กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1052.3 สหายอย่าพูดเลย
ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเขาจะรู ้สึกว่าเฝิงเซวี่ยเทามารับหน้าที่เป็ นผู้ ถวายงานแล้วจะเป็ นเรื่องดีอะไร หรือบางทีอาจจะแค่เคยชินที่ต้อง พูดจาขัดคอเจียงซ่างเจิน
คงเป็ นเพราะหากไม่ฉวยโอกาสด่าเจียงซ่างเจินสักสองสาม ประโยคก็ไม่ถือว่าเป็ นการประชุมยอดเขาเสินจ้วนที่ได้มาตรฐาน
ในเมื่อชื่อเสียงของเฝิงเซวี่ยเทาย่าแย่ขนาดนี้ ไยสานักกุยหยก ของพวกเราจะต้องรับเผือกร ้อนลวกมือนี้มาด้วย เพราะถึงอย่างไร อัญเชิญเทพมานั้นง่าย แต่ส่งเทพกลับไปกลับยาก
เจียงซ่างเจินเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า ข้าขาดก็แค่ไม่ได้คุกเข่า ขอร ้องให้เฝิงเซวี่ยเทามาอยู่ที่ยอดเขาเสินจ้วน ขอบเขตของเขาสูง คือขอบเขตบินทะยานที่ต่อให้ถือโคมส่องหาก็ยังหาไม่เจอ พวกเจ้า อย่าได้ทาให้เรื่องส่วนรวมต้องเสียหายเพียงเพราะเรื่องส่วนตัว!
สมมติว่าเฝิงเซวี่ยเทายินดีมาเป็ นผู้ถวายงานจริงๆ เงินเดือนของ ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งควรจะกาหนดอย่างไร หากสูงเกินไป สูง กว่าผู้ถวายงานและเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อ “ต่างแซ่” คนอื่นๆ ของส านักกุยหยก จะให้พวกเขาคิดอย่างไร? ต่าเกินไป เฝิงเซวี่ยเทา เองจะมีอคติคิดว่าพวกเราหักหน้าเขาหรือไม่? ไม่ใช่ว่าจะต้องมา ทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ทาให้อยู่ดีไม่ว่าดีก็มีศัตรูบนภูเขาเพิ่มเข้ามา
เฝิงเซวี่ยเทาคือขอบเขตบินทะยาน
แต่ถึงอย่างไรเฝิ งเซวี่ยเทาก็เป็ นผู้ฝึ กตนอิสระคนหนึ่ง มาอยู่ ส านักกุยหยก เขาสามารถทาเรื่องอะไรได้? บูชาเขาไว้เป็ นบรรพบุรุษ ที่ยังมีชีวิตไม่ต่างจากชั้นวางดอกไม้อย่างนั้นหรือ?
เฝิงเซวี่ยเทาคือขอบเขตบินทะยาน
หากวันหน้าคนแซ่เจียงเกิดเรื่องใดๆ ยกตัวอย่างเช่นเฝิงเซวี่ยเทา ทนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ระหว่างที่ลงจากภูเขาไปเที่ยวเล่นเกิดข้อพิพาทกับ ใครในใบถงทวีปขึ้นมา ไม่ทันระวังฆ่าใครตายไป เจ้าเจียงซ่างเจินจะ รับผิดชอบยื่นกระดาษเช็ดกันล้างส้วมให้เฝิงเซวี่ยเทาอย่างนั้นหรือ? หายนะที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งก่อขึ้นมา เจ้าที่เป็ น ขอบเขตเซียนเหรินจะแบกรับได้ไหวจริงหรือ?
“เฝิงเซวี่ยเทาคือขอบเขตบินทะยาน เฝิงเซวี่ยเทาคือขอบเขตบิน ทะยาน เฝิงเซวี่ยเทาคือขอบเขตบินทะยาน เรื่องสาคัญพูดซ้าสาม รอบ!”
