กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1057.1 มิอาจต้านทานฤทธิ์สุรา
อากาศอบอุ่น แสงแดดท าให้คนรู ้สึกผ่อนคลาย ดอกไม้บานตาม ฤดูกาล ดอกเหมยดอกหลี ดอกท้อทยอยกันเบ่งบาน
ในลานหลิวหลีของเมืองหลวงที่มีร ้านหนังสือตั้งเรียงราย คนหนุ่ม คนหนึ่งที่รูปโฉมหล่อเหลา ตรงเอวห้อยกาเหล้าน้าเต้าสีม่วงเงาวับ กาลังนั่งอาบแดดอยู่หน้าประตู กินขนมถั่วกวนที่ซื้อมาจากข้างทาง พลางต่อรองราคากับเถ้าแก่ร ้านที่คุ้นเคยกันดีไปด้วย บอกว่าต ารา ทั้งหลายที่ตัวเองหมายตาก็เหมือนหญิงแก่ที่ขายไม่ออก ด้านหนึ่งก็ หันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเถ้าแก่เนี้ยะของร ้านข้างๆ ที่กาลังเอา หนังสือออกมาตากแดดบนแผงข้างทางไปด้วย ขณะเดียวกันก็ก าลัง เฝ้ าตอรอกระต่าย ยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว
เถ้าแก่ร ้านที่ให้ผีขี้เหล้าหนุ่ มยืมม้านั่งกาลังนั่งเช็ดเครื่อง กระเบื้องของชาวบ้านที่เลียนแบบทางการชิ้นหนึ่งอย่างตั้งใจอยู่ ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าคนเอ้อระเหยลอยชายที่ ก าลังหันไปส่งสายตาให้กับร ้านข้างๆ แล้วหัวเราะร่าเอ่ยว่า “รอง เจ้ากรมเฉา หากเจ้ากล้าลูบมือของนางตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้ แล้วกอดนางอีกสองสามที ตาราที่อยู่ในร ้านของข้าก็จะลดให้เจ้าห้า ส่วน ตกลงไหม?”
คนหนุ่มโยนถั่วกวนชิ้นหนึ่งเข้าปาก ยิ้มพูดหน้าทะเล้น “ตอน กลางวันอย่าเลย ท าลายชื่อเสียงกันเสียเปล่าๆ ตอนกลางคืนได้ หรือไม่ ลองไปแอบฟังที่มุมกาแพงดูสิ?”
บุรุษสองคนที่อยู่ในร ้านกับนอกร ้านต่างก็พูดกันเสียงไม่เบา เห็น ได้ชัดว่าไม่ได้จงใจหลบเลี่ยงสตรีที่กึ่งสาวกิ่งมีอายุผู้นั้น สตรีได้ยินก็ หยิบตาราเล่มหนึ่งที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ด่าข าๆ ว่าคนบ้า ขว้างหนังสือ ใส่บุรุษรูปงามที่ทาตัวไม่เป็ นโล้เป็ นพาย “คนหนึ่งปอดแหก คนหนึ่งขี้ ขลาด ดีแต่พูดปากเปล่า สนุกนักหรือ?”
