กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1055.1 ก็คือมาตุภูมิ
กลุ่มควันลอยขโมงอยู่ใต้ชายคาดุจการมองบุปผาในม่านหมอก
ฟ่ านจวิ้นเม่าถาม “รู ้หรือไม่ว่าเป็ นอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปคนใด ที่จะมาทาพิธีแต่งตั้งที่ภูเขาจื่อถง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “บอกได้ยาก ตอนนี้ที่แน่ใจได้มีแค่ภูเขา พีอวิ๋นกับภูเขาเซ่อจื่อ นั่นคืออาจารย์ใหญ่กับโจวกั๋ว ผู้ฝึกกระบี่ใน อาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋งเก่ามีค่อนข้างเยอะ”
ฟ่ านจวิ้นเม่ากล่าว “มีโอกาสดื่มเหล้ากับฟ่ านเอ้อก็เกลี้ยกล่อม เขาหน่อยว่า อายุก็ไม่น้อยแล้ว ยังเป็ นชายโสดอยู่ ไม่เข้าท่าเอา เสียเลย หาเงินมามากมายขนาดนั้นมีความหมายหรือ? ตลอดทั้งปีไม่ เคยได้มีเวลาว่าง พอว่างเข้าหน่อยก็ชอบไปคลุกคลีอยู่กับนักบัญชี และพวกสารพัดช่าง เขาต้องการอะไรกันแน่ ทุกวันเอาแต่ดีดลูกคิด หัวเราะอย่างโง่งมอยู่กับสมุดบัญชี”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คนบางคนเกิดมาก็ชอบหาเงินโดยเฉพาะ เป็ น เรื่องที่เรียบง่ายมากก็เหมือนอย่างผู้ฝึกยุทธเรียนวิชาหมัด ผู้ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่ ล้วนมีความสุขที่ได้ทา ฟ่ านซานจวินวางใจเถอะ ข้าจะต้อง ไปหาฟ่านเอ้อแล้วชวนเขาดื่มเหล้าด้วยตัวเองแน่”
ฟ่ านจวิ้นเม่าลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “ต้องการให้ข้าเรียกเฉาหย่งออกมา ไหม เรื่องดีๆ ของเขาถูกเจ้าก่อกวนไปเสียแล้ว อย่าได้มีปมในใจต่อ กันเสียล่ะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าล้วนความจาดีกันทั้งนั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เจ้าไปบอกเขาหน่อยว่าข้าเชิญเขาออกมา พูดคุยกัน”
เว่ยป้ อลุกขึ้นยืน ตบชุดคลุม “ข้าตามไปด้วย”
ไม่เหมาะที่จะให้เฉินผิงอันไปลากหลินหลีป๋ อออกมาพูดคุยกัน เพียงล าพัง ท่าทีจะเด่นชัดเกินไป การประชุมในวันนี้มีใครบ้างที่ไม่ได้ ฝึ กปรือฝี มือในที่ว่าการจนกลายพวกเจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาดกัน หมดแล้ว
ฟ่ านจวิ้นเม่ายังเป็ นคนจาพวกพูดจาพึ่งพาไม่ได้ ความวกวน อ้อมค้อมในวงการขุนนาง หนึ่งประโยคซุกซ่อนความหมายไว้ มากมาย นางเทียบเท่าได้แค่มาตรฐานของเด็กประถมเท่านั้น เว่ยป้ อ จึงไม่ค่อยวางใจนัก
ระหว่างที่เดินไปยังห้องทรงพระอักษร ฟ่ านจวิ้นเม่าใช ้เสียงในใจ ถามว่า “เว่ยป้ อ ตอนอยู่คฤหาสน์หลบร ้อน เฉินผิงอันก็เป็ นขุน นางแบบนี้หรือ?”
