กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1057.5 มิอาจต้านทานฤทธิ์สุรา
บิดาของนาง หรือก็คือจิ้งจอกเฒ่าที่เมื่อก่อนสวมรอยเป็ นเทพ แห่งผืนดินอยู่ในภูเขากระจกวิเศษ คราวก่อนได้เจอกับเหวยไท่เจิน จิ้งจอกเฒ่าอาศัยการรวบรวมรายงานขุนเขาสายน้าและเบาะแส บางส่วนของปี นั้นสืบสาวไปจนรู ้ว่าเจ้าคนที่ปี นั้นเกือบจะได้เป็ น ลูกเขยของตนถึงกับเป็ นเจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติ ทวีปในทุกวันนี้ จิ้งจอกเฒ่าโมโหยิ่งนัก ตีอกชกตัว โกรธจนควันแทบ ผุดออกมาจากทวารทั้งเจ็ด “เจ้าตะพาบแซ่หยางผู้นั้นท าร ้ายข้า มารดามันเถอะ รอให้วันหน้าขอบเขตข้าสูงเมื่อไหร่ ได้เป็ นนายท่าน เทพภูเขาเมื่อไหร่ จะต้องตบเขาให้ตายด้วยฝ่ ามือเดียวให้จงได้! นี่มัน วาสนาชีวิตคู่ที่ดีงามถึงเพียงใด ก็เพราะเจ้าหมอนี่มาก่อกวนถึงได้ ผลุบหายไปใต้เปลือกตาทั้งอย่างนี้ แล้วก็ต้องโทษเจ้าด้วยปีนั้นไม่ ยอมฟังค าแนะน าของพ่อ ช่างเถิดๆ เจ้าขุนเขาเฉิน เซียนกระบี่ใหญ่ เฉิน บุคคลยิ่งใหญ่เทียมฟ้ าถึงเพียงนั้น พวกเราเป็ นแค่ตระกูลเล็กๆ ไม่ควรอาจเอื้อม แล้วก็ไม่แน่ด้วยว่าเจ้าจะคู่ควรกับเขา เฮ้อ ไม่ถูกสิ ชีวิตคู่ชายหญิงก็ไม่ได้มีอะไรแน่นอนขนาดนั้น นิยายบุรุษมาก ความสามารถกับโฉมสะคราญหลายเรื่อง ฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิง มี ใครที่สถานะคู่ควรกันบ้างเล่า!”
พอคิดถึงเรื่องนี้ เหวยไท่เจินก็ปวดหัวขึ้นมาทันที นางจึงมองผ่าน ผ้าคลุมหน้าโปร่งบางไปยังบัณฑิตที่อยู่ข้างกาย
พอได้ยินว่าภูตจิ้งจอกตนนั้นคือขอบเขตก่อกาเนิด ตอนที่ เด็กชายผมขาวยกพู่กันขึ้นบันทึกก็มีท่าทางหมดความสนใจอย่าง ชัดเจน แต่จะดีจะชั่วก็เป็ นห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งถึงอย่างไรก็ดีกว่า ห้าขอบเขตบนอยู่หลายส่วน
พอถามถึงขอบเขตของหลี่ไหว ได้ยินมาว่าทั้งไม่ใช่ผู้ฝึ ก ลมปราณแล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเด็กชายผมขาวก็ยิ้มปากกว้างจนหุบ ปากไม่ลงทันที ราวกับว่าเดินออกจากบ้านมาได้ไม่กี่ก้าวก็ดวงดี ขนานใหญ่!
เด็กชายผมขาวย่อมต้องรู ้จักหลี่ไหว
เหวยไท่เจินปลุกความกล้าเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “คงโหวเซียนซือ คุณชายของข้าคือนักปราชญ์ของส านักศึกษานะ”
เด็กชายผมขาวเก็บกระดาษและพู่กันลงไป สองมือเท้าเอวฉับ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “โอ้โหเจ้าข้าเอ๊ย นักปราชญ์เชียวหรือ ร ้ายกาจ ร ้าย กาจ อายุน้อยมากความสามารถ!”
หลี่ไหวนึกอยากจะขุดรูมุดหนีลงไปทันที
เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุย “เผยเฉียนกลับมาหรือยัง?”