รองเจ้ากรมเฉาที่เรียกกันไม่ใช่ฉายาอะไรทั้งนั้น แต่เป็ นรอง เจ้ากรมในวงการขุนนางต้าหลีตัวจริง อีกทั้งยังอยู่ในกรมขุนนางที่ขุน นางมีหน้าที่ควบคุมขุนนางด้วย
บุรุษหนุ่มรับ “อาวุธลับ” มา ไม่อ่านชื่อตาราด้วยซ้า เอาแต่สูดดม กลิ่น ก่อนจะโยนตาราเล่มนั้นกลับไปที่แผงของสตรีหน้าตางดงาม เบาๆ “เนื้อหาไม่มีกลิ่นคาว ตัวอักษรไม่มีสีสัน ไม่อ่านๆ ไม่น่าสนใจ ไม่น่าสนใจ”
เฉาเกิงซินขยับเส้นสายตาออกไปเล็กน้อยก็เห็นว่าห่างไปไกลมี คนสี่ห้าคนเดินออกมาจากร ้านขายของโบราณร ้านหนึ่ง ล้วนเป็ นคน ต่างถิ่นที่มาจากอุตรุกุรุทวีป
บุรุษวัยกลางคนเรือนกายสูงใหญ่ บนศีรษะสวมหมวกขนเตียว เก่าแก่ที่ผ่านการเสียดสีมาค่อนข้างมาก สวมชุดผ้าฝ้ ายและรองเท้า
หนังกลับ ใบหน้าของบุรุษไม่ใช่ใบหน้าของคนอมทุกข์ แต่เป็ น ใบหน้าของคนยากจน
ก็คือหลิ่วซวี่ผู้ฝึกกระบี่สกุลหลิ่วลาคลองหลัวหม่า
หยวนเซวียนแห่งศาลซานหลางมีรูปโฉมเป็ นเด็กหนุ่ม สวมชุด คลุมอาคมสีทอง
เดินทางลงใต้ข้ามทวีปมาเยือนแจกันสมบัติทวีปในครั้งนี้ ผู้สืบ ทอดศาลซานหลางที่มีฉายาว่า “หยวนหนึ่งฉือ” “หยวนน้าขึ้น” ผู้นี้ ยังคงพาผู้ติดตามมาแค่สองคน นั่นคือฝานอวี้ผู้ ฝึกยุทธขอบเขตเดิน ทางไกล ปรมาจารย์หญิงด้านวรยุทธผู้นี้เคยเข้าร่วมสนามรบของ เมืองหลวงสารองและลาน้าใหญ่ นางยอมสละชีวิตไม่กลัวตาย เป็ น เหตุให้ทางฝั่งกรมพิธีการของต้าหลีได้มีการจดบันทึกเกี่ยวกับนางไว้ อย่างละเอียด ยามที่ฝานอวี้เดินทางท่องเที่ยวไปในอาณาเขตของต้า หลี หลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าทั้งหลายได้รับเอกสารผ่าน ด่านแล้ว หากฝานอวี้บอกกล่าวตัวตนอย่างชัดเจนก็จาเป็ นต้อง ปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาทหากนางจงใจปิดบังตัวตนก็อย่าได้ไป รบกวนการท่องเที่ยวของนาง
บนมือองค์เทพชั้นสูงของต้าหลีต่างก็มี “รายนาม” แบบนี้อยู่กัน คนละฉบับ เพื่อให้สะดวกในการตรวจสอบและรับรองแขกได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็ นผู้ฝึกตนบนภูเขาของต่างถิ่นหรือผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ ขอ แค่มีน้าใจมีคุณธรรมกับต้าหลีในสนามรบมาก่อน ทางราชส านักก็จะ มองเป็ นคนของแคว้น ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีมารยาท
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตก่อกาเนิด หลิวอู่ติ้ง ไม่เหมือนกับฝานอวี้ ที่มีสถานะคล้ายคลึงกับข้ารับใช ้ที่เกิดมาในตระกูล ผู้เฒ่าคือผู้ถวาย งานอันดับหนึ่งของศาลซานหลาง เงินเดือนในแต่ละปีมากน่าดูชม ได้เงินมาไม่น้อย แต่อันที่จริงกลับทาแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคือ ปกป้ องมรรคาให้กับทายาทสายตรงสกุลหยวน เมื่อก่อนเป็ นหยวน อี้จื้อ ทุกวันนี้ก็แค่เปลี่ยนมาเป็ นหยวนเซวียน
ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ายังหนุ่มเคยเป็ นผู้ฝึกตนทาเนียบ ภายหลัง จึงกลายมาเป็ นผู้ฝึกตนอิสระเหมือนผีเร่ร่อน เนื่องจากปีนั้นหลิวอู่ติ้ง เพิ่งจะเลื่อนเป็ นขอบเขตโอสถทอง ออกจากด่านมาได้แค่ไม่กี่วันก็ แอบวิ่งไปรื้อศาลบรรพจารย์ของบ้านอื่น ถึงอย่างไรก็เป็ นครั้งแรกที่ ท าเรื่องประเภทนี้ ประสบการณ์ในยุทธภพยังไม่มากพอ ไม่ทันระวัง จึงไม่ได้อ าพรางสถานะของตัวเองให้ดี ท าให้อีกฝ่ายมองรากฐานวิชา กระบี่ออก กลายเป็ นหายนะครั้งใหญ่ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาล บรรพจารย์ที่เดิมทีมีหวังจะสืบทอดต าแหน่งเจ้าประมุข คนหนุ่มผู้มี พรสวรรค์ที่อนาคตคล้ายปูไว้ด้วยผ้าแพร จาต้องถูกขับไล่ออกจาก สานัก นับแต่นั้นมาก็เงียบหายไป
แต่พอย้อนกลับไปมองการถามกระบี่ของเมื่อสองร ้อยปีก่อนอีก ครั้ง ผู้เฒ่าก็ไม่เคยเสียใจภายหลัง
ตอนเป็ นหนุ่มอารมณ์พลุ่งพล่านแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรข้าผู้ อาวุโสก็เคยเป็ นหนุ่มมาก่อน
เฉาเกิงซินรีบกลืนถั่วกวนคาสุดท้ายในปากลงไป สะบัดชายแขน เสื้อ ลุกขึ้นสะบัดชุดคลุม ยิ้มพลางโบกมือทักทาย “เซียนกระบี่หลิ่ว คุณชายหยวน เซียนกระบี่หลิว ปรมาจารย์ฝาน ฮ่า หลิ่วหลิวเสียง ใกล้เคียงกัน หากรู ้แต่แรกก็คงเรียกแค่คนเดียวแล้ว”
รองเจ้ากรมหนุ่มพูดภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปที่สาเนียง ถูกต้องอย่างมาก
หลิ่วซวี่ขมวดคิ้วถาม “เจ้าคือ? ผู้ถวายงานกรมอาญาหรือ? ต้องการจะมาตรวจสอบสถานะของพวกเรา?”
คนบนภูเขาของราชสานักต้าหลีที่คบค้าสมาคมอยู่กับผู้ฝึกตน ต่างถิ่น ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นผู้ถวายงานที่แขวนชื่ออยู่ในกรมอาญา หากเป็ นผู้ฝึ กตนติดตามกองทัพของต้าหลี นั่นก็ไม่ใช่การรับรอง แขกแล้ว
แต่หยวนเซวียนกลับจาอีกฝ่ ายได้ ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านลุงหลิ่ว ไม่ใช่ คนของกรมอาญา แต่เป็ นรองเจ้ากรมเฉาแห่งกรมขุนนางเมือง หลวงต้าหลี เป็ นคนที่มีชื่อเสียงมากบนภูเขาคนหนึ่ง”
