กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1052.5 สหายอย่าพูดเลย
เฉินจิ้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านลุงป๋ าย ขอข้าพูดประโยคที่ไม่ได้เป็ น ค าคุยโวสักค า หากว่ามีเรื่องแบบนี้จริง ข้าสามารถออกหน้าไปช่วย ไกล่เกลี่ยให้ได้ ความสามารถในการต่อสู้ธรรมดา แต่เรื่องของการ ใช ้เหตุผล ข้ากลับถนัดมากเลยนะ”
ป๋ ายหนีเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “พูดจาเหลวไหล!”
เจ้าคิดว่าพรรคกิ่งไผ่ของพวกเราคือภูเขาตะวันเที่ยงหรือไร?
บอกตามตรง ผู้เฒ่าไม่อยากจะไล่เฉินจิ้วไปไหนเลย
ไม่เพียงแต่เขาป๋ ายหนี อันที่จริงพวกช่างเก่าแก่ทั้งหลายของ ภูเขาไฉอวี้ต่างก็ชอบคนหนุ่มที่คุยโวได้ ดื่มเหล้าเก่ง แล้วยังทาอะไร จริงจังละเอียดรอบคอบผู้นี้อย่างมาก
ทุกครั้งที่มาตกปลาตอนกลางคืนแล้วได้ผลเก็บเกี่ยว คนหนุ่มก็ มักจะเข้าครัวผูกผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอว เชื้อเชิญให้ผู้เฒ่าทั้งหลายจิบ เหล้าระหว่างที่คุยเล่นกันไป ฟังเรื่องเล่าเก่าแก่ที่ออกมาจากร่องฟัน โยกเยกของพวกช่างขุดหิน คนเก็บหยก
เฉินจิ้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “ท่านลุงป๋ าย วันนี้ข้าคงต้องเอ่ย ถ้อยคารุนแรงไว้ตรงนี้เลยว่า หากไม่มีเหตุผลถูกต้องเหมาะสมที่โน้ม น้าวข้าได้ ข้าก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น ที่ข้าตรากตราท างานอย่าง
ยากล าบากก็ไม่ใช่เพื่อคิดอยากจะให้ท่านลุงป๋ ายช่วยแนะน าข้า ท า ให้ข้าคว้าสถานะบนทาเนียบของพรรคกิ่งไผ่มาได้หรอกหรือ”
ป๋ ายหนียิ้มเอ่ย “ทาไม หรือพวกเขาจะพูดถูกจริงๆ แม้ว่าเจ้าจะ ยากจนไปสักหน่อย แต่กลับหัวสูงมาก รู ้สึกว่าเจ้าประมุขกวอของ พวกเรายังไม่มีคู่รัก เจ้าก็เลยมีความคิดบางอย่าง?”
คราวนี้เฉินจิ้วร ้อนใจจริงๆ แล้ว “ผายลมเหม็นๆ กับมารดาพวก เขาน่ะสิ เจ้าพวกนี้ปากเปราะเหมือนหญิงปากตลาดเลย คราวหน้าข้า ผู้อาวุโสจะให้พวกเขาคายทั้งเหล้าทั้งกับแกล้มที่เคยกินไปออกมาให้ หมด ยังอยากจะกินปลาดื่มเหล้าอยู่อีกหรือ กินขี้ดื่มฉี่ไปก่อนเถอะ…”
มองคนหนุ่มที่ด่ากราด ผู้เฒ่าตบไหล่เฉินจิ้ว เอ่ยว่า “ฟังค าโน้ม
น้าวของข้า ไปซะเถอะ”
เฉินจิ้วเงียบงัน กลับไปนั่งยองอยู่บนพื้นอีกครั้ง ยกคันเบ็ดขึ้น เอาเหยื่อมาเกี่ยวตะขอแล้วโยนคันเบ็ดลงน้า
ผู้เฒ่านั่งลงด้านข้าง เขาตัดใจพูดแรงๆ กับคนหนุ่มไม่ลง จึงยิ้ม เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าไม่รู ้จักฟ้ าสูงแผ่นดินต่า รู ้สึกว่ามีโอกาสจะได้เป็ นคู่ บ าเพ็ญเพียรกับเจ้าประมุขกวอจริงๆ หรอกนะ?”
