กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1052.2 สหายอย่าพูดเลย
หลินเฟยจิงประสานมือคารวะ “อาจารย์พูดมีเหตุผล ผู้ฝึ กตน อย่างพวกเราจะให้ความสาคัญกับขอบเขตเกินไป ทิ้งรากเก็บปลาย มาได้อย่างไร เป็ นศิษย์ที่ใจร ้อนวู่วามไปเองขอบพระคุณอาจารย์ที่ ช่วยชี้แนะ”
หากจะพูดกันถึงวาทะศิลป์ และความหัวไว ตอนอยู่ที่เมือง หลวงต้าหลี นักพรตเซียนเว่ยก็เกือบจะหลอกเฉินผิงอันได้แล้วด้วย ซ้า
ศิษย์คนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ! พูดไปแค่ไม่กี่ประโยค ลูกศิษย์ก็ สามารถคิดไปถึงหลักการเหตุผลที่อาจารย์คิดไม่ถึงได้แล้ว
เซียนเว่ยตบไหล่หลินเฟยจิง “มรรคาใกล้ชิดกับธรรมชาติ ต้อง ใช ้จิตใจที่ไร ้ความยึดติดทาเรื่องที่มีเป้ าหมาย ต้องใช ้การทาเรื่องที่มี เป้ าหมายมาขัดเกลาจิตที่ไร ้การยึดติด ขอแค่จิตใจสงบนิ่งเป็ นกลาง ฝึกตนอย่างมั่นคง วิถีแห่งฟ้ าโคจรอย่างแข็งขัน ย่อมต้องทาให้เมฆ ทะมึนสลายหายไปจนมองเห็นแสงจันทร ์ได้อย่างแน่นอน”
หลินเฟยจิงคล้ายจะเกิดการบรรลุตระหนักรู ้ จึงขอบคุณใน ถ้อยคาล้าค่าที่คู่ควรให้ตนขบคิดซ้าไปซ้ามาของอาจารย์อีกครั้ง
เซียนเว่ยตีหน้านิ่ง วางมาดของอาจารย์ แต่แท้จริงแล้วกลับแอบ ถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็ไล่นายท่านน้อยหลินเฟยจิงผู้นี้กลับไป ได้เสียที
เซียนเว่ยที่รับลูกศิษย์มารู ้สึกใจฝ่ ออยู่บ้าง ไม่เคยกล้าพูดเรื่องนี้ กับเจ้าขุนเขาเสียทีเซียนเว่ยยังถึงขั้นพูดกาชับหมี่ลี่น้อยซ้าไปซ้ามา ว่าอย่ารีบร ้อนเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าขุนเขาฟัง รอให้ถึงเวลาเหมาะสมตนจะ รายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าขุนเขาเฉินด้วยตัวเอง
เพียงแต่ว่าเรื่องที่ทาให้นักพรตเซียนเว่ยใจฝ่ อไม่ได้อยู่ที่กฎที่ บอกว่าปิ ดภูเขาไม่ต้อนรับแขก รับลูกศิษย์ต้องระมัดระวัง แต่เป็ น เพราะการกระทาที่เกิดจากความฮึกเหิมชั่วขณะของตน กังวลว่าเจ้า ขุนเขาเฉินจะเห็นว่าตนไปถ่วงเวลาลูกศิษย์ของคนอื่นเขา ขออย่าให้ กลายเป็ นว่ารับลูกศิษย์มาแล้วจะต้องเสียชามข้าวเหล็กอย่างอาชีพ คนเฝ้ าประตูนี้ไปท าให้เขาต้องกลับไปท าอาชีพเก่า อาจารย์และศิษย์ สองคนต้องไปหาเลี้ยงชีพอยู่ในยุทธภพกันอีกครั้งเลย
โชคดีที่เป็ นแค่ลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อซึ่งเวลาปกติเรียก ขานกันเป็ นสหาย ไม่อย่างนั้นเซียนเว่ยก็คงจะต้องโน้มน้าวให้หลินเฟ ยจิงรีบกลับบ้านเกิดไปแล้วจริงๆ
ภายนอกนั้นเป็ นเซียนเว่ยที่เห็นหลินเฟยจิงกระตือรือร ้นแสวงหา มรรคาจึงฝื นใจรับเขาเป็ นลูกศิษย์ แต่ในความเป็ นจริงน่ะหรือ ใน ความคิดของเซียนเว่ยก็คือหลินเฟยจึงมีชาติก าเนิดมาจากตระกูล
ขุนนาง จะดีจะชั่วก็เป็ นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางแล้ว พอจะมี ทรัพย์สินอยู่บ้าง ฐานะทางบ้านไม่ธรรมดา
