กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1055.5 ก็คือมาตุภูมิ
เถาแยนโปแห่งภูเขาชิวลิ่ง อันที่จริงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เมื่อวานตกลงไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าจู๋หวงแค่จะท าให้อาจารย์อาเซี่ย หย่วนชุ่ยบาดเจ็บสาหัส ให้อีกฝ่ ายขอบเขตถดถอยมาเป็ นเซียนดิน แล้วก็รอแก่ตายไปนับแต่นี้?
ไฉนวันนี้พอขึ้นเขามา จู๋หวงถึงได้ใช ้เสียงในใจบอกเล่าไกลๆ ว่า จะให้เขาเถาแยนโปกับเยี่ยนฉู่เตรียมพร ้อมช่วยเก็บศพเซี่ยหย่วนชุ่ย อย่างไรเล่า
เหตุพลิกผันใหญ่เทียมฟ้ าครั้งที่สองเกิดขึ้นบนภูเขาตะวันเที่ยง
อีกครั้ง
พื้นที่ประกอบพิธีกรรมของบรรพจารย์เซี่ยหย่วนชุ่ย ยอดเขา หม่านเยว่ (พระจันทร ์เต็มดวง) ถูกเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนสองท่าน ทาลายจนกลายเป็ น…ยอดเขาแชวเยว่ (พระจันทร ์เสี้ยว)
หนึ่งศิษย์หลานหนึ่งอาจารย์อาที่อยู่บนทาเนียบหยกทองของ ศาลบรรพจารย์ ขอบเขตหยกดิบเหมือนกัน ใช ้เวทกระบี่ของภูเขา ตะวันเที่ยงเหมือนกัน สุดท้ายเวทกระบี่สูงหรือต่ากลับมีความต่างราว ฟ้ ากับเหว
นับตั้งแต่ที่จู๋หวงขึ้นไปบนยอดเขาหม่านเยว่ ได้เจอหน้าอาจารย์ อาเซี่ยหย่วนชุ่ยกระทั่งแสงกระบี่ผุดขึ้นจากสี่ทิศ ส่องให้ยอดเขา
ทั้งหลายสว่างไสว สุดท้ายจู๋หวงทะยานลมออกมาจากยอดเขาม่าน เยว่เพียงล าพัง บอกว่าจะเปิดการประชุมทันที
อันที่จริงใช ้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป
การถามกระบี่ที่โลกภายนอกมองดูด้วยความอกสั่นขวัญผวาปิด ฉากลง ชุดคลุมอาคมของจู๋หวงยังคงสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่เปื้อนฝุ่นสัก
เม็ด
เขาไม่ได้ขี่กระบี่ตรงไปที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขา แต่แสง กระบี่พลันวาดวงโค้งลงไปเบื้องล่าง พริบตาเดียวก็มาถึงตีนเขาของ ยอดเขาอีเซี่ยน พอพลิ้วกายลงพื้นแล้วก็เก็บกระบี่ยาวสอดใส่ฝัก จู๋ หวงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าประมุขกวอ”
กวอฮุ่ยเฟิงเบิกตาค้าง อึ้งงันไร ้คาพูด
จู๋หวงยิ้มเอ่ย “เก็บกวาดเรือนให้สะอาด หลอกลวงอาจารย์ลบล้าง บรรพชน เป็ นการกระทาอย่างจาใจ ทาให้เจ้าประมุขกวอได้เห็นเรื่อง ตลกแล้ว”
กวอฮุ่ยเฟิงอึ้งค้างไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
จู๋หวงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “อวี่หลินแห่งยอดเขาอวี่เจี่ยวแย่ง ชิงภูเขาไฉอวี้กับผู้คุมกฎหลิงของพวกเจ้า เรื่องวงในจากคลื่นมรสุม ตรงจุดตัดของล าธารป่าและล าคลองฉีเหอนั้น ข้าล้วนรู ้ชัดเจนดี เรื่อง นี้เป็ นภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราที่ไร ้เหตุผล ดังนั้นต่อจากนี้ยอด เขาอีเซี่ยนจะมีการประชุมเร่งด่วน มติเรื่องหนึ่งในที่ประชุมก็คือหารือ
กันว่าภูเขาไฉอวี้จะตกเป็ นของใคร รวมไปถึงยืนยันในความสัมพันธ ์ ระหว่างพรรคกิ่งไผ่และภูเขาตะวันเที่ยงต่อจากนี้ ข้าคิดว่าจะให้พวก เจ้าจ่ายสามสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชซื้อภูเขาไฉอวี้กลับไป ขณะเดียวกันก็จะรักษาสถานะใต้อาณัติเก่าของพรรคกิ่งไผ่กับพวก เราเอาไว้ด้วย อย่างน้อยในช่วงเวลาที่ข้าเป็ นเจ้าประมุขก็จะไม่มีการ เปลี่ยนแปลง จะไม่ยอมให้พรรคกิ่งไผ่ต้องคอยเป็ นกังวลว่าจะตกเป็ น ภูเขาเบื้องล่างเด็ดขาด เจ้าประมุขกวอคิดว่าอย่างไร?”