เว่ยป้ อหลุดหัวเราะพรืด “แค่เข้าใจในทางตรงกันข้ามก็พอ หลาย ความหมายเอ่ยด้วยประโยคเดียวให้ชัดเจน ทั้งคนพูดและคนฟังต่างก็ ไม่เปลืองแรง หรือไม่ก็เลือกที่จะไม่พูดเสียเลย ผู้ฝึกกระบี่ใช ้เหตุผลจะ
ไม่เรียบง่ายได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ที่นั่นก็คือกาแพงเมือง ปราณกระบี่”
ฟ่านจวิ้นเม่าพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูด ภาษาผี”
เว่ยป้ อยิ้มไม่เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่ให้คาวิจารณ์ใดๆ
ฟ่ านจวิ้นเม่ากล่าว “เว่ยเย่โหยว เจ้าฟังไม่เข้าใจใช่หรือไม่ ประโยคนี้ของข้ามีสองความหมาย ส าหรับวงการขุนนางของก าแพง เมืองปราณกระบี่และไพศาล ล้วนมีทั้งความหมายในเชิงบวกและเชิง ลบ”
เว่ยป้ อยิ้มบางๆ “ที่แท้ก็เป็ นแบบนี้นี่เอง ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
เจ้าฟ่านซานจวินคุยเรื่องนี้กับข้า ไม่เท่ากับพูดกับโจวอันดับหนึ่ง ว่าหาเงินได้ง่ายแค่ไหน หรือพูดในเรื่องมารยาทกับอาจารย์เสี่ยวโม่ หรอกหรือ?
ก็เหมือนระหว่างการประชุมก่อนหน้านี้ที่จิ้นชิงจงใจเอ่ยสัพยอก เฉินผิงอัน อะไรที่บอกว่าหมัดเดียวก็ต่อยให้เถ้าแก่รองล้มคว่า เซียน กระบี่ใหญ่บุกเดี่ยวอะไรนั่น มองดูคล้ายเป็ นค าหยอกเย้า แต่จะไม่มี ความหมายแฝงได้อย่างไร ข้อแรกคือกาลังเตือนทุกคนที่อยู่ในห้อง ถึงสถานะอิ่นกวานคนสุดท้ายของเฉินผิงอัน ข้อที่สองก็คือช่วยปูพื้น ให้กับเฉินผิงอัน ชี้นา “การเย้ยหยันตัวเอง” ของเฉินผิงอันใน
ภายหลังที่บอกว่าเป็ นแค่ขอบเขตก่อกาเนิดเท่านั้น มิอาจคู่ควรกับค า เรียกขานว่าเซียนกระบี่
เพราะถึงอย่างไรใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ต่างก็คาดเดากันว่า เฉินผิงอันมีขอบเขตอะไรกันแน่ แล้วสามารถสร ้างวีรกรรมอย่างการ แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวก าแพงเมืองได้อย่างไร เป็ นผู้ฝึ กกระบี่
ขอบเขตบินทะยานหรือสูงกว่านั้น?
หากเป็ นผู้ฝึ กกระบี่ที่เริ่มต้นที่ขอบเขตบินทะยานจริงๆ มี ศักยภาพเช่นนี้ บวกกับสถานะราชครูของต้าหลี ถ้าอย่างนั้นวันหลัง ทุกครั้งที่มีการประชุมในห้องทรงพระอักษรจะยังต้องหารืออะไรกันอีก
แต่หากขอบเขตของเฉินผิงอันเป็ นแค่ก่อก าเนิดจริงๆ ต่อให้ พรุ่งนี้เขาจะเป็ นขอบเขตหยกดิบหรือขอบเขตเซียนเหริน ส าหรับ องค์เทพชั้นสูงของในทวีปที่นั่งกันอยู่ในห้องแล้ว ต่างก็รู ้สึกว่า สามารถพูดคุยกันได้ ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันพูดเอง ถือเป็ นการ ประชุมที่มีเรื่องให้ต้องปรึกษากัน
ส่วนเรื่องที่ว่าทาไมเฉินผิงอันถึงจงใจลดความสาคัญในเรื่องของ ขอบเขต เว่ยป้ อกลับสามารถเข้าใจได้ เพราะไม่สะดวกจะเริ่มต้นให้ ตัวเองดูสูงส่งเกินไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กลัวว่าการเริ่มต้นจะง่ายดาย เกิน