ถูกเจียงซ่างเจินเล่นแง่ใส่อย่างนี้ ในศาลบรรพจารย์ก็เกือบจะมี คนขว้างเก้าอี้แล้ว
เจียงซ่างเจินหันหน้าไปมองภาพเหมือนที่แขวนไว้ในศาลบรรพ จารย์ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นเศร ้าใจ เริ่มร ้องระบาย ทุกข์บอกว่าบรรพจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะตาเฒ่าสวิน เจ้าลืมตามา มองการกระทาของคนกลุ่มนี้ดูบ้างสิ เจ้าสานักเหวยเจ้าเองก็ใช ้สองหู
ฟังซะบ้างว่าเจ้าตะพาบพวกนี้ใช ้เรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัว อย่างไร…
ทะเลาะกันนี่นะ ด่าคนได้ไม่ต้องยาเกรงสิ่งใด คนที่ถูกด่าก็ไม่คิด เป็ นจริงเป็ นจัง จิตใจกว้างขวาง ตั้งอยู่ในสถานะมิพ่าย
กินดื่มอิ่มหนา เจียงซ่างเจินก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถามว่า “ดู เหมือนว่าในประวัติศาสตร ์ของธวัลทวีปพวกเจ้าจะไม่เคยมีผู้ฝึกตน ขอบเขตสิบสี่ปรากฏตัวมาก่อนนะ?”
เฝิงเซวี่ยเทายิ้มเอ่ย “กุรุทวีปก็ไม่มีขอบเขตสิบสี่เหมือนกันไม่ใช่ หรือ”
ไม่พูดถึงหลิวเสียทวีปที่เป็ นเพื่อนบ้านเช่นเดียวกัน เพราะถึง อย่างไรธวัลทวีปก็ไม่ถูกกับอุตรกุรุทวีปมากที่สุด หลายปีมานี้คอยขัด ง้อกันอยู่ตลอด
พวกเจ้ามีฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ พวกเราก็มีเหวย เซ่อ “เจ้าแห่งเจ็ดสิบสองยอดเขา” พวกเจ้ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจ ก้อนเมฆ พวกเราก็มีเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวจวี้เป่า
ใบถงทวีปของเจียงซ่างเจิน ปีนั้นผู้ฝึกลมปราณแต่ละคนสายตา สูงมองไม่เห็นหัวใครดูแคลนเจ็ดทวีปแห่งไพศาล ว่ากันในบางระดับ แล้วนี่ก็มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่ที่ได้ครอบครอง อารามกวานเต๋า
และเวลานี้เอง มีคนสามคนเดินมาจากตรงบันได บุรุษที่เป็ นผู้นา สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวรองเท้าผ้า รูปโฉมอ่อนเยาว์ สีดอกเลาตรง จอนผมสองข้างไม่ได้สะดุดตานัก ข้างกายยังมีคนหนุ่มสวมรองเท้า เขียวหมวกเหลืองและเด็กสาวสวมหมวกขนเดียวที่สองข้างแก้มแดง เป็ นปั้นติดตามมาด้วย
เจียงซ่างเจินรีบลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างตกตะลึงที่ได้รับความเมตตา โดยไม่คาดฝัน “เจ้าขุนเขาลงจากภูเขามาต้อนรับด้วยตัวเองเลยได้ อย่างไร…”
เฉินผิงอันตัดบทอย่างตรงไปตรงมาว่า “จะไปตรวจบัญชีที่ร ้าน สองร ้านในตรอกฉีหลงเสี่ยวโม่บอกว่าพวกเจ้ามาดื่มเหล้าอยู่ที่นี่ ก็ เลยแวะมา”
เจียงซ่างเจินที่คิดเข้าข้างตัวเองสะอึกอึ้งทันใด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะแนะนาให้พวกเจ้ารู ้จัก สองคนข้างกายนี้ คือเสี่ยวโม่ นามแฝงคือโม่เซิง ฉายาว่าสี่จู๋ เซี่ยโก่ว ทุกวันนี้เปลี่ยน ชื่อเป็ นเหมยฮวา ฉายาของนางค่อนข้างมีเยอะข้าคงไม่ไล่พูดไปทีละ อย่างแล้ว”
เซี่ยโก่วเบ้ปาก เจ้าขุนเขาเจ้าไม่เห็นข้าสาคัญน่ะสิ ตนมีฉายา แค่เจ็ดแปดอย่าง มากสุดก็ไม่น่าจะเกินสิบ เลือกมาพูดสักสองสาม ชื่อก็ไม่ได้หรือ?
