กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1051.3 ไร ้ศัตรูเทียมทานบนโต๊ะสุรา
ฉางมิ่งจึงบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมื้อสุรานั้นอย่างละเอียด เฉินผิงอันเองก็รับฟังอย่างตั้งใจ
ที่แท้ที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีป เทพเซียนผู้ เฒ่าเจี่ยและผู้คุมกฏฉางมิ่งได้พูดคุยกับจวนเซียนในท้องถิ่นเรื่อง การค้า บริเวณใกล้เคียงมีเหลาสุราอยู่แห่งหนึ่งซึ่งขายเหล้าหมัก เซียนอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า “เหล้าซวงเฉวียน” พอดี รู ้ว่าเจี่ยเฉิงชอบดื่ม เหล้าอีกทั้งกาลังเจรจาเรื่องเป็ นการเป็ นงาน ผู้คุมกฏฉางมิ่งย่อมไม่มี ความเห็นต่าง ผลคือบังเอิญเจอกับคนกลุ่มหนึ่งเข้าพอดี พวกเข้ามา นั่งดื่มเหล้าที่เหลาสุรา เมื่อเทียบกับคราวก่อนในตรอกฉีหลงแล้วก็ ขาดผู้เฒ่าสกุลเฉินผู้รอบรู ้แห่งทักษินาตยทวีปไปคนหนึ่ง มีผู้เฒ่า สวมชุดลัทธิขงจื๊อเรือนกายผ่ายผอมเพิ่มมาสองคน และยังมีผู้เฒ่า ท่าทางเงียบขรึมลักษณะคล้ายข้ารับใช ้เพิ่มมาอีกคน สองคนในนั้น เป็ นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ก็คือผังเชาลั่วหยางมู่เค่อและผู้ฝึกตน หญิงฉินปู่อี๋ที่เคยไปเยือนตรอกฉีหลงของเมืองเล็ก
ฉินปู้ อี๋เป็ นคนตรงไปตรงมา เป็ นฝ่ ายเลี้ยงเหล้าผู้คุมกฏฉางมิ่ง และเจี่ยเฉิง
ผู้เฒ่าสามคนนั้นมองดูแล้วมีลักษณะท่าทางคือคนหนึ่งรวยคน หนึ่งสูงศักดิ์และอีกคนยากจน
คนหนึ่งที่ชื่อว่าหวงเจินซูบอกว่าตัวเองสอนหนังสืออยู่ที่สานัก ศึกษาซิวสุยไถจือ
และยังมีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ชื่อว่าเจิงซินซวี่ บอกว่าตัวเอง เป็ นผู้เรียบเรียงต าราของแคว้นเล็กแห่งหนึ่ง ทุกวันนี้ไม่มีต าแหน่ง หน้าที่ก็ตัวเบา เลยได้แอบอู้ติดตามสหายเก่าแก่สองคนมาท่องเที่ยว
ขุนเขาสายน้าใหญ่งดงามด้วยกัน คนสุดท้ายชื่อว่าฝานเฉิง ไม่ค่อยชอบพูดคุย
แรกเริ่มเจี่ยเฉิงยังค่อนข้างจะระมัดระวังตัว เพียงแต่ว่าพอได้ดื่ม เหล้าเข้าไปแล้ว เซียนบนภูเขาที่กลิ่นหอมเข้มข้นโชยเข้าจมูกถูก กลืนลงท้องไป ความกล้าหาญก็เพิ่มมากขึ้นทันที แม้จะบอกว่า นักพรตเฒ่ารู ้อะไรควรไม่ควรเป็ นอย่างดี ไม่มีทางกล้าดื่มจนเมามาย แต่ท่าทางเมากริ่มเช่นนั้นช่างมหัศจรรย์จนบรรยายเป็ นคาพูดไม่ถูก บวกกับที่หวงเจินซูเป็ นคนคุยเก่ง ความสามารถในการดื่มสุราคารวะ และการยุให้ดื่มล้วนไม่ต่า ไปๆ มาๆ เทพเซียนผู้เฒ่าเฉิงก็เป็ นคนเปิด ประเด็นพูดคุย
แล้วก็คุยกันจนไปถึงภูเขาลั่วพั่ว เจ้าขุนเขาเฉินมีคุณธรรมมี ความรู ้…พูดเจื้อยแจ้วไม่ขาดปาก ค าพูดของเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยฟังดู คล้ายไร ้ข้อห้ามใดๆ แต่แท้ที่จริงกลับกะแรงไฟได้พอเหมาะพอดีทุก จุด