ผู้ฝึกกระบี่เหมาะกับสนามรบ ไม่เหมาะกับวงการขุนนาง
เฉาหย่งที่กาลังพูดคุยกับเทพภูเขาคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันดีเดิน ออกมาข้างนอกอย่างว่องไว เฉินผิงอันเก็บกระบอกยาสูบไปแล้ว ยืน รออดีตเฉียนถังจ่างผู้นี้อยู่ในระเบียง
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจพูดเข้าประเด็นหลักโดยตรง “หลินหลีป๋ อ อู่อวิ๋นเทพวารีเจ๋อเจียงที่เจ้าแนะนา ข้าแค่เคยได้ยินชื่อของเขาเท่านั้น ไม่เคยมีโอกาสได้ท าความรู ้จักกันมาก่อน แต่เฉินเหวินเซี่ยนกลับ เป็ นสหายของข้า ดังนั้นในเรื่องนี้ข้าจึงมีใจที่เห็นแก่ตัว วันหน้าหากมี โอกาสไปดื่มเหล้าที่ตาหนักอวิ๋นสุ่ย คงต้องรบกวนให้หลินหลีป๋ อช่วย แนะน า ช่วยพาข้าไปขอขมาที่จวนวารีเจ๋อเจียงด้วยแล้ว”
เฉาหย่งฟังแล้วก็พยักหน้ารับ “ดีใจมากที่ราชครูเฉินยินดีพูดกับ ข้าอย่างจริงใจ วันหน้าหากมีเรื่องทานองนี้อีก อย่างน้อยก็ไม่ต้อง อธิบายกับข้าแล้ว ส่วนทางฝั่งของอู่อวิ๋น ราชครูเฉินโปรดวางใจได้ เลย ไม่จาเป็ นต้องคิดมาก ครั้งนี้ที่แนะนาให้เขามารับหน้าที่เฉียนถัง จ่างเดิมทีก็เป็ นข้าที่ตัดสินใจเองโดยพลการ ไม่ได้บอกกับเขาก่อน ด้วยซ้า ไม่ได้เป็ นเฉียนถังจ่างด้วยนิสัยของอู่อวิ๋น ไม่เพียงแต่จะไม่ พานโกรธราชครูเฉิน ไม่แน่ว่าอาจจะยังดื่มสุราสองชามผัดกับแกล้ม สองสามจานมาร่วมแสดงความยินดีด้วย”
กล่าวมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เฉาหย่งพลันยิ้มกว้าง “เมื่อก่อนอู่อวิ๋นเกลียดขี้หน้าพวกนายท่านเซียนกระบี่ของภูเขาตะวัน เที่ยงมานานแล้ว แล้วยังเคยทะเลาะกันมาก่อนด้วย มีเพียงครั้งเดียวที่ มอบเงินให้กับภูเขาตะวันเที่ยงก็คืออาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราใน
สายน้าชมงานพิธี ตอนนั้นเขามีความสุขมากจึงทุ่มเงินฝนธัญพืชไป หลายเหรียญ บอกว่าเงินนี้คุ้มค่าที่จะจ่าย”
เฉินผิงอันกลั้นขา ใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะต่อว่า “อีกเดี๋ยว ทางฝั่งของฝ่ าบาทอาจจะปรึกษาในเรื่องของรายชื่อผู้ที่จะเดินลงน้าที่ เหลืออยู่ของฉีตู้ในเวลาร ้อยปี ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกกล่าวกับฉางชุน โหวไว้แล้วว่าตาหนักปี้เซียวยินดีจะยกรายชื่อที่เหลือให้”
ภูเขาและน้ามีความต่าง ที่ตั้งจวนของเทพวารีที่มีตาแหน่งสูงของ ลาน้าใหญ่ไม่เหมือนกับเทพภูเขา ฝ่ ายแรกมักจะแขวนกรอบป้ ายไว้ สองแผ่น ยกตัวอย่างเช่นจวนฉางฉุนโหวของหยางฮวาและตาหนักปี้ เซียว จวนโหวลาน้าใหญ่ คือที่ว่าการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลบุ๋น ส่วนตาหนักปี้เซียวนั้นเป็ นชื่อเรียกพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเทพ วารีหยางฮวา