เซียนเว่ยเป็ นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว ก่อนหน้านี้แค่พูดคุยกัน ไม่กี่คาก็สืบเสาะเรื่องราวของหลินเฟยจิงจนรู ้เส้นสนกลในชัดเจน คาถามที่มองดูเหมือนคุยเล่นกันไปเรื่อยเปื่อยอย่างเช่นว่าสหายเคย ไปท่าเรือตระกูลเซียนมาแล้วกี่แห่ง เคยนั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียน มาแล้วกี่ลา แล้วก็เพราะว่าทุกวันนี้ไม่จาเป็ นต้องต้มตุ๋นใครแล้ว หาไม่ แล้วนักพรตเซียนเว่ยก็สามารถทาให้หลินเฟยจิงมีเงินมาท่องเที่ยว ทางเหนือ แต่ไม่มีเงินกลับบ้านเกิดได้
ก็เหมือนประโยควิจารณ์ของเฉินผิงอันที่เรียกได้ว่าพูดเข้าเป้ าใน ค าเดียว
ไม่ใช่คนที่ใสสะอาดก็ไม่มีทางถูกนักพรตเซียนเว่ยหลอกเอาได้
หลินเฟยจิงพลันหยุดเดินแล้วถามว่า “นักพรตเซียนเว่ย ท่านผู้นี้ คือ?”
มีบุรุษสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวคนหนึ่งเดินลงขั้นบันไดมา เขา ปักปิ่นหยกไว้บนมวยผม บุคลิกอบอุ่นอ่อนโยน
เซียนเว่ยหันไปมองก็รู ้สึกเหมือนหัวจะโตเท่ากระด้ง เจ้าขุนเขา ลงจากภูเขามาได้อย่างไร?!
โชคดีที่หลินเฟยจิงหัวไวไม่ได้เรียกตนว่าอาจารย์
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าชื่อเฉินผิงอัน สหายท่านนี้ใช่สหายของ เซียนเว่ยหรือไม่?”
หลินเฟยจิงเหลือบมองเซียนเว่ย
เซียนเว่ยกระทืบเท้า ช่างเถิดๆ จะยืดคอหดคอดาบก็ต้องฟันลง มาอยู่ดี ตนยอมรับอย่างเปิดเผยไปเลยดีกว่า จึงบอกกับเฉินผิงอัน อย่างตรงไปตรงมาว่าหลินเฟยจิงคือลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ ของตน
“เป็ นเรื่องดี”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ในเมื่อพวกเจ้ามีศักดิ์เป็ นอาจารย์ และศิษย์กัน สหายหลินก็มาพักอยู่ที่นี่ได้เลย ส่วนจะพักอยู่ที่ตีนเขา หรือจะเลือกเรือนหลังหนึ่งกลางภูเขาก็ให้นักพรตเซียนเว่ยเป็ น ผู้จัดการแล้วกัน”
เซียนเว่ยถอนหายใจในใจเบาๆ ตนเป็ นแค่คนเฝ้ าประตูของภูเขา ลั่วพั่วเท่านั้น ไฉนถึงได้เหมือนเซียนซือผู้ถวายงานที่มีเก้าอี้อยู่ใน ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อเลยเล่า
หลินเฟยจิงลังเลเล็กน้อย เขาคารวะตามขนบลัทธิเต๋าต่อเจ้า ขุนเขาเฉินที่ชื่อเสียงประหนึ่งฟ้ าผ่าข้างหูก่อน พอยืดตัวขึ้นแล้วจึง เอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้าเช่าบ้านหลังหนึ่งไว้ที่เมืองเล็ก จ่ายค่ามัด จาไปแล้วครึ่งปี อีกทั้งอาจารย์ยังขอให้คนช่วยหางานให้ข้าที่อาเภอ
แล้วด้วย ข้าคิดว่าช่วงนี้คงจะยังพักอยู่ที่นั่น อีกครึ่งปีให้หลังค่อยมา รบกวนเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนกันเองไม่ต้องพูดจาเกรงใจ สรุปก็ คือสะดวกอย่างไรก็ทาอย่างนั้น”
นักพรตหลินเฟยจิงคารวะขอบคุณเจ้าขุนเขาเฉินที่ตัวจริง
สอดคล้องกับภาพลักษณ์ในใจตนผู้นี้อีกครั้ง อยู่ในกฎระเบียบ เอาจริงเอาจัง
……
