กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1054.4 เคยมีคนพูด
“ไม่ว่าจะเป็ นการปฏิรูปที่สาคัญใดๆ ที่ต้องมีการปรึกษาหารือกัน ซ้าไปซ้ามาในการประชุมเล็ก ล้วนถือเป็ นการใช ้ยา แต่มาตรการ ทั้งหลายที่ไม่แบ่งใหญ่เล็ก เมื่อผิดพลาดก็แก้ไขต่างหากที่ถึงจะถือ เป็ นการกินอาหารสามมื้อต่อวัน”
รอกระทั่งฮ่องเต้เองก็ยอมรับในตัวเฉินเหวินเชี่ยนแล้ว ถ้าอย่าง นั้นเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งตั้งตาแหน่งเฉียนถังจ่างก็ถือว่ากาหนด ได้แน่นอนแล้ว
ฉางชุนโหวที่แทบจะไม่มีตัวตนในการประชุมวันนี้ผ่อนลมหายใจ
โล่งอก
หยางฮวาใช ้หางตาเหลือบมองบุรุษชุดเขียว
เจียงซ่างเจินแอบจดจ าเอาไว้เงียบๆ คิดว่าพอกลับไปถึงภูเขาลั่ว พั่วจะเอารายละเอียดนี้ไปเล่าให้หมี่ลี่น้อยฟัง เขาจะไม่ใส่สีตีไข่ เด็ดขาด
ฮ่องเต้มองไปทางเว่ยป้ อ ถามว่า “เว่ยซานจวินมีเรื่องจะเสนอ หรือไม่?”
เว่ยป้ อพยักหน้า “ในอาณาเขตขุนเขาเหนือของข้า เย่ชิงจู๋เทพ วารีแม่น้าอวี้เย่ นางอยากจะเปลี่ยนพื้นที่ประกอบพิธีกรรมมาโดย
้
ตลอด ยินดีที่จะโยกย้ายไปรับตาแหน่งที่เท่ากัน ถึงขั้นที่ว่าหากลด ระดับขั้นครึ่งหนึ่งก็ยินยอม”
เรื่องเล็กเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้นเว่ยป้ อได้เขียนระบุไปบนแผ่นไม้ไผ่ แล้ว
เห็นได้ชัดว่าเว่ยซานจวินแค่พยายามหาเรื่องมาเสนอก็เท่านั้น
จ้าวตวนจิ่นเจ้ากรมพิธีการได้รับสายตาบอกเป็ นนัยจากฮ่องเต้ก็ ลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดอยู่ใกล้กับผนังสีขาวว่างเปล่าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ยกมือขึ้นแล้วตวัดมือลงก็ “เปิด” ม้วนภาพขุนเขาสายน้าภาพหนึ่ง ออก จากนั้นจ้าวตวนจิ่นก็หยิบไม้ยาวชี้ไปตามจุดต่างๆ บนม้วนภาพ ล้วนเป็ นที่ตั้งเก่าของศาลแม่น้าลาคลองที่ทุกวันนี้ยังมีตาแหน่งเทพ ว่างอยู่ เมื่อไม้ไผ่ในมือของจ้าวตวนจิ่นชี้ไป พวกมันก็พากัน ‘พลิ้ว ร่วง’ ลงมายังพื้นที่ใจกลางระหว่างเก้าอี้สองแถวตัวอักษรที่เขียนเป็ น คาอธิบายและสิ่งปลูกสร ้างขนาดจิ๋ว รวมไปถึงเค้าโครงของแม่น้าล า คลองที่เลื้อยลดคดเคี้ยวเหมือนงูหลายตัวพากันหยุดลอยนิ่งอยู่กลาง อากาศ จากนั้นใต้เท้าเจ้ากรมก็เริ่มอธิบายถึงธาตุน้า ต้นกาเนิดและ สถานการณ์ของแม่น้าสาขาแยกต่างๆ มากมายอย่างคล่องแคล่วคุ้น ชินเหมือนนับสมบัติในบ้านตัวเอง
ฮ่องเต้ยิ้มอย่างชอบใจ เพราะเห็นว่าราชครูคนใหม่เริ่มหลับตาทา สมาธิแล้ว
้
หาได้ยากนักที่จะมีเรื่องที่อาจารย์เฉินซึ่งร่างจริงยังสอนหนังสือ อยู่ในโรงเรียนสามารถวางตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้
เจ้ากรมผู้เฒ่าเสิ่นเฉินก็เริ่มหรี่ตางีบหลับเหมือนกัน
เซี่ยโก่วที่อยู่นอกห้องเอนหลังพิงกาแพง อ้าปากหาว ยื่นมือมา ตบปากเบาๆ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็อดไม่ไหวใช ้เสียงในใจถามว่า “เสี่ยวโม่ ทาไมเจ้าขุนเขาของพวกเราถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหันล่ะ?”