รอกระทั่งหวงเจินซูที่ดื่มเหล้าเหมือนดื่มน้า จึงเป็ นเหตุให้ถูก ชะตากันที่สุดพูดไปถึงอาจารย์หนันเฟิง เจี่ยเฉิงก็กระดกดื่มเหล้าจน หมดชาม เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “บทความของหนันเฟิ งมีเอกลักษณ์ เพียงหนึ่งเดียวบนโลก ดุจดั่งแม่น้าเจียงฮั่น ดุจดั่งดวงดาวเป่ยโต้ว”
ผู้คุมกฏฉางมิ่งสังเกตเห็นได้อย่างเฉียบไวว่าพออาจารย์เจิง
ซินซวี่ได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
หวงเจินซูยิ้มถาม “เจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นั้นเลื่อมใสในบทความที่มี วลีติดปากผู้คนอย่าง “ศาลาเต้าซาน” “บันทึกบ่อหมึก’ พวกนี้หรือ?”
ดูเหมือนว่าอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้จะรอให้นักพรตตาบอดเอ่ย ถ้อยคาชมเชยที่เป็ นคาพูดเก่าซ้าซากที่มักหยิบยกมาพูดถึงเป็ น
ประจ าอยู่พอดี
เจี่ยเฉิงกลับหัวเราะฮ่าๆ ส่ายหน้าติดๆ กัน “การที่เจ้าขุนเขาบ้าน ข้าเลื่อมใสอาจารย์หนันเฟิ งมากถึงเพียงนี้ กลับไม่เพียงแค่เพราะ บทความ “ใช ้ถ้อยค าถูกต้องมีเหตุผล แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์” เจ้า ขุนเขาบ้านข้าพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าหากมีเพียงเท่านี้ บทความ ของเหล่านักประพันธ ์มากชื่อในใต้หล้ามีนับพันนับหมื่น ส่องสว่างสุก สกาวดุจหมู่ดวงดาว อาจารย์หนันเฟิ งก็เป็ นแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น บทความอย่างพวก “ศาลาเต้าชาน” “บันทึกบ่อหมึก” แน่นอนว่าต้อง ดีมาก แต่กลับมีแค่คาว่า “ดี” คาเดียวเท่านั้น จุดที่เจ้าขุนเขาของ พวกเรานับถือมากที่สุดกลับไม่ได้อยู่ที่ผลงานที่สืบทอดต่อกันมาของ อาจารย์หนันเฟิงว่าเขียนได้งดงามถึงเพียงใด กลับกลายเป็ นว่าอยู่ที่
บทความที่มีทั้งความหมายในแง่ดีและแง่ลบของอาจารย์ผู้เฒ่าอย่าง “บันทึกจ้าวกงแห่งเยว่โจวการบรรเทาทุกข์ภัยพิบัติ” กับ “บันทึกการ เรียนอาเภออี๋หวง” ที่ให้การยอมรับมากที่สุด! และยิ่งเลื่อมใสการที่ อาจารย์หนันเฟิงมีทั้งการกระทาและคาพูดเป็ นหนึ่งเดียวกัน สามารถ นาสิ่งที่ได้เรียนรู ้มาประยุกต์ใช ้ ให้ความส าคัญกับเศรษฐกิจและ กิจการบ้านเมืองในปัจจุบัน ใส่ใจความทุกข์ยากของประชาชนอย่าง แท้จริงไม่ใช่แค่การพูดอย่างเลื่อนลอยบนหน้ากระดาษ! บอกตามตรง ว่าเจ้าขุนเขาของพวกเราชอบคัดต ารามาก อ่านไปบันทึกไปคัดไป แต่บทความที่คัดลอกเอามาทั้งหมด…”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี้ยวางจอกเหล้าลง ยื่นมือสองข้างออกมาแล้ว พลิกหมุน “อย่างมากสุดยี่สิบกว่าบท หากจะพูดถึงความเยอะของ จานวน ของอาจารย์หนันเฟิงคนเดียวก็มีมากถึงสี่บทแล้ว!”
