กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1055.6 ก็คือมาตุภูมิ
ละอายใจจริงๆ ความสามารถในด้านนี้สลับกับขอบเขตของผิน เต้าพอดี
หากเป็ นหอเรือนสูงสิบห้าชั้น ผินเต้าก็อยู่ชั้นที่สอง เฉินผิงอันไม่ ถามให้มากความอีก
ลู่เฉินนวดคลึงปลายคาง “แต่ยังดีที่ผินเต้าเคยเห็นหมูวิ่งมาก่อน คิดดูแล้วตอนที่นางยังเป็ นเด็กสาวก็น่าจะหลงรักจู๋หวงตั้งแต่แรกเห็น แล้วล่ะ”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “เป็ นความเห็นที่ดี”
ทุกวันนี้ใครบ้างที่ไม่รู ้ว่าใต้เท้าอิ่นกวานแห่งก าแพงเมืองปราณ กระบี่มี “น้าเต้าเลี้ยงกระบี่” ลูกหนึ่งชื่อว่า “ตะกร ้าไม้ไผ่” ด้านในบรรจุ “กระบี่บิน” ที่เป็ นคาพูดเหน็บแนมประชดประชันไว้จนเต็ม?
ลู่เฉินรู ้สึกว่าต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับมาสักหน่อย “บนโลกนี้มี ความไม่รู ้อยู่อย่างหนึ่งที่งดงามที่สุด”
“หมายความว่ายังไง?”
“ยกตัวอย่างเช่นเพราะอายุน้อยจึงไม่รู ้ ด้วยเหตุนี้ด้ายแห่งรักจึง พัวพันกันเป็ นร ้อยตลบเด็กหนุ่มกับเด็กสาว ไยต้องเข้าใจความรัก
ตอนอายุยังน้อยด้วยเล่า หากเข้าใจตั้งแต่ในยามนั้น คิดดูแล้วก็คงจะ ไม่ใช่ความรักแล้วล่ะ”
“พูดเข้าเป้ าในคาเดียว คือข้อวินิจฉัยที่เฉียบแหลมยิ่ง”
“ผินเต้าเคยทะเลาะเรื่องหนึ่งกับสหายรักคนหนึ่ง นั่นคือคากล่าว ที่ว่า “ดอกราตรีบานเพียงชั่วข้ามคืน” สรุปแล้วเป็ นฉากแห่งความสุข หรือเป็ นฉากแห่งความเศร ้ากันแน่ ผินเต้ารู ้สึกว่าเป็ นอย่างแรก สหาย คนนั้น หรือก็คือเกากูแห่งตาหนักหัวหยาง เขากลับรู ้สึกตรงกันข้าม เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าอย่างไร? ลองวิจารณ์มาหน่อยสิ?”
“ไม่มีอะไรถูกผิด คาตอบคืออะไร อยู่แค่ที่ความรู ้สึกส่วนตัว เท่านั้น สรุปแล้วเป็ นหนึ่งสายตามองเห็นหมื่นปี หรือเป็ นหมื่นปีมอง ผ่านหนึ่งสายตา ก็ไม่อาจบอกได้”
ลู่เฉินเบิกตากว้าง เอ่ยชมเชยว่า “คาพูดนี้ในเวลานี้และสถานที่ แห่งนี้ ผินเต้ามีคาศัพท์ในคลังน้อย ได้แต่ร ้องว้าวๆๆ แสดงถึงความ ตกตะลึงแล้ว!”
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าความคิดบางอย่างก็อย่าได้พูดออกมา เลยจะดีกว่า
กังวลว่าพอเทพภูเขาฟู่ ได้เจอกับลู่เฉินจริงๆ จะไม่ใช่เย่กงชอบ มังกร ก็จะกลายเป็ นผิดหวังครั้งใหญ่แทน นี่จะไม่เดือดร ้อนให้เจ้า ลัทธิลู่ต้องเสียผู้เลื่อมใสคนหนึ่งไปเปล่าๆ หรอกหรือ
มองเงาร่างที่ลงจากภูเขาซึ่งยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกลของคนทั้งสอง หลิงเชี่ยยืนพิงราวรั้วนางหันหน้ามาใช ้เสียงในใจถามว่า “นักพรต สานักโองการเทพตามมาที่นี่ได้อย่างไร”
จู๋หวงส่ายหน้าด้วยสีหน้าเป็ นปกติ “ข้าก็ไม่รู ้เหมือนกัน”
ถึงกับเป็ นลู่เฉิน!
นอกจากเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ ายอวี้จิงท่านนี้แล้ว ไม่ว่านักพรตคน ใด จะมีใครที่กล้าสวมกวานดอกพุดตานและกวานหางปลาระหว่าง ออกมาหาประสบการณ์ข้างนอกบ้างเล่า?!
ลู่เฉินถาม “ยังจะกลับไปพรรคกิ่งไผ่อีกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ยังต้องอยู่ต่ออีกหลายวัน”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นกป๋ ายลู่ในท่าเรือป๋ ายลู่โบยบิน พรรคกิ่ง ไผ่ขับร ้องบทกิ่งไผ่ ใต้หล้าสงบสุขเปี่ยมไปด้วยความแปลกใหม่ ป๋ าย ลู่ฝูงใหญ่โบยบินสู่ฟ้ าคราม”
เฉินผิงอันเงียบไปพักใหญ่ “มีความรู ้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ไฉนยัง ต้องใช ้กลอนต่าโหยว” (กลอนที่สอดแทรกมุกตลกขบขัน ไม่เน้นใน เรื่องสัมผัสคล้องจอง)
ลู่เฉินตอบ “ก็เอาอย่างเจ้าไงล่ะ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไป!”
ลู่เฉินยิ้ม “ได้เลย”
เรือนกายกลายร่างเป็ นรุ ้งเส้นหนึ่ง จากลากันนับแต่นี้
สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ ออกเดินทางไกลอย่างอิสระเสรีอีก ครั้ง นักพรตชุดเขียวทะยานสู่ฟากฟ้ า
นักพรตลู่เฉิน บุคคลที่เปี่ยมเสน่ห์เช่นนี้ โลกมนุษย์มิอาจขาดได้ และมิอาจมีอีกเป็ นคนที่สอง
…….
สานักกระบี่หลงเฉวียน ยอดเขาโหยวอี้ที่อยู่ของเจ้าสานักใหญ่ หลิว
บนโต๊ะอาหารวันนี้ หลิวเสี้ยนหยางกาลังแทะน่องเป็ ด ถามเสียงอู้ อี้ว่า “ช่างหร่วนทาไมถึงไม่เข้าร่วมการประชุมที่เมืองหลวงล่ะ ท่านที่ เป็ นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของราชสานักต้าหลีทาหน้าที่ได้ไม่สุด ความสามารถเลยนะ”
วันนี้พวกต่งกู่ต่างก็ไม่ได้มากินอาหารด้วยกัน มัวแต่ยุ่งทางาน สมควรแล้วที่พวกเขาไม่มีลาภปาก
หร่วนฉงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าไม่เหมาะจะเป็ นผู้ถวายงาน อันดับหนึ่ง”
เขาจะยังไม่เข้าใจลูกศิษย์คนนี้อีกหรือ
หลิวเสี้ยนหยางโยนน่องเปิดทิ้งไปบนโต๊ะ “อะไรกัน ดูถูกกันหรือ ไร?!”
หร่วนฉงกล่าว “คนเป็ นบัณฑิต คนที่มีความสามารถด้านการ ประพันธ ์มักจะมีชะตาชีวิตที่ไม่ดี อยู่ในวงการขุนนางก็ยากที่จะศึกษา หาวิชาความรู ้ได้ เปลี่ยนมาเป็ นฝึกตนในภูเขาก็เป็ นหลักการเหตุผล ที่คล้ายคลึงกัน ผู้ฝึกกระบี่แค่ตั้งใจฝึกกระบี่ไปก็พอ”
หลายวันมานี้ช่างหร่วนของเจ้า นอกจากจะตีเหล็กหลอมกระบี่ แล้วก็มักจะมาโผล่ที่ยอดเขาโหยวอี๋เป็ นประจา เป็ นเรื่องที่หาได้ยาก ยิ่งแล้ว
แต่สรุปก็คือต้องการเตือนหลิวเสี้ยนหยางอย่างอ้อมๆ ว่าเรื่องของ การจัดงานแต่งงานควรจะใส่ใจให้มากหน่อย
กระตือรือร ้นถึงเพียงนี้ ทาเอาหลิวเสี้ยนหยางเข้าใจผิดคิดว่า ตัวเองใช่ลูกนอกสมรสของช่างหร่วนหรือไม่
แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ ายที่ใช ้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่เอ่ย ปลอบใจว่า “จะเป็ นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหรือไม่ ไม่ได้สาคัญหรอก ในต าราก็บอกไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า อย่าพูดว่าหนทางเบื้องหน้าไร ้คนรู ้ ใจ ใต้หล้านี้ใครบ้างไม่รู ้จักท่าน”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “คาพูดที่บัณฑิตใช ้หลอกบัณฑิต เจ้าก็ เชื่อด้วยหรือ”
แม่นางสวมชุดผ้าฝ้ ายพยักหน้า “ก็จริงนะ”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะหึหึ “ข้าเชื่อ เพราะว่าข้าก็คือบัณฑิต”
อวี๋เชี่ยนเยว่กลอกตามองบน ก่อนจะก้มหน้าพุ้ยข้าวกิน
หลิวเสี้ยนหยางกล่าวอย่างมีเหตุมีผลว่า “เขาเฉินผิงอันก็ยังไม่ได้ เป็ นแม้แต่นักปราชญ์ของส านักศึกษาไม่ใช่หรือ”
หร่วนฉงวางตะเกียบลง ลุกขึ้นแล้วจากไป
สานักกระบี่ชิงผิงของใบถงทวีป ถ้าสวรรค์ฉางชุนบนยอดเขามี่ เซวี่ยภูเขาบรรพบุรุษ
ในฐานะจวนเซียนซึ่งเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมส่วนตัวของเจ้า ขุนเขาเฉิน จุดที่สูงที่สุดของภูเขาลูกนี้มีแค่หอเรือนที่ประตูและ หน้าต่างล้วนปิดสนิทอยู่หลังเดียวเท่านั้น
ชั้นล่างๆ ของหอเรือนไม่มีการร่ายตราผนึกภูเขาสายน้าเอาไว้ แต่ว่าเมื่อก่อนก็มีแค่หมี่ลี่น้อยที่มักจะขึ้นหอเรือนมาชมทัศนียภาพ เป็ นประจ า ส่วนพวกเด็กๆ อย่างไฉอู๋ที่ฝึ กตนอยู่ที่นี่ พวกเขายังไม่ กล้า “บุกเข้ามาในพื้นที่ต้องห้าม” ไฉอู๋กังวลว่าวันหน้าตนจะไม่มี เหล้าดื่ม ส่วนตัวอ่อนวิถีกระบี่คนอื่นๆ ของกาแพงเมืองปราณกระบี่ นั้นกังวลว่าจะถูกห่านขาวใหญ่ที่ “เคารพครูบาอาจารย์” เป็ นที่สุด เล่นงานภายหลัง
อันที่จริงในห้องของชั้นบนสุดตกแต่งไว้เรียบง่ายยิ่ง มีเบาะนั่ง หนึ่งใบ โต๊ะหนึ่งตัวกระถางธูปหนึ่งอัน
ตอนนั้นเฉินผิงอันออกไปจากที่นี่ก็ไม่ได้เอาตาราหลายเล่มและ แผ่นไม้ไผ่กองหนึ่งที่แกะสลักตัวอักษรออกไปด้วย ต าราวางทับซ ้อน กันไว้ แผ่นไม้ไผ่ก็กองกันเป็ นเหมือนภูเขาลูกเล็ก
นอกจากนี้แล้วยังทิ้งเงินเทพเซียนส่วนหนึ่งเอาไว้ ล้วนเป็ นเงิน เกล็ดหิมะทั้งหมด แต่กลับไม่ได้กองกันเหมือนต ารา แต่เรียงกันเป็ น
แถวอย่างมีระเบียบ
หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าบนเงินเกล็ดหิมะทุกเหรียญล้วนมี ตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันแกะสลักเอาไว้ แบ่งออกเป็ นเขียนชื่อคน และวันที่
บนโต๊ะยังมีตราประทับอีกหลายชิ้น บ้างก็เป็ นตราประทับในตารา ตราประทับร ้อยเซียนกระบี่หรือไม่ก็เป็ นตราประทับในตาราตรา ประทับสองร ้อยเซียนกระบี่ แต่กลับถูกเฉินผิงอันเก็บเอาไว้เอง
ยกตัวอย่างเช่นตัวอักษรของตราประทับชิ้นหนึ่งในนั้นคือคาว่า “เนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาว’ แล้วก็มีประโยคว่า ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ” และยังมี ‘แม้ผมจะขาวก็ยังเป็ นคนงาม