เฉินจิ้วกล่าวอย่างอ่อนใจ “ต่อให้เจ้าประมุขกวอชอบข้า ข้าก็ไม่ ชอบนางหรอก”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “อ้อ? มีสตรีที่รักอยู่ในใจแล้วอย่างนั้นรึ?”
เฉินจิ้วยิ้มกว้าง “มีสิ อีกทั้งใกล้จะได้แต่งงานกันแล้วด้วย”
ผู้เฒ่าพยักหน้า “เป็ นเรื่องดี ถึงเวลานั้นจ าไว้ว่าส่งเทียบเชิญมา ให้ข้าด้วย ข้าจะต้องไปดื่มสุรามงคลแน่นอน ขอนั่งโต๊ะประธานได้ ไหม?”
เงื่อนไขก็คือเขายังมีโอกาสให้ไปดื่มสุรามงคล หากมีโอกาสที่ว่า
นี้ผู้เฒ่าจะต้องไปอย่างแน่นอน
เฉินจิ้วยิ้มตอบ “ขอแค่ท่านลุงป๋ ายกล้านั่งตาแหน่งประธาน ข้าก็ ไม่มีความเห็นต่าง”
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “เฉินจิ้ว วันหน้านิสัยเสียๆ ที่ชอบคุยโวไปเรื่อย เปื่อยของเจ้า ช่วยเปลี่ยนหน่อยได้ไหม?”
เฉินจิ้วจ้องเส้นเอ็นที่ลอยอยู่บนผิวน้า ถามเสียงเบาว่า “ท่าน ลุงป๋ าย ท่านบอกข้ามาตามตรงเถอะว่าพรรคกิ่งไผ่ของพวกเราเจอ กับปัญหาใหญ่แล้วใช่ไหม? เป็ นทางฝั่งของภูเขาตะวันเพียงหรือ?”
ป๋ ายหนีลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าไม่ควรพูดเรื่องนี้ กับเจ้า เจ้ารู ้ไว้แค่ว่าพวกเราเจออุปสรรคที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ก็แล้วกัน ส่วนจะเกี่ยวข้องกับภูเขาตะวันเที่ยงหรือไม่เจ้าก็ไม่ต้องรู ้หรอก แค่ เก็บไว้ในใจก็พอ สรุปก็คือเจ้ารีบจากไปโดยเร็ว พาตัวไปอยู่นอก สถานการณ์ ข้าไม่มีทางท าร ้ายเจ้า”
นั่งกันเงียบๆ ไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นจากมา
เฉินผิงอันหันกลับมามองแผ่นหลังของผู้เฒ่า เมื่อถอนสายตา กลับมาแล้วก็กลับมาตกปลาต่ออีกครั้ง
เมื่อสองร ้อยปีก่อน กวอฮุ่ยเพิ่งลงนามสัญญาภูเขาสายน้าฉบับ หนึ่งกับราชสานักแคว้นชิงหลิงด้วยตัวเองเพื่อเช่าภูเขาไฉอวี้ต่อ มี กาหนดระยะเวลาอยู่ที่สองร ้อยปี พอดีกับที่ปีนี้สัญญากาลังจะหมดลง
ภูเขาไฉอวี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแล้วก็เป็ นอ่างรวมสมบัติเพียงหนึ่ง เดียวของพรรคกิ่งไผ่พรรคกิ่งไผ่ย่อมต้องอยากต่อสัญญาแน่นอน
ก่อนหน้านี้เซี่ยโหวจ้านวิ่งมาเร่งรัดบัญชีเก็บค่าเช่าที่นี่ มองดู เหมือนเป็ นเรื่องปกติทั่วไป แต่ในความเป็ นจริงแล้วก็เป็ นเหมือนอย่าง การคาดเดาของกวอฮุ่ยเฟิง ไม่ว่าเซียนกระบี่เยี่ยนของยอดเขาสุ่ย หลงภูเขาตะวันเที่ยงจะแอบสั่งการอย่างลับๆ หรือเป็ นเซี่ยโหวจ้านที่ อยากทาความดีชดใช ้ความผิดเอง ถึงอย่างไรคนที่ต้องชวยก็คือ พรรคกิ่งไผ่เล็กๆ แห่งนี้ พรรคกิ่งไผ่มีสิทธิ์ได้รับการต่อสัญญาก่อน ใครก็จริง แต่เงื่อนไขตัวอักษรดาที่เขียนไว้บนสัญญากระดาษขาวข้อ นี้คล้ายจะมีหรือไม่มีก็ได้