เสี่ยวโม่ตอบ “คุณชายบอกว่านี่เรียกว่าเหตุการณ์รุกเร ้า เมื่อถึง โอกาสที่เหมาะสมก็เป็ นดั่งน้ามาคูคลองก่อเกิด ถูกต้องชอบธรรม”
ตามแผนการแรกเริ่มสุดของคุณชายคือคิดไว้ว่าหลังจากทาเรื่อง ส่วนตัวสามเรื่องเสร็จค่อยตัดสินใจว่าจะมาเยือนเมืองหลวงต้าหลีดี
หรือไม่
เรื่องที่เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนเสร็จสิ้นแล้วก็ไปเป็ นเจ้าบ่าวที่ ส านักกระบี่หลงเฉวียนจากนั้นค่อยเดินทางไปเยือนหกทวีปไพศาล พร ้อมกับเพื่อนรัก
เรื่องประเภทนี้เสี่ยวโม่ไม่คิดจะปิดบังเซี่ยโก่ว
เซี่ยโก่วถามอีกว่า “ครั้งนี้เจ้าขุนเขาออกจากภูเขามารับหน้าที่ เป็ นราชครูต้าหลี ซ่งจ่างจิ้งและยังมีซ่งมู่ลั่วอ๋องผู้นั้น อืม หรือก็คือซ่ง ปันไฉแห่งตรอกหนีผิง พวกเขาไม่มีความเห็นอะไรหรือ?”
้
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “ข้าก็ไม่แน่ใจแหมือนกัน คุณชายไม่ได้เล่าให้ ฟัง”
เซี่ยโก่วถาม “เจ้าขุนเขาไม่พูด เจ้าก็ไม่ถามหรือ?” เสี่ยวโม่กล่าว “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้สักหน่อย”
เซี่ยโก่วยิ้มกว้าง “รับหน้าที่เป็ นรองผู้ถวายงาน เรื่องใหญ่ขนาด นี้ เจ้าขุนเขาไม่รู ้จักบอกกับข้าก่อนสักค า ไม่ท าตัวห่างเหินเลยนะ”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “นี่คือข้อเสนอของข้าเมื่อไม่นานมานี้ คุณชาย รู ้สึกว่าเป็ นไปได้ก็เลยเอาจริง เพราะโจวอันดับหนึ่งเพิ่งจะกลับมายัง ภูเขาลั่วพั่ว เดิมที่คุณชายคิดว่าจะจัดการประชุมศาลบรรพจารย์ ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถึงเวลานั้นค่อยยกเรื่องนี้มาพูด ฟังความเห็นจากทุก
คน”
เซี่ยโก่วกลอกตามองบน “จะต้องเปลืองแรงแบบนั้นไปไย ภู เขาลั่วพั่วของพวกเราก็เป็ นเจ้าขุนเขาที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเด็ดขาดคน เดียวมาโดยตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แต่ละคนก็แค่ไม่พูดออกมา แต่ ในใจกลับกระจ่างชัดกันดี!”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ไม่ได้เป็ นเช่นนี้”
ใบหน้าของเซี่ยโก๋วเต็มไปด้วยความคลางแคลงไม่เชื่อถือ
เสี่ยวโม่อธิบาย “เจ้าคิดแบบนี้ก็ไม่แปลก หากไม่เป็ นเพราะ อาจารย์จูช่วยอธิบายให้ข้าฟัง ข้าก็คงเข้าใจคุณชายผิดเหมือนกัน
้
ตามคากล่าวของอาจารย์ผู้เฒ่าจู นั่นเป็ นเพราะในใจของคุณชายมี ลูกคิดอยู่รางหนึ่ง เรื่องที่ตัดสินใจแล้ว แล้วค่อยมาปรึกษากับพวกเรา อีกครั้ง คุณชายล้วนใคร่ครวญถึงความคิดของพวกเราทุกคนก่อน แล้ว ดังนั้นมองปราดๆ เหมือนไม่มีใครมีความเห็นต่าง แต่ในความ เป็ นจริงแล้วหากเป็ นเรื่องที่มีคนไม่เห็นด้วย ขอแค่ทาให้ใครรู ้สึก ล าบากใจ คุณชายก็จะไม่เปิดปากพูดออกมาเลย”
