครัวเฒ่าเคยยกตัวอย่างให้ฟังบอกว่า ก็เหมือนเด็กหนุ่มคน หนึ่งได้เจอกับผู้ใหญ่ที่ตัวเองเลื่อมใสจากใจจริง เนื่องจากกังวลว่าทั้ง สองฝ่ายจะไม่มีอะไรให้คุยกันก็เลยชอบพูดว่าข้าดื่มเหล้าได้แล้ว!
สีหน้าของเผยเฉียนคลายลง พยักหน้า บอกว่าป๋ ายโส่วกลายมา เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนกระบี่หลิวได้ก็เป็ นเพราะอาจารย์พ่อ สานสะพานความสัมพันธ ์ให้ เจ้าหมอนี่ชอบพูดจาไม่รู ้จักเด็กรู ้จัก ผู้ใหญ่ เมื่อก่อนก็ไม่เรียกเซ๊ยนกระบี่หลิวว่าอาจารย์ เอาแต่เรียกว่า เจ้าคนแซ่หลิว ไม่มีกฎระเบียบเลยสักนิด
เฉินผิงอันนวดคลึงปลายคาง ในเมื่อไม่ใช่หมี่ลี่น้อยที่เป็ นคนไป บอกข่าว แล้วใครกันที่เอาข่าวนี้ไปแพร่งพรายให้เผยเฉียนรู ้?
หมี่ลี่น้อยเกาหน้า ยังคงรู ้สึกว่าตัวเองต้องบอกเป็ นนัยให้เจ้า ขุนเขารู ้
“ฮ่า ต้องไม่ใช่จิ่งชิงแน่นอน”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของแม่นางน้อย แสร ้งท าท่ากระจ่างแจ้งพูดว่า “ที่แท้ก็เป็ นแบบนี้นี่เอง ดูท่าข้าคงเข้าใจจิ่งชิงผิดไปแล้ว”
เฉินผิงอันให้หมี่ลี่น้อยขึ้นมาขี่บนลาคอ
เหมือนบิดาที่รักและเอ็นดูบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง
แม่นางน้อยวางสองแขนไว้บนหัวของเจ้าขุนเขาคนดี ปลายคาง กลมๆ วางลงบนแขนตัวเอง ยิ้มจนตาหยี เล่าเรื่องน่าสนุกที่ตัวเองพบ เจอระหว่างลาดตระเวนภูเขาเมื่อวาน วันก่อนและวันก่อนหน้านั้น ยกตัวอย่างเช่นว่าบนทางมีคางคกตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มันเดินช ้ามากเลย ล่ะ ใกล้กับศาลาซวีซินมีนกไม่รู ้ชื่อมาสร ้างรัง ห่างจากศาลาที่ชื่อยาว ที่สุดไปประมาณสามสิบหกก้าว ต้นชาพวกนั้นใกล้จะกินได้แล้ว น่า เสียดายที่หมีโหวเถา (ลูกกีวี) ยังเล็กอยู่ด้านบนเสาทาสีชาดต้นหนึ่ง ของศาลาอวี่เซี่ยมีคนแอบมาแกะสลักตัวอักษรเอาไว้ นกกางเขน ร ้องจิ๊บๆๆ มักจะคอยบอกข่าวดีอยู่บนยอดไม้….