เด็กชายผมขาวพาหลีไหวไปนั่งที่โต๊ะ “ยังเลย ถ่านดาน้อยแช่ เผยผู้นั้น ทุกวันนี้ยังยุ่งอยู่กับงานใหญ่ที่ใบถงทวีปอยู่เลยนะ”
แน่นอนว่าเผยเฉียนในทุกวันนี้ไม่ใช่ถ่านดาน้อยอีกแล้ว กับเรื่อง นี้เด็กชายผมขาวค่อนข้างอัดอั้นอยู่มาก ทุกคนเป็ นฟักแคระเหมือนๆ กันก็ไม่ดีมากหรอกหรือ จะตัวสูงพรวดๆ ไปท าไม
หลี่ไหวถาม “ท่านอาเจิ้งล่ะ?”
เด็กชายผมขาวนั่งขัดสมาธิ แทะเมล็ดแตงเล่น “วันๆ ไม่ทาเรื่อง เป็ นการเป็ นงานอะไรไปคุยกับพ่อครัวเฒ่าอีกแล้ว พูดเสียไพเราะว่า ไปขอวิชาความรู ้ แต่อันที่จริงก็แค่ชายโสดขึ้นคานสองคนพูดจา สัปดนกันไม่ขาดปาก ตรงนี้นูนเด้ง ตรงนั้นกลมแน่น ทนฟังไม่ไหว เลย”
นาพาเด็กชายชุดเขียวดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าหลาย เจ้าทุกวัน เงินเทพเซียนตั้งหลายเหรียญก็ช่างตัดใจทิ้งได้ลง… เพียงแต่ว่าเรื่องน่าอายในบ้านไม่ควรแพร่งพรายออกไปข้างนอก เด็กชายผมขาวจึงไม่มีหน้ามาพูดเรื่องนี้
หลี่ไหวเกิดและเติบโตมาในเมืองเล็ก ได้ยินเรื่องพวกนี้ อันที่จริง ยังนับว่าดี
แต่กลับทาให้ภูตจิ้งจอกที่อยู่ด้านข้างรู ้สึกเขินอายอย่างยิ่ง
เจียงซ่างเจินไม่ได้กลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วย แต่ไปที่ตาหนักฉาง ชุนก่อน จากนั้นก็ให้เว่ยซานจวินช่วยลากตัวกลับมาที่ท่าเรือภูเขาห นิวเจี่ยว
เพิ่งจะกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ยังไม่ทันเดินไปถึงเรือนของพ่อครัว เฒ่าก็เห็นว่าบนเส้นทางมีผู้คุมกฎหญิงที่เรือนกายสูงเพรียว สวมชุด
คลุมยาวสีขาวหิมะยืนอยู่ เจียงซ่างเจินกุมหมัดยิ้มเรียก “ผู้คุมกฏฉางมิ่ง” ฉางมิ่งผงกศีรษะตอบรับพร ้อมยิ้มบางๆ “คารวะโจวอันดับหนึ่ง”
เจียงซ่างเจินถาม “นี่ผู้คุมกฏฉางมิ่ง?”
ฉางมิ่งกล่าว “แค่บังเอิญผ่านทางมา” เจียงซ่างเจินพยักหน้า ไม่อยากจะคุยกับนางมากนัก
ในภูเขาลั่วพั่วบ้านตน เกรงว่านอกจากเจ้าขุนเขาแล้ว คนอื่นๆ ไม่ว่าใครก็น่าจะกลัวนางอยู่ไม่มากก็น้อย
นางพลันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “โจวอันดับหนึ่ง ได้ยินว่าเจ้าบรรยายถึง ข้าไว้สองประโยค ประโยคแรกคือ “บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ข้าผู้ แซ่โจวชอบสหายฉางมิ่งที่สุดแล้ว” ประโยคที่สองคือ “พี่หญิงผู้คุมกฏ ยิ้มตาหยี หัวใจของบุรุษก็สะท้านไหว? คิดไม่ถึงเลยว่าส าหรับในใจ ของโจวอันดับหนึ่งแล้ว ข้าจะมีรูปลักษณ์เช่นนี้ จะได้รับค าวิจารณ์สูง เช่นนี้ รู ้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝันจริงๆ”
เจียงซ่างเจินรู ้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ในใจรู ้ว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงรีบ แก้ตัวทันที “สหายฉางมิ่ง เป็ นแค่คาพูดล้อเล่นบนโต๊ะเหล้าเท่านั้น อย่าได้คิดเป็ นจริงเป็ นจัง!”
