กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1057.4 มิอาจต้านทานฤทธิ์สุรา
เดิมทีการที่สหายป๋ ายเติงกาลังจะได้เป็ นองค์เทพชั้นสูงของใน ทวีป ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะต้องดื่มเหล้าแสดงความยินดีกันสักหน่อย บนเรือข้ามฟากมีเหล้าหมักเซียนดีๆ อยู่หลายชนิด เพียงแต่ว่าพวก เขาสามคนต่างก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อย่างรู ้ใจกันดียิ่ง
มารวมตัวกันอยู่ในห้องของป๋ ายเติง เกาเกิงใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “พี่น้องป้ ายไปเป็ นเทพวารีแม่น้าเถี่ยฝูครั้งนี้ อย่างเดียวที่ไม่ดีก็คือมี ความเกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นของสกุลซ่งต้าหลีลึกล้าเกินไป”
อิ๋นลู่ยิ้มเอ่ย “ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้ าที่พันปีก็ยากจะพานพบ เช่นนี้ คว้ามาไว้ในมือให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนโชคชะตาของสกุล ซ่งเป็ นอย่างไร วันหน้าก็ค่อยว่ากันอีก”
เกาเกิงกล่าว “เว้นเสียจาก”
อื่นลู่ก็ยิ้มเอ่ยว่า “เว้นเสียจาก’ เช่นเดียวกัน จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน สองฝ่ายจึงหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
เว้นเสียจากเจ้าขุนเขาเฉินเป็ นราชครูต้าหลี
แน่นอนว่าป๋ ายเติงอยากจะได้รับการแต่งตั้งจากราชสานักต้าหลี กลายเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าที่ถูกต้องชอบธรรมอย่าง ราบรื่นก็ยังต้องเดินไปบน “เส้นทางเทพสายหนึ่งด้วย
เพียงแต่ว่าก็เหมือนการประชุมในห้องทรงพระอักษรก่อนหน้านี้ที่ จ้าวตวนจิ่นเจ้ากรมพิธีการเอ่ยถามว่า เส้นทางการกลายเป็ นเทพวารี ของป๋ ายเติงจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือไม่
แต่ไม่ได้ถามว่า โอกาสที่จะสาเร็จมีมากแค่ไหน แค่นี้ก็รู ้แล้วว่า เส้นทางการ “กลายเป็ นเทพ’ ของป๋ ายเติง ขอแค่ไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ที่ใหญ่เกินไปก็จะต้องราบรื่นอย่างมาก
นี่ก็คือข้อได้เปรียบก่อนกาเนิดของเผ่าพันธุ์เจียวหลงในการ ได้รับแต่งตั้งเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เปลี่ยนรกผลัดกระดูก สร ้างร่างทอง สร ้างศาล เสวยสุขกับควัน ธูปในโลกมนุษย์สุดท้ายเลื่อนเข้าสู่เส้นทางของการเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แห่งภูเขาสายน้าอย่างราบรื่น…ผู้ฝึกลมปราณเผ่ามนุษย์มีความยาก มากที่สุด ไม่มีหนึ่งใน