เพื่อให้กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วเร็วหน่อย โจวอันดับหนึ่งก็ถึงกับใช ้ ยันต์สามภูเขา แล้วก็ได้สอนวิธีใช ้ยันต์นี้ให้กับเฝิงเซวี่ยเทานานแล้ว นับตั้งแต่ที่ออกมาจากเปลี่ยวร ้าง เฝิงเซวี่ยเทาก็คอยศึกษายันต์ใหญ่ ชนิดนี้อยู่ตลอด
คงเป็ นเพราะใกล้ถึงบ้านเกิดจึงเริ่มขลาดกลัว เจียงซ่างเจินจึง ไม่ได้ตรงไปที่ยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่ว แต่พาเฝิ งเซวี่ยเทาไปที่ อ าเภอไหวหวงก่อน เดินเล่นไปตามถนนใหญ่ตรอกเล็กครบรอบหนึ่ง ต่อให้เป็ นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตบินทะยานอย่างเฝิงเซวี่ยเทา ทุกครั้ง ที่ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งแล้วได้ยินเจียงซ่างเจินแนะน าง่ายๆ ด้วยค า ไม่กี่คา ยิ่งเป็ นช่วงหลังเฝิงเซวี่ยเทาก็ยิ่งผวาพรั่นพรึง ไม่พูดถึงถนนฝู ลู่และตรอกเถาเย่ ทว่าตรอกเล็กแคบที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง ในบ้านที่ สภาพผุพังเก่าโทรมกลับเคยมีใครบางคนเกิดและเติบโตจากที่นี่ เดิน
เหยียบขี้ไก่ขี้หมาทุกวัน สุดท้ายก็ทยอยกันออกจากบ้านเกิดกลาย ไปเป็ นใครๆๆ
สุดท้ายพวกเขาไปดื่มเหล้าด้วยกันที่เหลาสุราซึ่งสิ่งปลูกสร ้างสูง ที่สุดในเมืองเล็ก ยืนอยู่ติดกับหน้าต่างของชั้นสามสามารถมองไป เห็นซุ้มก้ามปู
เฝิงเซวี่ยเทาถามชวนคุย “เหลาสุราแห่งนี้ ในเมื่อสูงที่สุดก็คงจะ ไม่ใช่ถิ่นของยอดฝีมือบางคนหรอกกระมัง?”
ผลคือเฝิงเซวี่ยเทาสังเกตเห็นว่าเจียงซ่างเจินเอาแต่เงยหน้ามอง ฝ้ าเพดานอยู่ตลอดเวลา
เจียงซ่างเจินถอนสายตากลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “เหนือหัวยังมีชั้นที่สี่ รองเท้าปักลายของ เจ้าของที่แห่งนี้ยังสูงกว่าหัวพวกเราเสียอีก เจ้าว่า สูงไม่สูงเล่า?”
หนึ่งประโยคสองความหมาย เพียงแต่เฝิงเซวี่ยเทากลับเข้าใจผิด ไม่ได้คิดเป็ นจริงเป็ นจัง เพียงแค่เพราะ “เรื่องวงใน” ที่เจียงซ่างเจินพูด ถึงในวันนี้ล้วนอยู่บนหน้ากระดาษ ความจริงที่มากกว่านั้นเขาไม่ได้ เปิดเผยให้เฝิงเซวี่ยเทารู ้ ด้วยกลัวว่าสหายชิงมีผู้นี้จะไม่กล้าหายใจ แรงตอนเดินอยู่ในเมืองเล็ก
สถานที่เล็กเท่าฝ่ ามือ มีผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งก็ถือ ว่าเป็ นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งบนภูเขาแล้ว
หากมีพร ้อมกันสองคนล่ะ? มิอาจจินตนาการได้เลย เพราะถึง อย่างไรในพื้นที่จากัดอย่างบนภูเขาได้ครอบครองบินทะยานสองคนก็ ไม่ต่างจากตระกูลที่ฐานะเท่าเทียมกันในหมู่ชาวบ้านล่างภูเขา
หากมีมากกว่านั้นอีกล่ะ? อะไรกันเล่า
ดังนั้นสถานที่ที่น่าเหลือเชื่ออย่างถ้าสวรรค์หลีจูนี้ ยิ่งขอบเขตต่า เท่าไร ความกล้าตอนที่เดินอยู่บนถนนยามค่าคืนก็ยิ่งมีมากเท่านั้น
ผู้ฝึกตนต่างถิ่น ยิ่งขอบเขตสูงยิ่งต้องระมัดระวัง