เสี่ยวโม่ประสานมือคารวะ “เสี่ยวโม่คารวะโจวอันดับหนึ่ง”
คนหนึ่งคือผู้ถวายงานได้รับการบันทึกชื่อที่ขึ้นเขามาช ้ากว่า อีก คนหนึ่งคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งที่มีคุณูปการล้าเลิศ
เจียงซ่างเจินเดินก้าวเร็วๆ ไปหาเสี่ยวโม่ คว้ามือของอีกฝ่ ายมา จับไว้แล้วเขย่าแรงๆ “สหายสี่จู๋ ได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือมานานแล้ว”
เสี่ยวโม่รู ้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าโจวอันดับหนึ่งเพิ่งจะ กลับมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ไฉนถึงได้บอกว่าได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือ มานานแล้วเล่า?
เฝิงเซวี่ยเทาลุกขึ้นยืนนานแล้ว เฉินผิงอันเป็ นฝ่ายกุมหมัดคารวะ เขาก่อน เฝิงเซวี่ยเทาจึงกุมหมัดคารวะกลับคืน หากไม่เป็ นเพราะมี เจียงซ่างเจินเป็ นสหายร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยกันเลย
จริงๆ
เจียงซ่างเจินหมุนตัวไปมองโต๊ะเหล้าที่สภาพเละเทะ ถามว่า “ข้า จะให้คนยกอาหารมาใหม่ดีไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่ต้อง ก่อนจะลงจากภูเขาก็กินกันมาแล้ว ตอนอยู่ที่ร ้านยาสู้ยก็กินขนมไปอีกหลายชิ้น”
ทะยานลมเคียงข้างกันมุ่งหน้าไปยังภูเขาลั่วพั่ว ก่อนหน้านี้ตอน ที่อยู่ในเมืองเล็ก เจียงซ่างเจินก็ได้มอบยันต์กระบี่ชิ้นหนึ่งให้กับเฝิง เซวี่ยเทา เตือนให้เขาแขวนห้อยเอวไว้
เฝิงเซวี่ยเทาสังเกตเห็นว่าหลังจากเฉินผิงอันปรากฏตัว เจียงซ่าง เจินก็คล้ายจะเปลี่ยนไปเป็ นคนละคน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนโต๊ะเหล้า เจียงซ่างเจินทอดถอนใจไม่ หยุด พึมพ าถ้อยค าทานองว่าเสื้อผ้าเก่าย่อมสู้เสื้อผ้าใหม่ไม่ได้ วิถีทางโลกเป็ นอย่างนี้แล้วข้าจะทาอย่างไร
ระหว่างที่เดินทางเจียงซ่างเจินใช ้เสียงในใจเล่า “เรื่องน่าสนใจ” ของเฝิงเซวี่ยเทาในการเดินทางไปเยือนเปลี่ยวร ้าง ยกตัวอย่างเช่น ถูกใครบางคนกระชากให้มุ่งหน้าไปทางทิศใต้สุดท้ายใครบางคน รังเกียจที่ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตบินทะยานเกะกะจึงสั่งให้เฝิงเซวี่ยเทา ที่ถูกเรียกว่าเป็ นตัวภาระเดินทางกลับทางเหนือไปก่อน หลีกเลี่ยง ไม่ให้ขัดขวางการออกกระบี่ของใครบางคน ไม่ทันระวังถูกกระบี่ที่ ปล่อยมาอุตลุดฟันตาย…