ภูเขาไฉอวี้ที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันได้ถูกขุดเจาะติดต่อกันมา นานหลายร ้อยปีแล้ว ดูจากผลการทดสอบล่าสุดของตี้ซือแคว้นชิงห ลิงก่อนหน้านี้ ปริมาณของหินหยกที่เหลืออยู่ถูกประมาณการณ์ไว้ เป็ นเงินฝนธัญพืชหนึ่งร ้อยยี่สิบเหรียญ
นี่ยังไม่ได้รวมต้นทุนในการขุดเจาะ ไม่พูดถึงเงินเดือนที่พรรคกิ่ง ไผ่ต้องจ่ายให้กับผู้ฝึ กลมปราณและช่างของตัวเอง รวมไปถึง ค่าใช ้จ่ายเพิ่มเติมในการวิ่งเต้นสานสัมพันธ ์กับพวกขุนนางชนชั้นสูง ของแคว้นชิงหลิง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในฐานะหนึ่งในพรรคใต้อาณัติของภูเขา ตะวันเที่ยง ทุกปีพรรคกิ่งไผ่ยังต้องแบ่งส่วนแบ่งให้กับภูเขาตะวันเที่ยง เงินเทพเซียนแต่ละก้อนพวกนี้เมื่อหักออกมาแล้ว ในอนาคตอีกร ้อยปี ต่อให้พรรคกิ่งไผ่ขุดภูเขาไฉอวี้จนสิ้นซาก อย่างมากสุดก็คงหาเงิน ฝนธัญพืชได้แค่สามสิบห้าสิบเหรียญเท่านั้นกระมัง? ผู้ฝึกตนที่ดูแล เงินของพรรคกิ่งไผ่เปิ ดราคากับราชส านักแคว้นชิงหลิงด้วยราคา สามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ก็ถือว่ามีความจริงใจอย่างมากแล้ว
พรรคกิ่งไผ่แบ่งออกเป็ นสองสายคือภูเขาไฉอวี้และภูเขาจีจู๋ กวอ ฮุ่ยเฟิงมาจากสายของพรรคกิ่งไผ่ แต่หลิงเซี่ย ฉายา “อวี่ชี” ที่เป็ น บรรพจารย์ผู้คุมกฏกลับมาจากภูเขาจีจู๋ เหลียงอวี้ผิงก็คือลูกศิษย์เอก ของสตรีที่เป็ นผู้คุมกฏควบด้วยเจ้าแห่งยอดเขาจีจู๋ผู้นี้
เช ้าตรู่วันต่อมา ป๋ ายหนีก็ไปที่ห้องหลังหนึ่งตรงตีนเขาก่อน คน หนุ่มที่เป็ นเตี่ยนเค่อฝ่ ายนอกผู้นั้นจากไปแล้ว ผู้เฒ่าโล่งใจเหมือนยก ภูเขาออกจากอก แล้วจึงไปที่ห้องบัญชีของภูเขาไฉอวี้ที่อยู่ใกล้กัน ผลคือพบว่าเฉินจิ้วไม่ได้รับเงินเพทเซียนที่จ่ายเป็ นค่าชดเชยการเลิก จ้างให้เขาก้อนนั้นไป ผู้เฒ่าด่าขาๆ ไปคาหนึ่งว่า เจ้าเด็กหน้าเหม็น หยิ่งจริงๆ
หากได้เจอกับเฉินจิ้วอีกครั้ง ผู้เฒ่าก็คงอดจะเอ่ยสั่งสอนไม่ได้ว่า เจ้าไม่ใช่นายท่านเทพเซียนที่ในมือมีเงินเหลือเฟือเสียหน่อย เดี๋ยวก็ จะต้องแต่งภรรยาแล้ว จะต้องงัดข้อกับเงินทองไปท าไม
ริมลาธารป่า ลมฝนพัดพาให้ดอกซิ่งปลิวปรายดุจหิมะ
ป๋ ายหนีถือร่มเดินเล่นมาถึงริมน้า อยากจะมาดูดอกซิ่งที่ไม่รู ้ว่า หลังจากนี้จะยังได้เห็นอีกหรือไม่ให้นานอีกหน่อย ผู้เฒ่าเดินไปเดิน มาก็สังเกตเห็นว่าเมื่อตั้งใจมองทัศนียภาพเก่ากลับเหมือนตัวเองได้ เห็นทัศนียภาพใหม่
ภูเขาสายน้าของมาตุภูมิที่อยู่ร่วมกันมานานวันคล้ายกลายมา เป็ นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน สายลมระลอกแล้ว ระลอกเล่าที่พัดดอกไม้ให้ปลิวละล่องก็ยิ่งเหมือนคนงามผ่ายผอมที่ ขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย
ผู้เฒ่าเดินไปจนถึงจุดตัดระหว่างล าธารป่ ากับล าคลองฉีเหอ สังเกตเห็นจุดด าๆ จุดหนึ่งที่อยู่อย่างเดียวดาย แผ่นหลังมองดูแล้ว เปลี่ยวเหงา น่าสงสารอย่างมาก
เดินขยับเข้าไปใกล้ถึงสังเกตเห็นว่าเป็ นคนตกปลาคนหนึ่งที่สวม ชุดกันฝนสวมงอบกับรองเท้าสาน รูปโฉมอ่อนเยาว์ แต่งกายเป็ น นักพรต
อีกฝ่ ายบอกว่าตัวเองเป็ นคนในยุทธภพ เงินหนึ่งอีแปะก็ทาให้ วีรบุรุษล าบากได้ โชคชะตาไม่เข้าข้าง ชีวิตรัดทนพบเจอแต่อุปสรรค
ชีวิตตกอับอย่างมากจริงๆ วันนี้บังเอิญผ่านสถานที่อันยอดเยี่ยมแห่ง นี้ จึงฝ่าสายฝนมาตกปลาประทังความหิว
ป๋ ายหนีถามชวนคุยว่าท่านนักพรตได้ปลาบ้างหรือไม่ นักพรตมี สีหน้ากระอักกระอ่วนบอกว่าพอได้ รอให้ฝนหยุดฟ้ าใสแล้วจะก่อไฟ หุงหาอาหาร วันนี้ในที่สุดก็จะได้กินอิ่มแล้ว
คงเป็ นเพราะเดาออกว่าผู้เฒ่าคือผู้ฝึ กตนท าเนียบของภูเขา ไฉอวี้ อีกทั้งเห็นว่าผู้เฒ่ายังไม่มีท่าทีว่าจะจากไป นักพรตต่างถิ่นที่มา ตกปลาหน้าประตูภูเขาบ้านคนอื่นยังพอจะมียางอายอยู่บ้าง จึงรู ้สึก ไม่สบายใจเท่าใดนัก
ป๋ ายหนีไม่ได้ถือสาที่มีคนนอกมาตกปลาที่นี่ ไม่พูดถึงล าคลองฉี เหอ พูดถึงแค่ล าธารในป่าเขาสายนี้ บนตัวปลาในน้าจะมีชื่อของใคร แกะสลักไว้หรือไร?
อันที่จริงผู้เฒ่าไม่ได้สนใจในการตกปลามากนัก เพียงแต่ว่า เตียนเค่อเฉินจิ้วเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ นานวันเข้าผู้เฒ่าก็พอจะมอง เส้นสนกลในและความน่าสนใจออก แล้วนับประสาอะไรกับที่ก็เหมือน อย่างเฉินจิ้วพูด หลายๆ ครั้งมองคนอื่นตกปลาก็เหมือนฟังเสียงตารา ในความฝัน เป็ นความน่าสนใจในอีกรูปแบบหนึ่ง อีกทั้งการมองคน อื่นตกปลาก็เหมือนได้ดื่มเหล้าโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงิน นักพรตหนุ่มมี ฝีมือในการตกปลาไม่ธรรมดา ก็ไม่เห็นว่าเขาจะใช ้เหยื่อล่อสักเท่าไร แต่กลับตกปลาตะเพียนอ้วนพี่ได้หลายตัว นักพรตนั่งเงียบๆ ก็ตก ปลาได้อีกหลายตัวติดกัน ดูท่าข้องใส่ปลาที่สานด้วยไม้ไผ่น่าจะใส่ไม่
พอแล้ว นักพรตจึงได้แต่บากหน้าอธิบายว่าจะเอาไปท าอาหารกิน หนึ่งมื้อ ส่วนที่กินไม่หมดก็จะเอาไปขายแลกเงินเป็ นค่าดินทางที่ ตลาดปลา
ป๋ ายหนีพยักหน้า หมุนกายได้ก็จากไป
ผู้เฒ่าที่เดินกางร่มเดินพ้นมาได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเส้นเอ็นดีด
ดึง จากนั้นก็เป็ นเสียงที่ปลาใหญ่กระชากเส้นเอ็น
ฟังจากเสียง ป๋ ายหนีก็รู ้ว่าคงจะตกปลาตัวใหญ่ได้แล้ว ผู้เฒ่า รู ้สึกดีใจแทนนักพรตผู้นั้นอยู่บ้าง แล้วก็ไม่คิดจะมองคนล่อปลา ครู่ หนึ่งต่อมานักพรตก็ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านลุงผู้นั้นโปรดหยุดก่อน จะซื้อปลาหรือไม่?! ปลานี้มองดูแล้วประหลาดมาก ลักษณะไม่ ธรรมดาท่านลองดูสิ ตรงหน้าผากมีตัวอักษรด้วยนะ!”
