กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1056.4 บัณฑิตที่เป็ นเช่นนี้ก็คือวีรบุรุษ
เซอเยว่กล่าว “ทุกวันนี้ข้าใช ้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ หรือเจ้าจะ เรียกข้าเป็ นการส่วนตัวว่าสหายเซอเยว่ก็ได้เหมือนกัน”
ความประทับใจแรกที่มีต่อกู้ช่านไม่เลว ดีกว่าใครบางคนเยอะเลย
สาวใช ้คนนั้นยอบกายคารวะ “บ่าวหลิงเยี่ยนคารวะเซียนกระบี่ หลิว พี่หญิงเซอเยว่”
แน่นอนว่านางต้องรู ้จักเซอเยว่ แต่เซอเยว่กลับไม่รู ้จักเด็กรุ่น เยาว์ของบ้านเกิดอย่างนาง
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มตาหยีมองสตรีที่เรียกตัวเองว่าหลิงเยี่ยน ส่วน รากฐาน ขอบเขต ภูมิหลังอะไรนั่น ล้วนเป็ นเรื่องที่ไม่สาคัญ เขากุม หมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “คารวะสหายหลิง เยี่ยน ยินดีที่ได้พบ ยินดีที่ได้พบ”
หลิงเยี่ยนยังไม่รู ้ถึงความหนักเบาดีร ้ายในเรื่องนี้
นางรู ้สึกแค่ว่าหลิวเสี้ยนหยางอยู่ร่วมได้ง่ายกว่าอื่นกวานหนุ่มผู้ นั้น ดูแล้วน่าจะผ่อนคลายได้มากกว่า
เจ้าสานักหนุ่มจากสานักกระบี่หลงเฉวียนตรงหน้าผู้นี้ต้องไม่ได้ เป็ นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบธรรมดาคนหนึ่งแค่นอน
มองแค่คราเดียวก็พอแล้ว
กู้ช่านเองก็ไม่เอ่ยวาจาไร ้สาระ หยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจาก สาบเสื้อตรงหน้าอกโยนให้หลิวเสี้ยนหยาง ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “เรื่อง ที่เจ้ามอบหมายให้ ทาสาเร็จแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางยังคงยิ้มเป็ นปกติ เพียงแค่รับกล่องไม้มาแล้วสอด ไว้ในชายแขนเสื้อง่ายๆ ก้าวยาวๆ ดุจดาวตก ยื่นมือไปกอดคอกู้ช่าน ถามกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เหนื่อยหรือไม่?”
กู้ช่านเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
หลังจากเข้าไปฝึกตนที่นครจักรพรรดิขาว กู้ช่านก็ไม่เคยขอร ้อง อะไรอาจารย์มาก่อน
มีเพียงเรื่องนี้ที่เป็ นข้อยกเว้น
ช่วยไม่ได้ หลิวเสี้ยนหยางขู่เขาว่าหากไม่ทาเรื่องนี้ให้สาเร็จก็ อย่าคิดจะมาเป็ นเพื่อนเจ้าบ่าวดื่มเหล้ามงคลในงานแต่งของเขา
หลิวเสี้ยนหยางกดเสียงลงต่าถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าเฉินผิงอันรู ้ แล้วจะทะเลาะกับเจ้าหรือ?”