ภายหลังก็คือการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น กู้ซ่านไม่ได้เล่าอะไร ให้เฉินผิงอันฟังมากแต่เจียงซ่างเจินกลับพูดด้วยท่าทางตื่นเต้นฮึก เหิม น้าลายแตกฟอง พูดว่าคนหนุ่มสาวกลุ่มของเฉาสือ แต่ละคน ล้วนร ้ายกาจ ผู้ฝึ กตนแผนภูมิฟ้ าของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างที่อายุน้อย เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็ นเวทคาถาหรือจิตแห่งมรรคาต่างก็ไม่อ่อนด้อย เช่นเดียวกัน หากไม่เป็ นเพราะการลงมือที่ยอดเยี่ยมดุจเทพช่วยของ เฉาสือและกู้ช่าน การต่อสู้ครั้งนี้ อันที่จริงก็ยังสามารถสู้กันไปต่อได้ อีก
เซี่ยโก่วใช ้เสียงในใจหลุดหัวเราะพรีด “ฟังเจ้าพูดเช่นนี้ ดู เหมือนว่าก็มีแค่เฉาสือที่น่าสนใจอยู่บ้าง ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ถึงอย่างไร ก็ยังอ่อนเยาว์กันอยู่มาก”
เจียงซ่างเจินร ้องเอ๊ะ “แม่นางเซี่ยได้ยินเสียงในใจระหว่างข้ากับ เจ้าขุนเขาด้วยหรือ?”
เซี่ยโก่วพูดเหลวไหลได้หน้าตาเฉย “เสี่ยวโม่เล่าต่อให้ข้าฟัง”
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างอ่อนใจ “อย่าพูดจาส่งเดช”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ชื่อจริงของเซี่ยโก่วคือป้ ายจึง เป็ นผู้ฝึกกระบี่ บรรพกาลรุ่นเดียวกับเสี่ยวโม่ เวทกระบี่คล้ายจะ…สูงกว่าเสี่ยวโม่ เล็กน้อย?”
เซี่ยโก่วหัวเราะร่วน “ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ใช่สักหน่อย ข้ากับเสี่ยว โม่มีเวทกระบี่สูงพอๆ กัน”
มาอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เซี่ยโก่วเรียนรู ้วลีติดปากมาไม่น้อย
เจียงซ่างเจินที่อยู่ท่ามกลางดงบุปผามานานไม่ใช่คนตาบอด มี หรือจะมองไม่ออกถึงความรู ้สึกที่ “เซี่ยโก่ว” มีต่อเสี่ยวโม่ ประหนึ่งบุป ผาแดงบานสะพรั่งบนภูเขาดุจเปลวเพลิง พอสายลมพัดผ่านก็พยัก หน้าเอ่ยว่าชอบ
ข้าแพ้แล้ว
ข้าผู้แซ่เจียงเหนื่อยใจเหลือเกินแล้ว คงไม่แย่งชิงตาแหน่งอันดับ หนึ่งของภูเขาลั่วพั่วแล้วล่ะ หากรักษาไว้ไม่อยู่ก็คือรักษาไว้ไม่อยู่
มีเพียงคนนอกอย่างเฝิงเซวี่ยเทาเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงในใจของ พวกเขา
ไปถึงที่หน้าประตูภูเขา เจียงซ่างเจินดวงตาเป็ นประกาย เปี่ยมไป ด้วยปณิธานห้าวเหิมทันที
ที่แท้ตอนที่เฉินผิงอันไปหาโจวอันดับหนึ่งที่เหลาสุราในเมืองเล็ก ก็ได้บอกกล่าวให้จูเหลี่ยนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วรู ้ก่อนแล้ว
พ่อครัวเฒ่าที่วมรองเท้าผ้าหลังค่อม เด็กชายชุดเขียว เด็กหญิง ชุดกระโปรงชมพู แม่นางน้อยชุดดา และยังมีเฉินยวนจีที่หยุดพักจาก การเดินนิ่งที่ตีนเขา
บวกกับคนเฝ้ าประตูสองรุ่นของภูเขาลั่วพั่ว พี่น้องต้าเฟิ ง นักพรตเซียนเว่ย รวมไปถึงเด็กชายผมขาวที่รับหน้าที่เป็ นขุนนาง เรียบเรียงต ารา
ทุกคนเฮโลกันมาต้อนรับโจวอันดับหนึ่งกลับบ้าน
เจียงซ่างเจินพลันรู ้สึกอบอุ่นในหัวใจ นอกจากเจ้าขุนเขาแล้ว ใครเล่าจะยังได้รับการปฏิบัติเช่นนี้อีก?