“ขอถามหน่อยเถอะว่าบทความที่ไพเราะงดงามบนโลกใบนี้มี มากแค่ไหน มหาสมุทรแห่งความรู ้กว้างใหญ่ไร ้ขอบเขตสิ้นสุด เพียงใด การที่คัดเลือกบทความมาเหมือนเลือดเอาไข่มุกออกมายี่สิบ เม็ด เป็ นเรื่องง่ายนักหรือ?!!
นั กพร ตเ ฒ่าพูดไม่ผิด เ จ้าขุน เ ขาเ ฉิ น ผิงอัน เ ลื่อมใส อาจารย์หนันเฟิงมากจริงๆ
แต่หากจะพูดให้ “สวยหรูงดงาม” อย่างที่เจี่ยเฉิงพูดมา ก็ไม่ถึง ขั้นนั้น นักพรตเฒ่าพูดเกินจริงไปมาก
ตอนนั้นมีครั้งหนึ่งที่คุยเล่นพลางแทะเมล็ดแตงอยู่กับเจี่ยเฉิงใน ลานบ้านของพ่อครัว เนื้อหาที่เฉินผิงอันพูดถึงเรียบง่ายอย่างมาก
จูเหลี่ยนเองก็เอ่ยคล้อยตามอยู่สองสามประโยค ผลคือถูกเทพ เซียนผู้เฒ่าเจี่ยยกไปพูดถึงบนโต๊ะสุราเสียได้
“แน่นอนว่าเจ้าขุนเขาบ้านข้าก็พูดแล้วว่า นี่เป็ นแค่ความเข้าใจ และความชอบส่วนของเขาคนเดียวเท่านั้น บทความที่เป็ นดั่ง “ไข่มุก” พวกนั้น มีความเกี่ยวข้องกับความรู ้ดีได้สูงและต่ากับบทความที่ไม่ ถูกเลือกก็จริง แต่ไม่ได้ตายตัวเสมอไป เพราะถึงอย่างไรแต่ละต่างก็มี หลักประเมินความงามและความสนใจแตกต่างกันไป
“บัณฑิตเอาแต่ด่าฟ้ าด่าดินด่าคน สนุกนักหรือ? สนุก แต่มี ความหมายหรือไม่ ผินเต้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก
“ความรู ้ดีๆ จะมีแต่พลังในการลบล้างไม่ได้ ยังต้องมี ความสามารถในการซ่อมแซมและการสร ้างต่อวิถีทางโลกใบนี้ด้วย เมื่อผลักล้มลงแล้วก็ต้องสร ้างขึ้นมาใหม่ จะเอาแต่ปัดกันเดินจากไป วางพู่กันทิ้งไว้ไม่ได้
“บัณฑิตทั้งต้องใช ้ถ้อยคาและวรรณกรรมใช ้ในการสื่อสารความ จริงหลักการ ทั้งต้องสืบทอดต่อไป ถ้าอย่างนั้นการได้และเสียที่แท้จริง ของบทความจะเอาแต่เขียนให้โดดเด่นหวือหวาแหวกแนว จะไม่สร ้าง ความยุ่งเหยิงได้อย่างไร?”