ส าหรับป๋ ายเติงที่ได้กลับมาพบเจอแสงตะวันอีกครั้ง เนื่องจากดื่ม เหล้าร่วมโต๊ะกันคนบางคนอยู่หลายมื้อ เป็ นเหตุให้เขาไม่เหลือ ความคิดที่จะไป “กระโดดข้ามประตูมังกร” ที่นครจักรพรรดิขาวทวีป แดนเทพแผ่นดินกลางอีกแล้ว
เขาจึงถอยมาเลือกล าดับรอง กลายเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้า ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากราชสานักต้าหลี สถานที่ที่จะ เลือกเป็ นอันดับแรกคือชานเมืองหลวง อันดับต่อมาคืออาณาเขต
ขุนเขาเหนือ ยิ่งปราณมังกรเข้มข้นเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น อย่างอื่น ล้วนไม่เก็บมาคิดพิจารณา
ผลคือป๋ ายเติงกลับได้สมใจปรารถนา ฝันงดงามกลายเป็ นจริงได้ จริงๆ
ฟู่ เต๋อชงแห่งภูเขาผูซาน หลังออกจากเมืองหลวงต้าหลีกลับมา ยังพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของตัวเองก็ได้เจอกับนักพรตพเนจรคน หนึ่งที่มีฉายาว่า “จื้อเสิ่ง”
นักพรตหนุ่มที่บอกแค่ฉายาไม่บอกชื่อเข้ามาในศาลเทพภูเขาที่ ยิ่งใหญ่โอฬารของภูเขาทายาทมหาบรรพตกลางแล้วก็ไม่จุดธูป คารวะ เพียงแค่ยืนอยู่นอกประตูของห้องโถงใหญ่ หันหน้ามาทาง เทวรูปร่างทองในตาหนัก ใช ้เสียงในใจตะโกนเรียกชื่อเทพภูเขาผู ซานบอกว่าเสี่ยวเต้าเจอกับเรื่องยากลาบากเล็กน้อย อยากจะขอให้ ท่านเทพภูเขาออกมาพบหน้ากันสักหน่อย
นักพรตที่ทาท่าทางลับๆ ล่อๆ ไม่กล้าบอกชื่อจริงผู้นั้นบอกว่า ตัวเองมาจากพรรคเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ “หากนับจากรุ่นของเสี่ยวเต้าขึ้น ไปก็มีอาจารย์อยู่แค่คนเดียว” แต่เขากลับเลื่อมใสภูเขาผูซานอย่าง มาก เลื่อมใสจนมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว จึงอยากจะขอปรึกษากับ เทพภูเขาผูซานสักหน่อย เพื่อที่จะได้ “อัญเชิญ” คัมภีร ์เต๋าเล่มหนึ่ง กลับไปบูชาให้ดีๆ…ฟู่ เต๋อชงเพิ่งจะไปเยือนเมืองหลวงต้าหลีมา เดิมที ก็อารมณ์ไม่เลวอยู่แล้ว เห็นว่านักพรตหนุ่มคนนั้นพูดจาเหลวไหล แต่ค าพูดกลับถือว่าพอจะ…ตลกขบขันอยู่บ้าง จึงเดินออกมาจากร่าง
ทองขณะเดียวกันก็สกัดกั้นฟ้ าดินที่เงียบสงบแห่งหนึ่งขึ้นมา หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้มีจิตศรัทธาหลายคนที่มาจุดธปอยู่ในห้องโถงตกอก ตกใจ ฟู่ เต๋อชงไม่อยากให้อีกฝ่ ายต้องมาเสียเที่ยว จึงโยน “คัมภีร ์ หวงจิง” เล่มหนึ่งที่ซื้อมาจากตลาดล่างภูเขาไปให้นักพรต แต่ถึง อย่างไรนั่นก็เป็ นของที่เก็บมานานอยู่ในห้องหนังสือบ้านตนจึงได้ สัมผัสกับกลิ่นอายควันธูปที่บริสุทธิ์ไปไม่น้อย
