กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1051.2 ไร ้ศัตรูเทียมทานบนโต๊ะสุรา
พอเฉินหลิงจวินพูดอย่างนี้ เซียนเว่ยก็เข้าใจแล้ว อีกทั้งยัง เชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่าเป็ นเรื่องที่เฉินหลิงจวินทาได้จริงๆ
เซียนเว่ยมองเด็กชายชุดเขียวด้วยสายตาเวทนา ตบไหล่ของอีก ฝ่าย “สหายจิ่งชิงไม่เดินบนเส้นทางปกติทั่วไปจริงเสียด้วย”
เฉินหลิงจวินหัวเราะฮ่าๆ “ล้วนเป็ นประสบการณ์ล้าค่าในยุทธภพ ที่ทองพันชั่งก็หาซื้อไม่ได้ เจ้าจงเรียนรู ้เอาไว้เถอะ”
วันเวลาที่หวนคืนบ้านเกิดถูกถ่วงออกไปเรื่อยๆ เกาจวินเจ้า ประมุขพรรคหูซานที่ถ่วงเวลาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ตัดใจไปจาก ภูเขาลั่วพั่วและภูเขาพีอวิ๋นได้ นางย้อนกลับไปที่พื้นที่มงคลรากบัว ก่อน
จงเชี่ยนกลับไปช ้ากว่าเกาจวินสองวัน เขาหวนกลับไปยังใต้หล้า บ้านเกิดอย่างไม่เต็มใจ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่ในใจไร ้ปณิธาน ยิ่งใหญ่ผู้นี้ หากไม่เป็ นเพราะมีสถานะของบุคคลอันดับหนึ่งด้านการ เรียนวรยุทธของพื้นที่มงคลวางอยู่ตรงนั้น คาดว่าก็คงจะเอาแต่อยู่ใน เรือนพักส่วนตัวบนยอดเขาจี้เซ่อ กินต้นหอมใหญ่จิ้มเต้าเจี้ยวทุกวัน จิบเหล้าเล็กๆ น้อยๆ อ่านตาราเบ็ดเตล็ดที่ยืมมาจากพี่น้องต้าเฟิงและ นักพรตเซียนเว่ย พอถึงเวลากินข้าวก็วิ่งไปรอที่เรือนของจูเหลี่ยน ช่วยยกอาหารมาวางบนโต๊ะ กินข้าวเสร็จแล้วก็ช่วยเด็กหญิงชุด
กระโปรงชมพูเก็บจานชามและตะเกียบ สุดท้ายก็สั่งอาหารจากพ่อ ครัวเฒ่า มื้อถัดไปก็มีความหวังแล้ว
วันนี้ที่ท่าเรือหนิวเจี่ยวมีแขกที่ตรงมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว
เด็กชายผมขาวปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ นางที่เป็ นขุนนางผู้ เรียบเรียงต าราก็ต้องท าหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถเฉก เช่นเดียวกับเทพรายงานข่าวอย่างหมี่ลี่น้อยเหมือนกัน
ในบรรดาแขกที่มาเยือน ในที่สุดก็มีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขต กลางเสียที!
คือเจิงเย่เจ้าประมุขแห่งพรรคห้าเกาะของทะเลสาบซูเจี่ยน เขานั่ง เรือข้ามฟากจากเมืองหลวงต้าหลีมาถึงที่นี่ เด็กชายผมขาวจึงจดวัน เดือนปีและสถานะบนท าเนียบของเขาเอาไว้
เจิงเย่ปฏิเสธที่ขุนนางผู้เรียบเรียงตาราจะช่วยนาทางให้ ตัวเขา เองเดินไปถึงเรือนไม้ไผ่ของยอดเขาจี้เซ่อ เฉินผิงอันวางพู่กันลง พา เจิงเย่ไปนั่งที่โต๊ะหินริมหน้าผาด้วยกัน
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ไปเมืองหลวงต้าหลีมาแล้วหรือ?”