คนผู้นี้มีชื่อเสียงมากจริงๆ สามารถทาให้ฮ่องเต้สกุลซึ่งต้าหลี ยอมแหกกฏ อนุญาตให้เฉาเกิงซินพกกาเหล้าไปในที่ว่าการได้ แต่ กาหนดไว้ว่าหนึ่งวันดื่มได้แค่กาเดียวเท่านั้น ห้ามมีการเพิ่มเหล้าอีก หากต้องเข้าเวรตอนกลางคืนในวังจะมอบเหล้าเซียนต าหนักฉางชุน ให้รองเจ้ากรมเฉาเป็ นค่าตอบแทนอีกหนึ่งกา พูดอย่างไพเราะว่าใช ้
เหล้าในการตกปลา แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เฉาเกิงซินมี ข้ออ้างลางานไม่ยอมไปขานชื่อ ในวงการขุนนางมีข่าวลือบอกว่าเฉา เกิงซินที่กลับเมืองหลวงมาเป็ นรองเจ้ากรมได้เตรียมเหตุผลไว้หลาย สิบอย่างเพื่อจะเอามาใช ้ปฏิเสธงานหลวงที่เขารู ้สึกว่าต่อให้มีหรือไม่มี เขาก็ไม่ต่างกัน ทุกครั้งที่ใช ้ครบหนึ่งรอบก็จะเอาวนมาใช ้ใหม่อีกหนึ่ง รอบ
ทางเหนือของอุตรกุรุทวีปมีภูเขาติดลาคลองใหญ่สายหนึ่งที่ทอด ยาวจากเหนือจรดใต้ลักษณะภูเขาแคบยาว เป็ นเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่ อลังการประดุจดวงตาข้างหนึ่งที่อยู่กลางหว่างคิ้วของเทพองค์หนึ่ง
สกุลหลิ่วลาคลองหลัวหม่ากับสกุลหยวนศาลชานหลางตั้งอยู่ฝั่ง ตะวันออกกับฝั่งตะวันตกของเทือกเขาที่มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ประหนึ่งแยกกันครอบครองอ่างรวมสมบัติและคลังยุทธโทปกรณ์
เฉาเกิงซินยกนิ้วโป้ งให้กับหยวนเซวียน “หนุ่มน้อยมีความรู ้ กว้างขวาง!”
หยวนเซวียนยิ้มเอ่ย “รองเจ้ากรมเฉา อันที่จริงข้าอายุไม่น้อย แล้ว”
เฉาเกิงซินพยักหน้า “พวกเราก็เหมือนกัน หน้าอ่อน ค่อนข้าง ได้เปรียบ”
หลิ่วซวี่ถาม “คนของกรมขุนนาง? มาหาพวกเราท าไม?”
เฉาเกิงซินยิ้มกล่าว “อันที่จริงไม่ได้มาหาพวกเจ้า แต่มารอคน คนหนึ่งพร ้อมกับพวกเจ้า เป็ นเพื่อนบ้านกับเขามานานหลายปี แต่ไม่ เคยเจอหน้ากันเสียที คิดไปคิดมาก็รู ้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ ถูก”
หยวนเชวียนถาม “หรือว่าจะเป็ นเจ้าขุนเขาเฉิน?”
เฉาเกิงซินยิ้มบางๆ “คุณชายหยวนฉลาดจริงๆ แค่เดาก็ถูกเลย”
หยวนเซวียนนินทาในใจไม่หยุด พวกเรามาหาใคร เจ้าก็มารอ คนนั้น เรื่องนี้มีอะไรให้เดายากกันเล่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ที่ว่า การผู้ตรวจการงานเตาเผาเขตหลงเฉวียนก็ไม่ได้เป็ นเพื่อนบ้านกับ ภูเขาถั่วทั่วหรอกหรือ
หลิ่วซวี่เอ่ย “มาพบเขาทาไม?”