กวอฮุ่ยเฟิงพยักหน้ารับอย่างเงียบเชียบ
ราวกับฝันไปโดยแท้
จู๋หวงยิ้มเอ่ย “เจ้าประมุขกวอ พวกเราทาสัญญาวิญญูชนต่อกัน แค่สัญญากันปากเปล่าก็พอ แต่เพื่อความมั่นคงไว้ก่อน ทั้งสองฝ่ าย มาลงนามสัญญาบนหน้ากระดาษกันสักฉบับดีไหม?”
กวอฮุยเพิ่งมองจู๋หวง เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว เหยียด เอ่ยเสียงจริงจังว่า “ข้าเชื่อใจเจ้าประมุขจู๋!”
จู๋หวงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันตามนี้”
กวอฮุ่ยเฟิ งกล่าว “เจ้าส านักมีธุระก็ไปท าก่อนเถิด ข้าจะกลับ พรรคกิ่งไผ่เดี๋ยวนี้”
จู๋หวงยิ้มกล่าว “ญาติห่างไกลสู้เพื่อนบ้านใกล้ชิดไม่ได้ วันหน้าก็ ยินดีต้อนรับให้เจ้าประมุขกวอมาเป็ นแขกที่นี่บ่อยๆ”
เยี่ยนฉู่และเถาแยนโปอ าพรางเรือนกาย ร่ายวิชาหลบหนีซึ่งเป็ น วิชาลับของสายกระบี่มุ่งหน้าไปยังยอดเขาหม่านเยว่
เห็นผู้เฒ่าคนนั้นนั่งตายอยู่บนพื้น กระบี่หักวางพาดขวางไว้บน หัวเข่า ทั่วร่างโชกไปด้วยเลือด จุดที่คร่าชีวิตก็คือตรงหว่างคิ้ว มีรู ขนาดเท่าเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง เลือดสดไหลทะลักออกมาไม่
หยุด
เถาแยนโปถอนหายใจยาวเหยียด ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเสียใจ ไม่รู ้ว่าเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วเป็ นหญ้าจือถูกเผาหญ้าฮุ่ยทอดถอน ใจ หรือเป็ นกระต่ายตายหมาป่ าเศร ้ากังวลถึงจุดจบของตัวเองว่าจะ เดินตามรอยเท้าของอีกฝ่ายไปกันแน่
สีหน้าของเยี่ยนฉู่ไร ้อารมณ์ กุมหมัดคารวะผู้เฒ่า ผู้ตายใหญ่ ที่สุด เกียรติยศและความอัปยศล้วนเป็ นอดีตไปหมดแล้ว
เยี่ยนฉู่ทรุดตัวลงนั่งยองอีกครั้ง ใช ้ชายแขนเสื้อช่วยเช็ดคราบ เลือดบนใบหน้าให้กับบรรพจารย์เบาๆ
ทางฝั่งของหอกั้วอวิ๋น ลู่เฉินถาม “พวกเราสองคนจะขยับเข้าไป ฟังการประชุมในศาลบรรพจารย์ใกล้ๆ อีกรอบไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้ากลัวว่าพอถึงเวลาเจ้าลัทธิลู่จะเผ่นหนีไม่ สนใจ จากนั้นถอนเวทอาพรางตาออก ทิ้งข้าให้อยู่ในศาลบรรพจารย์ คนเดียว”
ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ “นี่ค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนแล้ว”
เก็บเสียงหัวเราะมาแล้ว ลู่เฉินก็ถอนหายใจ “น่าสงสารพระจันทร ์ ที่มีมืดมีสว่างมีเต็มดวงมีเศษเสี้ยว น่าเสียดายที่หมึกปลายพู่กัน เปลี่ยนจากเข้มเป็ นอ่อนจาง”
ต้นไม้ตั้งเรียงรายบนภูเขาเขียว ยอดเขาทั้งหลายทับซ ้อน ลดหลั่น ภูเขาใกล้เป็ นสีเขียวเข้มข้น ยอดเขาเขียวที่อยู่ห่างไปไกล หน่อยสีเขียวกลับอ่อนจางยิ่งกว่า ห่างไปไกลสุดเป็ นสีเทา สีสันของ แต่ละชั้นอ่อนจางลงไปเรื่อยๆ มองไกลๆ ขุนเขาเขียวก็ไม่เขียวอีก ต่อไป
เรื่องราวและทัศนียภาพบนโลกดุจภาพลวงตาในช่วงเวลาอัน แสนสั้น ดั่งก้อนเมฆและหมอกควันที่ลอยผ่านตาไป
ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยน จู๋หวงนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเจ้า สานัก เอ่ยว่า “วันนี้จะประชุมแค่สามเรื่อง ทุกท่านแค่ฟังอย่างเดียวก็ พอ”
เรื่องแรก เซี่ยหย่วนชุ่ยตายไปแล้ว ต าแหน่งเจ้าแห่งยอดเขาของ ยอดเขาหม่านเยว่ตอนนี้จะมีเขาจู๋หวงเป็ นผู้นาชั่วคราว
จู๋หวงถึงขั้นที่ไม่ได้อธิบายว่าทาไมเซี่ยหย่วนชุ่ยถึงตาย สาเหตุ ของการถามกระบี่ที่เป็ นความขัดแย้งภายในครั้งนี้เกิดจากอะไรกัน แน่ ต้องมีการ “แก้ไขตัวอักษร” บนล าดับเหตุการณ์ประจ าปี ของ ภูเขาตะวันเที่ยงหรือไม่…
ล้วนไม่พูดถึงแม้แต่ค าเดียว
เรื่องที่สองก็คือเกี่ยวกับพรรคกิ่งไผ่
เรื่องสุดท้ายก็คือผู้ฝึกกระบี่บนยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวัน เที่ยง มีผู้คุมกฎคนใหม่อย่างเยี่ยนฉู่เป็ นผู้น า จะมุ่งหน้าเดินทางไปยัง ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง เดินทางผ่านช่องทางกุยซวีของมหาสมุทร ตะวันออกไปด้วยกัน ไปยังท่าเรือรื่อจุ้ยของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ส่วนผู้ ฝึกกระบี่สายของภูเขาชิวลิ่งที่มีเถาแยนโปเป็ นผู้นาก็ถือว่ามีโทษติด ตัว ต้องไปสร ้างคุณความชอบชดใช ้ความผิด
ส่วนเจ้าส านักจู๋หวงเองได้เตรียมการปิดด่านฝ่ าทะลุขอบเขตแล้ว อย่างมากสุดหนึ่งปีไม่ว่าจะปิดด่านส าเร็จหรือไม่ จู๋หวงก็ต้องไปเยือน สนามรบของเปลี่ยวร ้างด้วยตัวเอง
“มนุษย์ธรรมดาล่างภูเขา ขอแค่มีเลือดเนื้อ ย่อมมีใจที่จะแข่งขัน แย่งชิง”
จู๋หวงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ฝึกตนอยู่ในภูเขา ในเมื่อเป็ นผู้ฝึก กระบี่ ตามหลักแล้วก็ควรสังหารปีศาจ”
วันนี้น่าจะเป็ นการประชุมในศาลบรรพจารย์ที่เรียบง่ายที่สุดใน ประวัติศาสตร ์ของภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว
จู๋หวงเบื่อหน่ายการปัดแข้งปัดขาภายในของภูเขาและระหว่าง ยอดเขาทั้งหลายที่มีแต่จะถ่วงรั้งกันและกันอย่างยิ่ง
ในเมื่อเป็ นผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่ควรฝึกกระบี่ให้ดีๆ หรอกหรือ?
สายกระบี่ทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยง มองไปทั่วเก้าทวีปของ ไพศาล บางทีอาจไม่ถือว่าเป็ นอะไรได้ แต่หากมองแค่ในแจกันสมบัติ ทวีป ก็มากพอที่ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนหนึ่งจะเลื่อนขั้นเป็ นเซียนดิน ตามลาดับขั้นตอนได้แล้ว
สาหรับภูเขาลั่วพั่ว จู๋หวงไม่มีความรู ้สึกที่ดีใดๆ แม้แต่น้อย หาก ไม่เป็ นเพราะขอบเขตไม่มากพอ เขาที่เป็ นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์คนหนึ่ง ทั้งยังเป็ นเจ้าสานัก ป่ านนี้ก็คงมอบของขวัญตอบแทนกลับคืนไปให้ ภูเขาลั่วพั่วนานแล้ว
บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปทุกวันนี้ต่างก็พูดกันว่าสามารถ มองภูเขาลั่วพั่วเป็ นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งได้เลยไม่ใช่หรือ?
