กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1052.1 สหายอย่าพูดเลย
ในระเบียงใต้ชายคาของชั้นหนึ่งเรือนไม้ไผ่ หน่วนซู่ก าลังท างาน เย็บปัก หมี่ลี่น้อยพูดเจื้อยแจ้วอยู่ด้านข้าง เล่าว่าทุกวันนี้สานักกระบี่ ชิงผิงของห่านขาวใหญ่มีหมวกขุนนางอะไรเพิ่มมาบ้าง
วันที่มีพลังอ่านคัมภีร ์ วันที่หมดแรงอ่านประวัติศาสตร ์ ควบคุม ความโกรธด้วยการวาดต้นไผ่ เมื่อมีความสุขวาดดอกกล้วยไม้ อ่าน รวมเล่มของเหล่าเมธีท่ามกลางสายลมวสันต์
เฉินผิงอันก าลังเปิดอ่านต าราของส านักการทหาร เป็ นต าราชุด แรกที่จะส่งไปยังนครจักรพรรดิขาว อันที่จริงทางฝั่งของยอดเขาจี้ เซ่อได้เตรียมไว้เรียบร ้อยแล้ว เงินฝนธัญพืชห้าร ้อยเหรียญจะเข้ามา อยู่ในมือโดยเร็ว
ห้องกระบี่ในภูเขาเพิ่งจะได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งที่ส่งมาจาก เรือข้ามฟากถงอินภายใต้พื้นฐานเดิมที่มีหกกองงานแปดหน่วยงาน เจ้าสานักชุยก็ได้เพิ่มที่ว่าการสาขาแยกซึ่งอยู่ใต้อาณัติของกองคุณ ความชอบและความผิดกับกองประสานงานอีกหลายแห่ง คนมีแค่ ไม่กี่คน อันที่จริงก็มีมากกว่าภูเขาลั่วพั่วแค่ไม่เท่าไร ทว่า “ที่ว่าการ” ใหม่เอี่ยมแต่ละแห่งกลับผุดขึ้นมาราวหน่อไม้หลังฝนตก ดูจาก ท่าทางแล้วคงจะให้คล้ายกับที่ว่าการยี่สิบสี่กองงานของซานจวินห้า
ขุนเขาและกงโหวลาน้าใหญ่แล้ว คาดว่าสุดท้ายแล้วจานวนก็น่าจะมี มากกว่าไม่มีน้อยกว่า
เหอะ ยังคงเป็ นภูเขาลั่วพั่วของข้าที่มีขนบธรรมเนียมบริสุทธิ์ เที่ยงตรงมากกว่า
วันนี้เด็กชายชุดสีชาดที่มาขานชื่อลงนามที่ภูเขาลั่วพั่ว ในฐานะ บุคคลอันดับสองของศาลเทพอภิบาลเมืองของฉู่โจวที่แต่งตั้งขึ้นเอง มันตั้งชื่อและฉายาให้กับตัวเองโดยเอาสองมารวมให้เป็ นหนึ่งว่า “ชื่อ เฉิง” หลักๆ แล้วเป็ นเพราะอยู่ร่วมกับประมุขเผยและรองหัวหน้าโจว มานานวัน ได้รับการกล่อมเกลามามาก จึงรู ้สึกว่าคากล่าวที่ว่า “ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ” (อี่เฉิงไต้เหริน) เป็ นคากล่าวที่ดี มาก ก่อนหน้านี้ไม่นานเนื่องจากเจ้าขุนเขาเฉินมีคาสั่ง มันจึงได้ เลื่อนขั้น ได้รับเกียรติเป็ นผู้พิทักษ์ใหญ่ของตรอกฉีหลง ส่วนงูป๋ า ยฮวาพาหนะที่ไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยากตัวนั้น ทุก วันนี้นางเองก็ได้ดิบได้ดีแล้ว หึ ในวงการขุนนางขอแค่ติดตามคนถูก ก็เรียกได้ว่าเหนื่อยครึ่งเดียวได้ผลลัพธ ์เป็ นเท่าตัว
ชื่อของนางคือ “ป๋ ายหง” อันที่จริงเด็กชายชุดสีชาดตั้งอย่างส่ง เดชไปอย่างนั้นเอง ตอนนั้นเจ้าขุนเขาเฉินเอ่ยหลักการเหตุผลของ อริยะปราชญ์ในต าราไปมากมาย ฟังแล้วไม่ค่อย เข้าใจนัก ความหมายคร่าวๆ ก็คือชมว่าชื่อนี้ตั้งได้ไม่เลว ตอนนั้นต้องบอกเลย ว่างูป๋ ายฮวาที่ยังหลอมเรือนกายไม่ส าเร็จ มิอาจเปิดปากพูดได้ชาบ ซึ้งใจจนน้าหูน้าตาไหล “ป๋ ายหง” จึงกลายมาเป็ นชื่อจริงเผ่าปีศาจ