เจิงเย่พยักหน้า ท าท่าจะพูดแต่ไม่พูด
เฉินผิงอันเอ่ย “ได้เจอกับนางแล้ว?”
น้าตาไหลพรากๆ อาบใบหน้าของเจิงเย่อย่างไม่รู ้สาเหตุ
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู ้ว่าควรจะปลอบใจเจิงเย่อย่างไรจึง จะดี จึงได้แต่บอกว่า “มีเวลาว่างก็ไปนั่งที่เรือนจูเหลี่ยนบ่อยๆ พูดคุย เรื่องนี้กับเขา”
เจิงเย่เก็บอารมณ์ความรู ้สึก บอกเล่าสถานการณ์ล่าสุดของ พรรคห้าเกาะให้อาจารย์เฉินทราบ เฉินผิงอันรับฟังอย่างตั้งใจแล้วให้ ค าแนะน าบางอย่าง บอกเจิงเย่ว่าสามารถให้ความสนใจกับ รายละเอียดในเรื่องใดได้บ้าง
ภายหลังหน่วนซู่ก็มาที่นี่ นางยืนอยู่บนทางเส้นเล็กที่ปูด้วยหิน เขียวอยู่ไกลๆ นางไม่รบกวนนายท่านเจ้าขุนเขาที่กาลังคุยธุระกับเจ้า ประมุขเจิง รอกระทั่งการพูดคุยเสร็จสิ้น นางถึงได้เดินไปที่โต๊ะหิน พา เจ้าประมุขเจิงไปยังที่พักกลางภูเขา ไปถึงหน้าประตูเรือน เจิงเย่รับ กุญแจมาก็เอ่ยขอบคุณหน่วนซู่ เข้าไปในห้องแล้ววางสัมภาระลง ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะตรงไปหาอาจารย์ผู้เฒ่าจูที่เป็ นผู้ดูแลใหญ่ ของภูเขาลั่วพั่ว
แต่ไหนแต่ไรมาประตูใหญ่ของเรือนพ่อครัวเฒ่าก็ไม่เคยลงกลอน ไม่ว่าใครก็แวะเวียนมาได้
จูเหลี่ยนเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย โบกพัดใบลาน พอเห็น เจิงเย่ก็ลุกขึ้นนั่ง ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าประมุขเจิง ยินดีที่ได้พบ ยินดีที่ได้ พบ”
เจิงเย่ประสานมือคารวะ “เจิงเย่แห่งพรรคห้าเกาะคารวะอาจารย์ผู้ เฒ่าจู”
จูเหลี่ยนโบกพัดใบลานในมือ “คนกันเอง อย่าได้เกรงใจ นั่งลง คุยกันเถอะ”
คนหนุ่มเคยเป็ นผู้ช่วยในห้องบัญชีให้กับคุณชายของตนที่เกาะ
ชิงเสียมาก่อน
เจิงเย่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้านข้างใต้ชายคา เล่าเรื่องเก่าที่ เกิดขึ้นเมื่อหลายปี ก่อนให้จูเหลี่ยนฟัง บทนาของเรื่องราวคือเด็ก หนุ่มถูกผู้มีพระคุณคนหนึ่งที่ชื่อว่าจางเย่พาไปอยู่ที่เกาะชิงเสีย ได้ เจอกับอาจารย์เฉินที่เรือนกายผ่ายผอม แต่ดวงตากลับเป็ นประกาย เจิดจ้าเขาสวมชุดผ้าฝ้ าย บุคลิกอบอุ่นอ่อนโยน เจิงเย่ยังเล่าด้วยว่า เด็กหนุ่มหวาดกลัวกู้ซ่านอย่างไร ในฉากเริ่มต้นของเรื่องเล่าขุนเขา สายน้าบทนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสุรา หลังจากนั้นก็มีอาจารย์เฉิน มาพักอยู่ข้างกัน เด็กหนุ่มอ่อนแอขี้ขลาดจึงเริ่มวางใจลงได้ ได้เจอ กับคนและเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับทะเลสาบซูเงี่ยน แต่ไม่สมกับ ทะเลสาบซูเงี่ยนอย่างมาก มีทั้งผีและการใช ้หนี้ ในขณะที่เจิงเย่กาลัง