สมมติว่าวันนี้มีขอบเขตสิบสี่จริง จู๋หวงไม่ต้องรอพรุ่งนี้ด้วยซ้า เขาจะไปปรากฏตัวที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่วเพียงลาพังตั้งแต่ วันนี้เลย
เจ้ารื้อศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนของบ้านข้า ข้าก็จะรื้อศาล บรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อของเจ้า
เพียงแต่ว่าความคิดของจู๋หวงนั้นเรียบง่ายมาก หากจะต้องงัดข้อ กับคนอื่นก็ต้องมีต้นทุนเสียก่อน ในเมื่อผูกเงื่อนตายและปมแค้นกัน ไว้แล้ว จะอาศัยแค่เลือดร ้อนๆ ที่พุ่งขึ้นหัว ท าอะไรโดยใช ้อารมณ์ ไม่ได้
ไม่อย่างนั้นก็เหมือนศัตรูสองคน ทั้งๆ ที่ศักยภาพแตกต่างกัน มาก ทั้งสองฝ่ ายคุมเชิงกันบนถนนใหญ่ ภายใต้สายตาของคน มากมายที่จับจ้องมองมา ทุกครั้งที่ฝ่ายหนึ่งตะโกนเสียงดังก็จะต้องถูก ตบบ้องหูหนึ่งที เพื่ออะไรกัน? เพียงแค่เพื่อให้คนข้างทางที่ชมความ ครึกครื้นรู ้สึกสนุกยิ่งกว่าเดิมอย่างนั้นหรือ?
ลู่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือหนึ่งถือชามเหล้า ขณะเดียวกันก็ยึดคอ ยาวมองไปทางยอดเขาอีเซี่ยน เสียงที่จู๋หวงพูดอยู่ในศาลบรรพจารย์ แห่งนั้นเหมือนสายฝนหยดแล้วหยดเล่าที่หล่นลงในชามเหล้าของเจ้า ลัทธิลู่ เหมือนเม็ดฝนตกกระทบลงบนผิวน้าของสระจนเกิดริ้ว กระเพื่อมเป็ นระลอก ทุกคาล้วนดังเข้าหูอย่างชัดเจน
ลู่เฉินยิ้มถาม “พวกเรามาเดากันว่าครั้งนี้จู๋หวงจะปิดด่านเพื่อ รักษาบาดแผลหรือพยายามจะฝ่าทะลุขอบเขต?”
เฉินผิงอันกล่าว “จะอะไรก็ช่าง”
คราวก่อนที่เขามาร่วมงานพิธีถามกระบี่ จู๋หวงต้องยังเก็บซ่อน ฝีมือไว้แน่นอน แต่ต่อให้จู๋หวงไม่ออมมือก็มิอาจเปลี่ยนแปลงเรื่องใดๆ ได้
ลู่เฉินกระดกดื่มเหล้าในชามจนหมดรวดเดียว ใช ้หลังมือเช็ด ปาก หัวเราะหน้าทะเล้น “เทียบกับการประชุมในห้องทรงพระอักษร ของเมืองหลวงต้าหลีแล้ว เนื้อหาน่าเบื่อกว่ามากนัก ระดับความ
เข้มข้นก็เป็ นรองอยู่หลายส่วน เพียงแต่ว่าในเรื่องของการใช ้อานาจมี ความเผด็จการมากกว่าหน่อยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันเอนกายบนเก้าอี้หวาย ใช ้มือตบกาเหล้าเบาๆ
ลู่เฉินร ้องเอ๊ะหนึ่งที “แย่แล้ว เจ้าสานักจู๋จะมาพูดคุยตีสนิทกับ พวกเราแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็ นเซียนกระบี่ มีจิตสัมผัสที่เฉียบคมถึง
เพียงนี้!”