คาดไม่ถึงว่านักพรตจะไม่รับน้าใจ ยิ่งไม่รู ้จักดูของ แค่เห็นชื่อ หนังสือก็บ่นทันทีว่านี่ไม่ใช่ตาราเทพเขียนบภูเขา มีค่าแค่ไม่กี่แดง เท่านั้น แล้วยังโยนกลับมาให้เทพภูเขาฟู่ ไม่เพียงเท่านี้ นักพรตยัง หยิบตาราเต๋าเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อตรงหน้าอก บอกว่านาย ท่านเทพภูเขาอย่างท่านเป็ นขุนนางตาแหน่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่ดันขี้ เหนียว ช่างท าให้คนผิดหวังนัก ต่อให้ผินเต้าจะยากจนแค่ไหนก็รู ้จัก เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มาเยี่ยมเยือน…นักพรตหนุ่มที่ก่นด่าไม่หยุด ปากโยนหนังสือเล่มนั้นให้ฟู่ เต๋อชงแล้วออกไปจากภูเขาผูซานอย่าง เดือดดาล ผลคือหัวไปกระแทกชนตราผนึกขุนเขาสายน้าที่เป็ นควัน ธูปลอยอบอวลดังตึง ฟู่ เต๋อขงจึงได้แต่ยิ้มเอ่ยขออภัย แล้วเปิดตรา ผนึกออก ถือว่าเป็ นการส่งอีกฝ่ายออกจากพื้นทีอย่างมีมารยาท
ส่วน “คัมภีร ์เต๋า” ที่ได้รับตอบแทนกลับคืนมาเล่มนั้น ฟู่ เต๋อชง ไม่ได้รับมาไว้ เพียงแค่ปล่อยให้มันลอยอยู่กลางอากาศ รอกระทั่ง นักพรตลงจากภูเขาไปแล้ว ฟู่เต๋อชงก็โบกชายแขนเสื้อย้ายตาราเล่ม นั้นไปไว้ในคลังที่ใช ้เก็บของจุกจิกโดยเฉพาะ
คาดไม่ถึงว่าครู่หนึ่งต่อมา จิ้นชิงแห่งภูเขาเช่อจื่อที่เป็ นหัวหน้า ของเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องโถงใหญ่ของผูซานด้วยสีหน้าเขียว คล้า มาถึงก็ด่าแสกหน้าฟู่ เต๋อชงทันทีว่าเจ้ากินยาผิดขนานหรือไร คิดจะก่อกบฏงั้นรึ?!
ฟู่ เต๋อชงมึนงง ไม่รู ้เลยว่าจิ้นชานชิงมาตาหนิตนด้วยเรื่องอะไร จิ้ นชิงเห็นท่าทางอึ้งงันราวไก่ไม้ของเทพภูเขาฟู่ ก็กระทืบเท้าเบาๆ ลง บนก้อนอิฐสีเขียวในห้องโถงใหญ่ ทาการเชื่อมโยงกับรากภูเขา ของผูซาน ครู่หนึ่งต่อมาจึงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้ารู ้หรือไม่ ว่าเมื่อครู่นี้โชคชะตาของภูเขาเช่อจื่อทั้งลูกและยังมีโชคชะตาน้าของ แม่น้ายงเจียง เหมือนจะถูกผูซานของเจ้าจูงจมูกให้เดินไปแล้ว?!”
ฟู่เต๋อชงยิ่งทาหน้าเหลอหรา ส่ายหน้ากล่าวว่า “ผู้น้อยไม่รู ้จริงๆ”
จิ้นชิงถาม “เจ้าสัมผัสถึงความผิดปกติใดๆ ไม่ได้เลยหรือ?”
ฟู่ เต๋อชงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “เมื่อครู่นี้มีนักพรตต่างถิ่นที่บอกว่า ตัวเองฉายา “จื้อเสิ่ง” มาขอคัมภีร ์เต๋าเล่มหนึ่งจากข้าไปตั้งบูชา เขา รังเกียจว่าหนังสือของข้าไม่มีค่า กลับกลายเป็ นว่ามอบคัมภีร ์เต๋าเล่ม หนึ่งให้ข้าแทน หน้าปกไม่มีชื่อหนังสือ มีแค่คาลงท้ายสองคาว่า จี่เสิ่ง …ข้าก็เลยคิดว่าเขาเป็ นนักพรตที่ชอบล่าชื่อเสียงจอมปลอม คิดจะมา ที่ผูซานของข้าเพื่อขอให้ช่วยเขียนคาวิจารณ์เกี่ยวกับหนังสือของ เขา เพื่อที่เขาจะได้มีชื่อเสียงอยู่บนภูเขา”
จิ้นชิงเอ่ยเสียงหนัก “หนังสืออยู่ที่ไหน?!”