เซี่ยโก่วถอนหายใจ “เป็ นเจ้าขุนเขาก็ต้องเหนื่อยใจแบบนี้ เป็ น ราชครูจะไม่ยิ่งกว่านี้หรอกหรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “เป็ นราชครูแล้วจะอย่างไร ข้าไม่รู ้ความคิดของ คุณชาย แต่พูดถึงแค่การเป็ นเจ้าขุนเขา คุณชายกลับไม่เคยรู ้สึก เหนื่อยใจสักนิด กลับกันยังมีความสุขอย่างมาก”
เซี่ยโก่วถาม “เขาบอกกับเจ้าเองหรือ?”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ไม่ต้องให้คุณชายพูด พวกเราทุกคนต่างก็ มองออก เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เซี่ยโก่วรีบพยักหน้าทันใด “นั่นมันแน่อยู่แล้ว เรื่องที่ง่ายดาย ขนาดนี้ พวกเราล้วนมองออก!”
ทางฝั่งของในห้อง รอกระทั่งเลือกที่ตั้งศาลใหม่ให้กับเหนียงเนียง เทพวารีแม่น้าอวี่เย่ได้ ซ่งเหอจึงเปิดปากยิ้มกล่าว “พักการประชุม ชั่วคราว ทุกท่านสามารถพักผ่อนได้หนึ่งเค่อ”
้
กาลังรอประโยคนี้อยู่ทีเดียว ถงเหวินช่างหยิบกระบอกยาสูบ ออกมา เหลือบมองไปทางเฉินผิงอัน ฝ่ ายหลังพยักหน้าให้อย่างรู ้ใจ ถงซานจวินจึงหันไปมองฟู่ เต๋อชง ฝ่ายหลังก็พยักหน้าเช่นกัน
พวกเขาสามคนลุกขึ้นยืนแทบจะเวลาเดียวกัน แล้วพากันเดิน ออกไปจากห้องทรงพระอักษร เดินมาหยุดอยู่ในระเบียงใต้ชายคา คนทั้งสามคือ “คนบนเส้นทางเดียวกัน” ที่ไม่สนิทสนมกันแม้แต่น้อย สองคนนั่งอีกคนตามแล้วก็เริ่มสูบยาสูบไปด้วยกัน
ตอนนี้ฟู่ เต๋อชงเทพภูเขาผูซานยังไม่รู ้ว่าตัวเองทาตามคนทั้งสอง การนั่งยองเช่นนี้กลายเป็ นความเคยชินอย่างหนึ่งยามที่มาประชุมใน ห้องทรงพระอักษรเมืองหลวงต้าหลีในภายหลังของเขา จานวนครั้ง มากเข้าก็กลายเป็ นธรรมชาติ นานวันเข้าจึงกลายเป็ นธรรมเนียม อย่างหนึ่ง
คนที่ออกจากห้องมาสูดอากาศข้างนอกมีไม่มาก คนที่ยังอยู่ใน ห้องทรงพระอักษรเพื่อรีบฉวยโอกาสนี้พูดคุยกับฮ่องเต้ให้มากหน่อย มีจานวนเยอะยิ่งกว่า
เจียงซ่างเจินเห็นว่าไม่มีใครมาทักทายพูดคุยกับตนก่อนก็ลุกขึ้น อย่างขุ่นเคือง เดินข้ามธรณีประตูมาที่ระเบียง ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ เสี่ยวโม่ แม่นางเซี่ย”
เสี่ยวโม่แต่งกายด้วยหมวกเหลืองรองเท้าเขียวมาจนชิน กลับ เป็ นเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวแก้มสองข้างแดงเป็ นปั้นที่สวมรองเท้า
้
เมฆบินสีขาวหิมะคู่หนึ่ง ยามที่ย่างเท้าก้าวเดินก้อนเมฆก่อก าเนิด มี ความหมายถึงการบินทะยาน
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “ลาบากผู้ถวายงานโจวแล้ว”
เซี่ยโก่วพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่เสียแรงที่เป็ นโจวอันดับหนึ่ง ช่างมี บารมียิ่งนัก”
เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี “ตีหน้าเคร่งฝืนทนไว้ ออกมาอยู่ข้างนอก ต้องเอาป้ ายอักษรทองในการเป็ นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่ว พั่วออกมาตั้งวางไว้ ปกติข้าไม่ได้เป็ นแบบนี้นะ เป็ นคนพูดง่ายมาก เลยล่ะ”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “จึงชิงบอกว่าโจวอันดับหนึ่งคอแข็ง อาจารย์ผ็ เฒ่าจูกับหมี่ลี่น้อยก็บอกว่าพฤติกรรมยามดื่มเหล้าของโจวอันดับ หนึ่งกลับยอดเยี่ยมยิ่งกว่า”
เจียงซ่างเจินยิ้มสดใส “อันที่จริงความสามารถในการดื่มและ พฤติกรรมยามดื่มของข้าล้วนธรรมดา หนีไม่พ้นว่าดื่มแล้วอาเจียน เสร็จก็ดื่มแล้วอาเจียนใหม่”
เซี่ยโก่วกล่าว “เจิ้งต้าเฟิงบอกแล้วว่าเหล้าหมักตระกูลเซียนบน ภูเขาของพวกเราล้วนเป็ นโจวอันดับหนึ่งที่จ่ายเงินซื้อมาเก็บไว้อย่าง ดี ใช ้เงินมือเติบยิ่ง คนอื่นมีกี่ไหก็ซื้อกี่ไห แต่โจวอันดับหนึ่งกลับมี ห้องเก็บเหล้ากี่ห้องก็ซื้อมาเท่านั้น!”
เจียงซ่างเจินเริ่มด่าตัวเอง “คนโง่เงินเยอะ”
้
โจวอันดับหนึ่งพูดคุยแบบนี้ เซี่ยโก่วก็เริ่มตามไม่ทันแล้ว
เสี่ยวโม่กล่าว “อย่างโจวอันดับหนึ่งนี่เรียกว่าหาเงินเก่งแล้วยัง รู ้จักใช ้เงิน ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องเงิน ตามหลักแล้วฝึกตนก็ควรเป็ น เช่นนี้ ไม่แบ่งในหรือนอกโต๊ะสุรา บนหรือล่างภูเขา”
เจียงซ่างเจินรีบเตือนตัวเองว่าต้องสารวมหน่อย ยับยั้งตัวเอง เอาไว้ให้ได้ เกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้วว่า เสี่ยวโม่ ล้วนเป็ นพี่ น้องคนกันเอง ไฉนต้องแบ่งแยกเจ้าและข้า เชิญเอายศผู้ถวายงาน อันดับหนึ่งไปได้เลย!
ฟ่ านจวิ้นเม่าแทบจะถูกเว่ยป้ อลากออกมาจากห้องทรงพระอักษร ดูจากท่าทางของนางก็คือต้องการจะซักไซ ้ต าหนิเจ้าขุนเขาเฉินแล้ว
ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่เฉินจะกาลังพูดคุยกับถงซานจวิน เขาเอ่ย ว่าต่อให้ภูเขาจะไม่สูงแต่หากมีเซียนก็ศักดิ์สิทธิ์ได้เสมอ ภูเขายิ่งสูงก็ ยิ่งอันตราย ทว่ามรรคาสูงกลับยิ่งปลอดภัย
ถงเหวินช่างได้ยินคาประเมินนี้แล้ว ใบหน้าก็ปรากฏตัวรอยยิ้ม อย่างที่หาได้ยาก
ฟ่านจวิ้นเม่ายิ่งโมโหหนักกว่าเดิม
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ยื่นมือมาโบกไล่ควัน เป็ นฝ่ ายเปิดปากยิ้ม เอ่ยว่า “ฟ่ านซานจวินจะโมโหไปไย เจ้าไม่ใช่คนที่รักหน้าตาเสีย หน่อย”
้
ฟ่านจวิ้นเม่าเกือบจะหมุนตัวเดินหนีแล้ว
ไม่รักหน้าตากับไม่ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตา มันเป็ นเรื่องเดียวกัน หรือ?