กู้ช่านเอ่ยด้วยน้าเสียงเรียบเฉย “ผลลัพธ ์จะเป็ นอย่างไร ข้ามีแต่ จะรู ้ดียิ่งกว่าเจ้า”
หลิวเสี้ยนหยางได้ยินคาตอบนี้ก็พยักหน้า ตบหัวกู้ช่าน “ไม่เลว ถือว่าข้าคบหายเจ้าเป็ นสหายไม่เสียเปล่า”
กู้ช่านปัดมือของหลิวเสี้ยนหยางออก ใช ้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “ถึงอย่างไรก็เป็ นแค่ภาพวาดภาพหนึ่ง ประสิทธิผลอาจไม่ค่อยดีนัก”
หลิวเสี้ยนหยางอืมรับหนึ่งที จากนั้นก็ตอบกลับกู้ช่านไปว่า “เรื่อง ประเภทนี้ ข้ามีแต่จะรู ้ดียิ่งกว่าเจ้า”
กู้ช่านใช ้เสียงในใจกล่าว “เพื่อเป็ นค่าตอบแทน อาจารย์ให้ข้า ถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เคยเจอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “หุนเจ่อ” ที่เฝ้ าพิทักษ์แม่น้า แห่งกาลเวลาสายนั้นหรือไม่”
สีหน้าของหลิวเสี้ยนหยางเปลี่ยนมาเป็ นเคร่งขรึม ส่ายหน้ากล่าว “ที่นี่ไม่เหมาะจะคุยเรื่องนี้ ไปถึงยอดเขาโหยวอี๋ก่อน ช่างเถอะ พวก เราไปที่ภูเขาเสินซิ่วก่อนค่อยว่ากัน”
กู้ข่านกล่าว “ในเมื่อได้คาตอบแล้วก็ไม่ต้องทาให้ยุ่งยากหรอก อาจารย์แค่ต้องการรู ้ว่าบุคคลผู้นั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ข้าแค่รับหน้าที่มา ช่วยยืนยันว่ามีหรือไม่มีให้อาจารย์เท่านั้นส่วนเรื่องอื่นๆ หากอาจารย์ อยากรู ้เรื่องวงในมากกว่านี้ เขาย่อมมาหาเจ้าเอง”
หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือออกมานวดคลึงปลายคาง “เจ้านคร จักรพรรดิขาวดื่มเหล้าหรือไม่ มีเหล้าเซียนชนิดใดที่ชอบมากเป็ น พิเศษหรือไม่? หากว่ามี เจ้าก็ช่วยไปหามาให้หน่อย”
กู้ช่านใช ้ภาษาถิ่นของบ้านเกิดด่าไปประโยคหนึ่ง อิงตาม ลักษณะการอยู่ร่วมกันของพวกเขาในอดีต อันที่จริงนี่ก็ถือว่าเป็ น การตกลงแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย กู้ช่านที่อยู่ข้าง กายเหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เซอเยว่กับหลิงเยี่ยนที่เป็ นคนบ้านเกิดเดียวกัน คนหนึ่งเดินอยู่ ด้านหลังคนรักของตัวเอง ส่วนอีกคนเดินอยู่ด้านหลังเจ้านายของตน
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างเกียจคร ้านว่า “หากตอนนั้นข้าอยู่ด้วย ก็คงไม่ต้องให้เฉาสือปล่อยหมัดออกไป แล้วใบไหวของเจ้าก็คงไม่ได้ เอาออกมาใช ้แล้ว”
กู้ข่านกล่าว “คุยโวพูดจาใหญ่โต เจ้าถนัดที่สุดเลยล่ะ”
เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันได้เล่าเรื่องการเข่นฆ่าที่เปลี่ยวร ้างซึ่งเป็ น การพบเจอกันบนทางแคบครั้งนั้นให้หลิวเสี้ยนหยางฟังแล้ว
คงเป็ นเพราะเขากังวลว่าหลิวเสี้ยนหยางจะไม่ยอมเชิญตนมาเป็ น เพื่อนเจ้าบ่าวกระมัง?
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะกวนอารมณ์ “เจ้ากับพี่สาวคนนี้ไปถึงขั้น ไหนกันแล้วล่ะ?”
