กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1052.4 สหายอย่าพูดเลย
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ผู้ตรวจการคนปัจจุบันชื่อว่าเจี่ยนเฟิง เป็ นคน ชอบยึดมั่นในหลักการท าอะไรค่อนข้างจริงจัง”
เฝิ งเซวี่ยเทาได้ยินคาวิจารณ์เช่นนี้ก็เริ่มรู ้สึกสงสารขุนนาง ผู้ตรวจการงานเตาเผาที่เป็ นเพื่อนบ้านกับภูเขาลั่วพั่วคนนั้นนิดๆ แล้ว
ค าพูดในวงการขุนนาง หากไม่ใช่ค าพูดในทางตรงกันข้าม ก็ เป็ นค าพูดอ้อมค้อมวกวนสรุปก็คือเป็ นคาพูดที่มีความนัยซ่อนแฝงอยู่ ฟังเข้าใจหรือไม่ก็ต้องดูที่พรสวรรค์และประสบการณ์ในการฝึกฝนใน
ที่ว่าการแล้ว
เจียงซ่างเจินคลี่ยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไรให้เฝิงเซวี่ยเทาฟังว่าการที่ ถูกเจ้าขุนเขาบ้านตนวิจารณ์ว่า “ยึดมั่นในหลักการ” “ทาอะไร จริงจัง” เท่ากับเป็ นคาประเมินว่ายอดเยี่ยมได้แล้ว
ดื่มชากันไปแล้วก็ถือว่าได้เลี้ยงต้อนรับโจวอันดับหนึ่งกลับบ้าน จากนั้นทุกคนก็พากันขึ้นไปบนภูเขา
เจียงซ่างเจินใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “หากเพิ่มพี่เฝิงเข้า ไป เวลานี้ภูเขาลั่วพั่วก็มีขอบเขตบินทะยานสี่คนแล้ว”
่
เฝิงเซวี่ยเทาเอ่ยอย่างตกตะลึง “อะไรนะ?! ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วมี ขอบเขตบินทะยานสามคนแล้วหรือ?!”
เจียงซ่างเจินอธิบายให้ฟังแต่พอสมควร “สองคนในนั้นยังเป็ นผู้ ฝึกกระบี่ด้วย หนึ่งยอดเขาหนึ่งสมบูรณ์แบบ ห่างจากการเป็ นผู้ฝึก กระบี่ขอบเขตสิบสี่บริสุทธิ์เต็มตัว หากจะบอกว่าไกลก็ไกล แต่หากจะ
บอกว่าใกล้ก็ใกล้เหมือนกัน”
เฝิงเซวี่ยเทาได้ยินแล้วเส้นเอ็นหัวใจก็ขึงตึงทันที จิตแห่งมรรคา ประหนึ่งเรือน้อยลาหนึ่งที่ลอยโคลงโคลงอยู่ท่ามกลางคลื่นถาโถม กว่าจะสยบริ้วคลื่นกระเพื่อมในจิตแห่งมรรคาให้กลับมาสงบนิ่งได้ไม่ ง่ายเลย
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “สองคนนี้ก็อยู่ข้างกายเจ้า ห่างไปเพียง สามก้าว”
เฝิงเซวี่ยเทาร่างแข็งที่ออย่างอดไม่ไหว ลมหายใจชะงักค้าง แต่ ถึงอย่างไรก็เป็ นผู้ฝึกตนอิสระที่เคยชินกับคลื่นลมมรสุมรุนแรงมาแล้ว เพียงไม่นานสีหน้าของเฝิงเซวี่ยเทาก็กลับคืนมาเป็ นปกติ ใช ้เสียงใน ใจเอ่ยว่า “ไม่บอกแต่แรก”
เจียงซ่างเจินเอ่ยประโยคหนึ่งที่ตอนนี้เฝิงเซวี่ยเทายังไม่เข้าใจ ความหมายที่ลึกซึ้ง “บอกเร็วหรือบอกช ้าไม่ได้มีอะไรต่างกัน ถึง อย่างไรอยู่ที่นี่ ขอบเขตสูงก็ไม่มีประโยชน์อะไรไม่ได้ท าให้ได้รับความ นิยมเพราะเรื่องนี้”
่
…….
แยกจากกับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่ท่าเรือจิ่วฮวา มองส่งเผย เฉียนขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลาหนึ่งที่จะไปจอดเทียบท่าที่ ท่าเรือหนิวเจี่ยว
เฉินผิงอันที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ ใช ้ นามแฝงว่าเฉินเหรินก็เดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นชิงซิ่งเพียง ลาพัง วิถีแห่งการปกครองของสกุลหลิ่วแคว้นชิงซิ่งหูฟังไม่เท่ากับตา เห็น
เฉินจิ้วเตี่ยนเค่อฝ่ ายนอกของภูเขาไฉอวี้หนึ่งในร่างแยกยังคงอยู่ ที่แคว้นชิงหลิง
ชิงหลิง ชิงซิ่ง ต่างกันแค่ตัวอักษรเดียว ในเก้าทวีปของไพศาล เรื่องของการเลือกชื่อแคว้น อันที่จริงยากยิ่งกว่าการตั้งชื่อพรรคบน ภูเขาเสียอีก ดังนั้นจึงมักจะเพิ่มคาว่าออกตกเหนือใต้เข้าไปด้วย เป็ น เรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ หากจะใช ้แค่ตัวอักษรตัวเดียวก็แทบจะมีแต่ ราชวงศ์ที่มีประวัติศาสตร ์ยาวนาน รากฐานลึกล้าแทบทั้งสิ้น ค่อนข้าง คล้ายคลึงกับอักษรที่เคียงข้างคาว่างอ๋องในชื่อของอ๋องเจ้าเมืองที่ จะต้องสูงศักดิ์มากที่สุด
แคว้นอวี้เซวียนที่อยู่ใกล้กับภูเขาทายาทขุนเขาตะวันตก นักพรตต่างถิ่นอู๋ตีที่อยู่ในเมืองหลวงยังคงตั้งแผงดูดวงอยู่ทุกวัน ไม่ ว่าลมจะพัดฝนจะตกก็มิอาจขัดขวาง ฟ้ าผ่าก็ไม่สะเทือน
่
ในอาณาเขตของจังหวัดเหยียนโจวต้าหลี หลังจากที่โรงเรียน เลิก เฉินผิงอันก็พาลูกศิษย์หนิงจี๋ไปด้วยกัน ให้อีกฝ่ ายฝึกฝนการ ควบคุมเรือยันต์ เมื่อเรือยันต์ลอยละล่องไปบนฟ้ าพบเจอ “คลื่นลม” ก็ เหมือนเรือน้อยที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในน้า แล้วพวกเขาก็เดินทางมุ่งหน้า ขึ้นเหนือไปเยือนศูนย์ตัดต้นไม้เขตอวี้จางหงโจวด้วยกันทั้งอย่างนี้
เฉินผิงอันนัดหมายกับหลินโส่วอีไว้แล้วว่าวันนี้จะไปเยี่ยมเยือน ศูนย์ตัดต้นไม้
อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็ได้บอกกับหลินโส่วอีไปก่อนแล้ว ผลคือดี นัก อีกฝ่ ายขอบเขตสูงมาดก็ใหญ่โต เทพเซียนหนุ่มห้าขอบเขตบน ผู้นี้ถึงกับบอกว่าตัวเองมีธุระปลีกตัวมาไม่ได้ เจ้าเฉินผิงอันไม่บอกแต่ เนิ่นๆ
ในจดหมายที่ตอบกลับมานั้น เซียนซือใหญ่หลินยังบอกเฉินผิง อันอีกว่าหากรีบจริงๆ ก็ไปที่ศูนย์ตัดต้นไม้เองได้เลย ถึงอย่างไรต่อให้ เขาจะอยู่หรือไม่อยู่ด้วยก็ไม่ได้ต่างกัน
เฉินผิงอันจึงได้แต่นัดหมายวันเวลากับ “หลินหยกดิบ” ใหม่อีก ครั้ง วิถีทางโลกในทุกวันนี้ จิตใจคนเสื่อมโทรมไม่เหมือนคนโบราณ จริงเสียด้วย ใครติดเงินใครคนนั้นก็คือนายท่านใหญ่