คิดดูแล้วความหมายของการที่บุรุษคนหนึ่งหาเงินอย่าง ยากล าบากอยู่นอกบ้านก็อยู่ตรงนี้นี่เอง นั่นคือหาเงินมาเพื่อให้คนที่ คู่ควรได้ใช ้เงินในสถานที่ที่คู่ควรให้ใช ้เงิน
“ในที่สุดก็กลับมาเสียที” “กลับมาแล้ว!”
เจียงซ่างเจินยกมือขึ้นดีกับพ่อครัวเฒ่าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะบีบ มือกันแน่น
เฉินหลิงจวินบอกให้โจวอันดับหนึ่งรีบไปนั่งที่โต๊ะ เขาจะได้ทุบ ไหล่นวดแขนให้ดีๆ
หน่วนซู่ไปต้มน้าชงชา หมี่ลี่น้อยก็มือเท้าว่องไว หยิบปลาตาก แห้งและเมล็ดแตงมาวางไว้บนโต๊ะแล้ว
การกราบไหว้ภูเขาก็มีกฎของการกราบไหว้ภูเขา ต้องมีการ บันทึกชื่อกับนักพรตเซียนเว่ยคนเฝ้ าประตู เด็กชายผมขาวก็ได้หยิบ กระดาษและพู่กันออกมาจากชายแขนเสื้อแล้ว
เฝิ งเซวี่ยเทาเซียนอิสระแห่งธวัลทวีป ฉายาชิงมี่ ขอบเขตบิน ทะยาน ได้ติดตามโจวเฝยผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมาเยี่ยมเยือนภูเขา ลั่วพั่วในวันใดเดือนปีใด มอบของขวัญเป็ นสมบัติอาคมสองชิ้น….
เด็กชายผมขาวที่รับหน้าที่เป็ นผู้เรียบเรียงตาราเหตุการณ์ ประจ าปี ภายนอกหัวเราะร่าเริง แต่ในใจกลับนินทาไม่หยุด กว่าจะมีผู้ ฝึ กลมปราณห้าขอบเขตกลางมาเยือนสักคนเป็ นเรื่องที่หาได้ยาก เพียงใด
ต่อจากนี้ก็ไม่ควรต้องมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างมาเยือนหรอก หรือ ขุนนางผู้เรียบเรียงต าราอย่างข้าจะได้มีความสุขบ้าง? ท าไมถึงมี ขอบเขตบินทะยานมาอีกแล้วเล่า น่าเบื่อนัก
ทุกคนพากันนั่งลง บรรยากาศครึกครื้นสนุกสนาน
เฉินหลิงจวินบ่นที่โจวอันดับหนึ่งมาช ้าไป พี่ใหญ่เจี่ยติดตามเรือ ข้ามฟากเฟิงยวนไปใบถงทวีปแล้ว
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ยว่ารอให้เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยไปสอนหนังสือที่ สานักศึกษาอวี้ไห่เมื่อไหร่ เขาจะต้องไปให้การสนับสนุน ไปนั่งแถว หน้าแน่นอน!