ฟู่เต๋อชงกล่าว “ถูกข้าโยนไปเก็บไว้ในคลังเก็บของแล้ว”
จิ้นชิงถาม “เทพภูเขาใหญ่ฟู ถือว่าข้าขอร ้องเจ้าล่ะ ช่วยรีบเอา หนังสือเล่มนั้นออกมาให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”
ฟู่ เต๋อชงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ย้ายคัมภีร ์เต๋าเล่มนั้นกลับมาที่ ห้องโถงใหญ่อีกครั้งจิ้นชิงถึงขั้นไม่กล้าเปิดตาราเล่มนี้อย่างส่งเดช ยังคงปล่อยให้มันลอยอยู่กลางอากาศ เพ่งสายตามองไป หน้าปกของ คัมภีร ์เต๋าเล่มนี้ทามาจากวัสดุธรรมดาทั่วไป มีเพียงสองคาว่า “จี่เสิ่ง” เท่านั้น แต่คาว่า “จี่” ที่อยู่ด้านบนดูเหมือนว่าจะใช ้หมึกสีทองเขียน ตัวอักษรตัวนี้เหมือนเส้นด้ายสีทอง อักษรค าว่า ‘เสิ่ง” ที่อยู่ด้านล่าง กลับเหมือนเขียนมาจากหมึกสีเขียวเข้ม จิ้นชิงกลั้นหายใจทาสมาธิ สองนิ้วประกบกันปาดผ่านตัวอักษรสองตัวของหน้าปกเบาๆ ประหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาที่พลันสัมผัสโดนถ่านร ้อน จิ้นชิงหดมือกลับมาอย่าง รวดเร็ว สะบัดชายแขนเสื้อแรงๆ ซานจวินขุนเขากลางท่านนี้หัวเราะ หยัน “เป็ นหนังสือเล่มนี้ที่ผิดปกติจริงๆ ด้วย!”
เพียงแต่ว่าทั่วทั้งอาณาเขตของผูซาน แม้กระทั่งอาณาเขตของ ขุนเขาเหนือกลับไม่มีเงาร่างของนักพรตคนนั้นเหลืออยู่แล้ว
จิ้นชิงจึงเหล่ตามองเทพภูเขาใหญ่ฟูที่สีหน้าอึ้งค้างอีกครั้ง ก่อน จะย้ายสายตากลับมาที่ชื่อหนังสือ เอ่ยว่า “ฟู่ เต๋อชง เจ้าลองเปิ ด หนังสือดูสิ”
ฟู่ เต๋อชงพยักหน้า ยื่นมือไปเปิดหนังสืออย่างระมัดระวัง ผลคือ คัมภีร ์เต๋าเล่มนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ต่อให้ฟู่ เต๋อชงที่เป็ น ผู้พิทักษ์ภูเขาลูกนี้จะร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก็ยังเปิดหนังสือ เล่มนี้ไม่ได้
จิ้นชิงพลันยิ้มเอ่ย “ช่างเป็ นไก่ไม้ “จี่เสิ่ง” ที่ดีจริงๆ อีกฝ่ ายจงใจ ล้อเล่นเช่นนี้ก็เพราะเจ้าที่ปากก็พร่าบอกว่าเคารพนับถือเขาที่สุด สร ้างเส้นด้ายเชื่อมโยงคาว่า “จี่ (หมายถึงตัวเอง)หรือก็คือคาว่าจี้ (แซ่สกุล) รวบรวมโชคชะตาน้ามาเขียนคาว่า ‘เสิ่ง” ก็คือจี่เซิ่ง! ไก่ไม้ จี่เซิ่งปรากฏขึ้นครั้งแรกที่ใด เจ้าฟู่ เต๋อชงไม่รู ้ ใครจะรู ้? ถ้าอย่างนั้น เทพภูเขาใหญ่ฟู่ เจ้าช่วยบอกหน่อยเถอะว่าคัมภีร ์เต๋าเล่มนี้ใครเป็ น คนมอบให้เจ้า?”
ฟู่เต๋อชงกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา
ได้เจอกับเจ้าลัทธิลู่จริงๆ แล้วหรือ?