จะพูดถึงแม่นางที่มาจากภูเขาหวงหลีคนนั้น จูเหลี่ยนกลับลุกขึ้นยืน บอกว่ารอสักครู่ แล้วเขาก็ไปหยิบเหล้ากาหนึ่งมาจากห้องเก็บเหล้า เปิดผนึกดินออกยื่นส่งให้เจิงเย่ เจิงเย่ดื่มเหล้า ก็ไม่รู ้ว่าเป็ นคนดื่ม เหล้าหรือเหล้าดื่มคนกันแน่ เขาเล่าเรื่องต่ออีกครั้ง กระทั่งเล่าไปถึงว่า ตัวเองไปเมืองหลวงต้าหลี พูดไปถึงการพบเจอกันอีกครั้งใต้แสงตะวัน
แรงกล้าครั้งนั้น มีแม่นางคนหนึ่งนั่งยองอ่านหนังสืออยู่ เรื่องราวใน หนังสือมีเด็กหนุ่มขี้ขลาดชื่อว่าเจิงเย่ และยังมีแม่นางซูที่บางทีจนถึง ช่วงสุดท้ายของเรื่องราวก็ยังไม่เคยชอบเจิงเย่ แล้วก็ไม่รู ้ว่าเจิงเย่ชอบ ตัวเอง หรือบางทีอาจจะรู ้แต่แสร ้งท าเป็ นไม่รู ้
ดื่มจนกาเหล้าว่างเปล่า เจิงเย่ก็ยังเงยหน้ากระดกดื่มเหล้าอยู่
เหมือนเดิม
จูเหลี่ยนโบกพัดใบลาน เอ่ยเสียงเบาว่า “เดิมทีเด็กหนุ่มคิดว่า ชีวิตนี้หากอยากจะได้เจอกับแม่นางที่รักอีกครั้ง ก็ต้องรอนาง ตามหา นางหนึ่งร ้อยปี หลายร ้อยปีหรือเป็ นพันปีหากหาไม่เจอ ข้าชื่อว่าเด็ก หนุ่มก็สามารถชอบนางต่อไปได้ แต่เรื่องราวบนโลกก็มักแปลก ประหลาดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าความฝันงดงามได้กลายเป็ นความจริง ในที่สุดก็เจอแม่นางที่รักแล้ว ตามหลักนี่ควรจะเป็ นเรื่องโชคดีที่หาได้ ยากยิ่ง เดิมควรจะปิติยินดีมีความสุขถึงจะถูกแต่กลับเริ่มคิดถึงผลได้ ผลเสียซะแล้ว แต่หากจะบอกว่าเสียใจก็ดูเหมือนว่าจะไม่ถึงขั้น เจ็บปวดรวดร ้าวปานจะขาดใจ รู ้สึกว่าไม่ควรต้องเป็ นอย่างนี้เลย ท าไมถึงไม่รู ้จักพอเลยเล่า ไม่ควรเป็ นเช่นนี้ ไม่ควรมีความรู ้สึก ละเอียดอ่อนที่ทาให้หัวใจคันยิบๆ รัดพันรุมเร ้าอยู่ภายใน”
“รสชาติเช่นนี้ไม่ใช่รสขม แต่เป็ นรสฝาด”
“หากหลงลืมแม่นางซู หันไปชอบแม่นางหลิวในทุกวันนี้ก็รู ้สึกผิด ต่อฝ่ายแรก”
“คิดถึงแม่นางซูอยู่เสมอ แต่ขณะเดียวกันก็ชอบแม่นางหลิวด้วย ท าให้รู ้สึกผิดต่อฝ่ายหลังอีก”
“เพียงแค่เพราะส่วนลึกในใจของเจ้าจ าต้องยอมรับว่า สุดท้าย แล้วพวกนางก็ไม่ใช่คน คนเดียวกัน”
“ชอบใคร ไม่ชอบใคร ชอบใครในเวลาเดียวกัน ไม่ชอบใครเลย สักคน ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะท าเช่นไรก็ผิดอยู่ดี”
“แล้วยังไม่ใช่คนที่เข้าใจแต่แสร ้งทาเป็ นเลอะเลือนเสียด้วย ใน เมื่อทั้งๆ ที่รู ้ดีว่าผิดแล้วพวกเราจะวางใจอย่างแท้จริงได้อย่างไร”
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “เจิงเย่ หากรู ้แต่แรกว่าจะพัวพันใจคนเช่นนี้ เจ้า จะเสียใจภายหลังที่ปีนั้นได้เจอกับแม่นางซูหรือไม่? จะเสียใจที่ครั้งนี้ ไปเยือนเมืองหลวงต้าหลีหรือไม่?”