อันที่จริงคาถามข้อนี้ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
เฉาเกิงซินแห่งกรมขุนนางมิอาจควบคุมได้ว่าหลิ่วซวี่มาท าอะไร ที่ต้าหลี ผู้ฝึกกระบี่หลิ่วซวี่เองก็ย่อมควบคุมไม่ได้เหมือนกันว่าเฉา เกิงซินต้องการพบใคร
แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ ์ระหว่างหลิ่วซวี่กับเฉินผิงอัน ต้องไม่ได้ค่อนข้างธรรมดาอย่างที่เขากับหยวนเชวียนพูดแน่นอน
แต่เฉาเกิงซินกลับไม่มีสีหน้าขุ่นเคืองใดๆ เขาตบน้าเต้าบรรจุ เหล้าตรงเอว แล้วหันหน้าไปถามหญิงงามที่ตั้งแผงเอาหนังสือมาตาก แดดว่า “เจ้าแก่หนันกง ประโยคนั้นพูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”
สตรียิ้มเอ่ย “หนึ่งในบทความที่มีชื่อเสียงของซูจื่อกล่าวไว้ว่า “สตรีกล่าวว่าข้ามีเหล้าเป็ นโต่วเก็บไว้นาน เพื่อรอคอยเวลาใดที่ ต้องการใช ้”
เฉาเกิงซินยิ้มเอ่ย “คงต้องแนะนาตัวเองสักหน่อย ข้าชื่อว่าเฉา เกิงซิน นามว่าซูเฉิงเป็ นคนของเมืองหลวง ไปรับหน้าที่เป็ นขุนนาง ผู้ตรวจการงานเตาเผาอยู่นอกเมืองหลวงมานานหลายปี อยู่ในที่ตั้ง เก่าของถ้าสวรรค์หลีจูเหมือนปลาได้น้า ทุกวันนี้มาทางานขอข้าวกิน อยู่ในกรมขุนนาง ค่อนข้างจะหม่นหมองไม่ได้สมปณิธาน หากใน ราชสานักไม่มีผู้สูงศักดิ์คอยช่วยสนับสนุน คิดจะเป็ นขุนนางก็ยาก ยากเหลือเกิน”
เฉาเกิงซินหันหน้ามา ยิ้มเอ่ย “ตัวละครสาคัญมาแล้ว”
หลิ่วซวี่กับหลิวอู่ติ้งหันมาสบตากัน
เจ้าคนแช่เฉาผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็ นผู้ฝึกลมปราณ ขอบเขตยังไม่ต่า อีกด้วย
เฉาเกิงซินมองหลิ่วซวี่และหลิวอู่ติ้ง
อย่าว่าแต่เป็ นผู้ฝึ กกระบี่เลย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้กลมปราณ ขอบเขตก่อก าเนิดคนหนึ่งกลายเป็ นคนที่สูงส่งเกินจะปืนป่ายไปแล้ว
ตอนนี้พอมามองเทพเขียนผู้เฒ่าอย่างพวกเขาอีกครั้ง ก็ดูเหมือนว่ามี แค่นั้นเอง
ก็เหมือนตอนที่เฉาเกิงซินยังหนุ่ม จาได้ว่าครั้งแรกที่ไปเยี่ยม เยือนหลิวเจียที่หน้าตรอกเล็กนอกหอเหรินอวิ๋นอื้อวิ๋น เพราะรู ้ ขอบเขตของเทพเชียนผู้เฒ่ามาก่อน ยังรู ้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง หิ้วเหล้าดีไปสองกา ยังกังวลว่าจะมีมารยาทไม่มากพอ จะต้องกินน้า แกงประตูปิดหรือไม่ ตอนนี้พอมามองอีกทีกลับสามารถขอเหล้าดื่ม จากพี่ใหญ่หลิวได้แล้ว
หรือตอนหนุ่มยิ่งกว่านั้น ตอนที่อายุยังน้อย สิ่งที่เฉาเกิงซินเห็น และได้ยินมาจากผู้อาวุโสในตระกูลของตัวเองพูดคุยกันเรื่อง บ้านเมือง ท าให้อดรู ้สึกกังวลใจไม่ได้ ต่อให้จะเป็ นการวางแผนอย่าง ละเอียดรอบคอบซึ่งสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างมั่นคง แต่ก็ยังจงใจ แสร ้งท าเป็ นไม่แน่ใจ
ทุกวันนี้เด็กๆ ของราชวงศ์ต้าหลีต่างก็เห็นราชสานักต้าหลีเป็ น หนึ่งในแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุดของใต้หล้าไพศาล มองเรื่องนี้เป็ นเรื่อง ที่สมเหตุสมผลที่สุดตามหลักฟ้ าดินไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าพวกลูกกระต่ายในตรอกอี้ฉือและถนนฉือ เอ๋อร ์ที่ต่างก็เริ่มดีดลูกคิดถึงข้อดีข้อเสียของราชส านักต้าตวนและ ราชวงศ์เสวียนมี่แผ่นดินกลางกันแล้ว คาดเดาเอาว่าต้าหลีจะไล่ตาม ไปทันเมื่อไหร่
อันที่จริงเมื่อก่อนไม่ได้เป็ นเช่นนี้
จาได้ว่าตอนที่ยังเป็ นเป็ นเด็กหนุ่ม เฉาเกิงซินเคยถามถึง เรื่องราวในวงการขุนนางที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในราชสานักจากท่านปู่ ของตัวเอง เจ้ากรมกลาโหมเสิ่นเฉินด่าราชครูชุยแบบนั้นจริงๆ หรือ? ในเมื่อตอนนั้นเสิ่นเฉินลาออกจากการเป็ นขุนนางแล้ว ด้วยนิสัยดื้อ รั้นของเขา ถึงขนาดสร ้างสานักศึกษาอยู่ที่บ้านเกิดแล้ว ไฉน ภายหลังถึงยังยินดีกลับมาอยู่ในวงการขุนนางอีก เป็ นเพราะราชครูชุ ยออกหน้าเป็ นฝ่ ายเชื้อเชิญให้เสิ่นเฉินมารับหน้าที่ในกรมกลาโหม จริงๆ หรือ?