ซานจวินหญิงที่กาลังจะได้รับฉายาเทพว่า “ชุยเวย” ผู้นี้กาลังจะ ขยับขาก้าวเดินก็ได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะในใจของเฉินผิงอัน “อยู่ใน ห้องมิอาจท าผิดกฏได้ ข้าขอแสดงความยินดีกับฟ่ านซานจวินมา ณ ที่นี้ด้วย ภูเขาจื่อถิงไม่ค่อยเหมือนกับสี่มหาบรรพตที่เหลือ ศาลบุ๋ นจะมอบกรอบป้ ายเพิ่มให้กับขุนเขาใต้อีกหนึ่งป้ ายเป็ นคาว่า “ภูเขา เขียวในใต้หล้า” ส่วนจะเอากรอบป้ ายนี้ไปแขวนไว้ที่ไหน จะเป็ นหน้า ประตูภูเขาหรือหน้าประตูใหญ่ของจวน หรือจะเป็ นที่ห้องหนังสือ ก็อยู่ ที่ความชอบส่วนตัวของฟ่านซานจวินแล้ว”
เดิมที่ชุ่ยเวยก็เป็ นชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของภูเขาอยู่แล้ว ใช ้นาม นี้มาเป็ นฉายาเทพ ไม่พูดไม่ได้ว่าคือความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งใน วงการขุนนางภูเขาสายน้า
ในประวัติศาสตร ์ของอุตรกุรุทวีปเคยมีสานักที่เรียกได้ว่าเป็ น บุคคลยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งคือจวนเซียนที่เป็ นผู้นาบนภูเขาของทางทิศใต้ ในทวีป ชื่อว่าสานักชิงเต๋อ ผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาถูกโลกภายนอก ขนานนามว่าเซียนผู้สันโดษ ชื่อของศาลบรรพจารย์ก็คือชุ่ยเวย รอ กระทั่งสานักชิงเต๋อกลายเป็ นเพียงควันที่ลอยหายไป ชื่อเรียกขาน ของพรรคบนภูเขาและฉายาของผู้ฝึกลมปราณที่มีความเกี่ยวข้องกับ “ซุยเวย” ในศาลบุ๋นก็ถูกปล่อยวางเว้นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะมีการยื่น
้
เรื่องจากใครก็ล้วนถูกปฏิเสธไปทั้งหมด สาเหตุไม่มีใครรู ้นอกจากนี้ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีสกุลฉู่ชุ่ยเวย เป็ นตระกูลชั้นสูงเก่าแก่ นานนับพันปี ผู้ถวายงานคนหนึ่งที่ในอดีตเคยไปสร ้างกระท่อมฝึกตน อยู่บนหอเติงหลงของนครมังกรเฒ่า ฉู่หยางที่เป็ นผู้ฝึ กลมปราณ ขอบเขตโอสถทองก็มาจากตระกูลนี้ เพียงแต่ว่า “ชุ่ยเวย” นี้เป็ นชื่อ สถานที่
นี่จึงเป็ นเหตุให้การที่ฟ่ านจวิ้นเม่าตั้งฉายาเทพของตัวเองว่า “ชุ่ย เวย” แล้วยังผ่านมติของทางศาลบุ๋น จึงถือเป็ นการเก็บตกของดีใหญ่ เทียมฟ้ า
คิดไม่ถึงว่าจะยังได้กรอบป้ าย “ภูเขาเขียวในใต้หล้า” มาเปล่าๆ อีกแผ่นหนึ่ง ฟ่านจวิ้นเม่าเบิกตากว้าง “จริงหรือ?!”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เรื่องแบบนี้ล้อเล่นกันได้หรือไร?”