ของนาง ภายหลังเฉินผิงอันอวยพรล่วงหน้าให้นางหลอมเรือนกาย ส าเร็จ นักพรตวัยกลางคนที่มองดูแล้วมีกลิ่นอายเซียนซึ่งอยู่ข้างกันก็ ให้การสนับสนุนดีเยี่ยม คนที่บอกว่าตัวเองชื่อ “ฉุนหยางหลวี่เหยียน” เองก็เอ่ยถ้อยค ามงคลอวยพรนางเช่นกัน
ผลคือพองป้ ายฮวาตัวนั้นกลับไปยังภูเขาฉีตุนก็ปิดด่านส าเร็จใน วันนั้นเลย ตอนที่ปรากฏกายอีกครั้งก็อยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีร่างสูง โปร่งสะโอดสะอง ผิวงูสีขาวราวหิมะของนางก็ถูกนางหลอมกลายมา เป็ นชุดคลุมอาคม ประเด็นสาคัญก็คือตรงหว่างคิ้วของนางยังมี “ร่องรอยแห่งมรรคา” ที่มหัศจรรย์คล้ายทารกมนุษย์ทั่วไปที่มีติดตัว มาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาอีกด้วย…สัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์ ผิดปกติของฟ้ าดิน ซ่งอวี่จางเทพภูเขาที่ถูกโยกย้ายจากยอดเขาจี้ เซ่อไปอยู่ภูเขาฉีตุน นายท่านเทพภูเขาที่แทบไม่เคยไปมาหาสู่กับ อาณาเขตของขุนเขาเหนือผู้นี้ก็พาร่างทองเดินออกมาจากศาล ถึงกับมาแสดงความยินดีถึงที่ด้วยตัวเอง เรียกขานนางว่าสหายป๋ า ยหง
เด็กชายชุดสีชาดนั่งอยู่ด้านบนคานหาบสีทองของรองหัวหน้า โจว เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขา ป๋ ายหงนางหน้าบาง บอกว่านางจะ พยายามเก็บหอมรอมริบหาของขวัญชิ้นหนึ่งมาให้ได้โดยเร็วที่สุด ตัวนางถึงจะมีหน้ามาที่นี่เพื่อโขกหัวขอบคุณเจ้าขุนเขาดีๆ อีกครั้ง”
ทุกวันนี้ยามที่คนจิ๋วควันธูปแห่งศาลเทพอภิบาลเมืองฉู่โจวผู้นี้ ต้องข้ามภูเขามาขานชื่อได้เปลี่ยนพาหนะเป็ นงูเขียวตัวหนึ่งแทนแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้ากลับไปบอกสหายป๋ ายหงสักค าว่าไม่ ต้องยุ่งยากล าบากล าบนถึงเพียงนั้น มีเวลาว่างก็มาเป็ นแขกที่นี่กับ เจ้าบ่อยๆ ก็พอ หากวันหน้าพบเจอด่านในการฝึกตน อยากมาถาม ใครที่ภูเขาลั่วพั่วก็มาถามได้เลย หากฟังแล้วรู ้สึกว่ายังไม่เข้าใจก็ ถามคนอื่นเพิ่มให้มากหน่อย ฝึกตนถามมรรคาเป็ นเรื่องใหญ่ จะหน้า
บางเกินไปไม่ได้”
เด็กชายชุดสีชาดถามหยั่งเชิง “ใต้เท้าเจ้าขุนเขา ไม่สู้ให้ข้าช่วย โขกหัวให้ท่านแทนป๋ ายหงก่อนดีไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือ เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ไม่ชินกับเรื่องพวกนี้”
เด็กชายชุดสีชาดกล่าวอย่างระมัดระวัง “ใต้เท้าเจ้าขุนเขาจะมี เวลาว่างไปยังตัวเมืองเมื่อไหร่หรือ? ที่นั่นข้าคุ้นทางดี เพียงแค่บอก กล่าวกันสักค า ข้าสามารถน าทางให้ใต้เท้าเจ้าขุนเขาได้”