กู้ช่านหัวเราะเสียงเย็น “เหมือนเจ้ากับเซอเยว่”
หลิวเสี้ยนหยางสะอึกอึ้งไปเล็กน้อย เรื่องอย่างการปะทะฝีปากนี้ กู้ช่านมีพรสวรรค์อย่างมาก ปีนั้นเขากับเฉินผิงอันรวมกันก็ยังสู้เจ้าขี้ มูกยึดน้อยไม่ได้ แน่นอนว่าเวลานั้นเพิ่มเฉินผิงอันที่เป็ นน้าเต้าตัน เข้ามาหรือไม่ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างนัก
กู้ช่านลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะพูดถึงการคาดเดาของ ตัวเองก็แล้วกัน เซอเยว่ที่อยู่ข้างกายเจ้า โอกาสในการบรรลุมรรคา ของนางในอนาคต บางทีอาจมีความเกี่ยวข้องกับสุสานเทพเซียน ของบ้านเกิดพวกเรา และยังมีเซียงจวินฉายาตั้งถึงแห่งอารามหลิง เฟยรวมไปถึงภูเขาฉีอวิ๋นที่ชื่อเก่าคือ “ป๋ ายเยว่” แห่งนี้ ส่วนจะเอามา เชื่อมโยงกันอย่างไร ควรจะยืดขยายเบาะแสออกไปให้ได้มากกว่านี้ อย่างไร เจ้าก็ไปคิดเอาเอง”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “ตอนนั้นอาจารย์ฉีเอาแม่นางอวี๋มาไว้ ที่บ้านเกิดของพวกเรา ต้องมีความหมายลึกล้ายิ่งใหญ่แน่นอน”
จาได้ว่ามีครั้งหนึ่งกินเป็ ดผัดหน่อไม้แห้งด้วยกันที่ร ้านตีเหล็ก แม่ นางอวี๋เคยพูดถึงเรื่องหนึ่ง บอกว่าเจียงซ่างเจินเคยเอ่ยประโยค เกี่ยวกับกลอนโหยวเซียน ถ้อยคาปู้ ซวีกับนาง
ผลคือรอกระทั่งหลิวเสี้ยนหยางถามนางว่าเนื้อหาโดยละเอียด เป็ นอย่างไร แม่นางอวี๋บอกว่าเดินขึ้นฟ้ าครามอะไรสักอย่าง กลมเต็ม ชดเชยเงินขาด แสงจันทร ์เมฆขาวอะไรนี่แหละ จ าไม่ค่อยได้แล้ว
คราวนี้ทาเอาหลิวเสี้ยนหยางที่คิดว่าตัวเองเป็ นคนใจใหญ่มาก พอแล้วอึ้งตะลึงไปทันที
ภายหลังยังคงเป็ นหลิวเสี้ยนหยางที่วิ่งไปถามเรื่องนี้จากเฉินผิง อัน ขอให้เฉินผิงอันถามเนื้อหาทั้งหมดมา
หลิวเสี้ยนหยางพลันฟาดฝ่ ามือออกไป ใช ้เสียงในใจเอ่ยสั่งสอน ว่า “เซอเยว่อะไรกันไม่รู ้จักเด็กรู ้จักผู้ใหญ่ เรียกพี่สะใภ้สิ!”
กู้ช่านแค่ก้มหัวก็หลบการลอบโจมตีของหลิวเสี้ยนหยางมาได้ หันหน้าไปยิ้มเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ต้องการให้ข้าเล่าเรื่องเก่าๆ ในตรอก หนีผิงให้ท่านฟังหรือไม่ มันน่าสนใจมากเลยนะ”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะฮ่าๆ รีบยื่นแขนมารัดคอกู้ช่านเอาไว้ กด เสียงลงต่าเอ่ยว่า “เจ้าขี้มูกยึด…ล้วนเป็ นพี่น้องคนกันเอง ให้ข้าเรียก เจ้าว่าพี่ใหญ่กู้ดีไหม!”