เด็กหนุ่มเจิงเย่ในอดีต เจ้าประมุขพรรคห้าเกาะในทุกวันนี้ลังเล ตัดสินใจไม่ได้ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่มีทาง!”
จูเหลี่ยนพยักหน้า “ได้เจอกันแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็วางใจได้แล้ว ส่วนความเสียใจใหม่ๆ บางอย่างก็เก็บซ่อนไว้ในใจไปแล้วกัน เจิงเย่ ฟังมาถึงตรงนี้หากเจ้าอยากถามข้าว่าจะไม่ให้เจ้าท าอะไรสักอย่าง เลยหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะย้อนถามเจ้ากลับประโยคหนึ่งว่าเจ้า ไม่ได้ท าอะไรเลยจริงหรือ? เชื่อข้าเถอะ กลับไปเมืองหลวงอีกสักรอบ วางกิจธุระของพรรคห้าเกาะไว้ก่อนสักร ้อยสองร ้อยปีหรือสองสาม ร ้อยปี พอไปถึงเมืองหลวง สิ่งเดียวที่เจ้าต้องท าก็คือบังคับตัวเองให้ไม่
ต้องทาอะไรทั้งนั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้ผิดซ้าผิดซ ้อน หาไม่แล้วใจคนก็ ยากจะที่เก็บกวาดกลับมาได้อีก ไปถึงที่นั่นก็ให้หาอาชีพของ ชาวบ้านทั่วไปทา บางทีคาตอบในวันใดวันหนึ่งอาจจะวิ่งเข้าหาหัวใจ เจ้าเองก็ได้”
เจิงเย่พยักหน้า พูดด้วยน้าเสียงแหบพร่าว่า “ข้าเชื่ออาจารย์จู จะ
ทาตามนี้” ฟังจูเหลี่ยนพูดแล้ว เจิงเย่ก็สบายใจขึ้นมาก
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สุดท้ายจะมอบประโยคหนึ่งให้กับเจ้า เรื่องของความรักชายหญิง อย่าได้ฝากความหวังไว้มากเกินไป แต่ก็ อย่าให้ในใจตัวเองไม่มีความหวังเสียเลย”
เจิงเย่ยิ้มกว้าง “จาไว้แล้ว”
อันที่จริงเฉินผิงอันแอบยืนเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ข้างนอกมาตลอด พอ ได้ยินมาถึงตรงนี้ถึงได้จากไปอย่างเงียบเชียบ
ห่างออกไปไกลยิ่งกว่ามีแม่นางน้อยชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งยืน อยู่ เฉินผิงอันยกนิ้วมาวางทาบบนริมฝีปาก จากนั้นก็ผงกศีรษะยิ้มให้ นาง หน่วนชูยอบกายคารวะ เดินจากไปทางานตรงจุดอื่นด้วยฝีเท้า แผ่วเบา
……
เรือข้ามฟากเฟิ่ งยวนที่ท่องไปบนเส้นทางการค้าจากทิศ ตะวันออกไปยังทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป ยามสนธยาของวันนี้ได้มา ชะลอจอดเทียบท่าที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว
เฉินผิงอันพาหมี่ลี่น้อยและเฉินหลิงจวินมารออยู่ที่นี่นานมากแล้ว
ระหว่างที่รอคน แม่นางน้อยชุดดาก็ให้เด็กชายชุดเขียวยืมคาน หาบสีทอง แล้วพวกเขาก็ประลองฝีมือกัน แข่งกันด้านเวทกระบี่ หมี่ลี่ น้อยยืนนิ่งไม่ขยับ โบกตวัดไม้เท้าเดินป่ าไผ่เขียว เฉินหลิงจวิน กระโดดพลิกตัวหมุนตลบ ปากก็ร ้องชื่อฮ่าอย่างมีความสุขไปด้วย
เจี่ยเฉิงที่ชาวบ้านในเมืองเล็กเรียกด้วยความเคารพว่าเทพเซียน ผู้เฒ่าเจี่ยหรือไม่ก็เจี่ยกึ่งเซียนเดินอยู่ข้างหลังฉางมิ่งผู้คุมกฏที่เป็ น ผู้ดูแลใหญ่ของเรือข้ามฟากชั่วคราว ก่อนหน้านี้อยู่บนดาดฟ้ าเรือ นักพรตตาบอดสูดอากาศเข้าปอดเต็มแรง ฮ่า ดูเหมือนว่าสายลม ภูเขาของบ้านเกิดจะมีกลิ่นสุราลอยแฝงมาด้วยนะ
ไม่ได้เล่นทายหมัดพูดคุยความในใจกับน้องจิ่งชิงมานานมาก แล้ว นักพรตเฒ่ารู ้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหลือเกินแล้ว
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ล าบากทุกคนแล้ว”
บรรพจารย์ผู้คุมกฏของภูเขาลั่วพั่วที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีขาว หิมะยอบกายคารวะเอ่ยเรียกด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “นายท่าน”
อันที่จริงหากเป็ นไปตามความตั้งใจแรกสุดของเฉินผิงอัน คือจะ ให้สหายฉางมิ่งที่รู ้จักกันในคุกของเฒ่าหูหนวกรับหน้าที่อยู่ในห้อง บัญชีของภูเขาลั่วพั่ว นางกับเหวยเหวินหลงคนหนึ่งปฏิบัติคนหนึ่ง ทฤษฎี
แต่ภายหลังฉางมิ่งกลับกลายมาเป็ นผู้คุมกฏ
หลังจากกลับมาถึงบ้านเกิด เฉินผิงอันเคยถามเผยเฉียนเป็ นการ ส่วนตัวว่านางมีความประทับใจต่อผู้คุมกฏฉางมิ่งอย่างไร
เผยเฉียนบอกตามความจริง นางเอ่ยถ้อยคาดีๆ เป็ นการปูพื้น ก่อน สุดท้ายค่อยเอ่ยประโยคหนึ่งว่า มองนานแล้วน่าขนลุกอย่าง มาก
เฉินผิงอันจึงวางใจลงได้