เฉินหลิงจวินรู ้สึกว่าบรรยากาศไม่เลวจึงปลุกความกล้าบอก กล่าวกับนายท่านของตนบอกว่าก่อนหน้านี้พี่ใหญ่เจี่ยไม่กล้าเปิด ปากพูด การทาหน้าที่บรรยายในส านักศึกษามีความกดดันอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าก่อนจะไปสอนหนังสือจะสามารถดื่มเหล้าเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มความกล้าได้หรือไม่….เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่าไม่มีปัญหา อย่าว่าแต่ดื่มเหล้าก่อนสอนเลย ต่อให้เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยจิบเหล้า เล็กๆ น้อยๆ ระหว่างสอนก็ยังไม่เป็ นไร เพียงแต่ต้องระวังให้เป็ น ปริมาณที่เหมาะสมก็พอ ถึงอย่างไรสานักศึกษาอวี้ซูก็คือส านักศึกษา ส่วนตัว สามารถยกเว้นกฏให้เจี่ยเฉิงได้ เรื่องนี้เขาจะไปปรึกษากับ เจ้าส านักชุยและอาจารย์จ้งด้วยตัวเอง
เฝิงเซวี่ยเทานั่งลงข้างกายเจียงซ่างเจิน พบว่าเด็กสาวสวมหมวก ขนเตียวชื่อประหลาดผู้นั้นคอยเหล่ตามองประเมินตนอยู่ตลอดเวลา
ดูจากภาพบรรยากาศรอบกายนาง น่ าจะเป็ นเซียนกระบี่ ขอบเขตหยกดิบ?
เซี่ยโก่วที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาวรู ้สึกว่ามองขอบเขตสูงต่า ของตนไม่ออกก็เลยค่อนข้างอยากรู ้ในสถานะของตน?
แต่ในความเป็ นจริง เซี่ยโก่วกลับใช ้เสียงในใจพูดกับเสี่ยวโม่ “เสี่ยวโม่ เขาสามารถบ้านรับกระบี่ได้สองสามทีมากกว่าจิงเฮา หรือไม่?”
เสี่ยวโม่ลังเลอยู่บ้าง “ต้องดูว่าวิชาในการหลบหนีของคนผู้นี้เป็ น เช่นไร”
หากเปลี่ยนเป็ นเมื่อก่อน เสี่ยวโม่คงไม่คุยเรื่องพวกนี้ แต่ ตอนนี้เซี่ยโก่วที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วทาตัวดีขึ้นทุกวัน เวลาพูดคุยกับ นางจึงมีความเป็ นกันเองขึ้นหลายส่วน
และนี่ก็เป็ นข้อเสนอแนะที่อาจารย์ผู้เฒ่าจูมีต่อเขาเป็ นการ ส่วนตัว เสี่ยวโม่ ยิ่งเจ้าเซี่ยโก่วเป็ นป๋ ายจิ่ง เซี่ยโก่วก็จะยิ่งเป็ นป๋ ายจิ่ง
อันที่จริงหากเปลี่ยนเป็ นคากล่าวที่เรียบง่ายตรงไปตรงมา มากกว่านี้ก็คือเจ้าเสี่ยวโม่ชอบแม่นางเซี่ยมากแค่ไหน แม่นางเซี่ยก็ จะยิ่งชอบภูเขาลั่วพั่วมากเท่านั้น
เจียงซ่างเจินเอ่ยสัพยอก “ขุนนางผู้ตรวจการคนใหม่นั่นเป็ น อย่างไรกัน ไม่รู ้จักหนักเบาถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ความสามารถใน การเป็ นขุนนางแย่กว่าเฉาเกิงซินผีขี้เหล้าที่เป็ นผู้ตรวจการคนก่อน หลายโยชน์นัก”