“สามารถเสนอค าถามได้ ดีมาก สามารถแก้ไขปัญหาได้กลับดี ยิ่งกว่า
หวงเจินซูและอาจารย์ผู้เฒ่าเจิงซินซวี่สองคนหันมามองหน้ากัน แล้วยิ้มอย่างรู ้ทันพวกเขาขยับสายตาไปทางผู้เฒ่าที่เงียบงันสีหน้าไร ้ อารมณ์คนนั้นพร ้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายอีกครั้ง
มีมาดของเหวินเซิ่งตอนอธิบายเหตุผล และมาดของเจ้าเส้ากง ยามอธิบายคัมภีร ์อยู่หลายส่วนเลยหรือไม่
ชอบและเชี่ยวชาญที่จะคิดร ้อยเรียงต่อกันสืบเนื่องเป็ นชั้นๆ ไม่ให้ การปฏิเสธง่ายๆ แต่ก็ไม่ให้การยอมรับง่ายๆ เช่นกัน สิ่งที่ดีอย่าง แท้จริงส่วนใหญ่มักจะอยู่ในจุดที่สูงยิ่งกว่า
“ผินเต้ามีความรู ้ตื้นเขิน วิสัยทัศน์ก็ไม่สูง เดิมทีก็ไม่ได้ต่างจาก คนธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ว่ารู ้สึกเลื่อมใสในความสามารถในการ ประพันธ ์ที่ยอดเยี่ยมของเจิงเหวินติ้งกงอย่างมาก เคยคุยกับเจ้า ขุนเขามาก่อน ถึงได้รู ้ว่าความร ้ายกาจที่สุดของอาจารย์ท่านนี้กับนัก ประพันธ ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ทิ้งชื่อเสียงดีงามไว้ในประวัติศาสตร ์อยู่ที่ “จุดที่ แตกต่างกัน” ที่สุด เจ้าขุนเขาบอกว่าการอยู่ร่วมกับคนในสังคมทั้ง ต้องทาตามแบบอย่างที่ดี แล้วก็ต้องบุกเบิกแนวทางใหม่อย่าเอาแต่ ไหลไปตามกระแสสังคม ยังต้องมีความประณีตไม่เหมือนใคร แต่การ เขียนบทความกับการวางตัว หากไม่อยากพูดจาประหลาด ทาสิ่งที่ เหลวไหล แล้วก็ไม่จงใจที่จะใช ้เนื้อหาคลุมเครือเข้าใจยาก การเขียน
ที่แปลกใหม่โดดเด่นมาทาให้คนคล้อยตาม อีกทั้งยัง“ไม่เหมือนใคร” ได้ด้วย ก็ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์แล้ว
ผังเชามึนงงกับคาพูดจริงใจที่ร ้อยเรียงต่อเนื่องกันเป็ นชุดของ นักพรตเฒ่าอยู่นานแล้ว
ก่อนจะดื่มเหล้ายังสารวมอยู่บ้าง การแสดงออกก็เป็ นมิตรและ เกรงใจมีมารยาท คิดไม่ถึงว่าพอนักพรตเฒ่าดื่มเหล้าเข้าปากไปแล้ว จะ…เหมือนมีเทพช่วยขนาดนี้
ผังเชาอ่านหนังสือมาไม่มาก แต่ฉินปู่ อี๋ที่เป็ นคนบ้านเดียวกับ ป้ ายเหย่และทั้งอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน กลับรู ้ถึงน้าหนักของคาชม พวกนี้เป็ นอย่างดี
พูดง่ายๆ ก็คือหากนักพรตเฒ่าคนนี้ไม่ได้พูดจาเหลวไหล นั่นก็ หมายความว่าอาจารย์หนันเฟิงที่ยังไม่เคยได้พบหน้าผู้นี้มีตาแหน่ง ในใจของเฉินผิงอันเทียบเท่าได้กับป๋ ายเหย่ผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจที่สุดใน โลกมนุษย์และซูจื่อแห่งไพศาลได้เลย หรืออาจจะยังถึงขั้นเหนือกว่า ด้วยซ้า?