ดูท่าให้ฉางมิ่งมาเป็ นผู้คุมกฏก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดไม่มีหนึ่งใน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรือเพิ่งยวนลานี้จะเปลี่ยนผู้ดูแลใหม่เป็ นผู้ ฝึ กกระบี่อาวุโสคนหนึ่งนามว่าสิงอวิ๋น คือผู้ถวายงานคนใหม่ของ สานักกระบี่ชิงผิง สถานะของเทพเซียนผู้เฒ่าจะไม่เปลี่ยน จะยังคง เป็ นผู้ดูแลรองเหมือนเดิม ส่วนเรือข้ามฟาก แน่นอนว่ายังเป็ นของ สานักเบื้องบนของพวกเรา ฉางมิ่งเจ้าเป็ นบรรพจารย์ผู้คุมกฏของ สานัก ตลอดทั้งปีต้องคอยวิ่งวุ่นทาการค้าอยู่บนเรือก็ไม่ค่อยเข้าท่า อย่างที่เจ้าสานักชุยพูดจริงๆ”
โดยทั่วไปแล้วเรือข้ามทวีปมีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งนั่ง บัญชาการณ์ก็มากพอเหลือแหล่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่สิงอวิ๋น ยังเป็ นผู้ฝึกกระบี่จากกาแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย
เฉินผิงอันพูดอีกเรื่องหนึ่งกับเจี่ยเฉิง บอกว่าสานักกระบี่ชิงผิงได้ สร ้างสานักศึกษาอวี้ไห่ขึ้นมาใหม่ เจ้าขุนเขาคืออาจารย์จ้ง และคิดจะ
เชิญเจี่ยเฉิงให้ไปช่วยสอนที่สานักศึกษา
หมี่ลี่น้อยกอดไม้เท้าไผ่เขียวไว้ในอ้อมอก หยุดเดินแล้วปรบมือ ไร ้เสียง เฉินหลิงจวินที่ช่วยแบกคานหาบสีทองให้นางมึนงงอยู่บ้าง ห่านขาวใหญ่และอาจารย์จังได้เงินไปจากพี่ใหญ่เจี่ยหรือ? ไม่อย่างนั้นสานักศึกษาของพวกเจ้าไม่ใช่โต๊ะเหล้าเสียหน่อย พี่ใหญ่ เจี่ยจะไปสอนอะไรได้?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เข้าใจเรื่องทางโลกอย่างลึกซึ้งก็คือความรู ้ มี ความเชี่ยวชาญในการปฏิสัมพันธ ์กับผู้คนก็คือบทความ ความรู ้นอก ตาราของเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยล้วนได้รับการยอมรับจากทั้งเจ้าสานัก ชุยและอาจารย์จ้ง ข้าก็เลยช่วยตอบตกลงเรื่องนี้แทนเจ้าไปแล้ว”
“หา?”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยพลันทาอะไรไม่ถูก “แต่ผินเต้าเป็ นคนปากไว ใจเร็ว ไม่ใช่คนที่มีไหวพริบเข้าสังคมเก่ง ไหนเลยจะรับคาชมเช่นนี้ ได้”
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
เฉินหลิงจวินกลอกตามองบน หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยโมโหจนกระทืบเท้า ดูสิดู นี่ข้าพูดผิดอีกแล้ว ใช่หรือไม่?! ดูแคลนตบะของตนก็ไม่เท่ากับดูแคลนแววตาในการมอง คนและความรักความเอ็นดูที่เจ้าสานักชุยและอาจารย์จังมอบให้ หรอกหรือ?