เจียวเฒ่าที่มีชาติกาเนิดจากถ้าเฟิงสุ่ยชีหลี่หลงอย่าง เฉาหย่งก็ได้ครอบครองกรอบป้ ายสองป้ ายอย่างจวนหลินหลีป๋ อกับ ตาหนั กอวิ๋นเหวินเช่นเ ดียวกัน ทุกวันนี้มีข่าวลือ ว่า “ตา หนักเต๋อโหยว” ของเสิ่นหลินหลิงหยวนกงแห่งลาน้าจี้ตู๋ของอุตรกุรุ ทวีปก็มาจากลายมือของคนบางคนเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เฉาหย่งเขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยตัวเองส่งไปยัง ภูเขาลั่วทั่วเพราะมีเรื่องจะขอร ้อง ตาหนักอวิ๋นสุ่ยได้ใช ้จานวนสิทธิ์ใน การเดินลงน้าของลาน้าใหญ่ที่ราชสานักต้าหลีมอบให้หมดไปแล้ว แต่เฉาหย่งยังต้องการอีกสิทธิ์หนึ่ง บังเอิญกับที่หยางฮวามีเก็บไว้
ไม่ได้ใช ้พอดี เฉาหย่งจึงหวังว่าเฉิ นผิงอันจะช่วยสานสะพาน ความสัมพันธ ์กับตาหนักปี้เซียว ขอรายชื่อสิทธิ์นั้นมาจากหยางฮวา
เฉาหย่งโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ถือว่า มีคาอธิบายที่ไม่เลวต่อสหายรักอู่อวิ๋นแล้ว
ก็เพราะผู้ถวายงานคนหนึ่งของจวนวารีเจ๋อเจียง หรือก็คือเพื่อน รักของอู่อวิ๋นมีชาติก าเนิดมาจากเผ่าพันธุ์เจียวหลง มาถึงคอขวด โอสถทองแล้ว ต้องการอาศัยการเดินลงน้ามาเลื่อนเป็ นขอบเขต ก่อก าเนิดอย่างเร่งด่วน
เรื่องของการเลื่อนขั้นตาแหน่งขุนนางใช่ว่าจะไม่สาคัญ แต่ถึง อย่างไรการยกระดับขั้นของร่างทองในศาลให้สูงขึ้นก็มั่นคงและเป็ น
รูปธรรมมากกว่า
อันที่จริงก็เหมือนอย่างที่เฉาหย่งกล่าว อู่อวิ๋นไม่ได้สนใจในเรื่อง ของการรับต าแหน่งเฉียนถังจ่างมากนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เฉินผิงอันเสนอเรื่องของการหมุนเวียน ตาแหน่งเทพที่เท่ากับเป็ นการทะลวงกาแพงหลายชั้นที่กั้นขวาง หาก ขุนนางผู้ช่วยของจวนวารีเจ้อเจียงเดินลงน้าได้ส าเร็จจะยังต้องกลัวว่า จะไม่มีต าแหน่งขุนนางอีกหรือ?
สิ่งที่พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ขาดมากที่สุดก็คือเวลา
เฉาหย่งกล่าว “สิทธิ์ในการเดินลงน้ามีราคาแต่ไร ้ตลาด ล้าค่า มากเกินไปจริงๆ ประเด็นสาคัญคือสหายคนนั้นของอู่อวิ๋นมิอาจถ่วง
การเดินลงน้าให้ล่าช ้าไปได้อีก หากยังถูกถ่วงเวลาออกไปอีกก็จะ อันตรายต่อมหามรรคาแล้ว หาไม่แล้วข้าก็ไม่มีทางเปิดปากขอร ้อง ราชครูเฉินในเรื่องนี้”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “พี่เฉา ยกตัวอย่างที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก ก็เหมือนยืมเงินสิบตาลึงจากคนอื่น คนที่ต้องไปหยิบยืมคนอื่น ปากก็ พร่าพูดว่าเงินสิบตาลึงนี้มีค่าเท่าเงินร ้อยต าลึง กลัวว่าฝ่ายที่ให้ยืมเงิน จะไม่รู ้ว่าตัวเองได้มอบน้าใจที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนไปให้ ทาไม พี่เฉามี กิจการใหญ่โตขนาดนี้ ยังต้องกลัวว่าข้าจะไม่ทวงหนี้คืนอีกหรือ?”