เพราะถึงอย่างไรท่านปู่ ของเฉาเกิงซินก็เป็ นประมุขของสกุลเฉา เสาค้ายันแคว้น เรื่องราวที่คนภายนอกได้แต่คาดเดากัน ผู้เฒ่าคนนี้ กลับสามารถถามความจริงจากเสิ่นเฉินต่อหน้าได้
ที่แท้ตอนนั้นราชครูชุยไปเยือนสานักศึกษาในท้องถิ่นมารอบ หนึ่ง แล้วก็ได้เชื้อเชิญให้เสิ่นเฉินกลับคืนวงการขุนนางด้วยตัวเอง จริงๆ เหตุผลที่โน้มน้าวเสิ่นเฉินผู้ดื้อรั้นก็เรียบง่ายมาก
ชุยฉานบอกให้เสิ่นเฉินลองเลิกเปลือกตามองไปให้ไกลอีก หน่อย
ในเมื่ออีกไม่นานก็จะเป็ นผืนแผ่นดินของต้าหลีทั้งหมดแล้ว เจ้า เสิ่นเฉินจะยังถือสาในเรื่องเล็กน้อยขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนั้นอีก ท าไม?
หากเรื่องราวนั้นจบลงเพียงเท่านี้ เฉาเกิงซินคงรู ้สึกว่าราชครูชุย มีอัจฉริยะและแผนการอันล้าลึก เด็กหนุ่มคงไม่ถึงขั้นรู ้สึกชาไปทั้ง หนังหัว เสียวสันหลังวาบ
ที่แท้ตอนนั้นผู้เฒ่ายังเล่า “เรื่องเล็กน้อยขี้หมูราขี้หมาแห้ง” ยิ่ง กว่าอีกเรื่องหนึ่งให้หลานชายที่เขาให้ความสาคัญที่สุดฟัง บอกว่าปี นั้นตอนที่ราชครูชุยปรากฏตัวในสถานศึกษาส่วนตัว สถานศึกษาที่ เสิ่นเฉินใช ้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดสร ้างขึ้นอย่างยากลาบากก็ได้กลาย ไปเป็ นของทางการเรียบร ้อยแล้ว เจ้าขุนเขาคนใหม่อยู่ระหว่าง เดินทางมารับต าแหน่งแล้ว และเจ้าขุนเขาคนนั้นก็คือผู้รอบรู ้ใน วงการการประพันธ ์ที่เสิ่นเฉินเกลียดขี้หน้าอย่างถึงที่สุด ปู่หลานสาม รุ่นมีจิ้นซื่อห้าคน หากคนผู้นี้เป็ นนกพิราบที่ยึดรังนกกางเขนอย่าง สานักศึกษาไปได้จริงๆ ทั้งสองฝ่ ายก็จะมีทั้งความแค้นส่วนรวมและ ความแค้นส่วนตัว คาดว่าเสิ่นเฉินคงถูกท าให้สะอิดสะเอียนจนนอน ตายตาไม่หลับ ค ากล่าวว่าลาออกจากขุนนางกลับบ้านเกิดไปใช ้ ชีวิตในบั้นปลายก็จะเป็ นแค่การใช ้ตะกร ้าไม้ไผ่ตักน้าที่น่าสังเวชครั้ง หนึ่งจริงๆ แล้ว
ชุยฉานให้ทางเลือกหนึ่งกับเจ้าก็จะไม่มีทางเลือกอย่างที่สองให้ เลือกอีกแล้ว