เฉินผิงอันช่วยอธิบายให้ฟัง “หากจะบอกว่าชุยตงซานอาจจะล้อ เจ้าเล่น แต่อาจารย์จ้งเป็ นคนอย่างไร เจ้ารู ้ชัดเจนดี คนอื่นมารับ หน้าที่สอนในสานักศึกษา จังชิวไม่พยักหน้าตกลงชุยตงซานก็ไม่ สามารถยัดคนไปให้ตามใจชอบได้ ส่วนเนื้อหาเป็ นรูปธรรมที่จะใช ้ สอน เมื่อเรือเพฟิงยวนเดินทางลงใต้ไปยังใบถงทวีป ไปถึงที่ท่าเรือ อวี่หลิน เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยก็ไปคุยกับอาจารย์จ้งเองเถอะ”
เจี่ยเฉิงถูมือ “ข้าจะบากหน้าลองท าดูก็แล้วกัน หากคุณธรรมไม่ สมกับตาแหน่ง ยากที่จะรับหน้าที่เป็ นผู้สอนได้ ก็ไม่ต้องให้อาจารย์จ้ง ไล่คนหรอก ผินเต้าจะม้วนเสื่อไสหัวออกมาเอง”
ฉางมิ่งถาม “นายท่าน ได้ยินว่าอีกเดี๋ยวจะมีการแต่งตั้งห้ามหา บรรพต พวกเราต้องเตรียมของขวัญร่วมแสดงความยินดีหรือไม่”
เรื่องน่ายินดียิ่งใหญ่บนภูเขาอย่างเรื่องของการแต่งตั้งห้ามหา บรรพตนี้ ตามหลักแล้วส านักและจวนเซียนในอาณาเขตของทวีป ล้วนจะต้องมาร่วมแสดงความยินดี เป็ นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วจะเป็ นเจ้าสานักหรือไม่ก็ผู้คุมกฎที่เขียนจดหมายด้วย
ตัวเองจากนั้นก็เตรียมของขวัญที่เหมาะสมกับตาแหน่งของภูเขานั้นๆ ไปมอบให้
เฉินผิงอันกล่าว “นอกจากจิ้นชิงและฟ่ านจวิ้นเม่าแล้ว ซานจวิน ท่านอื่นๆ ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็อย่าเอาหน้าร ้อนๆ ไปแนบกัน เย็นๆ เลย”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยฟังความนัยที่ซ่อนอยู่ออกได้ทันที คากล่าวนี้ มีนัยชวนให้ขบคิดอย่างมาก
ผู้คุมกฏฉางมิ่งยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่อุตรกุรุทวีป พวกเรา ได้เจอกับยอดฝี มือหลายคน ผู้ดูแลเจี่ยพูดคุยกับพวกเขา ถามตอบ ได้อย่างคล่องแคล่ว วางตัวได้เหมาะสมอย่างยิง”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยกล่าวอย่างเขินอาย “ดื่มเหล้าทาให้เสียงาน ควบคุมปากไม่อยู่ ดื่มเหล้าท าให้เสียงานจริงๆ”
เฉินหลิงจวินตบแขนของเจี่ยเฉิง “พี่ใหญ่เจี่ย ใช ้ได้นี่นา สร ้าง คุณความชอบอีกแล้วนะ!”
ใครบ้างที่ไม่รู ้ว่าผู้คุมกฏฉางมิ่งไม่ชมใครง่ายๆ
เจี่ยเฉิงเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ไม่ใช่เลย ไม่ใช่เลย อย่าว่าแต่คุณ ความชอบอะไรเลย ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็ยังหวาดผวาไม่คลาย กลัวก็ แต่ว่าจะพูดอะไรผิดไปบนโต๊ะสุรา ท าให้อาจารย์เหล่านั้นเกิดความ ประทับใจที่ไม่ดีต่อภูเขาลั่วพั่วของเรา”
อยู่ในวงการขุนนางนี่นะ จะบนหรือล่างภูเขาก็ล้วนเหมือนกัน ทั้ง กลัวว่าไม่พูดและไม่ทาก็คือผิด ยิ่งกลัวว่าพูดผิดทาผิดก็ยิ่งผิดเข้าไป ใหญ่
เฉินหลิงจวินหัวเราะฮ่าๆ “กลัวอะไรเล่า ขอแค่อยู่บนโต๊ะสุรา พี่ ใหญ่เจี่ยและเซียนสุราหลิวต่างก็ไร ้ศัตรูเทียมทานกันทั้งนั้น!”
เจี่ยเฉิงรู ้สึกหัวโตทันใด ไหนเลยจะกล้าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ กับเซียนสุราหลิวกัน
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “อ้อ? หมายความว่ายังไง เจอ กับใคร คุยอะไรกันไปบ้าง ไหนลองเล่าให้ฟังอย่างละเอียดสิ”