ที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาเขตหลงเฉวียน ภายนอกเป็ นการ ตรวจตราเตาเผาเครื่องกระเบื้องที่รักษาสถานะของเตาเผาทางการ เอาไว้ แต่แน่นอนว่ายังมีหน้าที่ลับที่สาคัญยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือ
รับผิดชอบตรวจสอบดูแลลมพัดใบไม้ไหวทั้งหมดในอาณาเขตขอ ซากปรักถ้าสวรรค์หลีจูเก่า ในความเป็ นจริงแล้วหลังจากที่สานัก กระบี่หลงเฉวียนย้ายออกไปจากที่นี่ สิ่งที่สายลับของจวนผู้ตรวจการ งาเนตาเผาต้องจับตามองก็มีแค่ภูเขาลั่วพั่วที่เป็ น “เจ้าของที่ดินราย ใหญ่สุด” เท่านั้น ทว่าเฉาเกิงซินที่เป็ นลูกหลานสกุลเฉาเสาค้ายัน แคว้นกลับฉลาดมาก ทั้งๆ ที่มีหน้าที่ใหญ่ที่สุดในจวนผู้ตรวจการ แต่ เฉาเกิงซินกลับไม่เคยสนใจ ผลคือเป็ นหัวหน้าของจวนผู้ตรวจการ อยู่สองยุค คาประเมินที่ได้รับจากกรมขุนนางล้วนไม่เลว รอกระทั่งถูก โยกย้ายกลับไปที่เมืองหลวงก็ได้เลื่อนขั้นเป็ นรองเจ้ากรมแล้ว ไม่เสีย แรงที่เป็ นหัวโจกที่อายุสิบกว่าขวบก็กล้าแอบขายภาพวังวสันต์ใน ตรอกอี้ฉือ ถนนฉือเอ๋อร ์อย่างลับๆ
ย้อนกลับมามองขุนนางผู้ตรวจการคนใหม่ที่ค่อนข้างจะเป็ นคน หัวรั้น ยกตัวอย่างเช่นเจียงซ่างเจินปรากฏตัวในเมืองเล็กครั้งนี้ หาก เปลี่ยนเป็ นเฉาเกิงซินที่เป็ นเจ้าบ้าน จะต้องหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้าง หนึ่งอย่างแน่นอน แต่สายลับของจวนผู้ตรวจการในทุกวันนี้กลับ สะกดรอยตามมาตลอดทาง พยายามที่จะยืนยันตัวตนของเฝิงเซวี่ย เทาที่อยู่ข้างกายของโจวอันดับหนึ่ง” ให้จงได้ แล้วยังมีเสมียนของ ที่ว่าการที่ได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าว ไปสืบข่าวจากท่าเรือตระกูลเซียน หลายแห่งที่อยู่ใกล้เคียงว่ามีบันทึกการเดินทางของคนผู้นี้หรือไม่… เพียงแค่เพราะคนทั้งสองใช ้ยันต์สามภูเขา แต่ว่าตอนอยู่ภาคกลาง ของแจกันสมบัติทวีป เจียงซ่างเจินได้แจ้งข่าวไปยังป๋ ายอวีจิงจ าลอง
ตามระเบียบแล้ว ดังนั้นตอนนี้จวนผู้ตรวจการจึงวุ่นวายอลหม่านไป หมด หากไม่เป็ นเพราะรองเจ้ากรมอาญาจ้าวเหยาเดินทางกลับบ้าน เกิดมาก่อน แล้วไปเยือนที่ว่าการจวนผู้ตรวจการ หาไม่แล้วหากอิง ตามนิสัยการกระทาของผู้ตรวจการคนใหม่ก็คงจะนาเรื่องนี้แจ้งไปยัง ภูเขาพีอวิ๋นด้วยรูปแบบเอกสารในหน่วยงานราชการ แน่นอนว่าย่อม ต้องสอบถามเรื่องนี้กับจวนซานจวิน ทว่าในวงการขุนนางภูเขา สายน้าที่อ้อมไปอ้อมมาทั้งยังเต็มไปด้วยหลุมบ่อนี้ นี่ไม่ใช่การซักไซ ้ แล้วจะเป็ นอะไร