เนื้อหาของกรอบป้ ายที่มีความหมายยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หนึ่งไม่ใช่ ว่าใครก็จะกล้าเขียนต่อให้มีบัณฑิตที่เลอะเลือนแบบนั้นอยู่จริง ฟ่ าน จวิ้นเม่าก็ไม่กล้าเอาไปแขวนโดยพลการ เจ้าโง่แล้วยังคิดว่าข้าโง่ ด้วยอีกหรือ
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเฉินผิงอันไม่ได้ล้อเล่น ฟ่ านจวิ้นเม่าก็ยากจะ ปกปิดสีหน้ายินดีไว้ได้ “แม้จะรู ้ว่าเป็ นวิธีที่ฟาดกระบองใส่ก่อนแล้ว ค่อยเอาพุทราให้กิน…” (เปรียบเปรยว่าตบหัวแล้วลูบหลัง)
้
กล่าวมาถึงตรงนี้ ฟ่ านจวิ้นเม่าก็หลุดเสียงหัวเราะ ยื่นมือมาลูบ ข้างแก้ม “แต่ก็ไม่เป็ นไร ข้าทนได้! วิธีการเช่นนี้ ต่อให้เอามาใช ้อีก สองสามรอบก็ยังไม่เป็ นปัญหา”
เว่ยป้ อที่อยู่ด้านข้างเอ่ยสัพยอกว่า “วิธีการที่ตบหน้าแล้วค่อยเอา ลูกอมให้กินหรือ? การตบหน้าแบบนี้ข้าก็ชอบเหมือนกันนะ จะต้อง กลัวว่าจะเจ็บหน้าท าไม กลัวก็แต่ว่าอีกฝ่ ายตบจนมือบวมแล้วจะไม่ ยอมตบอีกมากกว่า”
ฟ่านจวิ้นเม่านั่งแปะลงบนขั้นบันได
เฉินผิงอันไม่ใช ้เสียงในใจพูดคุยอีก เปิดปากยิ้มเอ่ยว่า “ทีนี้ฟ่ าน ซานจวินไม่รังเกียจควันสกปรกแล้วหรือ?”
ฟ่านจวิ้นเม่าสะบัดชายแขนเสื้อ “ก็ยังมีเว่ยซานจวินอยู่ด้วยไม่ใช่ หรือ”
มอบผลท้อตอบแทนผลหลี ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีมารยาท ฟ่ าน จวิ้นเม่าจึงคิดอยากจะบอกชื่อกองกาลังที่คอยกระพือไฟอยู่เบื้องหลัง ให้เฉินผิงอันฟัง
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเดาความคิดของนางออก ถึงกับโบกมือ ปฏิเสธ แล้วใช ้เสียงในใจพูดอีกครั้งว่า “บอกแล้วว่าจะไม่ท าให้เจ้า ลาบากใจ ไม่ใช่คาพูดที่พูดไปตามมารยาทอะไรไม่อย่างนั้นทาไมข้า ต้องจงใจราดน้ามันลงบนกองเพลิงพูดกับเจ้าว่ามีรายชื่อตกหล่น? ก็ เพราะเห็นว่าเจ้ากาลังโมโห แน่ใจว่าเจ้าต้องไม่มีทางบอกรายชื่อมา
้
ตามที่ข้าต้องการแน่นอน หาไม่แล้วหากเจ้าตอบตกลงอย่างว่องไว ให้รายชื่อที่ตกหล่นมาจนครบจริงๆ กลับกลายเป็ นว่าข้าคงต้องแห กฎใช ้เสียงในใจเอ่ยเตือนเจ้าตอนอยู่ในห้อง พวกเราถึงได้ร่วมมือกัน แสดงละครฉากหนึ่งได้อย่างราบรื่น เป็ นเหมือนอย่างตอนนี้ก็คือดี มาก ถือเสียว่าสกุลซ่งต้าหลีไว้หน้าภูเขาจื่อถง ฟ่ านซานจวินก็ไว้ หน้าปลาที่หลุดลอดหว่างแหพวกนั้น ทั้งสามฝ่ ายต่างก็มอบบันไดลง ให้แก่กัน ผลลัพธ ์ยังคงเป็ นผลลัพธ ์นั้น แต่กลับไม่ถึงขั้นทาให้ ความสัมพันธ ์ตึงเครียดเกินไป หากพวกเขาเข้าใจเหตุผลที่ว่าห้ามให้ มีคราวหน้าอีกก็ย่อมดีที่สุดหากเข้าใจผิดคิดว่าราชส านักต้าหลีกลัว พวกเขา วันหน้ากลับกลายเป็ นว่าได้คืบแล้วจะเอาศอก ถ้าอย่างนั้นก็ อย่ามาโทษว่าต้าหลีไม่ไว้ไมตรีต่อพวกเขา”