เซอเยว่ยิ้มเอ่ย “ก็เรื่องหวังจูไม่ใช่หรือ ข้ารู ้หรอก เมื่อก่อนหลิว เสี้ยนหยางขอบไปดูนางที่ตรอกหนีผิงบ่อยๆ”
กู้ช่านหันหน้ามายิ้มเอ่ย “ที่แท้พี่สะใภ้ก็รู ้ด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ ไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางปล่อยกู้ช่าน สูดจมูก ยกมือลูบหน้าตัวเองแรงๆ เหม่อมองไปเบื้องหน้าข้าจะเอาขอบเขตเซียนกระบี่ สถานะเจ้าสานัก พวกนี้ไปทาไมกัน
ไม่รอให้กู้ช่านได้ทันสมน้าหน้า เขาก็ถูกหลิวเสี้ยนหยางที่เอื้อม มือไปหลังกัน ปล่อยผายลมไร ้เสียงออกมา แล้วใช ้ความเร็วที่ฟ้ าผ่า ไม่ทันป้ องหูเอามือตบไปบนหน้ากู้ช่าน
รอกระทั่งกู้ช่านด่าอีกฝ่ายด้วยภาษาถิ่นของบ้านเกิด กาลังจะเอา คืน หลิวเสี้ยนหยางกลับขี่กระบี่จากไปไกลอย่างว่องไวแล้ว
กู้ช่านคิดแล้วก็ไม่ได้ไล่ตามไป
ตอนเด็กก็มักจะเป็ นเช่นนี้
เจ้าขี้มูกยึด อย่าร ้องไห้เลย มา จะใช ้ชายแขนเสื้อเช็ดหน้าให้เจ้า
เสียงผายลมดัง ตามมาด้วยเสียงตบอีกหนึ่งที เปลี่ยนจากหมัดที่ ก าหลวมๆ เป็ นแบฝ่ามือ อุดลงบนใบหน้าของเจ้าขี้มูกยึดน้อย
ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ยังอายุน้อย เลยต้องเสียเปรียบอยู่หลายครั้ง
เด็กน้อยมักจะร ้องไห้อย่างร ้าวรานใจ แล้วก็จะมีคนปลอบใจเขา บอกว่าไม่เป็ นไร จะต้องช่วยเขาสั่งสอนหลิวเสี้ยนหยางที่วิ่งหัวเราะหนี ไปไกลแล้วอย่างแน่นอน
แต่ทุกครั้งที่ขึ้นเขาลงห้วย ผลเก็บเกี่ยวทั้งหมดที่ได้มา คนผู้นั้น กับหลิวเสี้ยนหยางจะยกให้เด็กน้อยที่มีขี้มูกสองสายย้อยจากจมูกเอา กลับบ้านไปทั้งหมด
หลิวเสี้ยนหยางไม่ใช่คนที่ใจแคบจริงๆ
ไม่อย่างนั้นปีนั้นเจ้าขี้มูกยึดจะต้อง “พูดจาดีๆ” กับซ่งปันไฉที่อยู่ ตรอกหนีผิงเหมือนกันท าไม?
เมืองหลวงต้าหลี หลังเฉินผิงอันออกมาจากที่ว่าการกรม กลาโหมในตรอกเจี่ยเคอแล้วเสิ่นเฉินก็ยังคงเรียกใต้เท้าเจ้ากรมสอง คนนั้นมาหา
ตอนที่รอคนอยู่ในห้อง เสิ่นเฉินยืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ ยื่นมือไป ลูบจานฝนหมึกเก่าแก่ชิ้นหนึ่ง วัสดุธรรมดา แต่สืบทอดมาอย่างมี ระบบระเบียบ อยู่มานานหลายปีแล้ว
ว่ากันว่าเป็ นของตกแต่งห้องหนังสือของเจ้ากรมกลาโหมคนแรก ของตัาหลี ผู้เฒ่าคนนั้นตายอยู่ในที่ว่าการ ตอนนั้นยังมีเอกสาร ราชการของกรมกลาโหมที่ยังเขียนไม่เสร็จอยู่ฉบับหนึ่ง ในจานฝน หมึกยังมีน้าหมึกที่เพิ่งฝนใหม่ๆ
จากนั้นก็ไม่รู ้ว่าทาไม จานฝนหมึกชิ้นนี้ถึงได้สืบทอดต่อกันมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า อยู่ในที่ว่าการกรมกลาโหมมาตลอด
แล้วก็เป็ นจานฝนหมึกโบราณเล็กๆ ที่ว่ากันว่าสร ้างมาหลายร ้อย ปีแล้วชิ้นนี้ที่ไม่รู ้ว่าได้ส่งผู้เฒ่าอย่างเสิ่นเฉินจากไปแล้วกี่มากน้อย
เสิ่นเฉินได้ยินเสียงฝีเท้าสองแบบที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดจากนอก ห้อง เขาก็พลันคืนสติเดินอ้อมโต๊ะไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่ง
เดินข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้องแล้ว เจ้ากรมโยธาเวินเอ่อก็ถาม อย่างตรงไปตรงมาว่า “เรื่องที่ให้ช่วยติดต่อกับศาลซานหลางและ สกุลหลิ่วลาคลองหลัวหม่าแห่งอุตรกุรุทวีปเขาไม่ได้ตอบตกลงใช่ ไหม?”