อย่าเห็นว่ามันชอบเรียกเกาผิงเทพอภิบาลเมืองว่าเกาขึ้นคาน ถึงอย่างไรส่วนลึกในใจก็ยังเข้าข้างนายท่านบ้านตน จึงคิดว่าหาก สามารถเชิญให้เจ้าขุนเขาเฉินไปเยือนศาลเทพอภิบาลเมืองได้ นั่นก็ จะถือเป็ นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลจริงๆ อีกอย่างเจ้าเกาผิงผู้นี้ไม่รู ้จักเป็ น ขุนนางเอาเสียเลย ไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ ์ระหว่างผู้คนเลยสัก นิด ทุกครั้งที่ตนพร่าพูดเรื่องมารยาท เรื่องข้อพิถีพิถันในวงการขุน นางภูเขาสายน้ากับเขาจนปากเปียกปากแฉะ เกาผิงไม่เพียงแต่ไม่รับ น้าใจ ตายแล้วยังจะรักศักดิ์ศรีหน้าตา ตอนมีชีวิตอยู่ก็ย่อมใช ้ชีวิต
อย่างยากล าบาก กลับกลายเป็ นยังเอ่ยกับมันว่าฮ่องเต้ไม่ร ้อนใจ ขันทีร ้อนใจแทน คาพูดที่ละเมิดกฎเช่นนี้เจ้าที่เป็ นเทพอภิบาลเมือง พูดส่งเดชได้หรือ?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “วันเวลาที่แน่ชัด ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่เจ้า วางใจเถอะ ขอแค่ข้าไปที่ตัวเมืองก็จะต้องไปจุดธูปที่ศาลเทพอภิบาล เมืองแน่นอน ได้ยินมาว่าศาลเทพเจ้าแห่งโชคลาภ” ของบ้านเจ้า ศักดิ์สิทธิ์มาก ถือเป็ นอันดับหนึ่งในอาณาเขตขุนเขาเหนือ จะต้องไป ให้ได้”
เด็กชายชุดสีชาดรู ้สึกมีความสุข แต่เพียงไม่นานก็อดหน้าหมอง ไม่ได้ ระหว่างคิ้วมีความกลัดกลุ้มอยู่จางๆ กลัวก็แต่ว่าตนตัดสินใจ เองโดยพลการ เจ้าขุนเขาเฉินไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองจริงๆ เกาผิง ก็จะท าหน้าบูดบึงให้เจ้าขุนเขาเฉินเห็น มันไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะวาง หน้าไม่ถูก แค่กังวลว่าความสัมพันธ ์ระหว่างเกาผิงที่ดื้อดึงกับภูเขาลั่ว พั่วจะย่าแย่ แล้วก็กลัวว่าเจ้าขุนเขาเฉินที่เดิมทีมีความหวังดี พอไป ถึงที่นั่นแล้วจะอารมณ์เสียไปเปล่าๆ
เฉินผิงอันเปิ ดหน้าหนังสือหน้าหนึ่งแล้วพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ครั้งหน้าหากได้เจอกับเทพอภิบาลเมืองเกาจะไม่บอกว่าเจ้าเป็ นคน เชิญให้ข้าไปที่นั่น”
เจ้าตัวน้อยอิ่มรับเบาๆ หนึ่งที ทั้งๆ ที่ควรจะมีความสุข แต่กลับ รู ้สึกน้อยใจอย่างไร ้เหตุผล ในใจเปรี้ยวฝาด คลายกับดื่มน้าชาค้าง คืน หรือไม่ก็สุราชั้นเลวที่ไม่ได้หมักให้ดี
เจ้าขุนเขาเฉินเข้าอกเข้าใจผู้อื่นถึงเพียงนี้แล้ว ไฉนเจ้าเกาผิงถึง ได้ใจดาขนาดนั้น ข้าติดค้างเจ้าหรือ…เอาเถอะ ข้าเองก็กระโดด ออกมาจากกระถางธูปในศาลเทพแห่งผืนดินภูเขาหมั่นโถว ติดค้าง เจ้าจริงๆ นั่นแหละ
เฉินผิงอันปิดหนังสือลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สิ่งที่เจ้าทา เทพอภิบาล เมืองเกาล้วนเห็นอยู่ในสายตา สิ่งที่เจ้าคิด อันที่จริงเทพอภิบาลเมือง เกาก็เก็บไปใส่ใจ เพียงแต่ว่าค าพูดบางอย่างของคนบางคนมักจะไม่ ค่อยชอบพูดออกมาจากปากก็เท่านั้น แน่นอนว่าคาพูดที่อยากสิ่งซึ่ง ไม่เคยได้ยิน เวลานานวันเข้า พวกเราก็ย่อมต้องรู ้สึกผิดหวัง แต่ อย่าได้สงสัยในคาตอบที่พวกเรามีอยู่ในใจมานานแล้ว เจ้าคิดว่า อย่างไร?”