และยิ่งมีตราประทับชิ้นที่สูงที่สุดซึ่งแกะสลักตัวอักษรสี่คาไว้ด้าน ล่างสุด คล้ายกับตัวอักษรกับหน้าโต๊ะที่มองสบตากันเนิ่นนาน
“มาตุภูมิแห่งที่สอง”
ในห้องประชุมของห้องทรงพระอักษรเมืองหลวงต้าหลี ใกล้ถึง ช่วงสุดท้ายของการประชุมแล้ว
ฮ่องเต้เหลือบมองแผ่นไม้ไผ่บนโต๊ะ ดูเหมือนว่าหัวข้อการประชุม ที่บันทึกไว้บนแผ่นไม้ไผ่จะถูกยกมาพูดถึงพอสมควรแล้ว
โดยไม่ทันรู ้ตัวก็ใช ้เวลาหมดไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ซ่งเหอยิ้มเอ่ย “การประชุมในวันนี้ถึงแค่ตรงนี้ก็พอ ล าบากทุก ท่านที่ต้องเดินทางมาแล้ว”
ฟ่านจวิ้นเม่าที่ช่วงครึ่งหลังของการประชุมรู ้สึกเบื่อหน่ายอย่างถึง ที่สุดเหมือนได้รับอภัยโทษ
ซ่งเหอกล่าว “เนื้อหาการประชุมในวันนี้ หวังว่าเมื่อทุกท่าน กลับไปแล้วจะไม่เอาไปแพร่งพรายให้ภายนอกรู ้”
ฟ่ านจวิ้นเม่ายกกันขึ้นแล้ว รอแค่ฮ่องเต้พูดคาว่า “เลิกประชุม” เท่านั้น
ผลคือนางสังเกตเห็นว่าฮ่องเต้และสหายร่วมงานในวงการขุน นางภูเขาสายน้าจานวนไม่น้อยในห้องต่างก็หันมามองตนอย่าง พร ้อมเพรียง
ซ่งเหอยิ้มเอ่ย “ฟ่านซานจวิน รบกวนแล้ว”
ฟ่านจวิ้นเม่าสีหน้าเหลอหรา “หา?”
การประชุมในวันนี้ หัวข้อประชุมทุกข้อไม่ได้มีเรื่องอะไรของข้า เลยนะ แล้วค าว่า “รบกวน” นี่มาได้ยังไง
ฟ่านจวิ้นเม่าเหล่ตามองหวังเจี้ยนเทพภูเขาของภูเขาทายาทบ้าน ตน เจ้ารีบส่งสัญญาณมาสิ เตือนข้าหน่อยว่าตกหล่นเรื่องอะไรไป หรือไม่
สีหน้าของหวังเจวี้ยนเต็มไปด้วยความอ่อนใจ
เจ้ากรมผู้เฒ่ากรมกลาโหมลืมตาขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝ่ าบาท หวังว่าเมื่อฟ่ านซานจวินออกจากห้องไปแล้วจะไม่พูดเรื่องอะไรทั้งนั้น ข้าจะยกตัวอย่างง่ายๆ ก็แล้วกัน อย่าพูดเรื่องราชครูไม่ราชครูอะไร”
ฟ่านจวิ้นเม่าร ้องอ้อหนึ่งที
นางก็ยังนึกอยู่ว่าเป็ นเรื่องอะไร
กาลังจะลุกขึ้นยืน ซ่งเหอก็รีบหันหน้าไปมองทางเก้าอี้ตัวนั้น อยากจะให้ราชครูคนใหม่ของต้าหลีพูดปิ ดการประชุมในวันนี้สัก หน่อย
เฉินผิงอันกุมหมัดเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ขอยืมคาพูดของคนโบราณ มาใช ้หน่อยก็แล้วกันมานะบนเส้นทางของตัวเอง ต่อให้อยู่ห่างไกล กันพันลี้ก็ยังมีปณิธานร่วมกัน”
เมื่อฮ่องเต้และราชครูต้าหลีลุกขึ้นยืน คนในห้องก็ลุกขึ้นยืนแทบ จะพร ้อมกัน
ตรงหน้าประตู เจียงซ่างเจินที่เข้าร่วมการประชุมประเภทนี้เป็ น ครั้งแรกนั่งจนกันแทบชาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ทะเลาะกันไม่ขว้าง เก้าอี้ ไม่มีใครถ่มน้าลายลงพื้น ไม่ชินเอาเสียเลย
ไม่สนุกเลยสักนิด คราวหน้าไม่มาแล้ว ไม่ใช่ว่าแม่นางเซี่ยจะมาเป็ นรองผู้ถวายงานแล้วหรอกหรือ ให้
นางมาเฝ้ าประตูสิ!