ป๋ ายหนีหันกลับมายิ้มถาม “ไหนลองบอกมาสิว่าเป็ นตัวอักษร อะไร?”
นักพรตตบหัวปลาด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ “อักษรสีเหลืองทอง เหลือแค่อักษรครึ่งล่างเป็ นค าว่า “เจี่ยว” ผินเต้าพอจะมองออกว่า ร่องรอยเจือจางส่วนอื่นเป็ นอักษรเหนี่ยวจ้วน เวลาผ่านมานานเกินไป เหมือนตัวอักษรบนศิลาจารึกที่เลือนรางเห็นไม่ชัดแล้ว แต่พูดถึงแค่ ปลาหลีตัวนี้มีอักษรคาว่าเจี่ยว (เขา) อยู่บนหน้าผาก นี่ยังไม่ใช่นิมิต หมายที่ดีอีกหรือ?! อย่าให้มันกลายเป็ นภูตได้เลย หากผินเต้าเอาไป ตุ๋นกินก็น่าเสียดายเกินไป อีกอย่างผินเต้าก็กังวลว่าจะถูกฟ้ าผ่า ท่าน
ลุง พวกเราสองคนมีวาสนาต่อกัน อีกทั้งยังเป็ นปลาหลีตัวใหญ่ที่ตก มาได้จากหน้าบ้านท่านด้วย ไม่สู้ซื้อกลับไปเลี้ยง ของมงคลเช่นนี้ เงินเทพเซียนไม่กี่เหรียญจะนับเป็ นอะไรได้ ท่านลุงท่านว่าใช่หรือไม่ เล่า…”
ผู้เฒ่ากางร่มรู ้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง เห็นข้าป๋ ายหนีเป็ นเด็กสามขวบ หรืออย่างไร? นักพรตต่างถิ่นอย่างเจ้ามาตกปลาก็ตกปลาสิ ไฉนถึง ยังมาหลอกเอาเงินคนอื่นด้วย
แต่ผู้เฒ่าก็ยังอดทนฟังนักพรตคนนั้นพูดเหลวไหลต่อไป ไม่ได้ เปิดโปงอีกฝ่ าย ในใจคิดว่าหากเฉินจิ้วยังอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนคงมีเรื่อง ให้คุยกันแน่
นักต้มตุ๋นในใต้หล้าเอาของโบราณปลอมมาหลอกขาย ส่วน ใหญ่ก็มักจะอาศัยปากแต่งเรื่องเล่าให้น่าสนใจ หากไม่ได้บอกว่าสืบ ทอดมาจากบรรพบุรุษก็บอกว่าเพิ่งขุดเจอจากใต้ดิน
ผู้เฒ่าจ าได้ว่าเฉินจิ้วเคยเล่าให้ฟังถึงวิธีหาเงินทางลัดอย่างหนึ่ง บริเวณใกล้เคียงท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ติดกับน้าบางแห่ง มักจะมีนัก ต้มตุ๋นที่เตรียมปลาซึ่งสลักตัวอักษรไว้บนหน้าผากไว้ก่อน ทางที่ดี ที่สุดควรจะเป็ นปลาหลีที่ขายออกได้ง่าย แล้วก็ต้องเป็ นสีแดงด้วย หากเป็ นสีทองได้ก็ยิ่งดี ใช ้คาพูดโน้มน้าวทานองว่าปลาตัวนี้อยู่ใน แม่น้าใหญ่และทะเลมานานหลายปีก่อนจะกลับมาแถวน่านน้าใกล้ ชายฝั่ง เหมือนที่ในตารามีบันทึกไว้ว่า จักรพรรดิบางท่านเคยใช ้ชาด สีแดงเขียนตัวอักษร คงจะไม่ใช่ปลาตัวนี้หรอกกระมัง เซียนซือทุก