เด็กชายชุดสีชาดยังคงอืมรับอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าครั้งนี้เจ้า ตัวน้อยไม่หน้าม่อยหม่นหมอง ไหล่ลู่คอตกอีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็ น สีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา คิ้วตาเบิกบาน
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน สอดตาราพิชัยยุทธเล่มนั้นใส่ไว้ในชายแขน เสื้อ บอกว่าตัวเองจะไปเดินเล่นที่หน้าประตูภูเขา
ภูเขาลั่วพั่วป่ าวประกาศแก่ภายนอกว่าจะปิ ดภูเขาสามสิบปี ระหว่างนี้ไม่ต้อนรับแขกไม่รับลูกศิษย์
แต่เพียงแค่เพราะเฉินผิงอันมีการพูดคุยเป็ นการส่วนตัวมาก่อน อนุญาตให้ทุกคนของภูเขาลั่วพั่วรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ถูกชะตามา
ได้ส่วนหนึ่ง แต่ในระยะเวลาสั้นๆ นี้จะไม่มีการจัดงานพิธียกพู่กัน บันทึกทาเนียบในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี๋หลิง รอให้ถึงเวลา เหมาะสมแล้วสามารถจัดขึ้นพร ้อมกันได้ ดังนั้นเซียนเว่ยจึงสบ โอกาสเหมาะรับลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อมาคนหนึ่ง
นักพรตเซียนเว่ยคือนักพรตตัวปลอมที่ไม่ได้รับธรรมโองการ อย่างเป็ นทางการ ทว่าลูกศิษย์ของเขาคนนี้กลับเป็ นนักพรตตัวจริง
ทุกวันนี้คนผู้นี้เช่าบ้านหลังเก่าอยู่ที่ตรอกเอ้อหลางของเมืองเล็ก และมักจะคอยมาขอวิชาความรู ้จากเซียนเว่ยเป็ นประจ า
เฉินผิงอันไปที่ตีนเขาเพียงลาพัง ข้างโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าประตูภูเขา มีนักพรตคนหนึ่งนั่งดื่มชาอยู่ มีรูปโฉมเป็ นวัยกลางคน หยุดชะงักอยู่ ที่ขอบเขตถ้าสถิตมานานหลายปีแล้ว อายุจริงๆ มากถึงหกสิบปีแล้ว
เวลานี้นักพรตเซียนเว่ยกาลังดื่มชาคุยเล่นกับลูกศิษย์คนนี้ ส่วน จะใช่การถ่ายทอดวิชาความรู ้ ช่วยไขข้อข้องใจให้หรือไม่ ก็บอกได้ ยากแล้ว
ตามคากล่าวของเว่ยป้ อ นักพรตพเนจรผู้นี้มีชื่อว่าหลินเฟยจิง ดู เหมือนว่าจะมีปัญญาติดตัวมาแต่ก าเนิด
พูดง่ายๆ ก็คือมีความเป็ นได้อย่างยิ่งว่าชาติก่อนคนผู้นี้ก็คือผู้ฝึก ตน
คนหลายคนที่ชาติก่อนสละร่างจากโลกนี้ไป พอโอกาสในชาตินี้ มาถึง หากสติปัญญาเปิดออกก็จะสามารถกลับมาฝึกตนได้อีกครั้ง
อีกทั้งการเดินขึ้นเขาจะเร็วมาก การฝึกตนราบรื่นไปตลอดเส้นทาง ประหนึ่งมีเทพเจ้าช่วยปกป้ อง หลินเฟยจิงคือคนของเฉียนโจวเก่า ราชวงศ์ป๋ ายซวง มาจากตระกูลคนมีชื่อเสียงในท้องถิ่น เคยเป็ นครู สอนคัมภีร ์ในอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เว่ยป้ อเคยตรวจสอบ เอกสารของกรมพิธีการต้าหลีมาก่อน ไม่ว่าจะสถานะหรือนิสัยใจคอ ล้วนไม่มีปัญหาใดๆ จิตแห่งมรรคาของคนผู้นี้หนักแน่นมั่นคง แต่ คุณสมบัติในการฝึกตนกลับธรรมดา อายุหกสิบกว่าปีแล้วยังเป็ นแค่ ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้าสถิตคนหนึ่ง