สถานที่แห่งนี้ สาหรับผู้ฝึ กตนใหญ่อย่างเช่นเฝิ งเซวี่ยเทาแล้ว ขอแค่อาศัยความลับบนยอดเขาบางอย่างก็จะรู ้ได้ว่าที่นี่มีความ เป็ นไปได้สูงที่จะซุกซ่อนหอบินทะยานแห่งหนึ่งเอาไว้ ฉีจิ้งขุนอาจารย์ สอนหนังสือของโรงเรียนในเมืองเล็กคืออริยะของหนึ่งในสามลัทธิที่ เคยนั่งบัญชาการณ์ที่แห่งนี้เป็ นคนที่สองหากนับย้อนหลังมา คือ บัณฑิตขอบเขตสิบสี่ที่อายุน้อยมากคนหนึ่ง หวังจูมังกรที่แท้จริง เพียงหนึ่งเดียวบนโลกมีรากฐานมหามรรคาอยู่ที่นี่ส่วน “กลุ่มคนรุ่น เยาว์” อย่างเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว หลิวเสี้ยนหยางแห่งสานักกระบี่ หลงเฉวียน หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่วฮวา กู้ซ่านแห่งตรอกหนีผิง ฯลฯ ข่าวคราวเกี่ยวกับพวกเขาที่แพร่อยู่ข้างนอกในทุกวันนี้กลับมี เยอะมากแล้ว
เฝิงเซวี่ยเทากล่าว “ครั้งนี้มาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ข้าควรต้อง เตรียมของขวัญมาด้วยหรือไม่?”
หากมีแค่สถานะของผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตบินทะยานอย่างเดียว ต่อให้เฝิ งเซวี่ยเทาเดินทางผ่านราชสานักต้าหลีก็แค่ต้องจงใจอ้อม ผ่านภูเขาลั่วพั่วและภูเขาพีอวิ๋นไปก็พอ ในเมื่อตอนที่อาณาเขต ขุนเขาสายน้าของถ้าสวรรค์หลีจูพวกเจ้าอยู่ในมือของหร่วนฉง ได้ เคยตั้งกฎข้อหนึ่งว่าผู้ฝึกลมปราณที่ทะยานลมในอาณาเขตจะต้อง พกยันต์กระบี่ ถ้าอย่างนั้นข้าไปมีเรื่องด้วยไม่ได้จะยังหลบเลี่ยงไม่ได้ อีกหรือ?
แต่ในเมื่อครั้งนี้ติดตามมาข้างกาย “โจวอันดับหนึ่ง” เป็ นครั้งแรก ที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วก็ควรต้องมีมารยาทบนภูเขาบ้าง ปัญหานั้นอยู่ ที่ว่าเฝิงเซวี่ยเทาไม่รู ้จักนิสัยใจคอของอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น ระดับขั้น และราคาของของขวัญพบหน้าจึงต้องมีความรู ้อย่างมาก เฝิงเซวี่ย เทาเป็ นผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งอายุขัยในการฝึกตนยังสูง กาลังทรัพย์มี อยู่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นในมือของเขาได้ครอบครองสมบัติหนักกึ่ง เซียนเหมือนซี่โครงไก่ชิ้นหนึ่ง เฝิงเชวี่ยเทาไม่ได้เลอะเลือน แน่นอน ว่าไม่มีทางตัดใจมอบออกไปได้ คิดว่าจะเก็บไว้ให้ลูกศิษย์ปิดส านัก ในวันหน้า ส่วนสมบัติอาคมอีกเป็ นกองที่มิอาจหลอมเป็ นวัตถุแห่ง ชะตาชีวิตหรือหลอมกลางแล้วไม่คุ้มค่า จะเลือกชิ้นใดมอบไปให้ดี? ของที่มีระดับขั้นเป็ นสมบัติอาคมเหมือนกัน แต่ราคากลับต่างกันราว ฟ้ ากับเหว
เจียงซ่างเจินกลับมานั่งอีกครั้ง คีบเนื้อเค็มตุ๋นหน่อไม้ขึ้นมาชิ้น หนึ่ง ตั้งใจเลือกหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ทางเมืองเล็กเรียกว่าเหลืองใน