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าชั้นสูงกลุ่มใหญ่เดินกรูกันออกมา ด้วยฝี เท้าแผ่วเบา ภายใต้การนาของขันที่สวมชุดหม่าง พวกเขา มาถึงลานกว้างนอกห้องแล้วก็แยกย้ายกันกลับพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมของใครของมัน
แน่นอนว่าไม่ขัดต่อการที่พวกเขาจะแวะเวียนไปหากัน
เฉาหย่งลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใช ้เสียงในใจพูดคุยกับฉาง ชุนโหว วันนี้เรื่องที่ตาหนักปี้เซียวมอบสิทธิ์รายชื่อมาให้ เฉาหย่งเชื่อ ว่าวันหน้าย่อมไม่ขาดโอกาสที่จะได้ขอบคุณแน่นอน
เว่ยป้ อยืนอยู่ใต้ชายคา ไม่ได้รีบร ้อนกลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋น
ฟ่ านจวิ้นเม่ายิ้มตาหยี “เว่ยซานจวิน ไม่ถูกสิ ต้องเรียกว่าเย่ โหยวเสินจวินแล้ว รอให้งานพิธีแต่งตั้งสิ้นสุดลงจะจัดงานเลี้ยงท่อง ราตรีอีกครั้งหรือไม่ล่ะ?”
เว่ยป้ อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่สู้จัดก่อนงานพิธีแต่งตั้งครั้งหนึ่ง หลัง พิธีแต่งตั้งก็จัดอีกครั้งหนึ่ง”
ฟ่านจวิ้นเม่ายกนิ้วโป้ งให้เว่ยป้ อ “เจ้านี่สุดยอดจริงๆ!”
ในห้อง ซ่งเหอรั้งตัวเฉินผิงอันไว้พูดคุยกัน
เจ้ากรมทั้งสองท่านต่างก็อยู่ด้วย
ในระเบียงนอกห้อง เจียงซ่างเจินยืนรออยู่กับเสี่ยวโม่และเซี่ยโก่ว เจ้าขุนเขาบอกว่าอีกเดี๋ยวยังต้องไปที่ที่ว่าการกรมกลาโหมก่อนแล้ว ค่อยกลับภูเขาลั่วพั่ว
ตรอกหนันซวินและตรอกเคอเจี่ยสองฝากฝั่งของระเบียงพันก้าว มีที่ว่าการเรียงรายเป็ นแถว ที่ว่าการกรมกลาโหมก็อยู่ที่ตรอกเคอเจี่ย ฝั่งตรงข้ามคือศาลหงหลู
ซ่งเหอกล่าว “ราชครูบอกว่าเรื่องการตั้งป้ ายศิลาบนภูเขาคือการ รับผิดชอบที่มีต่อล่างภูเขา บนภูเขามีเทพเซียน ล่างภูเขามีมนุษย์ ธรรมดา อาศัยแค่ก าลังของพวกเขาเองย่อมไม่สามารถรับผิดชอบ ตัวเองได้ จึงต้องมีกฎเกณฑ์ที่ทาให้บนภูเขาและล่างภูเขาต่างก็ต้อง ปฏิบัติตาม”
ขอแค่พูดถึงชุยฉาน ฮ่องเต้ยังเคยชินที่จะเรียกสั้นๆ ว่าราชครู พอพูดถึงเฉินผิงอันถึงจะเรียกว่าราชครูเฉิน
เฉินผิงอันพยักหน้า “ท าให้คนล่างภูเขาไม่ถึงกับได้แต่กล้าโมโห แต่ไม่กล้าพูดออกมา”
เจ้ากรมผู้เฒ่าเสิ่นเฉินเดินถือไม้เท้าออกจากห้องทรงพระอักษร ยิ้มเอ่ยว่า “อดีตเจ้าส านักเจียง มาคุยกันสักหน่อยดีไหม?”
เจียงซ่างเจินขยับเท้ายิ้มตอบ “ได้เลยๆ”
ผู้เฒ่านั่งลงตรงขั้นบันได เจียงซ่างเจินก็นั่งลงข้างกายผู้เฒ่า
เพียงไม่นานจ้าวตวนจีนก็ออกมาจากห้องทรงพระอักษร ตรงดิ่ง ไปยังที่ว่าการของกรมพิธีการ
ผู้เฒ่ายิ้มถาม “อดีตเจ้าสานักเจียง เจ้าเข้าร่วมการประชุม ประเภทนี้ต้องรู ้สึกเบื่อมากเลยใช่ไหม?”