เพราะถูกสงครามครั้งนั้นถ่วง รั้งไว้จึงยังไม่มีฉายาในการฝึกตน ครั้งนี้หลินเฟยจิงเดินทางจากทาง ใต้ของทวีปมายังต้าหลีที่อยู่ทางทิศเหนือโดยไม่สนความยากลาบาก ความตั้งใจเดิมคืออยากจะขอวิชาความรู ้จากเจ้าขุนเขาเฉิน ผลคือ พอมาถึงที่นี่กลับพบว่าภูเขาลั่วพั่วไม่รับแขก เพราะไม่ได้เจอกับเฉิน ผิงอันจึงได้แต่หยุดอยู่แค่ที่หน้าประตูภูเขา อีกทั้งหลินเฟยจิงยังไม่ ยินดีจะกลับบ้านเกิดไปทั้งอย่างนี้ จึงมักจะมาดื่มชาที่หน้าประตูภูเขา เป็ นประจา คิดว่าตัวเองบุกขึ้นเขาไปไม่ได้ แต่ก็ต้องมีช่วงเวลาที่เจ้า ขุนเขาเฉินลงจากภูเขามาเอง ผลคือภายหลังก็ถูกคนเฝ้ าประตูเซียน เว่ย…ดักชิงตัวไปก่อน
พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปแล้ว เซียนเว่ยก็พูดโน้มน้าวว่า “เฟ ยจิงอ่า หากไม่มีธุระก็กลับไปเถอะ เกี่ยวกับเรื่องที่จะให้ช่วยเจ้าหา งานในอาเภอไหวหวง ก่อนหน้านี้ไม่นานอาจารย์ได้บอกกับสหายจิ่ง
ชิงไปแล้ว อีกฝ่ ายตบอกรับรองบอกว่าช่วงนี้จะต้องช่วยให้เจ้าได้งาน แน่ๆ เจ้าวางใจได้เลย”
หลินเฟยจิงพยักหน้า “อาจารย์สามารถบอกกับจิ่งชิงเซียนซือได้ ว่างานนี้ไม่ต้องให้เงินเดือนมากก็ได้ ศิษย์ก็แค่อยากหาที่พักพิง สามารถเก็บเงินได้เล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องถึงกับว่าวันๆ ดีแต่ใช ้เงิน แค่นี้
ก็สบายใจได้แล้ว”
ได้ยินมาว่าจึงชิงเซียนซือแห่งภูเขาลั่วพั่วคนนี้มีศาสตร ์คงความ เยาว์ คือเทพเขียนผู้เฒ่าขอบเขตก่อกาเนิดที่หวนกลับสู่ความจริงคน หนึ่ง
เซียนเว่ยบ่น “นี่คือคาพูดอะไรกัน อาจารย์กับสหายจิ่งชิงมี ความสัมพันธ ์กันอย่างไรเงินเดือนในแต่ละเดือนจะต่าได้หรือ”
เฉินหลิงจวินเก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจมากจริงๆ เพียงแต่ว่าทางฝั่งของ ตรอกฉีหลงนั้น ร ้านยาสุ้ยที่สือโหรวเป็ นตัวแทนเถ้าแก่ขายแค่ขนม อย่างเดียว ถึงอย่างไรหลินเฟยจิงก็เป็ นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง ไปเป็ น ลูกจ้างอยู่ที่นั่น ทุกๆ เดือนจะให้เขาหาเงินได้แค่ไม่กี่ตาลึงเงินเท่า นั้นเองหรือ? แต่หากจะให้หลินเฟยจิงไปอยู่ที่ร ้านฉ่าวโถวข้างกัน หนึ่งเพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้เจอกับพี่ใหญ่เจี๋ย สองคือการค้าของที่ ร ้านก็ธรรมดา ร ้านเล็กๆ อีกทั้งยังมีจ้าวเติงเกาและเถียนจิ๋วเอ๋อร ์อยู่ ก่อนแล้ว ดังนั้นเฉินหลิงจวินจึงลาบากใจมากจริงๆ แรกเริ่มคิดว่าตน จะแอบออกเงินไปให้ก่อน ปรึกษากับเหวยเหวินหลงและจางเจียเจิน ของห้องบัญชี รบกวนให้พวกเขาช่วยเหลือสักเล็กน้อย แต่ละเดือน
ให้จ่ายเงินเดือนให้กับหลินเฟยจิงในนามของภูเขาลั่วพั่ว ก็แค่เงิน เกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญที่เพิ่มมา ค่าใช ้จ่ายเล็กน้อยแค่นี้เฉินหลิงจวิน จ่ายไหวอยู่แล้ว!