มิน่าเล่าอีกฝ่ ายถึงได้ไม่จุดธูปคารวะ หากเจ้าลัทธิลู่จุดธูปสาม ดอกคารวะเทวรูปร่างทองในต าหนักใหญ่จริงๆ ฟู่ เต๋อชงก็กลัวว่าร่าง ทองของตัวเองจะล้มคว่าลงมาแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่กับราชครูเฉินในเมืองหลวงต้าหลี ทาไม ฟู่เต๋อชงถึงได้จงใจเรียกชื่อเจ้าลัทธิลู่ตรงๆ ก็ไม่ใช่เพราะหวังว่าตัวเอง จะโชคดี หวังว่าจะได้มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรอกหรือ
จิ้นชิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เร็วเข้า ข้าไม่มีเวลาว่างมาดูเรื่อง ตลกของเจ้านะ” ฟู่เต๋อชงเอ่ยเสียงเบา “ขอซานจวินโปรดไขข้อข้องใจให้ด้วย” จิ้นชิงเอ่ยอย่างขาๆ ปนฉุนว่า “รีบพูดดีๆ กับคัมภีร ์เต๋าเล่มนี้ซะ! อีกฝ่ายต้องยังได้ยินแน่นอน” ฟู่ เต๋อชงรีบก้าวถอยหลังไปสามก้าว คารวะคัมภีร ์เต๋าเล่มนั้น “ฟู่เต๋อชงแห่งภูเขาผูซานน้อมรับคัมภีร ์เต๋าเล่มนี้มาสู่ภูเขา” แล้วก็จริงดังคาด คัมภีร ์เต๋าเล่มนั้นผลุบหายเข้าไปในชายแขน เสื้อของฟู่เต๋อชงด้วยตัวเอง จิ้นชิงยิ้มเอ่ย “ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เห็นแล้วอยากได้” ฟู่เต๋อชงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน จิ้นชิงหดย่อพื้นที่กลับไปยังศาลบนภูเขาเช่อจื่อ ภาพเหตุการณ์ ผิดปกติในฟ้ าดินของอาณาเขตขุนเขากลางได้หายไปแล้วจริงดัง คาด ฟู่ เต๋อชงรู ้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก เจ้าลัทธิลู่กับอาจารย์เฉินมี มิตรภาพที่ดีต่อกันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เทพภูเขาออกแรงยกชายแขนเสื้อขึ้น คัมภีร ์เต๋าที่เจ้าลัทธิลู่มอบ ให้เล่มนี้หนักจริงๆ
ตาหนักใหญ่ของศาลเทพภูเขาทั้งแห่งก็มีแค่เทพภูเขาฟู่ เต๋อชง เท่านั้นที่ไม่รู ้ว่า ด้านหลังเทวรูป อันที่จริงมีนักพรตคนหนึ่งที่จากไป แล้วได้กลับคืนมา ก าลังก้าวเท้าช ้าๆ ไปตามกระแสกลุ่มคน นักพรต หนุ่มกุมสองหมัดไว้ตรงหน้าตัวเอง เดินพลางเขย่าหมัดไปด้วย ปากก็ ท่องพึมพ าหวังว่านายท่านเทพภูเขาจะช่วยปกปักษ์รักษาให้การ เดินทางครั้งนี้ของผินเต้าราบรื่นปลอดภัย
รอกระทั่งลู่เฉินออกไปจากผูซานอย่างเงียบเชียบก็แวะไปที่ข้าง ป้ ายหินซึ่งตั้งอยู่ริมอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงอีกครั้ง ก่อนจะไป ยังใต้หล้ามืดสลัว เขายังต้องไปท่องฝันในหัวใจของผู้ฝึกตนหญิงบาง คนของอุตรกุรุทวีปสักรอบ