เฉินผิงอันรู ้ดีว่าลู่เฉินจงใจเปิดเผยร่องรอย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ตอนที่จู๋หวงมาถึงที่นี่ ข้างกายยังพาบุคคลที่เป็ นหมากตัวสาคัญ อย่างหลิงเซี่ยผู้ฝึกตนหญิงผู้คุมกฏตัวแทนพรรคกิ่งไผ่ของสายภูเขา จีจู๋มาด้วย
เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง แกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ “ได้เจอกันอีกแล้ว นะ เจ้าส านักจู๋”
ส่วนในสายตาของจู๋หวงและหลิงเซี่ยจะเห็นเจ้าลัทธิลู่อยู่ในรูป โฉมแบบใด สวรรค์เท่านั้นที่รู ้
จู๋หวงกุมมือคารวะ ยิ้มเอ่ย “ได้เจอกันอีกแล้ว”
ก่อนหน้านี้จู๋หวงแค่สัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไม่ธรรมดาเสี้ยวหนึ่ง จากที่นี่ บวกกับที่ต้นก าเนิดคือหอกั้วอวิ๋น ในใจจึงพอจะรู ้ได้บ้างแล้ว
หลิงเซี่ยยังคงถูกปิดหูปิดตา นางถึงขั้นไม่รู ้ด้วยซ้าว่าผู้ฝึ กตน หนุ่มผู้นี้ก็คือเตี่ยนเค่อฝ่ายนอกของพรรคกิ่งไผ่บ้านตน
แค่เคยได้ยินเหลียงอวี้ผิงผู้เป็ นลูกศิษย์เล่าว่า ภูเขาไฉอวี้มีเตี่ย นเค่อคนหนึ่งชื่อเฉินจิ้ว เคยดื่มเหล้าร่วมกับเซี่ยโหวจ้านแห่งยอด เขาสุ่ยหลงพร ้อมกันกับนาง เป็ นคนขี้ประจบช านาญในการเอาใจคน บนโต๊ะเหล้าอย่างมาก
เฉินผิงอันมองหลิงเซี่ย ยิ้มเอ่ย “คารวะผู้คุมกฎหลิง”
หลิงเซี่ยทาท่าครุ่นคิด ก่อนจะใช ้คาพูดที่มิอาจผิดง่ายๆ พร ้อม กับท าท่ามุทราคารวะสาหรับบนภูเขา “หลิงเซี่ยแห่งพรรคกิ่งไผ่ คารวะผู้อาวุโส”
แม้กระทั่งกวอฮุ่ยเฟิงเองก็ยังไม่รู ้ว่าหลิงเซี่ยศิษย์พี่หญิงของนาง คนนี้ เมื่อหลายปี ก่อนก็จดจ่ออยู่กับการสวามิภักดิ์ต่อภูเขาตะวัน เที่ยงอยู่แล้ว อันที่จริงแค่ต้องการสวามิภักดิ์กับคนคนเดียวเท่านั้น นั่นคือเซียนกระบี่จู๋หวง
ปีนั้นตอนที่นางยังเป็ นเด็กสาว เข้าไปอยู่ในพรรคกิ่งไผ่ กลายไป เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายภูเขาจีจู๋ก็คือการจัดการของจู๋หวง
ภายหลังหลิงเซี่ยไม่ได้แย่งชิงต าแหน่งเจ้าประมุขกับกวอฮุ่ยเฟิงก็ เป็ นคาสั่งอย่างลับๆ จากจู๋หวงเช่นเดียวกัน
หากจะบอกว่าความขัดแย้งภายในที่ต้อง “ปัดกวาดลานบ้าน” ครั้งนี้ ก่อนที่ฝุ่ นจะหล่นร่วงลงพื้น เซี่ยหย่วนชุ่ยที่แรกเริ่มสุดมองดู คล้ายจะมีลาดับอาวุโสสูงที่สุดของภูเขาตะวันเที่ยงได้วางหมากลงบน กระดานก่อน กลเม็ดในการวางหมากที่ใช ้หลังจากนั้นก็ไม่ได้มี
ปัญหาใดๆ แต่อันที่จริงจู๋หวงกลับเริ่มวางเม็ดหมากลงบนกระดาน หมากอีกแผ่นหนึ่งที่อยู่มานานกว่าและใหญ่ยิ่งกว่าไปแล้ว เถาแยนโป เป็ นฝ่ ายติดต่อไปหาเซี่ยหย่วนชุ่ย เดิมก็เป็ นแผนการของจู๋หวงอยู่ แล้ว ดังนั้นถึงได้บอกว่าเซี่ยหย่วนชุ่ยพ่ายแพ้อย่างเป็ นธรรมดีแล้ว
หลิงเซี่ยเตรียมจะไปยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาจากในห้อง ตั้งใจจะไปเอา มาให้เจ้าส านักจู๋ส่วนตัวนางแน่นอนว่าต้องยืนรับแขก