ก้อนทอง เงินหยวนเป่ า เงินเหรียญทองแดงของล่างภูเขา เงิน เทพเซียนสามชนิดของบนภูเขา จะใหญ่กว่าหน้าได้หรือ?
นี่เรียกว่าฟ้ าดินกว้างใหญ่ น้าใจพี่น้อง ใบหน้าใหญ่ที่สุด
พอดีกับที่ก่อนหน้านี้เรือเพิ่งยวนมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือหนิว เจี่ยว เฉินหลิงจวินจึงคุยเรื่องนี้กับพี่ใหญ่เจี่ย พี่ใหญ่เจียก็เป็ นคนใจ กว้าง พูดติดๆ กันว่าไม่มีปัญหา เรื่องเล็กน้อยที่เพิ่มชามกับตะเกียบ มาที่ร ้านคู่หนึ่ง ยังบอกน้องจิ่งชิงด้วยว่าไม่ต้องเสียเวลาไปที่ห้องบัญชี แล้ว เงินเดือนที่เป็ นเงินเกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญนี้ เขาเจี่ยเฉิงจะออกให้ เอง ทุกวันนี้นอนเสวยสุขอยู่บนเรือเฟิงยวน มีต าแหน่งเป็ นผู้ดูแลรอง ทาให้เขาหาเงินได้ไม่น้อย แต่เรื่องของการใช ้เงินนี่สิที่เป็ นเรื่อง ยากลาบาก บอกให้หลินเฟยจิงผู้นั้นไปอยู่ที่ร ้านฉ่าวโถวได้เลย ไม่ ต้องเป็ นลูกจ้างอะไรแล้ว เสียเกียรติเกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะให้ ต าแหน่งเถ้าแก่รองแก่เขา จะได้น่าฟังหน่อย น้องจิ่งชิงช่วยน าความ ไปบอกจิ่วเอ๋อร ์กับเติงเกาด้วยว่ายามที่อยู่กับนักพรตหลิน ให้พวก เขาสองคนยึดหลักมารยาทที่ผู้เยาว์ควรปฏิบัติต่อผู้อาวุโส หาไม่แล้ว เขาที่เป็ นอาจารย์จะใช ้กฎส านักกับพวกเขาแล้ว…
เรื่องนี้จึงตกลงกันตามนี้ แต่เฉินหลิงจวินยังไม่ทันได้มาบอกข่าว ดีกับนักพรตเซียนเว่ย
หลินเฟยจิงลุกขึ้นยืน คารวะตามขนบลัทธิเต๋อาลาอาจารย์
เซียนเว่ยลุกขึ้นยืนช ้าๆ สะบัดชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋า เอ่ยเตือน ว่า “เยี่ยมเยือนเซียนฝึกวิชา หลอมลมปราณทาสมาธิ สาคัญที่จิต ศรัทธา เมื่อลมปราณนิ่งสงบก็จะใสสะอาดเป็ นเหตุให้ไม่ควรเย่อหยิ่ง ไม่ควรวู่วาม ส่วนเรื่องของขอบเขต ใจร ้อนเกินไปก็กินเต้าหู้ร ้อน
ไม่ได้”