“ว้าว มีเรื่องแปลกใหม่มากมายขนาดนี้เลยหรือ นี่มันน่าสนใจ เกินไปแล้ว”
“ก็นั่นน่ะสิ น่าสนใจมากเลยล่ะ”
เต้าหลิงอาจารย์ใหญ่พักอยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋นเพื่อรอพิธีแต่งตั้งอย่าง เป็ นทั้งการ โจวกั๋วรับหน้าที่ไปภูเขาเชื่อจื่อขุนเขากลาง หมิ่นเหมิน กับหลีโหวแยกกันไปรับผิดชอบงานพิธีแต่งตั้งของขุนเขาตะวันออก ขี่ซานและภูเขาตะวันตกกานโจว
ก่อนหน้านี้พวกเขาเพียงแค่มาหยุดพักอยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋นครู่เดียว เท่านั้น ใช ้เวลาไม่นานเต้าหลิงก็ตามเว่ยป้ อไปที่จวนซานจวิน ปรึกษากันเรื่องระเบียบขั้นตอนของงานพิธีการ ส่วนหลีโหวนั้นปลีก ตัวไปที่ห้องบัญชีของภูเขาลั่วพั่ว เหวยเหวินหลงตื่นเต้นดีใจจนพูด ไม่เป็ นค า
เฉินชิงหลิวกับซินจี้อันออกไปจากภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน คิดว่าจะ ไปเยือนศาลชิวเฟิงที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีเจ้าของสักรอบหนึ่ง
สหายเก่าและสหายใหม่ล้วนจากไปแล้ว เฉินหลิงจวินอาลัย อาวรณ์อย่างมาก จึงเฮาทีหลายวันมานี้ต้องดื่มเหล้าสองมื้อเช ้าเย็น อย่างหนีไม่พ้นก็ต้องแสร ้งท าเป็ นอาลัยอาวรณ์ตามไปด้วย
เกาเกิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจิงเฮากับผู้ฝึกกระบี่ป๋ ายเติง และยัง มีผีที่มีฉายาว่าอิ๋นลู่ได้ลงเขาไปก่อนพวกเขาแล้ว เรียกได้ว่าหลบสุรา อย่างผึ่งผายยิ่ง
หนึ่งวันดื่มเหล้าสองมื้อ ทุกครั้งที่ดื่มเหล้ามื้อเช ้า เฉินหลิงจวิน ล้วนไม่รบกวนนังเด็กโง่หน่วนซู่
เฉินหลิงจวินเดินไปส่งพวกเขาจนถึงหน้าประตูภูเขา นัดหมาย กับเซียนซื่อผู้เฒ่าจิงไว้แล้วว่าวันหน้าขอแค่ไปเยือนหลิวเสียทวีป จะต้องไปเยี่ยมเยียนภูเขาชิงกงเป็ นสถานที่แรกอย่างแน่นอน
มอบห่อสัมภาระใบหนึ่งให้กับเฉินจั๋วหลิว ด้านในบรรจุขนมของ ร ้านยาสู้ย ปลาล าธารตากแห้งที่ตัวเองตากเอง และยังมีใบชาของ ภูเขาหวงหู น้าผึ้งของภูเขาเซียนฉ่าว ฯลฯ เอาไว้ให้กินระหว่างทาง สามารถกินเป็ นกับแกล้มได้ จากนั้นใช ้เสียงในใจบอกกับเฉินจั๋วหลิว ว่าพูดจาเหน็บแนมประชดประชันเทพเซียนผู้เฒ่าจึงให้น้อยๆ หน่อย คนเขาก็แค่ใจกว้าง คร ้านจะถือสาเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้เหยียบจมูก ขึ้นหน้า
เฉินชิงหลิวเพียงแค่เอาห่อสัมภาระที่ของขวัญเบาน้าใจหนักห่อ นั้นไปสะพายไว้บนร่างแล้วหมุนกายจากไปทันที ไม่ได้พูดจาไร ้สาระ อะไรกับเฉินหลิงจวิน
ทาเอาเด็กชายชุดเขียวที่เตรียมถ้อยคาตามมารยาททานองว่า “ส่งท่านไกลพันลี้สุดท้ายก็ต้องจากลากันอยู่ดี” เอาไว้นานแล้ว พยายามข่มกลั้นแล้วข่มกลั้นอีก สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ก้าวยาวพรวดๆ ออกไป กระโดดตัวขึ้นสูง ถีบลงบนกันของเฉินชิงหลิวแล้วก่นด่าว่า ไปกับท่านปู่เจ้าสิ
จิงเฮาแสร ้งทาเป็ นมองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เพียงแต่ว่าหนังตาของ เขากระตุกอยู่ตลอด
แผ่นหลังของคนทั้งหลาย ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล
เฉินชิงหลิวพลันชูแขนขึ้นโบกเบาๆ
เฉินหลิงจวินถึงได้พึงพอใจ ขยับเท้าไปนั่งยองอยู่ข้างกาย นักพรตเซียนเว่ย
เซียนเว่ยที่นั่งอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ทนไม่ไหวถามว่า “จิ่งชิง เจ้าไม่เคยไปที่ศาลบุ๋นหรือ?”