ท่านช่วยดูให้หน่อยเถอะ…บวกกับที่ด้านข้างมีหน้าม้าที่นัดแนะกันมา ไว้ก่อนแล้วคอยช่วยสนับสนุนพูดเปิดราคาให้ก่อน เอาไว้หลอกเทพ เซียนบนภูเขาที่เคยอ่านตารามาบ้าง อ่านต ารามาไม่มากพอ โดยเฉพาะ
อันที่จริงผู้เฒ่าสงสัยมาโดยตลอดว่าเฉินจิ้วเองเคยทาเรื่อง ทานองนี้มาก่อน หรือไม่ก็เป็ นหน้าม้าให้คนอื่นแล้วค่อยมาแบ่งส่วน แบ่งเอาภายหลัง
ป๋ ายหนีถอนหายใจ ผู้ฝึกตนอิสระที่เหมือนจอกแหนไร ้รากพวกนี้ ใช ้ชีวิตอย่างไม่ง่ายจริงๆ เขาจึงท าเพียงแค่โบกมือบอกเป็ นนัยแก่ นักพรตคนนั้นว่าไม่ต้องเปลืองแรงแล้ว ไปหลอกเอาเงินที่อื่นเถอะ
หนวดสีทองสองเส้นข้างปากของปลาหลีสั่นระริกลอยอยู่กลาง อากาศเหมือนพืชน้าพลิ้วไสว ทั้งยังมีเสียงอื้ออึงฟังไม่ชัดดังออกมา จากปากปลา
นักพรตยิ่งตะเบ็งเสียงมากกว่าเดิม “ท่านลุง ท่านได้ยินหรือไม่ ปลาตัวนี้เปิดปากพูดได้จริงๆ ด้วย น่าตกใจเกินไปแล้ว! ข้าฟังไม่ออก ว่ามันพูดว่าอะไร น่าจะเป็ นภาษากลางของทวีปอื่น”
ปลาหลีสีทองที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็จะหลอมร่างได้สาเร็จตัวนั้น เดินทางจากทะเลมาลาน้าใหญ่แล้วว่ายวนตลอดทางจนมาถึงลา คลองฉีเหอแห่งนี้จริงๆ ก็แค่มาผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น ตอนที่อยู่ ใกล้กับนครจักรพรรดิขาวแผ่นดินกลาง ทุกสิ่งที่มันทามาล้วนเสีย
เปล่า มิอาจเป็ นปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร ขอบเขตก็ถดถอยไม่ หยุด แต่อาศัยกลิ่นอายมรรคาที่หลงเหลืออยู่และภาพบรรยากาศของ กลิ่นอายมังกรที่พัวพันอยู่บนกาย ทาให้ศาลเทพวารีทั้งหลายที่ตั้งอยู่ ริมน้ารายทางไม่กล้าขัดขวาง เดิมทีมันว่ายน้าอย่างสบายอุราอยู่ดีๆ ไม่รู ้ว่าไฉนถึงได้ถูกนักพรตชั่วที่คล้ายเฝ้ าตอรอกระต่ายผู้นี้ใช ้วิธีการ ต่าช ้าที่สุดอย่างการใช ้ฉมวกแทงปลาจับขึ้นฝั่งมาได้ เวลานี้ยังเจ็บไม่ หาย มันจึงอดด่าไม่ได้ว่า “นักพรตหน้าเหม็นรีบปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ! เจ้ามันไม่ใช่คน!”
ใบหน้านักพรตเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ร ้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะ รีบยื่นมือไปอุดปากปลาที่มาจากบ่อไท่ฉือตัวนั้น “กาลังคุยเรื่อง การค้าอยู่นะ สหายเจ้าอย่าเพิ่งพูด”