กลางดึก เรือยันต์ก็พลิ้วจอดในสถานที่ที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งนอก อาเภอที่ตั้งของศูนย์ตัดต้นไม้ เดินเท้าไปข้างหน้า เฉินผิงอันและหนิง จี๋ต่างก็ถือเอกสารผ่านด่านกันคนละฉบับเดินเข้าตัวอ าเภอไป
่
หลินโส่วอีมารอที่หน้าประตูเมือง เฉินผิงอันกุมหมัดเขย่าแรงๆ “หลินหยกดิบ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ขออภัย ขออภัย ขัดจังหวะ การฝึกตนของหลินหยกดิบแล้ว”
หลินโส่วอีรู ้สึกอ่อนใจยิ่งนัก “มีธุระจริงๆ เป็ นธุระที่นัดหมายวัน เวลากันไว้ล่วงหน้านานแล้ว”
ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับยิ้มน้อยๆ “ข้าก่อกาเนิดเจ้าหยกดิบ มีธุระจริงหรือมีธุระหลอก ใครขอบเขตสูงคนนั้นก็มีสิทธิ์มีเสียง”
หลินโส่วอีหัวเราะอย่างฉุนๆ “นี่เจ้าไม่จบไม่สิ้นสักทีใช่ไหม?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มสง่างาม แนะนาลูกศิษย์ที่อยู่ข้างกาย
หนิงจี๋เอ่ยเรียกขานตามจิตใต้ส านึก “อาจารย์อาหลิน”
เฉินผิงอันกลั้นขา “หนิงจี๋อ่า เจ้าเรียกผิดแล้ว ตามล าดับอาวุโส ในสายเหวินเซิ่งของพวกเรา หลินหยกดิบคือลูกศิษย์ของลูกศิษย์ อาจารย์ปู่ ของเจ้า ขอบเขตเขาสูงก็จริง แต่ลาดับอาวุโสต่ากว่าข้าผู้ เป็ นอาจารย์ของเจ้าหนึ่งขั้นนะ ดังนั้นเจ้าต้องเรียกเขาว่าศิษย์พี่หลิน”
หลินโส่วอีคร ้านจะถือสาเฉินผิงอัน ผงกศีรษะยิ้มให้เด็กหนุ่มตัว ดาผอมแห้ง “ข้าชื่อหลินโส่วอี เป็ นคนบ้านเดียวกับอาจารย์ของเจ้า เรียกข้าว่าศิษย์พี่หลินก็ได้ จาไว้ว่าวันหน้าอย่าชอบพูดประชดประชัน อย่างอาจารย์ของเจ้า”
่
หนิงจี๋ยิ้มกว้าง อาจารย์ของตนไม่เคยพูดประชดประชันเสีย หน่อย มีแต่ค าพูดและการกระทาที่สอดคล้องกันชัดเจนเท่านั้น
หลินโส่วอีใช ้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “เจ้าจะตื่นเต้นอะไร?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ก็ต้องโทษเจ้าที่เอาความไปบอกต่อผิดๆ ไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงมาสวัสดีปีใหม่ท่านลุงหลินนานแล้ว”
หลินโส่วอียิ้มเอ่ย “แล้วเจ้าก็มาเยี่ยมมือเปล่าแบบนี้น่ะนะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “จะเป็ นไปได้อย่างไร”
หลินโส่วอีเอ่ย “อาเภอไม่ใหญ่ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว พ่อข้ารอ เจ้าอยู่แล้ว”
อันที่จริงบิดาเขายังสั่งให้ทางห้องครัวเตรียมอาหารไว้โดยเฉพาะ อีกด้วย หากไม่ถามหลินโส่วอีว่าท าไมยังมาไม่ถึง ก็ต้องบอกให้เขา ออกไปดูข้างนอกว่าเฉินผิงอันมาถึงแล้วหรือยัง
เฉินผิงอันถาม “คงไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านลุงหลิน กระมัง?”