หากจะบอกว่าเป็ นการกอดขาพระเมื่อจวนตัว นักพรตเฒ่าก็ไม่มี ทางเอ่ย “บทด้นสด” พวกนี้ออกมาได้แน่นอน
หวงเจินซูใช ้เสียงในใจยิ้มถาม “สหายท่านนี้รู ้ตัวตนของพวกเรา แล้วหรือ?”
ฉินปู้ อี๋คลางแคลงไม่แน่ใจ
บนภูเขาลั่วพั่วมีความมหัศจรรย์อยู่มากมาย
อาจารย์ผู้เฒ่าที่เงียบขรึมกว่าใครส่ายหน้าเบาๆ ถือว่าเป็ นการให้ ค าตอบแล้ว
เจิงซินซวี่ยิ้มถาม “ขอถามท่านนักพรตเจี่ย เจ้าขุนเขาบ้านเจ้า คิดว่าบทความของลูกศิษย์ที่เป็ นที่ภาคภูมิใจของซูจื่อเป็ นอย่างไร
บ้าง ยกตัวอย่างเช่นค าว่า “หวง” ของ “ซูหวง?”
เจี่ยเฉิงลังเลอยู่บ้าง ก่อนจะกระดกเหล้าหมดจอกเพิ่มความกล้า ให้ตัวเอง “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความ จริงใจ เอาใจเขามาใส่ใจเราอยู่เสมอ เจ้าขุนเขาเคยพูดถึงอาจารย์ชง เหอผู้นี้อยู่จริง แล้วยังบอกด้วยว่าหากโชคดีได้พบกับอาจารย์ผู้เฒ่า หวงที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น สามารถดื่มสุรากับเขาให้สา แก่ใจ พูดคุยกันเรื่องของชีวิตได้ มีเพียงไม่สามารถคุยเรื่องยิบย่อยใน โลกมนุษย์กับคนผู้นี้ได้ ยกตัวอย่างเช่นว่าแพรต่วนหนึ่งผืนสามารถ เอาไปแลกกับซาลาเปาไส้เนื้อได้กี่ลูก ถ่านกี่จินแลกผ้าแพรต่วนได้กี่ ผืน นี่เรียกว่า…คนร่ารวยสูงศักดิ์มาพักค้างแรมในป่ าเขา เข้าใจผิด คิดว่าเสียงล าธารเป็ นเสียงฝนตก
“เจ้าขุนเขาของข้าชอบประโยคที่ว่า “สายฝนยามค่าคืนในแม่น้า ทะเลสาบกับโคมไฟสิบปี ดอกท้อดอกหลีสายลมวสันต์กับสุราหนึ่ง จอก’ มากที่สุด พอนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ชอบคิดว่า สามารถดื่มเหล้าได้คนเดียวหมดกา แต่กลับไม่ชอบประโยคที่ว่า “มองคนเก็บข้าวยามบ่ายสายลมพัดเย็น” ที่สุด เจ้าขุนเขาเฉินที่แทบ
ไม่เคยพูดนินทาคนอื่นลับหลังพอได้ยินประโยคนี้จะต้องดื่มเหล้า เงียบๆ ย้อนถามตัวเองซ้าไปซ้ามาว่าอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นเขียนบท กวีที่ไร ้น้าจิตน้าใจเช่นนี้ได้อย่างไร
นักพรตเฒ่าพูดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที รินเหล้าให้ ตัวเองหนึ่งจอก แล้วจึงชูจอกขึ้นสูง ถือเป็ นการคารวะเหล้าอริยะ ปราชญ์อยู่ไกลๆ ล่วงเกินแล้ว ขอเหล่าอริยะปราชญ์อย่าได้โกรธเคือง
เจิงซินซวี่แผดเสียงหัวเราะดังลั่น หวงเจินซูที่อยู่ข้างกันผงกศีรษะ พร ้อมยิ้มบางๆ “ด่าได้ถูกต้อง ต้องฝืนใจยอมรับไว้
ทั้งฉินปู้ อี๋และผังเชาต่างก็รู ้สึกว่าน่าสนใจมาก