เสิ่นเฉินยิ้ม “คนฉลาดถึงเพียงนั้น จะยอมพยักหน้าตอบตกลง ง่ายๆ ได้อย่างไร ราชครูเฉินเองก็ไม่ใช่คนซื่อบื้อเสียหน่อย ได้ยิน ค าพูดดีๆ แค่ไม่กี่คาถึงจะได้ตบอกรับรองอย่างดีอกดีใจ”
มู่เหยียนเจ้ากรมการคลังถามว่า “ทางฝั่งของสานักกุยหยกและ พื้นที่มงคลถ้าเมฆาล่ะปฏิเสธเหมือนกันหรือ?”
เสิ่นเฉินกล่าว “ครึ่งต่อครึ่งมากกว่า เจียงซ่างเจินบอกว่าค าพูด ของตัวเองไม่มีน้าหนักในส านักกุยหยก ความนัยในประโยคนี้ก็คือให้ พวกเราไปหาคนคุยด้วยเอาเอง แต่หากเป็ นพื้นที่มงคลถ้าเมฆาของ สกุลเจียงพวกเขากลับไม่มีปัญหา ยินดีอย่างมากที่จะนั่งลงพูดคุย รายละเอียดของเรื่องที่จะร่วมมือกันกับต้าหลีของพวกเรา เพราะเทพ เจ้าแห่งโชคลาภที่ดูแลกระเป๋ าเงินอย่างเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย เจียงซ่างเจิน จึงไม่ได้บอกว่าเขาจะออกหน้าเอง แค่พูดว่าจะให้คนที่ดูแลกิจธุระ ต่างๆ ของสกุลเจียงมาเยือนเมืองหลวงรอบหนึ่ง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เสิ่นเฉินก็อดไม่ไหวยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราจะไม่ เห็นเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งที่เคยเป็ นเจ้าสานัก อีกทั้งคุณความชอบ ทางการสู้รบก็โดดเด่นอยู่ในสายตา เพียงแค่เพราะว่าวันนี้เขานั่งอยู่ หน้าประตูห้องทรงพระอักษร ไม่ได้พูดอะไรสักค าไม่ได้”
เวินเอ่อพยักหน้า “ถึงอย่างไรเขาก็คือเจียงซ่างเจิน”
ในเมื่อมาก็มาแล้ว เจ้ากรมทั้งสามท่าน หนึ่งเจ้าบ้านสองแขกจึง พูดคุยกันเรื่องใหญ่ของแคว้นอย่างเรื่องการทหาร
รอกระทั่งเวินเอ่อและมู่เหยียนลุกขึ้นยืน เจ้ากรมผู้เฒ่าก็ไม่ได้ลุก ขึ้น เพราะถึงอย่างไรเขาก็อายุมากแล้ว ไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือน คนหนุ่ม จึงไม่ได้ไปส่งแขก
ผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ หลับตาทาสมาธิอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ค่อยๆ ลุก ขึ้นช ้าๆ เดินไปที่ชั้นวางหนังสือ ที่นั่นมีหนังสือรักใคร่เล่มบางๆ ซ่อน อยู่หลายเล่ม ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย ผู้เฒ่าดึงออกมาเล่มหนึ่งอย่าง คล่องแคล่ว เอานิ้วแตะน้าลาย เปิ ดไปหน้าหนึ่ง เนื้อหาในหนังสือ บรรยายถึงรูปร่างหน้าตาของสตรีได้สุดยอดยิ่ง
การบรรยายแบบเว้นพื้นที่ให้ขบคิดโดยไม่ได้บอกว่างามเลิศล้า ถึงเพียงใดกลับยิ่งให้รสชาติที่ติดตรึงใจได้มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น บทที่เจ้ากรมผู้เฒ่าอ่านในเวลานี้เขียนไว้ว่าเมื่อเมฆฝนชะล้างผ่านไป ชายคนรักปืนกาแพงจากไปแล้ว สตรีในห้องนั่งอยู่หน้าคันฉ่องสาว งามในคันฉ่องใบหน้าแดงปลั่งดุจดอกท้อ เหงื่อหอมหยดรินข้างจอน ผม หญิงสาวยื่นมือไปตบหน้าอกอย่างนุ่มนวลคล้ายเจ็บปวด ขมวด คิ้วน้อยๆ คล้ายขุ่นเคืองคล้ายขัดเขิน…
ตาราที่ยากจะถูกยกระดับให้มีคุณค่าทางวรรณศิลป์ เล่มนี้ แรกเริ่มสุดแพร่จากอุตรกุรุทวีปมาถึงท่าเรือตระกูลเซียนของแจกัน สมบัติทวีป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาตลอดทางกระทั่งถูกเสิ่นเฉินที่ ตอนนั้นยังหนุ่มเก็บมาไว้ในกระเป๋ า
คนที่เขียนนิยายเล่มนี้ก็คือเจียงซ่างเจินที่ตอนนั้นใช ้ขอบเขต โอสถทองก่อคลื่นลมมรสุมอยู่ในอุตรกุรุทวีป
ผู้เฒ่าเปิดอ่านไปอีกหลายหน้า ก่อนจะวางต ารากลับไปไว้ที่เดิม บนชั้น
อันที่จริงก่อนหน้านี้คาถามที่เจียงซ่างเจินถามว่า “เป็ นขุนนาง น่าสนใจตรงไหน?”