หลินโส่วอีหัวเราะร่วน “เจ้าก็กลับไปสิ คราวหน้าค่อยมาใหม่ เลือกมาตอนกลางวันแทน”
เฉินผิงอันหน้ามุ่ย “ฝากไว้ก่อนเถอะ รอให้เจอท่านลุงหลิน ข้าจะ หาเรื่องมาพูดคุยถึงต่งสุ่ยจิ่งให้ดีๆ เสียหน่อย”
หลินโส่วอีปิดปากฉับทันใด
่
ไปถึงที่หน้าประตูศูนย์ตัดต้นไม้ เฉินผิงอันจัดระเบียบเสื้อผ้าให้ เรียบร ้อย พรูลมหายใจยาวเหยียด
หลินโส่วอีรู ้สึกว่าน่าสนใจ หาได้ยาก หาได้ยาก ดูท่าเฉินผิงอัน คงจะตื่นเต้นจริงๆ
ศูนย์ตัดต้นไม้ก็เป็ นเรือนในรูปแบบที่ด้านหน้าคือที่ว่าการ ด้านหลังคือที่พักขุนนางเช่นเดียวกัน หลินโส่วอีพาเฉินผิงอันกับหนิง จี๋ไปยังที่พักที่อยู่ด้านหลัง
สองมือของเฉินผิงอันถือของฝากเอาไว้ ล้วนเป็ นผลผลิตของ ท้องถิ่น ราคาไม่ได้สูงอะไร แต่ล้วนเป็ นน้าใจ
หลินโส่วเอ่ยเรียกบิดาคาหนึ่ง หลินเจิ้งเฉิงถึงได้เดินออกมาจาก
ห้องหลัก
หลินโส่วอีรับของขวัญมาจากมือของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ ใบหน้าเต็มไปด้วยแววขออภัย “ผู้เยาว์เฉินผิงอันมาสวัสดีปีใหม่ท่านลุงหลินช ้าไปแล้ว”
หลินเจิ้งเฉิงพยักหน้า ตีหน้าเคร่ง แต่ในดวงตากลับมีรอยยิ้ม “ไม่ เป็ นไร ไม่ถือว่าช ้าไป”
ในใจของหลินโส่วอีมีรสขมฝาดผุดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ ท่านพ่อท่านไม่ได้พูดแบบนี้เสียหน่อย ปากเอาแต่พูดว่าผ่านมาเนิ่น
่
นานขนาดนี้แล้วยังจะมาสวัสดีปีใหม่อะไรอีกมาสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า ก่อนสิบเดือนอย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันแนะนาลูกศิษย์ที่อยู่ข้างกาย หลินเจิ้งเฉิงยิ้มเอ่ยกับห นิงจี๋ “เหมือนอาจารย์ของเจ้าตอนเด็กมาก”
เดินเข้าไปในห้องโถงหลักด้วยกัน โต๊ะแปดเซียนตัวหนึ่ง ส่วน ของตกแต่งชิ้นอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรต่างจากที่บ้านเกิดเลยสักนิด
หลินเจิ้งเฉิงถาม “ดื่มเหล้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างสารวม “ดื่มได้เล็กน้อย”
หลินโส่วอียิ้มกล่าว “เฉินผิงอันดื่มเหล้าบ่อยจะตายไป ได้ยินมา ว่าเขาแทบไม่เคยเมาเลยด้วยซ้า”
หลินเจิ้งเฉิงปรายตามองบุตรชาย
หลินโส่วอีไม่เอ่ยอะไรอีก
ช่วยไม่ได้ เฉินผิงอันก็คือ “ลูกบ้านอื่น” (หมายถึงพ่อแม่ที่ชอบ เอาลูกของคนอื่นมาเปรียบเทียบกับลูกตัวเอง) ตามแบบฉบับอย่าง แท้จริง
นับตั้งแต่ที่พูดคุยเปิดใจกับบิดาคราวก่อน ทุกวันนี้ยามที่หลินโส่ วอีอยู่กับบิดาก็ถือว่าดีกว่าเดิมมากแล้ว ไม่ถึงขั้นแค่สายตาเดียวที่ มองมาก็ทาให้เขาเงียบกริบเป็ นจักจั่นในหน้าหนาว แล้วก็ไม่ถึงขั้น ที่ว่าบิดาพูดอะไรประโยคเดียวก็เหมือนถูกทิ่มแทงหัวใจ อย่าว่าแต่
่
ไม่กี่วันเลย บางทีอาจหลายเดือนหรือถึงขั้นนานหลายปี อาการก็ยัง ไม่ดีขึ้น