เฉาหย่งหัวเราะดังลั่น “ได้สิ ทั้งทวงหนี้ทั้งดื่มเหล้า ไม่ถ่วงรั้งทั้ง สองทาง วันนี้อาจารย์เฉินด ารงหลายต าแหน่งส าคัญ คิดดูแล้วน่าจะ ยิ่งงานยุ่งมากกว่าเดิมอีก หากไม่เป็ นเช่นนี้ก็ยังกลัวว่าอาจารย์เฉินจะ ไม่มาเยือนเรือนซอมซ่อของข้านะ”
เฉินผิงอันยิ้มอ่อน “ช่วยคนอื่นก็เหมือนช่วยตัวเอง ไยต้องเอ่ย ขอบคุณ ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีมารยาทเท่าเทียม ดุจดั่งน้าเส้นเล็ก ไหลยาว หากพูดถึงเรื่องดื่มเหล้า ข้าก็ไม่เคยขี้ขลาดมาก่อน นอกจากเซียนกระบี่หลิวแล้ว ก็ไม่เคยหวาดกลัวใครบนโต๊ะสุรา”
เฉาหย่งพยักหน้า “อาจารย์เฉิน วันหน้าไม่ว่าจะเป็ นเรื่อง ส่วนรวมหรือเรื่องส่วนตัว พูดถึงแค่ตาหนักอวิ๋นสุ่ยและจวนวารีเฉีย นถังของข้า ก็ล้วนพูดคุยกันได้”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือไม่ว่าจะเป็ นเฉินผิงอันราชครูต้าหลี หรือเจ้าขุนเขาแห่งภูเขาลั่วพั่ว หรือจะเป็ น “อาจารย์เฉิน” ที่แค่เห็นก็ ถูกชะตาอีกทั้งยังสะสมมิตรภาพส่วนตัวไว้แล้วสองส่วน จวนหลินหลี ป๋ อและตาหนักอวิ๋นสุ่ยของเฉาหย่งและจวนวารีเฉียนถังที่ยังมีลูกน้อง ใต้อาณัติในอดีตอยู่อีกมากมายก็ล้วนจะจดจาน้าใจส่วนนี้ไว้ในใจ ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่ต้องการ แต่หากในอนาคตมีสมาชิกบนท าเนียบ ของภูเขาลั่วพั่วลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ เดินทางผ่านสถานที่ สองแห่งนี้ก็ต้องได้เป็ นแขกผู้สูงศักดิ์อย่างแน่นอน
บอกลาเฉินผิงอันเข้าไปในห้องทรงพระอักษร เฉาหย่งก็ผงก ศีรษะให้กับฉางชุนโหวที่นั่งอยู่ติดกันเพื่อแสดงการขอบคุณ
หยางฮวาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ ายจะสื่ออะไร แต่ด้วยมารยาทนางจึง พยักหน้ากลับคืนให้กับหลินหลีป้ อ
ในความเป็ นจริง สิทธิ์ในการเดินลงน้านี้ เป็ นเฉินผิงอันที่ขอมา จากฮ่องเต้ซ่งเหอ
อยู่ในห้องทรงพระอักษรยังคงไม่สามารถใช ้เสียงในใจพูดคุยกัน ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยนิสัยของเฉาหย่งและวิธีการทางาน ของหยางฮวา หลังจากที่การประชุมเล็กจบลง ต่างคนต่างกลับจวน ของตัวเอง ไม่แน่เสมอไปว่าตาหนักปี้เขียวและตาหนักอวิ๋นสุ่ยจะส่ง จดหมายไปมาหากัน อีกทั้งต่อให้เฉาหย่งเป็ นฝ่ ายติดต่อหยางฮวาไป ก่อน หยางฮวาก็ไม่ใช่ฟ่ านจวิ้นเม่า นางไม่มีทางตอบกลับจดหมาย ไปยังจวนหลินหลีป๋ อโดยตรงเพื่ออธิบายว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้ เพราะถึง
อย่างไรนางก็เป็ นท่านโหวแห่งลาน้าใหญ่ที่ไทเฮาหนันจานเป็ นผู้ เลื่อนขั้นให้ด้วยตัวเอง หยางฮวาต้องวางแผนทีละย่างก้าว นั่งใน ต าแหน่งของวงการขุนนางให้มั่นคง นางจึงไม่อาจพูดจาหรือทาอะไร ได้เหมือนฟ่านจวิ้นเม่า