เจ้ากรมผู้เฒ่าแห่งกรมกลาโหมต้าหลีท่านนี้ไม่ได้ให้คาตอบที่ จริงจังอะไร
ไม่พูดถึงทวีปอื่นแคว้นอื่น พูดถึงแค่การเป็ นขุนนางในราช ส านักต้าหลีของพวกเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางานอยู่ในกรม กลาโหมก็น่าสนใจอย่างมาก
ผู้เฒ่าที่ชราภาพเต็มที่ผู้นี้เอนหลังพิงชั้นหนังสือ เหม่อลอย
เสิ่นเฉิน นามหงอี้
ว่ากันว่าหากอิงตามค าอธิบายตัวอักษร ในบทกวีหรือบทความ บางอย่าง รวมไปถึงในสายของหินทอง เสิ่นและเฉินสองคานี้ อันที่จริง สามารถใช ้แทนกันได้
ในเมื่อแซ่เสิ่นนามเฉิน แน่นอนว่าต้องมี “นาม” อีกอย่างหนึ่งที่ เอามาช่วยเสริมชื่อนี้
เสิ่นเฉินขยับเส้นสายตามองไปทางหน้าประตู
หวนนึกถึงปีนั้น ด้วยความโมโห ตอนนั้นเสิ่นเฉินที่เป็ นขุนนาง อยู่ในกรมอาญามีความเห็นไม่ลงรอยกับราชครูชุยฉาน เสิ่นเฉินจึง ลาออกจากขุนนางไม่เป็ นมันแล้ว ขว้างหมวกขุนนางทิ้งลงพื้น แล้ว ถึงได้มีประโยคโด่งดั่งที่คนทั้งวงการขุนนางล้วนรับรู ้
ไอ้แม่….คนต่างถิ่น!!
ภายหลังก็เป็ นซุยฉานที่พาเสิ่นเฉินมาที่ว่าการกรมกลาโหมด้วย ตัวเอง ก่อนจะเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง ชุยฉานหยุดเดิน ถามเสิ่นเฉินว่าคิดดีแล้วหรือ? เจ้าคือปัญญาชนที่ไม่เคยจับดาบ ไม่ เคยสวมเสื้อเกราะ คิดอยากจะนั่งในตาแหน่งนี้ให้มั่นคง ไม่ง่ายเลย
เลิ่นเฉินบอกว่าราชครูชุยแค่รับปากข้าเรื่องเดียว อย่าให้ผู้ฝึ ก ยุทธกลุ่มนั้นเอะอะก็หิ้วดาบเข้าห้องมาฟันข้า ข้าก็มีความสามารถ พอที่จะปกครองกรมกลาโหมของแคว้นให้ดี
เป็ นราชครูต้าหลีเหมือนกัน แล้วยังเป็ นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วม ส านักเดียวกัน ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ยังอายุน้อย มิอาจเทียบกับศิษย์ พี่อย่างชุยฉานได้ หึหึ ห่างชั้นกันค่อนข้างไกลนะ
เปรียบเทียบกับซิ่วหูแห่งไพศาล รังแกคนเกินไปไหม? ผายลมน่ะ สิ ใครใช ้ให้วันนี้เจ้าเฉินผิงอันนั่งเก้าอี้ตัวนั้นเล่า! ไม่ใช่คนอื่นที่มานั่ง เสียหน่อย!