พี่ใหญ่เจี่ยปิดปากแน่นสนิท ไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพราย ไปข้างนอกแน่ ต้องเป็ นนายท่านใหญ่เฉินหลิงจวินที่ปากเปราะ
แน่นอน
เส้นทางการหมุนเวียนของทรัพย์สินบนโลกก็คือเส้นทางแห่งเงิน ทอง มองดูเหมือนเป็ นมายาล่องลอย แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เป็ น เช่นนั้น ในสายตาของผู้ฝึกตนบนยอดเขา เส้นทางสายนี้มีอยู่จริงแท้ แน่นอน
หาไม่แล้วไฉนเจ้าขุนเขาเฉินถึงได้ให้ผู้คุมกฏบ้านตนนั่งพิทักษ์ เรือข้ามฟากเฟิงยวนเล่า?
หากทาให้พี่หญิงฉางมิ่งโมโห นางก็แค่ต้องไปเยือนพื้นที่มงคล ถ้าเมฆาครั้งหนึ่ง ต่อให้มีคางคกทองสามขาของหนีหยวนจานตัวนั้น คอยช่วยรวบรวมโชคลาภไว้ให้อย่างสุดความสามารถ คาดว่าก็ยังมิ อาจแบกรับได้ไหวอยู่ดี
แม้ว่ารูปโฉมของฉางมิ่งจะไม่ได้งามล่มบ้านล่มเมือง แต่บอกตาม ตรง กลิ่นอายของสตรีที่อยู่บนร่างของพี่หญิงฉางมิ่งนั้นช่าง…พบเห็น ได้น้อยจริงๆ พบเห็นได้น้อยมากๆ
ยามที่เจียงซ่างเจินมองสาวงามในโลกมนุษย์ก็มักจะมีวิธีประเมิน ของตัวเองอยู่เสมอ มีการบวกลบสารพัดอย่างที่เข้มงวดอย่างมาก
หากเทียบเป็ นเงินหนึ่งร ้อยเหวิน พูดถึงแค่รูปโฉมของสหายฉาง มิ่ง ก็น่าจะมีถึงแปดสิบเหวิน แต่หากเพิ่มเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ นางเข้าไปด้วย อย่างน้อยก็ต้องได้มาตรฐานถึงเก้าสิบห้าเหวิน!
แต่เจียงซ่างเจินรู ้ชัดเจนดีว่าสตรีอย่างสหายฉางมิ่งนั้นถูกลิขิต มาแล้วว่าจะไม่มีทางเกิดความรักต่อใคร
ดอกไม้ร่วงหล่นอย่างมีใจ แต่สายน้ากลับไหลผ่านอย่างไร ้เยื่อใย ความรักข้างเดียวของบุรุษทุกคนบนโลกล้วนเป็ นดั่งภูเขาเขียวกับ แสงตะวันรอนของวันนี้ ไล่ตามไม่ได้ รั้งไว้ไม่อยู่
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เจียงซ่างเจินก็ได้แต่ใช ้กระบวนท่าไม้ตายเพื่อ เอามาใช ้รักษาหัวสุนัขของตัวเองแล้ว
ทั้งๆ ที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วบ้านตัวเอง แต่เจียงซ่างเจินกลับใช ้ วิธีการสกัดกั้นฟ้ าดิน “เจ้ารู ้หรือไม่ว่าเจ้าขุนเขารู ้หรือไม่รู ้เรื่องหนึ่ง?”
ฉางมิ่งพยักหน้า “ข้ารู ้ว่าคุณชายรู ้แต่แรกแล้ว แต่ต้องใช ้วิธีการ บางอย่างมาแสร ้งท าให้ตัวเองไม่รู ้”
การถามตอบของทั้งสองฝ่ายต่างก็พูดอย่างอ้อมค้อมมาก
นี่เกี่ยวพันไปถึงความลับที่สาคัญมาก หรือถึงขั้นพูดได้ว่าคือ เรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของสองส านักบนล่าง
พิศมรรคาแห่งฟ้ าดิน
มองพื้นที่มงคลดอกบัวเป็ นฟ้ าดินแห่งหนึ่งที่มหามรรคาโคจร อย่างมีระเบียบ
ยกตัวอย่างเช่นว่า ผู้ฝึ กกระบี่คนแรกของฟ้ าดินมาจากที่ไหน แล้วเกิดขึ้นมาได้อย่างไร!