ดินหรือไม่ก็ปลายดินเหลืองมาโดยเฉพาะ จากนั้นเอาเนื้อหมูรมควัน ที่ตากแดดมานานสองสามปีมาผัดในกระทะแล้วตุ๋นช ้าๆ เจียงซ่างเจิน เคี้ยวอย่างละเอียด ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าได้ช่วยเตรียมของขวัญไว้ให้แล้ว พี่ เฝิงไม่ต้องคิดพิจารณาในเรื่องเล็กน้อยพวกนี้”
เฝิงเซวี่ยเทาส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้อง ข้ายังพอจะมีเงินเก็บสะสม
อยู่บ้าง”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “เจ้าอย่ามาแย่งกับข้าเรื่องนี้ หากไม่เป็ น เพราะข้า เจ้าก็ไม่ต้องเดินทางมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ตามขนบธรรมเนียม ของเมืองเล็กแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็ นการแวะเวียนไปหาญาติมิตรในเดือน ที่หนึ่งหรือมีเรื่องขอให้ช่วยในเวลาปกติทั่วไปแล้ว ล้วนจะต้องมอบ ของให้เป็ นคู่ ไม่ให้ของเดี่ยวๆ ดังนั้นหากจะไม่มอบสุราให้เลยก็ต้อง มอบให้ทีละสองขวด ข้าก็เลยช่วยเจ้าเตรียมสมบัติอาคมสองชิ้นที่ น่าจะเป็ นที่ชื่นชอบของผู้คนเอาไว้ให้แล้ว”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่ามกลางการเข่นฆ่าที่พบเจอกันบนทาง แคบของพื้นที่ใจกลางเปลี่ยวร ้างครั้งนั้น เฝิงเซวี่ยเทาก็ขาดทุนไปไม่ น้อย การหาเงินของผู้ฝึกตนอิสระจะเทียบเคียงกับผู้ฝึกตนท าเนียบ ได้หรือ? แม้จะบอกว่าเจ้าคือเฝิงเซวี่ยเทาขอบเขตบินทะยานแต่ข้าคือ เจียงซ่างเจินนี่นา
ระหว่างสหายรัก หลักการเหตุผลมักจะใช ้กันเช่นนี้
เฝิงเซวี่ยเทายังคงยืนกรานความคิดของตัวเอง เจียงซ่างเจินกลับ ยกจอกเหล้าขึ้นมากระดกดื่มจนหมดแล้ว “พูดจาเหลวไหลให้น้อย ดื่มเหล้าให้มาก มิตรภาพจะได้ยิ่งแน่นแฟ้ นมากขึ้น หากเกรงใจมาก จริงๆ เจ้าก็ดื่มเหล้าในจอกให้หมด คารวะข้ากลับคืนสักสองรอบ ก็ ถือว่าชดใช ้น้าใจหมดแล้ว”
เฝิงเซวี่ยเทาจึงได้แต่ดื่มเหล้าติดๆ กันสามจอก ครั้นจึงยกมือเช็ด มุมปาก เจียงซ่างเจินดื่มเหล้าไปไม่น้อย กับข้าวที่คีบมากินก็ยิ่งมาก เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าดื่มเก่งหรือไม่เก่งพฤติกรรมยามดื่มดีหรือไม่ ดี มักจะเกี่ยวข้องกับว่ากับแกล้มมีมากหรือน้อย อร่อยหรือไม่อร่อย อยู่เสมอ”
เชื้อเชิญให้เฝิ งเซวี่ยเทาไปเป็ นผู้ถวายงานของส านักกุยหยก นอกจากสองฝ่ ายนิสัยเข้ากันได้ดี ฉี่ลงโถเดียวกันได้แล้ว แน่นอนว่า เป็ นเพราะเจียงซ่างเจินยังมีใจเห็นแก่ตัว
ยกตัวอย่างเช่นวันหน้าหากทะเลาะกับคนอื่นในศาลบรรพจารย์ ยอดเขาเสินจ้วนก็จะผู้ช่วยแล้ว ในที่สุดเจียงช่างเงินก็ไม่ได้ตัวคน เดียวกาลังน้อยนิด หนึ่งคนต่อคนทั้งห้องอีกต่อไป
เขาได้หาคนมากลุ่มหนึ่ง อาศัยรายงานภูเขาสายน้าหลายฉบับที่ สกุลเจียงเป็ นผู้ควบคุม อีกทั้งเจียงซ่างเจินยังลงมือด้วยตัวเอง ทุ่มเงิน เทพเซียน ใช ้การบอกเล่าปากต่อปากของบุปผาในคันฉ่องจันทราใน สายน้าสิบกว่าครั้งของจวนเซียนไม่ซ้ากัน ช่วยกระพือข่าวลือสร ้าง
ชื่อเสียงระบือไกลไว้ให้กับเฝิ งเซวี่ยเทาไว้ที่ทิศใต้ของใบถงทวีป เรียบร ้อยแล้ว!