ไม่เอาเจ้ามาเปรียบเทียบกับชุยฉาน หรือจะให้เอามาเปรียบเทียบ กับข้าเสิ่นเฉิน
แต่จะว่าไปแล้ว วันนี้ได้พบกัน อันที่จริงผู้เฒ่ามีความประทับใจที่ ไม่เลวต่อเฉินผิงอันไม่ถึงขั้นผิดหวัง
ผู้เฒ่าเดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วพลันหยุดเท้า ขยี้ตา เพ่งสายตานิ่ง มองไปให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
เพราะไม่รู ้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บนโต๊ะมีตราประทับลักษณะเรียบง่าย ซึ่งมีลายชื่อหลงนูนขึ้นมาวางอยู่
เสิ่นเฉินเดินก้าวเข้าไปช ้าๆ ไม่ได้รีบร ้อนหยิบตราประทับขึ้นมา เอาสองมือไพล่หลังก้มหน้าลงมอง ดูเหมือนว่าจะมีอักษรริมขอบจะมี เนื้อหากับลงชื่อกากับไว้
เนื้อหามีสองประโยค
อริยะปราชญ์กล่าวไว้ว่าปัญญาชนมิอาจไร ้ปณิธานยิ่งใหญ่ (หง อี้) ถูกบันทึกอยู่ในต าราประวัติศาสตร ์ ท่านแม่ทัพขอมอบตราประทับ นี้ให้แก่ท่าน
ลงชื่อก็อีกหนึ่งประโยค
เฉินผิงอันแห่งต้าหลีเลียนแบบอักษรตราประทับของแม่ทัพ อาจารย์หงอี้ช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง (คาว่าช่วยแก้ไขให้ถูกต้องในที่นี้ เป็ นคาแสดงความถ่อมตัวเวลาที่มอบผลงานให้คนอื่น)
เสิ่นเฉินคลี่ยิ้ม พยักหน้า ไม่เลวเลย
ผู้เฒ่าไม่ได้ตกตะลึงอะไร แล้วก็ไม่ได้รู ้สึกยินดีอะไรเป็ นพิเศษ
ชั่วชีวิตนี้เจ้ากรมผู้เฒ่าอ่านตารามานับไม่ถ้วน ประโยคดีๆ ใน ต ารามีมากมายหลายหลาก ไม่ได้ขาดแค่ไม่กี่ประโยคนี้…คาพูด ประจบเอาใจ อืม จะบอกว่าเป็ นค าประจบเอาใจได้อย่างไร ต้องเป็ น คาพูดที่ดีอยู่แล้ว
จากนั้นเสิ่นเฉินก็คีบตราประทับขึ้นมา มองตัวอักษรที่อยู่ด้านใต้ แล้วก็ต้องอึ้งงันไป ผู้เฒ่าไร ้คาพูดไปเนิ่นนาน วางลงเบาๆ จัดให้เป็ น ระเบียบ เงียบคิดอยู่พักใหญ่ ผู้เฒ่าก็หยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง
สุดท้ายถึงได้ตัดใจวางตราประทับลงบนโต๊ะได้ เสิ่นเฉินมอง ต าแหน่งตรงหน้าประตูแล้วถึงได้มองไปยังเก้าอี้ตัวนั้น
ชุยฉานกับเฉินผิงอันไม่เสียแรงที่เป็ นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสานัก
เสิ่นเฉินที่ใช ้สถานะของบัณฑิตเป็ นผู้น ากรมกลาโหมของแคว้น ไม่ทันได้ถามค าถามบางอย่างกับราชครูชุยฉาน
ข้าคนนี้เป็ นเจ้ากรมกลาโหมเป็ นอย่างไร?
ตัวอักษรเจ็ดตัวด้านล่างตราประทับก็คล้ายจะเป็ นคาตอบที่ตอบ แทนชุยฉาน
บัณฑิตที่เป็ นเช่นนี้ก็คือวีรบุรุษ