เจ้าขุนเขาพิศมรรคาเช่นนี้ไม่แน่เสมอไปว่าจะคว้าจับเส้นสายที่ ชัดเจนได้ แต่ขอแค่ท าได้ส าเร็จ ส าหรับเฉินผิงอันแล้วก็จะเป็ น ประโยชน์บนมหามรรคาอย่างมาก
นี่ก็มีความคล้ายคลึงกับการที่นักพรตซุนให้เจ้าอ้วนเยี่ยนไป พิจารณาคาถามข้อหนึ่งตอนที่อยู่ในอารามเสวียนตู “ทาไมบนโลก
มนุษย์ถึงมีแค่ผู้ฝึกกระบี่
แต่ว่าเรื่องนี้คนนอกต่างก็ไม่อาจเตือนเฉินผิงอันได้ อย่าว่าแต่ พูดอย่างอ้อมค้อมเลียบๆ เคียงๆ พูดถึงเลย ถึงขั้นที่ว่าเอ่ยอะไรไม่ได้ แม้แต่ค าเดียว
หาไม่แล้วก็จะเหมือนว่ามีคนข้างๆ ฝืนยัดเยียดตะกร ้าไม้ไผ่ใบ หนึ่งใส่มือเฉินผิงอันบอกให้เขาไปตักน้างมจันทร ์ที่ลาคลองซึ่งถูก ลิขิตมาแล้วว่าจะต้องเหนื่อยเปล่า
ดังนั้นขุยตงซานจึงได้แต่ร ้อนใจอยู่ข้างๆ แล้วยังไม่กล้าบอกเป็ น นัยใดๆ ต่ออาจารย์ด้วยกลัวว่าจะเป็ นการวาดงูเติมขา
เจียงซ่างเจินถอนหายใจโล่งอก ยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ ย่อมดีที่สุดแล้ว!”
ใต้หล้ามืดสลัว อารามเสวียนตูได้รับจดหมายกระบี่บินฉบับหนึ่ง ส่งมาจากป๋ ายอวี้จิง
คนที่ส่งจดหมายมาก็คือลู่เฉินที่เพิ่งกลับไปถึงใต้หล้ามืดสลัว ส่วนคนที่รับจดหมายก็คือป๋ ายเหย่ที่ฝึกกระบี่อยู่ในอารามเสวียนตู
ป๋ ายเหย่อ่านจดหมายลับแล้วก็ไปบอกกล่าวกับจวินเชี่ยนที่ทุก วันนี้เป็ นแขกอยู่ในอาราม บอกว่าให้กลับไปที่ใต้หล้าไพศาลด้วยกัน ศิษย์น้องเล็กคนนั้นของเจ้าเชิญให้เจ้าไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
อีกทั้งในจดหมายลู่เฉินยังบอกด้วยว่าครั้งนี้พวกเขาสองคนเดิน ทางไกลบินทะยานไปยังม่านฟ้ า ทางฝั่งของป๋ ายอวี้จิงจะไม่สนใจ ไม่ ต้องรายงาน
หลิวสือลิ่วยิ้มถาม “ศิษย์น้องเล็กเรียกข้าไปคนเดียว เจ้าจะตาม ไปด้วยท าไมป๋ ายอวี้จิงไล่คนแล้ว เลยรู ้สึกว่าเจ้าอยู่ที่นี่จะค่อนข้าง เกะกะหรือ?”
ป๋ ายเหย่กล่าว “ตามคาอธิบายของลู่เฉิน นี่ถือว่าเป็ นการให้ คาอธิบายกับทางฝั่งของใต้หล้าไพศาล พอข้ากลับบ้านเกิดก็ต้อง เปลี่ยนให้ผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อเสี่ยวโม่มาที่นี่รอบหนึ่ง ให้อีกฝ่ ายไปเป็ น แขกที่ดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่ เพื่อจะได้ราลึกความหลังกับอาจารย์อาเจ้า
อาราม ข้ากลับใต้หล้ามืดสลัวเมื่อไหร่ ผู้ฝึกกระบี่กระบี่คนนั้นก็ได้ กลับใต้หล้าไพศาลเมื่อนั้น”
ป๋ ายเหย่เองก็ฝึกกระบี่ อันที่จริงนี่เรียบง่ายมาก โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งรอให้เลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบ แท้ที่จริงแล้วนี่ก็เพิ่งผ่านไปไม่ นานเท่าไรเขาก็เลื่อนเป็ นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว
เคยมีบทกวีนับไม่ถ้วนที่สืบทอดต่ออยู่ในโลก หนึ่งในนั้นก็มี ประโยคที่ว่า เซียนเหรินลูบหัวข้า ผูกผมเป็ นอมตะ
ก่อนหน้านี้มีวันหนึ่งป๋ ายเหย่จ้องมองดอกบัวสีเขียวในสระแล้ว พลันเกิดการตระหนักรู ้ปิดด่านเพียงแค่ชั่วครู่ แค่ก้านธูปเดียวก็เกิด ภาพเหตุการณ์ผิดปกติระหว่างฟ้ าดิน
เป็ นอมตะผูกผม เหนือศีรษะมีเซียนเหริน
เดินออกมาจากห้องที่ไม่ได้ปิดประตู ป๋ ายเหย่ก็เป็ นเซียนกระบี่ คนหนึ่งแล้ว
ผู้ฝึ กลมปราณที่เลื่อนเป็ นขอบเขตเซียนเหรินสามารถ เปลี่ยนแปลงรูปโฉมที่แท้จริงได้ทว่าป๋ ายเหย่กลับไม่ได้ทาเช่นนั้น เขา ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มเหมือนเดิม
หลิวสือลิ่วมองหมวกหัวเสือของ “เด็กหนุ่ม” แวบหนึ่งแล้วยิ้มถาม ว่า “จะเอายังไง?”