คนหนุ่มคนหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ชอบแสดงอารมณ์ ความรู ้สึก สร ้างชื่อเสียงแล้วยังสร ้างคุณูปการยิ่งใหญ่ คนที่มีกล อุบายเช่นนี้ มีวิธีการเช่นนี้ เป็ นทั้งวีรบุรุษผู้กล้าเป็ นทั้งคนชั่วช ้า สามานย์
หากการดื่มเหล้าในวันนี้ได้ฟังแต่คาพูดดีๆ จากนักพรตตาบอด ต่อให้เป็ นค าพูดจากใจจริง อันที่จริงก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก
ฟังมาถึงตรงนี้ อันที่จริงเฉินผิงอันก็เดาสถานะของอาจารย์ผู้เฒ่า สองคนออกแล้ว เจิงเหวินติ้งกง อาจารย์หนันเฟิง อาจารย์ชงเหอลูก ศิษย์ของซูจื่อ
เฉินผิงอันถามชวนคุย “คนอื่นๆ เรียกอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นว่า อะไร?”
ฉางมิ่งยิ้มเอ่ย “ต่างก็เรียกเขาว่าเส้ากง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้ คุยกับเจี่ยเฉิงสักคา”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก อาจารย์ผู้เฒ่ามีชื่อจริงว่าเหอจื่อ
ความรู ้ลึกล้า มีความชานาญอย่างยิ่ง เชี่ยวชาญในเรื่องสาม ต าราห้าคัมภีร ์ดาราศาสตร ์ การค านวณปฏิทินและค าท านายมาก ที่สุด ถือเป็ นปรมาจารย์ใหญ่ในด้านการสืบทอดความรู ้การศึกษา คัมภีร ์โบราณ เปิดเส้นทางให้กับการศึกษาด้านคัมภีร ์ในทุกวันนี้
เป็ นทั้งการศึกษาของทางการที่แต่ละแคว้นให้การสนับสนุน และ เป็ นทั้งความนิยมในระบบของลัทธิขงจื๊อเอง ถือเป็ นปรมาจารย์ใน กลุ่มปรมาจารย์ เป็ นอาจารย์ของเหล่าอาจารย์
แม้ว่าจะมีชื่อเสียงเรื่องการศึกษาหาความรู ้ที่เข้มงวด เป็ นผู้ที่มี วิชาความรู ้ล้าเลิศเป็ นอันดับหนึ่ง แต่คนผู้นี้เป็ นคนเรียบง่ายพูดน้อย ไม่ถนัดการพูดคุย หากพวกลูกศิษย์มีข้อสงสัย ส่วนใหญ่ก็มักจะ เขียนตัวอักษรเพื่อขอความรู ้จากอาจารย์ ส่วนอาจารย์ก็จะตอบด้วย ตัวอักษรเช่นกัน นี่คือเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในฝ่ ายของลัทธิขงจื๊อ เอง
แต่ไม่รู ้ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงไม่เคยได้อยู่ในศาลบุ๋น
และยิ่งมีข่าวลือบอกว่าคนผู้นี้เคยปิดประตู นั่งลงตรงข้ามกับซิ่ว ไฉเฒ่าคนหนึ่งที่มาเยือนถึงที่ แต่ละคนต่างก็ถือพู่กันแล้ว “ทะเลาะ”
กันบนกระดาษ ผลัดกันรุกผลัดกันรับ เขียนตัวอักษรไปมากถึงหมื่น ตัว
ผลคือสุดท้ายซิ่วไฉเฒ่ายกนิ้วโป้ งเอ่ยชมอีกฝ่ ายว่าเขียน ตัวอักษรได้ไม่เลว
ตามหลักแล้วเรื่องลับที่มีเพียง “ฟ้ ารู ้ดินรู ้เจ้าและข้าที่รู ้” ประเภท นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะแพร่งพรายไปภายนอกได้ อย่างน้อยที่สุดก็ ไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องนี้ให้พวกลูกศิษย์ทราบ