เฉินผิงอันหยิบกระบอกยาสูบออกมา กลับไปนั่งที่ขั้นบันไดอีก ครั้ง เพราะแรกเริ่มสุดเป็ นเฉินผิงอันกับถงเหวินช่างที่นั่งยองสูบยา ก่อน ฟูเต๋อชงเทพภูเขาผูซานจึงเลือกต าแหน่งหนึ่ง ซานจวินสอง ท่านหนึ่งซ ้ายหนึ่งขวา ขับให้ตาแหน่งตรงกลางของราชครูเฉินโดด เด่นเมื่อครู่นี้เฉินผิงอันลุกขึ้นไปคุยกับเฉาหย่ง พอกลับมาก็ดู เหมือนว่าจะขี้เกียจเดิน จึงนั่งยองลงข้างกายฟูเต๋อชงอย่างง่ายๆ จึง เปลี่ยนมาเป็ นเทพภูเขาแห่งภูเขาทายาทขุนเขากลางผู้นี้ที่นั่งอยู่ตรง
กลางแทน
ฟูเต๋อชงลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เฉินผิงอันเปิดปากยิ้มเอ่ย “ปีนั้นหลูป๋ ายเซี่ยงเลือกไปพักอยู่ที่ตีน
เขาผูซาน หลายปีมานี้ก็ได้รับการดูแลจากเทพภูเขาฟู่ เป็ นอย่างดี” พูดถึงแค่เรื่องเดียวก็สามารถเห็นนิสัยที่แท้จริงได้แล้ว
ตอนนั้นหยวนไหลลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลูป๋ ายเซี่ยงได้เจอโชค วาสนาตระกูลเซียนที่ไม่เล็กอย่างหนึ่งจากในอาณาเขตของผูชาน หยวนไหลคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่กลับได้พื้นที่ลับที่ปริแตกแห่งหนึ่ง ซึ่งหยั่งรากอยู่ที่ผูซานมาครอง ด้านในเก็บซ่อนหนังสือทองตาราหยก
ที่ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นของจูอิ๋งเก่าฝังเอาไว้สองเล่ม ปราณมังกร เข้มข้น สามารถพูดได้ว่ามีมูลค่าควรเมือง ตามหลักแล้วนี่ถือเป็ น ทรัพย์สินส่วนตัวในภูเขาของผูซาน หยวนไหลถือเป็ นแขกที่มาพัก อาศัย มาขุดเอาเงินไหหนึ่งไปจากลานบ้านของคนอื่น เจ้าของจะเอา กลับคืนไปทั้งหมดก็ถือว่ามีเหตุผล อย่างแย่สุดก็คือแบ่งกันคนละครึ่ง แต่ฟู่ เต๋อชงกลับไม่ถือสาในเรื่องนี้เลย บอกว่าโชควาสนาตระกูล เซียนพวกนี้ สาหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าแล้วก็คือซี่โครงไก่ มีคนที่ได้รับโชควาสนาไปถือเป็ นเรื่องดี ฟู่ เต๋อชงลงนามสัญญาบน กระดาษฉบับหนึ่งที่จวนเทพภูเขาของภูเขาเช่อจื่อ ไม่เพียงแต่มอบให้ หยวนไหลทั้งหมด ทางฝั่งของจวนเทพภูเขาของฟู่ เต๋อชงยังออกทั้ง คนออกทั้งแรง เป็ นฝ่ ายช่วยซ่อมแซมพื้นที่ลับให้กับหลูป๋ ายเซี่ยง อาจารย์และศิษย์สามคนด้วย
ฟู่เต๋อชงยิ้มเอ่ย “ไม่ถือว่าให้การดูแลอะไร ข้ากับอาจารย์หลูนิสัย เข้ากันได้ดี แค่พบเจอก็เหมือนรู ้จักกันมานาน มักจะเล่นหมากล้อม ด้วยกันเป็ นประจ า แต่ว่าข้าไม่เคยชนะเขาได้เลย”
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจถาม “เทพภูเขาฟู่ ค่อนข้างเลื่อมใสเจ้า ลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิงหรือ?”
ห้องหนังสือของฟู่ เต๋อชงตั้งชื่อว่าจวนชิวสุ่ยหลิง แล้วนับประสา อะไรกับที่ลู่เฉินยังมีบทความเรื่อง “ยันต์เต๋อชง อยู่ด้วย
ฟู่ เต๋อชงตอบตามสัตย์จริง “ไม่ใช่ว่าค่อนข้าง แต่เลื่อมใสอย่าง มาก ตอนยังมีชีวิตอยู่ข้าก็เคารพลู่เฉินอย่างสุดจิตสุดใจอยู่แล้ว น่า
เสียดายที่ตาแหน่งเทพต่าต้อย ไม่มีโอกาสที่จะได้พบกัน เป็ นเรื่องน่า เสียดายอย่างใหญ่หลวง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คนเป็ นบัณฑิต ขอแค่มีความหลงใหลใน เซียนมุ่งมั่นสู่มรรคาก็ล้วนหนีไม่พ้นลู่เฉิน”