ป๋ ายเหย่ลูบหมวกบนศีรษะ “เหมือนจะชินไปแล้ว”
หลิวสือลิ่วกล่าว “บอกไว้ก่อนนะว่า ครั้งนี้หากเจอกับอาจารย์ ของข้า เจ้าห้ามไม่ไว้หน้าอาจารย์ข้าต่อหน้าข้าเด็ดขาด”
“แล้วถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าเจ้าล่ะ?”
“ก็ต้องไว้หน้าเขาด้วย!”
นครจักรพรรดิขาวแผ่นดินกลาง
เจิ้งจวีจง “สองคน” ที่เป็ นผู้ฝึ กตนขอบเขตสิบสี่เหมือนกันยืน เคียงบ่ากันอยู่ในดินแดนไท่ซวีแห่งหนึ่ง เขาเคยวาดภาพดวงดาวที่ กว้างใหญ่ไพศาลไร ้ที่สิ้นสุดด้วยตัวเองไว้ภาพหนึ่ง
นอกจากนี้เขายังสร ้างเรือนพิศพันกระบี่จาลอง ใต้หล้าไพศาล ก าแพงเมืองปราณกระบี่และยังมีใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง กระบี่บินแห่งชะตา ชีวิตของผู้ฝึกกระบี่หลายต่อหลายรุ่น มีมากมายแน่นขนัด ปะปนกัน อยู่ตรงกลาง
คนผู้หนึ่งมองภาพปรากฏการณ์ดวงดาว คนผู้หนึ่งมองภาพ กระบี่
ปีนั้นเฉินชิงหลิวผู้เป็ นอาจารย์ไม่ยอมถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับ ลูกศิษย์เปิดขุนเขาอย่างเขาเพียงผู้เดียว
ส่วนลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนอื่นๆ คุณสมบัติไม่เพียงพอ อย่างหลิ่ว เต้าฉุนศิษย์น้องเล็กเฉินชิงหลิวสอนไปก็ไร ้ความหมาย ไม่มีทาง
เรียนรู ้เวทกระบี่ของเขาเป็ น อย่าว่าแต่เหมือนทางจิตวิญญาณเลย คิดอยากจะให้เหมือนทางรูปร่างก็ยังยากมาก
สาหรับเรื่องนี้เจิ้งจวีจงไม่มีปมในใจใดๆ ไม่รู ้สึกยอกแสลงใจเลย แม้แต่น้อย
ผู้ถ่ายทอดมรรคาไม่ถ่ายทอดวิชาให้ หรือว่าคนที่เป็ นลูกศิษย์ก็
ไม่รู ้จักเรียนรู ้ด้วยตัวเอง?