ลู่เฉินจับผีร ้ายแห่งฝันที่ตบะและขอบเขตพอใช ้ได้ตนนั้นมาใส่ไว้ ในชายแขนเสื้อได้อย่างง่ายดาย แล้วถึงได้บินทะยานไปสู่ฟากฟ้ า หวนกลับไปยังป่ายอวี้จึงอย่างแท้จริงอีกครั้ง
ในนครหนันหัว ลู่เฉินนั่งอยู่ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ยกแขน ขึ้น สองมือจับประคองกวานเต๋าบนศีรษะ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที
ลู่เฉินถึงขั้นไม่กล้าแค่ปล่อยดวงจิตออกไปดวงหนึ่ง หรือแค่ ปล่อยจิตหยินออกจากช่องโพรงเท่านั้น แต่พาร่างจริงเหยียบย่างไป กลางอากาศว่างเปล่า เริ่มทาการเดินทางไกลย้อนทวนกระแสที่ แท้จริง
ภาคกลางของใบถงทวีป ท่าเรืออวี๋หลินที่อยู่นอกเมืองหลวง แคว้นอวิ๋นเหยียน สองฝากฝั่งของท่าเรือ ด้านหนึ่งคือหอเรือนสูงของ เหลาสุราที่ประดับประดาไฟสีเขียวสีแดงและจวนส่วนตัวของตระกูล ชนชั้นสูง อีกด้านหนึ่งอันที่จริงก็คือร ้านอาหารขนาดเล็กที่ไม่ถือว่า รสชาติเยี่ยมทั้งยังราคาถูกสักเท่าไร
ม่านราตรีหนาหนัก ลูกค้าที่อยู่ริมฝั่งเริ่มบางตา ร ้านอาหารก็ ทยอยกันปิดร ้าน ทว่าฝั่งตรงข้ามกลับยิ่งมีแสงไฟส่องเจิดจ้า รถม้า แล่นสวนกันขวักไขว่
เซียนกระบี่ชุดขาวคนหนึ่งกับผู้เฒ่าชุดเหลืองนั่งหันหน้าเข้าหา กัน สั่งอาหารทานเล่นขึ้นชื่อมาสี่ห้าอย่าง พร ้อมกับสั่งเหล้าสาเกมา ด้วย ฝ่ ายหลังยิ้มถาม “คนมีเงินของใต้หล้าไพศาลล้วนเป็ นนกเค้า แมวกันหรือ?”
หมี่อวี้ที่นานๆ ทีจะได้ออกมาจากเรือข้ามฟากยิ้มเอ่ย “ข้าไม่ใช่ คนของที่นี่สักหน่อย ในกระเป๋ าก็มีเงินแค่ไม่กี่แดง ไม่อย่างนั้นก็คงจะ พานักพรตเนิ่นไปดื่มเหล้าเคล้านารีที่ฝั่งตรงข้ามแล้ว”
นักพรตเนินยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าเคล้านารีจะมีความหมายอะไร ดื่มไปดื่มมาก็คือดื่มเงินนั่นแหละ แต่ข้ากลับเลื่อมใสพวกบัณฑิต ยากจนที่เข้าเมืองหลวงมาสอบพวกนั้นยิ่งนักนั่นต่างหากถึงจะ เรียกว่าหลอกคนอาศัยแค่ปากอย่างเดียว”
หมือวี้ยิ้มรับ
จะว่าไปแล้วก็แปลก เมื่อก่อนอยู่ที่บ้านเกิดมักจะเอาแต่คิดถึงสตรี แต่พอมาอยู่ที่นีกลับดูเหมือนว่าจะไม่มีความคิดแบบนั้นอีกแล้ว
หรือว่าจะอายุมากแล้วจริงๆ?
หรือจะเป็ นอย่างหลักการเหตุผลที่พ่อครัวเฒ่าจูพูด?