เปิงเลอะเจินจวินที่ขึ้นชื่อว่าด่าเจียงซ่างเจินได้ดุเดือดรุนแรงที่สุด ในบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าผู้นี้ทุ่มเงินไม่หยุด ด่าเจ้าโจรชั่ว เจียงว่าเหยียบโชคดีขี้หมา ถึงกับได้รู ้จักเฝิ งเซวี่ยเทาฉายาชิงมี่ แห่งธวัลทวีป ไม่รู ้ว่าไปตีสนิทกันได้อย่างไร ชิงมีที่เป็ นบินทะยานเฒ่า ผู้นี้คือเซียนอิสระบนยอดเขาเชียวนะ นิสัยของเขาแปลกแยก ชอบใช ้ วิธีการด ามืด มีแค้นต้องชาระ ฆ่าคนเป็ นเรื่องปกติเหมือนกินข้าวดื่ม น้า ขอแค่ลงมือก็จะต้องตัดรากถอนโคนให้จงได้ ไม่ทิ้งภัยแฝงไว้ เบื้องหลังแม้แต่น้อย หากเป็ นจวนเซียนที่ถูกผู้ฝึกตนอิสระขอบเขต บินทะยานผู้นี้หมายหัว อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนชายหญิงเลย แม้กระทั่งไก่ ที่ออกไข่ได้ก็ยังไม่ละเว้น ประเด็นสาคัญคือแม้กระทั่งศาลบุ๋นก็ยังหา หลักฐานไม่พบ…
ครั้งนี้การที่เฝิงเซวี่ยเทายอมแหกกฎมารับหน้าที่เป็ นผู้ถวายงาน ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสานักแห่งหนึ่ง พวกเจ้าคิดว่าเขาเฝิงเซวี่ย เทาต้องการอะไร? เหลวไหล ยังจะต้องการอะไรได้อีก แน่นอนว่าต้อง มีเป้ าหมายอยู่ที่ภูเขาฮวาเสินของพื้นที่มงคลสกุลเจียงน่ะสิ ดังนั้น เหล่าเทพธิดาที่ติดอันดับกระดานแยนจือทั้งหลายก็ต้องระวังตัวกัน แล้ว ช่วงนี้อย่าออกไปเที่ยวข้างนอกเด็ดขาด ระวังจะเจอดี ได้ยินมา ว่าผู้ฝึกตนอิสระที่ภายนอกไม่มีคู่รักคนนี้ มีบุตรนอกสมรสอยู่ในเจ็ด
แปดทวีปของไพศาลแล้ว ไม่แน่ว่าเจียงซ่างเจินก็อาจเป็ นคนหนึ่งใน นั้น พวกเจ้าคิดว่าใช่เหตุผลข้อนี้หรือไม่เล่า?
น่าสงสารเฝิงเซวี่ยเทาที่ยังไม่ทันปรากฏตัวในสานักกุยหยก ยัง ไม่รู ้ว่าชื่อเสียงของตัวเองฉาวโฉ่ไปไกลแล้ว
โดยภาพรวมแล้วก็คือทุกคนพูดเป็ นเสียงเดียวกันว่า เขาคือบิดา ของเจ้าโจรเจียงที่มาหาบุตรชายของตัวเองที่สานักกุยหยกใบถงทวีป
ก่อนจะมาแจกันสมบัติทวีป เจียงซ่างเจินไปเยือนส านักกุยหยก ลับหลังเฝั่งเซวี่ยเทามารอบหนึ่ง และมีการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้ง หนึ่งเกิดขึ้นกะทันหัน
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าควรจะเชิญให้เฝิงเซวี่ยเทามาเป็ นผู้ถวายงาน ของส านักหรือไม่ ตอนนั้นในศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนก็ใช่ว่า จะไม่มีความเห็นต่าง