แต่ดันกลายเป็ นว่าฝ่ ายในของลัทธิขงจื๊อเล่าลือกันไปอย่าง น่าเชื่อถือ บอกว่าเส้ากงหน้าแดงก่าอย่างไร ซิ่วไฉเฒ่ามาดมั่นแค่ ไหน รบชนะศึกยากครั้งนี้สบายๆ อย่างไร
เฉินผิงอันยังรู ้ด้วยว่าเวินอวี่รองเจ้าขุนเขาของสานักศึกษา เทียนมู่คือลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของคนผู้นี้ เป็ นทั้งอาจารย์ เป็ นทั้งสหาย
สุดท้ายในมื้อสุราครั้งนั้น เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยยังพูดถึงความคิด ของตัวเองไปอีกสองสามประโยค ยกตัวอย่างเช่นว่านักเรียนในยุค สมัยหนึ่งย่อมต้องมีความรู ้ของยุคสมัยนั้นเหมือนเข้าไปในรั้ว ล้อมรอบที่เต็มไปด้วยขีดจากัด หากว่าใครสามารถทานายได้ถึง กระแสไหลรินของสายปุ่ นในอนาคตอีกพันปี ข้างหน้าก็จะเป็ นผู้ที่ ศึกษาหาความรู ้ได้เป็ นอันดับหนึ่งของโลก สามารถเลื่อนไปขั้น โสดาบันของต้นกาเนิดน้า คาว่า “โสดาบัน” เดิมเป็ นค าใน
พระพุทธศาสนา อาจารย์ผู้เฒ่าสองคนยังหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้ กัน นี่เป็ นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินคาอธิบายที่น่าสนใจเช่นนี้
ส่วนผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุยคนนั้น แม้มองดู เหมือนจะยากจน แต่กลับกลายเป็ นว่าเจี่ยเฉิงดื่มสุราคารวะเขาคล้าย ตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนาอยู่หลายครั้ง
รอกระทั่งผู้คุมกฏแห่งภูเขาลั่วพั่วและเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยขอตัว ลากลับไป
อาจารย์หนันเฟิงก็ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถ ท าให้เจ้าขุนเขาเฉินเลื่อมใสได้ถึงขนาดนี้ ความโชคดีในชีวิตก็หนี ไม่พ้นเจอคนที่รู ้ใจของตัวเองในต่างบ้านต่างเมืองแล้ว
ไม่ใช่เพราะได้ยินถ้อยคาดีๆ แต่เป็ นเพราะความทุ่มเททั้งชีวิตที่ ไม่เคยมีใครเข้าใจ ถูกคนให้การยอมรับและทะนุถนอมเห็นค่าอย่าง แท้จริง
พูดโดนใจก็เหมือนได้ดื่มเหล้าหมักรสเลิศ
ผู้เฒ่าเงียบขรึมที่ดื่มเหล้าก็ไม่เคยแสดงสีหน้าใดๆ คนนั้นลุกขึ้น ยืน เดินไปที่หน้าต่างการมองเห็นพลันเปิ ดกว้าง คล้ายกับว่าเปิ ด หน้าต่างปล่อยสายน้าใหญ่ให้ไหลเข้ามา
ทางฝั่ งของท่าเรือหนิวเจี่ย เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยถามอย่าง ระมัดระวังว่า “เจ้าขุนเขา ผินเต้ามีตรงไหนที่พูดไม่ถูกต้อง ไม่ เหมาะสมหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เฉินหลิงจวินพูดได้ไม่ผิด เทพเซียนผู้เฒ่า เจี่ยไร ้ศัตรูเทียมทานบน โต๊ะสุราจริงๆ”