เจียงซ่างเจินกล่าว “เป็ นบุญตาครั้งใหญ่ จะเบื่อได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าพยักหน้า “ปัญญาชนที่มีความสามารถแต่ไม่ได้รับการ ยอมรับ สาวงามที่ถูกซ่อนไว้ไม่ได้เปิดเผยตัวตน คนทั่วไปจะรู ้สึกว่า ไม่มีอะไรน่าดู ยอดฝีมืออย่างอดีตเจ้าส านักเจียงกลับไม่เหมือนใคร เลย”
เจียงซ่างเจินดวงตาเป็ นประกาย มีเรื่องให้คุยกันแล้ว คงไม่ใช่ว่า มาเจอคนบนเส้นทางเดียวกันหรอกนะ?!
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหากท่านจะคุยแบบนี้ ข้าผู้แซ่โจวก็รู ้สึก กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเลยล่ะ!
แล้วก็จริงดังคาด ทั้งสองฝ่ายยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอกัน รอกระทั่งเฉินผิงอันกับฮ่องเต้ซ่งเหอเดินมายังระเบียงด้านนอกก็
เห็นว่าโจวอันดับหนึ่งกาลังกดเสียงลงต่าบอกเล่าเรื่องความต่าง
ระหว่างความรักและความปรารถนาของชายหญิง เจ้ากรมผู้เฒ่านั่งเอียงตัวเล็กน้อย กาลังท่าทางเงี่ยหูตั้งใจฟัง
อย่างแรก “ตอนนั้นแค่พูดว่าเป็ นเรื่องปกติ
ส่วนอย่างหลังกลับเป็ น “ตอนหลังแค่พูดว่าเป็ นเรื่องปกติ”
เจ้ากรมผู้เฒ่าได้ยินก็ยิ้มอย่างชอบใจ “เรือนกายนี้แก่ชราแล้ว มี เพียงตอนฝันวสันต์เท่านั้นที่ได้กลับไปเป็ นเด็กหนุ่มอีกครั้ง”
เจียงซ่างเจินจึงเอนหัวกระซิบกับอีกฝ่ าย บอกว่าพื้นที่มงคลถ้า เมฆาบ้านข้ามียาวิเศษชนิดหนึ่งที่ทั้งราคาถูกและได้ผลลัพธ ์ดีเยี่ยม… ผลคือถูกเฉินผิงอันที่หน้าดาทะมึนถีบเข้าให้
ท่ามกลางม่านราตรีหนาหนัก นักพรตหนุ่มคนหนึ่งไปเยือน ภูเขาผูซานก่อนรอบหนึ่งเพื่อไปพบเทพภูเขาฟู่ ท่านนั้น
จากนั้นเขาก็แอบไปที่ป้ ายหิน เห็นว่ารอบด้านไม่มีใคร ถึงได้ยื่น นิ้วออกไปตบตัวอักษรบนป้ ายศิลาเบาๆ
ดีมาก ยิ่งแน่นหนามากขึ้นแล้ว
ในอนาคตหากภูเขาตะวันเที่ยงโชคดีมีต้นกล้าที่ดี สามารถ อาศัยการถามกระบี่ที่เปิดเผยตรงไปตรงมามาโน้มน้าวให้ภูเขาลั่วพั่ว ถอนป้ ายหินแผ่นนี้ออกได้
ผลคือรอจนเขา ไม่ถูกสิ รอจนนางกลับมายังชายแดนของส านัก บ้านตัวเอง คิดอยากจะใช ้กระบี่ฟันป้ ายหินแผ่นนี้…เอ๊ะ ทาไมถึงฟัน
ไม่ขยับเลยเล่า
ถึงเวลานั้นก็จะน่าสนใจมากแล้ว ภูเขาตะวันเที่ยงกระอักกระอ่วน ภูเขาลั่วพั่วยิ่งกระอักกระอ่วน
ถึงอย่างไรขอแค่ผินเต้าไม่กระอักกระอ่วน คนที่กระอักกระอ่วนก็ ต้องมีแต่พวกเจ้าแล้ว
ลู่เฉินเงยหน้าขึ้น พึมพาว่า “ราตรีแผ่ปกคลุมไปทั่วฟ้ า แสงตะวัน สาดส่องแมลงตื่นจากจ าศีล