ฟ่ านจวิ้นเม่าไร ้คาพูดไปทันใด นางเงียบงันไปนาน รู ้สึกขุ่นเคือง อยู่บ้าง “เฉินผิงอันเจ้าลองพูดมาสิว่า สรุปแล้วเป็ นเจ้าที่เกิดมาก็มี คุณสมบัติในการเป็ นขุนนาง หรือเป็ นเพราะข้าเกิดมาก็ไม่เหมาะจะ เป็ นขุนนางกันแน่?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “หากเป็ นขุนนางได้ไม่เหมือนขุนนาง อีกทั้ง ยังไม่ต้องย้ายรังไปไหนไม่ถูกผลักไสจนต้องไปนั่งเก้าอี้เย็นๆ ในที่ว่า การน้าใส ถึงขั้นที่ว่ายังได้รับตาแหน่งขุนนางที่ใหญ่ขึ้นได้เรื่อยๆ นั่น ต่างหากจึงจะเป็ นความสามารถที่แท้จริง”
ใบหน้าฟ่ านจวิ้นเม่าไม่แยแส ยิ้มเอ่ยว่า “หลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ พวกนี้ แค่ฟังผ่านๆ ไปก็พอ”
้
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ฟ่ านจวิ้นเม่า ถึงอย่างไรก็แค่ฟังผ่านๆ ไป เท่านั้น ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่ “มีคนเคย พูด” ให้เจ้าฟังอีกสักข้อดีไหม?”
ฟ่ านจวิ้นเม่าเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นดีดหู “เห็นแก่กรอบป้ ายแผ่นนั้น ไหนลองว่ามาสิ ข้าพร ้อมฟังแล้ว”
อย่างมากก็แค่เข้าหูซ ้ายทะลุออกหูขวา
เฉินผิงอันสูบยาสูบอึกใหญ่ ก่อนจะพ่นควันออกมาอย่าง เอ้อระเหย ทว่าเขากลับเงียบงันไปนาน เพียงแค่เหม่อมองไปด้านหน้า คล้ายกับมองไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลและไม่ใกล้
ฟ่านจวิ้นเม่าร ้องเรียก เตือนเฉินผิงอันว่าเลิกเหม่อลอยได้แล้ว
เว่ยป้ อนั่งอยู่ข้างกายของนาง
ซานจวินหญิงท่านนี้เคยอยู่บนภูเขาจื่อถงเพียงลาพัง เผชิญหน้า กับกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร ้างที่กรูกันมาจากสี่ด้านแปดทิศ ดุจน้าขึ้น ดูเหมือนว่านางจะเอ่ยถ้อยคาห้าวเหิมที่ไร ้เสียงต่อโลก มนุษย์ว่า ภูเขาพังถล่มก็พังถล่มไป ร่างทองแตกร ้าวก็แตกร ้าวไปเถิด เหล่าเหนียงจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ยิ้มเอ่ยขออภัยนาง จากนั้นเขาก็เอ่ย ประโยค “เคยมีคนพูดว่า” เป็ นบทเปิดว่า
้
“ไม่ต้องแสร ้งทาเป็ นใกล้ชิดกับโลกใบนี้ แล้วก็ไม่ต้องแสร ้งทา เป็ นห่างเหินกับโลกใบนี้ หลักการเหตุผลที่ดีควรอยู่ในทางสายกลาง และจิตใจที่สงบนิ่ง ไม่หนาหรือบางเกินไป พวกเรายังคงเป็ นพวกเรา พวกเราก็คือพวกเรา”