เฉินหลิงจวินอึ้งตะลึง ถามอย่างสงสัย “บนภูเขาลั่วพั่วก็มีเพียง นายท่านของข้าที่เคยไปเยือนศาลบุ๋นแผนดินกลาง ข้าเป็ นหอมต้น ไหนกัน จะไปท าอะไร? ไปแล้วจะเข้าไปได้หรือ”
เซียนเว่ยกลับถูกค าพูดของเฉินหลิงจวินท าให้งงแทน เขาเอ่ย อย่างอ่อนใจเป็ นทบทวี “ไม่ได้พูดถึงศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง หมายถึง ศาลบุ๋นในเขตการปกครองหรือไม่ก็ในอาเภอที่พบเห็นได้ทั่วไป”
ตามกฎระเบียบของไพศาลแล้ว แต่ละแคว้นในเก้าทวีป ในอ าเภอ ทุกแห่งล้วนมีการก่อตั้งศาลบุ๋น
สายตาของเฉินหลิงจวินฉายแววเวทนา ตบไหล่ของนักพรต เซียนเว่ย อ่านต าราจนโง่ไปแล้ว
“ที่เจ้าพูดมานี่ไม่ใช่เรื่องไร ้สาระหรอกหรือ แม่น้าอวี่เจียงที่อยู่ใน อาณาเขตแคว้นหวงถิงศาลบุ๋นน้อยใหญ่อยู่เลียบเส้นทางน้ามากมาย ขนาดนั้น ข้าจะไม่เคยไปได้อย่างไร?”
เซียนเว่ยยิ่งสับสนเข้าไปอีก ในเมื่อเคยไป แล้วทาไมถึงจ า บัณฑิตพวกนั้นไม่ได้ล่ะ? นอกจากศาลบุ๋นในอาเภอเล็กของพื้นที่ กันดารห่างไกลแล้ว ศาลบุ๋นของเขตการปกครองทั่วไปหรือไม่ก็ ศาลบุ๋นในอาเภอที่พอจะร่ารวยหน่อยก็ล้วนแขวนภาพเหมือนของสิบ ศิษย์เอกเอาไว้ทั้งสิ้น
เฉินหลิงจวินรู ้สึกใจฝ่ ออยู่บ้าง จะว่าไปแล้วก็น่าละอายนัก เขาไป ศาลบุ๋นไม่บ่อยจริงๆ แต่ก็เคยไปเยือนแน่นอน “ขึ้นเขาก็ต้องกราบ ไหว้ภูเขา ลงน้าก็ต้องกราบไหว้จวนวารี รู ้หรือไม่? เข้าวัดจุดธูป สิ่งที่ สาคัญที่สุดคือต้องมีใจศรัทธาจึงจะศักดิ์สิทธิ์ ทุกครั้งที่ไปศาลบุ๋นต้อง จุดธูปคารวะก่อน แล้วค่อยไปกราบไหว้ภาพเหมือนในห้องโถงใหญ่
อยู่นอกประตูก็ให้จ้องมองภาพเหมือนของปรมาจารย์มหาปราชญ์ให้ ชัดๆ จิตใจต้องมีสมาธิไม่วอกแวก สายตามองตรงไปไม่ขยับไปไหน ข้ามผ่านธรณีประตูไปแล้วก็คุกเข่าลงบนเบาะรองนั่ง แล้วโขกหัว ให้กับท่านผู้อาวุโสดังตึงๆๆ!”
ในสายตาของเฉินหลิงจวิน นี่เรียกว่าหากจะกราบก็กราบภูเขา ลูกที่ใหญ่ที่สุด ยกตัวอย่างเช่นพอไปถึงอุตรกุรุทวีป ขอแค่มีโชคก็ จะต้องสานสัมพันธ ์กับฮว่อหลงเจินเหรินที่เข้าได้กับทั้งฝ่ ายขาวและ ฝ่ายด า หรือยกตัวอย่างเช่นหากไปถึงหลิวเสียทวีปก็ต้องไปกราบไหว้ ภูเขาชิงกงก่อน ต้องตีสนิทกับเทพเขียนผู้เฒ่าจิงที่คุณธรรมชื่อเสียง สูงส่ง จิตใจกว้างขวาง