ใต้หล้ามืดสลัว อารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ห่างไกล
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่มีความสัมพันธ ์เป็ นญาติกัน มีชีวิตพึ่งพา กันและกันอยู่ในอารามแห่งนี้ ในอดีตอาศัยเงินเปิ ดทางกว่าจะได้ สถานะของนักพรตที่ประจาการมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่ว่าไม่เคย ได้รับธรรมโองการ เพราะเด็กหนุ่มค่อนข้างเกียจคร ้าน ดังนั้นเรื่อง อย่างการกวาดลานอารามในทุกวันหรือการตีระฆังยามเช ้าและยาม เย็น ผู้เฒ่าจึงต้องช่วยเด็กหนุ่มทา พอผู้เฒ่าที่เด็กหนุ่มเรียกว่าท่าน ลุงฉางบ่นมากเข้า เด็กหนุ่มแซ่เฉินก็ฟังเป็ นลมที่ลอยผ่านหูไปเท่านั้น
ท่ามกลางม่านราตรี จุดตะเกียงอ่านต ารา แสงขมุกขมัว ผู้เฒ่า คนหนึ่งที่ชื่อว่าฉางเกิงอธิบายประโยคหนึ่งให้เด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าเฉิน ฉงผู้นั้นฟังอย่างละเอียด บอกว่าอะไรคือวิญญูชนให้ความสาคัญกับ ความมานะพยายามของตัวเองโดยที่ไม่ได้หวังให้สวรรค์ประทานให้ ดังนั้นต้องพัฒนาตัวเองในทุกวัน
เด็กหนุ่มฟังค าอธิบายของท่านลุงฉางแล้วก็อดไม่ไหวถามว่า “ท่านลุงฉาง นี่คือความรู ้ของลัทธิขงจื๊อกระมัง? ท่านสอนข้าเรื่องนี้จะ ไม่ผิดกฎหรือ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้า หยิบถั่วลิสงเมล็ดหนึ่งขึ้นมาจากในจาน โยนเข้า ปากเคี้ยวอย่างละเอียดเสียงดังกร๊อบๆ ไส้ตะเกียงบนโต๊ะเผาไหม้ไป ช ้าๆ ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “มาจากบทเทียนลุ่นที่ซิ่วไฉเฒ่าเป็ นคนเขียน ส่วน จะละเมิดกฎหรือไม่ มีเพียงเจ้ารู ้ข้ารู ้ ออกจากบ้านก็ไม่มีใครรู ้อีก แล้ว จะเป็ นไรไป”
เฉินฉงยิ้มเอ่ย “เป็ นแค่ซิ่วไฉเองหรือ? ยศไม่ใหญ่เลยนะ”
ท่านลุงฉางยิ้มตาหยี “ก็นั่นน่ะสิ”
เฉินฉงถามอย่างใคร่รู ้ “ท่านลุงฉาง ที่นี่ไม่มีคนนอกเสียหน่อย บอกข้ามาเถอะว่าท่านรู ้จักเขาใช่หรือไม่? เป็ นบัณฑิตที่ชีวิตลาบาก ยากแค้นใช่ไหม?”
ท่านลุงฉางกลับไม่ได้ตอบคาถามข้อนี้ เพียงแต่บอกให้เด็กหนุ่ม เอ่ยความหมายของประโยคนั้นซ้าอีกครั้ง
“ท่านลุงฉางเคยเอ่ยประโยคหนึ่งซ้าไปซ้ามา เรื่องเก่าแก่ที่เกิด ขึ้นมานานมากแล้วท่ามกลางเสียงตาราที่ถูกเสียดสี ถ้าอย่างนั้น…..
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาเริ่มโคลงศีรษะ “อะไร คือวิญญูชนให้ความสาคัญกับความมานะพยายามของตัวเอง โดยที่
ไม่ได้หวังให้สวรรค์ประทานให้ ดังนั้นต้องพัฒนาตัวเองในทุกวัน…. โปรดฟังข้าอธิบายอย่างละเอียด…”
ผู้เฒ่าแสร ้งท าเป็ นโกรธ ถลึงตากล่าว “ตอนกลางวันยืนไม่ เหมือนยืน ตอนกลางคืนนั่งไม่เหมือนนั่ง พูดไปตั้งกี่รอบแล้วว่าต้อง นั่งตัวตรงให้สารวม…”
เด็กหนุ่มไม่กลัวท่านลุงฉางผู้นี้ ในดวงตาของผู้เฒ่า ทุกครั้งที่ มองมาทางตนล้วนเต็มไปด้วยความรักเอ็นดูและความปลาบปลื้มที่ผู้ อาวุโสมองผู้เยาว์ของตัวเอง แล้วยังเป็ นผู้เยาว์ที่จะมีอนาคตได้ดิบได้ ดีอย่างมากด้วย
คงเป็ นเพราะวันนี้ไม่มีเรื่องอะไร ญาติใกล้ชิดนั่งลงคุยกันใต้แสง ไฟจึงทาให้ยิ่งสนิทสนมกันมากกว่าเดิมกระมัง