ตาราเล่มหนึ่ง ถ้อยคาเรียบง่าย เรื่องราวราบรื่น บางครั้งหากมี ประโยคที่ยอดเยี่ยมก็จะเหมือนฟ้ าผ่าลงบนพื้นราบ
หากมีติดต่อกันหลายหน้า มองดูเหมือนกลุ่มบุปผาชูช่อ รู ้จักแต่ เอามาประสมก่อรวมกันอย่างเดียว กลับกลายเป็ นว่ายังสู้รสชาติของ ผักดองกินกับโจ๊กเปล่าไม่ได้ การมองสตรีก็เป็ นเช่นเดียวกัน
เหล้ามื้อนี้ หมื่อวี้กับนักพรตเนิ่นดื่มด้วยกันจนฟ้ าสาง
เถ้าแก่ร ้านอาหารย่อมต้องเห็นแก่เงิน ได้เงินเกล็ดหิมะมาหลาย เหรียญจึงกลับไปนอนแล้ว ถึงอย่างไรต่อให้ลูกค้าสองคนนั้นรื้อร ้าน ร ้านนี้ก็ยังมีค่าไม่ถึงเงินเทพเซียนสักเหรียญ
ระหว่างนั้นนักพรตเนิ่นยังไปเป็ นพ่อครัวในห้องครัว ผัดกับแกล้ม แกล้มเหล้ามาให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่อีกหลายจาน
เช ้าตรู่ของวันนี้ หลี่ไหวพาภูตจิ้งจอกที่สวมหมวกคลุมหน้าชื่อ จริงว่าเหวยไท่เจินมาที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน
เพราะหลี่ไหวอยากจะไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร ้างสักรอบจึงลา หยุดกับทางส านักศึกษาซานหยาไว้แล้ว เจ้าขุนเขาก็อนุญาตแล้ว
หลักๆ แล้วเพราะคิดว่าเฒ่าตาบอดที่จนถึงวันนี้ตนก็ยังไม่รู ้แม้แต่ แซ่และชื่อจริงของเขา ทุกวันนี้ยังอยู่ที่ภูเขาใหญ่แสนสี่โดดเดี่ยวเพียง ล าพัง แม้จะบอกว่ากลายมาเป็ นอาจารย์และศิษย์กันอย่างงงๆ แต่พอ คิดถึงว่าผู้เฒ่าอยู่ที่นั่นเพียงลาพัง หลี่ไหวก็รู ้สึกไม่ดีเอาเสียเลย อยากจะไปเยี่ยมหาผู้เฒ่าสักหน่อย
ดังนั้นครั้งนี้หลี่ไหวถูกเฉินผิงอันเรียกมาที่ภูเขาลั่วพั่วจึงอยากจะ บอกกับเขาต่อหน้าสักหน่อย
ไม่ว่าจะกับใคร มีความสัมพันธ ์เป็ นอะไรกัน ขอแค่เป็ นคน ใกล้ชิดสนิทสนม ยามที่ต้องแยกจากกับอีกฝ่ าย หลี่ไหวก็จะพยายาม มาบอกลาอีกฝ่ายให้ได้
ไม่มีบนภูเขาล่างภูเขาอะไร ระยะทางไกลหรือใกล้ เวลาสั้นหรือ ยาว ถึงอย่างไรก็คือการจากลาครั้งหนึ่ง
ทุกวันนี้คนเฝ้ าประตูของภูเขาลั่วพั่วคือนักพรตแปลกหน้าอายุ น้อยคนหนึ่ง
อยู่ดีๆ ก็มีเด็กชายผมขาวคนหนึ่งกระโดดพรวดออกมา บอกว่า ตัวเองเป็ นขุนนางผู้เรียบเรียงต าราของภูเขาลั่วพั่ว คือคนสนิทคนรู ้ใจ ของใต้เท้าอิ่นกวานที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ คือแม่ทัพกล้าอันดับ หนึ่งใต้อาณัติของเจ้าขุนเขาเฉิน…
เหวยไท่เจินที่อยู่ข้างกายหลี่ไหวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองซุ้ม กรอบป้ ายหน้าประตูด้วยซ้า
เผ่าพันธุ์ภูตและปี ศาจ ไม่ต้องสนว่ามาจากใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง หรือไม่ แค่ได้ยินนามของ “อิ่นกวาน” ก็ต้องรู ้สึกกลัดกลุ้มไม่สบายใจ แล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่เหวยไท่เจินยังยืนอยู่ที่ตีนเขาของภูเขา ลั่วพั่วด้วย