หลินเจิ้งเฉิงบอกให้คนยกอาหารมาวางบนโต๊ะ เปิดผนึกดินของ ไหสุรา ลุกขึ้นช่วยรินเหล้าให้กับเฉินผิงอันและหลินโส่วอี ยิ้มถามห นิงจี๋ว่าดื่มเหล้าได้หรือไม่ เด็กหนุ่มหันหน้าไปมองอาจารย์ของตัวเอง เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าดื่มนิดหน่อยก็ได้ หลินเจิ้งเฉิงจึงรินเหล้าให้เด็ก หนุ่มเต็มชาม ยิ้มเอ่ยว่ารินเหล้าต้องรินให้เต็มคือธรรมเนียมของบ้าน เกิดพวกเรา ส่วนจะดื่มหมดหรือไม่ก็ไม่เป็ นไร หากดื่มไม่หมดก็เหลือ ค้างไว้ก่อนได้
สุราบนโต๊ะล้วนรินเต็มชาม
หลินเจิ้งเฉิงไม่ขยับตะเกียบ คนอื่นๆ ก็ไม่หยิบตะเกียบขึ้นมา
หลินเจิ้งเฉิงยกชามเหล้ากระดกดื่มรวดเดียวหมดแล้ววางชาม เหล้าลงบนโต๊ะเบาๆ นอกจากหนิงจี๋ที่ดื่มแค่อีกเดียวแล้ว เฉินผิงอัน และหลินโส่วอีต่างก็ดื่มเหล้าในชามจนหมด
หลินเจิ้งเฉิงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะมองไปทางเฉินผิงอันแล้วยิ้ม เอ่ยว่า “เฉินเฉวียนและเฉินซูมีลูกชายที่ดี”
สามีภรรยาของตรอกหนีผิงเมืองเล็กคู่นั้นต่างก็แซ่เฉิน ต่างก็เป็ น คนดีที่เพื่อนบ้านใกล้เคียงให้การยอมรับ
่
และลูกชายของพวกเขาก็อดทนปี แล้วปี เล่าจนเติบใหญ่ กลายเป็ นเด็กหนุ่ม ในที่สุดก็ได้เจอกับเด็กสาววัยเดียวกันที่มาจาก ต่างถิ่น
ตอนนั้นเด็กหนุ่มรองเท้าสานแนะนาตัวเองว่า สวัสดี พ่อข้าแช่ เฉิน แม่ข้าก็แซ่เฉิน ดัง นั้น….ข้าจึงชื่อเฉินผิงอัน!
หลินโส่วอีไม่ได้หันไปมองเฉินผิงอัน เพียงแค่คีบอาหารให้กับ เด็กหนุ่ม ยิ้มเอ่ยว่า “หนิงจี๋ ลองชิมดูสิ”
……
ในอาณาเขตแคว้นชิงหลิง สองฝากฝั่งลาธารป่าที่ต้นน้ามาจาก ภูเขาไฉอวี้ล้วนมีแต่ต้นซิ่งที่ดอกซิ่งเบ่งบานดุจหิมะ ลาธารสายนี้ไหล ไปรวมกับลาคลองใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นชิงหลิง การ ขนส่งทางน้าคึกคักรุ่งเรือง เรือทางการแล่นสวนกันไปมา สิ่งที่ไหลริน อยู่ในลาคลองสายนี้ล้วนมีแต่เงินทอง พรรคกิ่งไผ่คือจวนเซียนอันดับ หนึ่งของแคว้นชิงหลิงความสัมพันธ ์กับราชสานักก็มั่นคงมาโดย ตลอด
ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับเซียนกระบี่เซี่ยโหว เซี่ยโหวจ้าน แห่งยอดเขาสุ่ยหลงไปแล้ว เฉินจิ้วที่เป็ นเตี่ยนเค่อฝ่ ายนอกของพรรค กิ่งไผ่ เงินเดือนทุกเดือนก็เพิ่มจากหกเหรียญเกล็ดหิมะไปอีกเท่าตัว
่
จะดีจะชั่วก็เป็ นเตียนเค่อคนหนึ่ง ต่อให้ตาแหน่งขุนนางจะเล็ก เท่าเมล็ดงาก็ยังเป็ นขุนนาง ทุกๆ ปลายปีจะต้องได้รับเงินก้อนส่วน แบ่ง แต่ก็ต้องดูที่กิจการของพรรคกิ่งไผ่ด้วย
เฉินจิ้วชอบมาตกปลายามค่าคืน เวลาทาเหยื่อล่อก็ไม่ค่อย อยากจะลงทุน ภูเขาไฉอวี้จึงชอบสัพยอกเขาว่าเฉินเตี่ยนเค่อของ พวกเราทาเหยื่อล่อทีนึง ระดับน้าในลาธารทั้งสายก็เพิ่มสูงอีกรุ่นหนึ่ง
คืนนี้ท่านลุงป๋ ายมาหาเฉินจิ้ว ชายชรามองเตี่ยนเค่อฝ่ ายนอกที่ ก าลังล่อปลาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเอาปลาด าตัวใหญ่หนักสามสิบ กว่าจินตัวนั้นใส่ไว้ในข้องปลา ก็ไม่รู ้ว่าเป็ นคนล่อปลาหรือปลาล่อคน กันแน่