คิดไม่ถึงว่าจะมีลมระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างกายนางไป ที่แท้ก็เป็ น นักพรตหนุ่มคนนั้นที่วิ่งเข้าไปในห้อง ไปหยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา
รอกระทั่งจู๋หวงรับเก้าอี้มาจากมือของหลิงเซี่ย
หลิงเซี่ยก็เห็นว่านักพรตยื่นส่งเก้าอี้มาให้ตน นักพรตคลี่ยิ้มกว้าง เจิดจ้า หลิงเซี่ยอยากจะปฏิเสธอีกฝ่ าย แต่จู๋หวงกลับยิ้มเอ่ยว่า “นั่งลง เถอะ”
นักพรตแนะนาตัวเอง “เสี่ยวเต้ามีชื่อตัวเดียว ไช่”
จู๋หวงกับหลิงเซี่ยต่างก็รอประโยคถัดไปของอีกฝ่าย
แต่นักพรตกลับเบิกตากว้างมองพวกเขาอยู่อย่างนั้น
เฉินผิงอันอธิบาย “ทั้งแซ่และชื่อใช ้ตัวอักษรเดียวกัน นักพรตผู้นี้ ชื่อว่า ไช่” ฉายาว่า อะไรแล้วนะ “อี้หมิง” (ชื่อหาย) หรือ?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับแรงๆ
หลิงเซี่ยเข้าใจผิดคิดว่าคนหนุ่มผู้นั้นคือผู้บรรลุมรรคาที่มีศาสตร ์ คงความเยาว์ บางทีอาจจะเป็ นสหายเก่าบนภูเขาของเจ้าส านักจู๋ ครั้ง นี้ปรากฏตัวที่หอกั้วอวิ๋นก็เพราะได้รับค าเชิญมา เพื่อรับประกันว่าจะ “ไม่มีข้อผิดพลาด”
สวมกวานหางปลา นักพรตของส านักโองการเทพหรือ?
จู๋หวงก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้นางฟัง เพราะถึงอย่างไรต่อให้ใช ้ เสียงในใจพูดก็ไม่มีความหมายอะไร
จู๋หวงไม่ได้อยากรู ้ว่านักพรตประหลาดที่สวมกวานดอกพุดตาน ผู้นี้คือองค์เทพจากฝ่ายใดกันแน่
เฉินผิงอันถามว่า “เจ้าส านักจู๋จะให้รางวัลอวี่หลิ่นอย่างไรหรือ?”
จู๋หวงยิ้มบางๆ “คนประเภทนี้จะเก็บไว้ไม่ได้ ยิ่งพรสวรรค์ดีเท่าไร ก็ยิ่งเนรคุณมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คาพูดตามมารยาทแบบนี้อย่าพูดเลย”
จู๋หวงหลุดหัวเราะพรืด ไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรต่อ บางทีอาจ เพราะถูกพูดแทงใจด าหรือบางทีอาจคิดว่าพูดมากกับคนนอกไปก็ไร ้ ประโยชน์
หลิงเซี่ยยิ่งฟังก็ยิ่งมึนงง หรือว่าคนผู้นี้ไม่ใช่สหายของเจ้าส านัก จู๋?
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “เจ้าสานักจู๋ เชื่อว่าช่วงเวลาอันใกล้นี้พวก เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”
นักพรตผู้นั้นถอนหายใจยาวเหยียด คล้ายกับโล่งอกแทนจู๋หวง
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ติดตามลู่เฉินออกไปจากหอกั้วอวิ๋นด้วย กัน เดินเท้าลงจากภูเขาไป เดินไปถึงท่าเรือป๋ ายลู่ที่บรรยากาศคึกคัก
แห่งนั้น
ลู่เฉินจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ลมปากของคนมากมาย สามารถเป่าให้ภูเขาเคลื่อนไหว ยุงมากมายรวมฝูงเสียงดังเท่าฟ้ าผ่า วันหน้าภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนี้คงมิอาจดูแคลนได้เลย”
เฉินผิงอันกลับถามว่า “หลิงเซี่ยชอบจู๋หวงมาตั้งนานแล้วใช่
ไหม?”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เรื่องความรักชายหญิงประเภทนี้ เจ้า ถามผินเต้าน่ะถือว่าถามถูกคนแล้ว”