หากเจ้าเสิ่นเฉินไม่อัดอั้นตายอยู่ในบ้านเกิดก็จงไปเป็ นขุนนาง ใหญ่ที่เมืองหลวงต้าหลีแต่โดยดี เพื่อบ้านเมืองเพื่อปวงประชาเพื่อ ตัวเอง เพื่ออาณาประชาราษฎรและประเทศชาติเพื่อสามอมะ เพื่อ
ปณิธาน จงทุ่มเทสติปัญญาทั้งหมดจนถึงที่สุดจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แสดงปณิธานออกมาให้เต็มที่
ดังนั้นเฉาเกิงซินจึงได้ข้อสรุปมานานแล้วว่า ยิ่งเป็ นคนฉลาดก็ ยิ่งกลัวราชครูชุย
เฉาเกิงซินรับหน้าที่เป็ นขุนนางผู้ตรวจการเตาเผามานานหลาย ปีขนาดนั้น คิดจริงๆ หรือว่าผู้ตรวจการเฉาไม่อยากสร ้างผลงานให้ เป็ นที่ประจักษ์บ้างเลย? ก็หนีไม่พ้นว่าเฉาเกิงซินฉลาดมากพอจนไม่ กล้าท าตัวอวดฉลาดอีก
ออกมาจากระเบียงพันก้าวแล้ว เจียงซ่างเจินก็จะไปเยือนต าหนัก ฉางชุนเพื่อทาธุระส่วนตัว
เซี่ยโก๋วยังอยู่ที่ศาลเทพอัคคี
ข้างกายเฉินผิงอันจึงมีเพียงเสี่ยวโม่ที่ถูกเขาพามาหาพวก หลิ่วซวี่
เฉาเกิงซินประสานมือคารวะ เป็ นฝ่ ายเอ่ยขออภัยว่า “เป็ นขุน นางอยู่ในเมืองเล็กมานานหลายปี แต่ไม่เคยไปเยี่ยมเยือนเจ้าขุนเขา เฉินที่ภูเขาลั่วพั่ว ถือว่าข้าเสียมารยาทแล้ว
“ข้าเองก็ไม่เคยไปเยี่ยมเยือนขุนนางผู้เป็ นดั่งบิดามารดาที่จวน ผู้ตรวจการเหมือนกับไม่ใช่หรือ ถือว่าหายกันแล้ว”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มถามว่า “รองเจ้ากรมเฉาอยู่ ที่นี่ด้วยได้อย่างไรตั้งใจมารอข้า มาเฝ้ าตอรอกระต่ายอยู่ที่นี่หรือ?”
เฉาเกิงซินยิ้มตอบ “ปิดบังเจ้าขุนเขาเฉินไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันถาม “มีเรื่องจะปรึกษาหรือ?”
เฉาเกิงซินส่ายหน้ายิ้มกล่าว “แค่มาพบหน้า ทักทายกัน ได้เจอก็ พอใจแล้ว หากเจ้าขุนเขาเฉินอยากจะเลี้ยงเหล้าสหาย พูดถึงแค่ลา คลองชางผูสายนั้น เหลาสุราน้อยใหญ่ แค่บอกชื่อของข้าไปก็ สามารถจดลงบัญชีโดยไม่ต้องจ่ายเงินได้”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “รองเจ้ากรมเฉาได้เงินเดือนสูงขนาด นี้เชียวหรือ?”