มองเรื่องสนุกไปแล้ว ผู้เฒ่าถึงได้เปิดปากเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ว่า “เฉินจิ้ว ข้าคงไม่อ้อมค้อมกับเจ้าแล้ว ข้าขอแนะน าเจ้าว่าให้ เปลี่ยนสถานที่ไปเติบโต เพราะเรื่องนี้ถือว่าภูเขาไฉอวี้ตัดสินใจเอง โดยพลการ ท าลายสัญญาฝ่ายเดียว ดังนั้นห้องบัญชีของพรรคกิ่งไผ่ จึงจะมอบเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งให้เจ้า พรุ่งนี้เจ้าไปรับเงิน ส่วนข้าก็ คงไม่บอกลาแล้ว”
เฉินจิ้วที่นั่งยองอยู่ริมลาธารมีสีหน้าอึ้งตะลึง จ้องผู้เฒ่าอยู่พัก ใหญ่ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น เขาก็ร ้อนใจทันใด โยนคันเบ็ด ตกปลาไว้ข้างเท้า ลุกขึ้นกล่าว “ท่านลุงป๋ ายแบบนี้ไม่เหมาะกระมัง ก็ แค่ค่าใช ้จ่ายที่เพิ่มมาเดือนละหกเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้นเองท่าน ก็จะไล่กันแล้วหรือ? ภูเขาไฉอวี้ของพวกเราขาดเงินขนาดนี้เลยหรือ
่
ไม่มีข้าวสารกรอกปากหม้อแล้ว? ไม่เป็ นไร อย่างมากข้าก็แค่ยอม ขาดทุน ในหน้าบัญชีให้เขียนว่าได้เงินเดือน เดือนละสิบสองเหรียญ เงินเกล็ดหิมะทุกเดือน หลีกเลี่ยงไม่ให้เซียนกระบี่เซี่ยโหวต้องเสีย หน้า แต่ในทางส่วนตัวข้าค่อยเอาเงินเกล็ดหิมะหกเหรียญที่เพิ่มมา คืนไปให้กับภูเขาไฉอวี้ก็ได้”
ผู้เฒ่ายิ้มฝาดเฝื่อน ส่ายหน้ากล่าว “ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ สาเหตุ ในเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องรู ้หรอก รีบไปซะเถอะ ทาแบบนี้ไม่มีผลเสียอะไร ส าหรับเจ้า”
“ท่านลุงป๋ าย หากท่านไม่เห็นแก่มิตรภาพของพวกเราเช่นนี้ ข้า ก็จะทิ้งประโยคที่ว่า “สถานที่แห่งนี้ไม่รั้งนายท่านไว้ย่อมต้องมีที่อื่นที่ รั้งนายท่าน จริงๆ แล้วนะ!”
เฉินจิ้วกล่าว “พูดตามสัตย์จริงที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ขาด เตี่ยนเค่อฝ่ ายนอกที่อายุน้อยมากความสามารถ แล้วยังท างานทุก อย่างโดยไม่เคยบ่นอย่างข้าไป ก็คือความสูญเสียของพรรคกิ่งไผ่ พวกท่าน!”
ป๋ ายหนียิ้มเอ่ย “เป็ นแบบนี้ย่อมดีที่สุด หากวันหน้าต้องเสียใจจน ไส้เขียวก็ค่อยว่ากันวันหน้า หากมีวันนั้นจริงๆ อย่างมากถึงเวลานั้น ข้าค่อยท าหน้าหนาไปขอร ้องให้เจ้ากลับมาอยู่ภูเขาไฉอวี้”
หากพรรคกิ่งไผ่ผ่านด่านยากด่านนี้ไปได้ ป๋ ายหนีก็ยินดีจะให้ เตี่ยนเค่อฝ่ ายนอกผู้นี้กลับมาที่ภูเขาไฉอวี้จริงๆ เพียงแต่ว่าเรื่องราว
่
ทางโลกไม่มีอะไรแน่นอน พรุ่งนี้จะมีดหรือสว่าง วันนี้จะบอกได้ อย่างไร?
“เจอกับเรื่องอะไรหรือ? มีศัตรูที่ในอดีตพรรคกิ่งไผ่ไม่ได้ตัดราก ถอนโคน ทุกวันนี้สถานะเปลี่ยนมาเป็ นร ้ายกาจ จึงตามมาหาถึงบ้าน ร ้องเอะอะว่าจะฆ่าล้างโคตรหรือ?”