กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1059.1 นครเดียวดายท่ามกลางเมฆหลากสี
หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว
ชายฉกรรจ์ร่างกายกายาคนหนึ่งพาเด็กหนุ่มสะพายกระบี่สวม หมวกหัวเสือจับมือกันเยื้องกรายมาจากม่านฟ้ า
จวินเชี่ยนยิ้มเอ่ย “ถึงแล้ว”
ป๋ ายเหยที่มองทิศทางการดาเนินไปและการผูกปมเส้นสายของ เทือกเขาหลายแห่งที่ทอดยาวของภูเขาลั่วพั่วพยักหน้าเอ่ยว่า “ฮวง จุ้ยไม่เลว”
จวินเชี่ยนกล่าว “ขนบธรรมเนียมดียิ่งกว่า”
เซียนเว่ยเปลี่ยนหนังสือที่อยู่ในมือเรียบร ้อยแล้วก็รีบลุกขึ้นยืน ถามว่า “แขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านคือ?”
จวินเชี่ยนกุมหมัดเอ่ย “ข้าชื่อหลิวสือลิ่ว คือศิษย์พี่จวินเชี่ยน ของเจ้าขุนเขาพวกเจ้าข้างกายผู้นี้คือสหายของข้า ชื่อว่าป๋ ายเหย่”
เซียนเว่ยตะลึงแล้วตะลึงอีก จากนั้นก็กลั้นขา พยายามตีหน้า เคร่ง ขณะที่ใกล้จะกลั้นไม่ไหวก็บังเกิดความคิดดีๆ รีบก้มหัวลง คารวะตามขนบของลัทธิเต๋า “นักพรตเหนียนจิ่งฉายาเชี่ยนเว่ย ได้รับ ความรักความกรุณาจากเจ้าขุนเขา ทุกวันนี้รับหน้าที่เป็ นคนเฝ้ า
้
ประตูของภูเขาลั่วพั่ว เสี่ยวเต้าขอคารวะหลิวเซียนซือ เซียนกระบี่ ป๋ าย”
ตะลึงครั้งแรกเพราะได้ยินว่าอีกฝ่ ายถึงกับเป็ น “ศิษย์พี่จวิน เชี่ยน” ของเจ้าขุนเขาเฉินตะลึงอีกครั้งก็เพราะได้ยินคาว่า “ป๋ ายเหย่” เพียงแต่ว่าพอเหลือบไปเห็นลักษณะและการแต่งกายของอีกฝ่าย…
สังเกตเห็นปิ่นเต๋าชิ้นนั้นของอีกฝ่ าย อันที่จริงจวินเชี่ยนก็ตกใจ เหมือนกัน
ศิษย์น้องเล็ก สามารถหลอกหมี่ลี่น้อยที่ซุกซุนน่ารักถึงเพียงนั้น มาได้แล้ว นี่ยังถึงกับสามารถหลอก…นักพรตคนนี้มาได้ด้วยหรือ?
เมื่อหมื่นปีก่อน จานวนครั้งที่ทั้งสองฝ่ ายพบเจอกันมีไม่น้อย ถือ ว่าไม่ตีกันก็ไม่ได้รู ้จักกัน
ตอนนั้นจวินเชี่ยนถือว่า “ไปหาเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงมานาน แน่นอนว่าไม่เคยได้ตีกันจริงๆ ยังดีที่นักพรตคนแรกของโลกมนุษย์ผู้ นั้นนิสัยดี ไม่ได้ถือสาอะไร
เซียนเว่ยยืดเอวตรงเงยหน้าขึ้น ในใจเกิดความกังขา ไฉน เด็กชายผมขาวผู้นั้นถึงไม่ได้ปรากฏตัวทันทีนะ? หลังจากที่รับหน้าที่ เป็ นขุนนางผู้เรียบเรียงต ารา ในอดีตขอแค่มีแขกมาเยือน เด็กชาย ผมขาวก็จะต้องมาปรากฏตัวในทันที วันนี้ทาไมถึงอู้งานเสียได้?
จวินเชี่ยนยิ้มถาม “นักพรตเซียนเว่ย หมี่ลี่น้อยของพวกเราล่ะ?”
้
เซียนเว่ยยิ้มตอบ “วันนี้การลาดตระเวนภูเขารอบเช ้าสิ้นสุดลง แล้ว ช่วงนี้นางชอบไปลาดตระเวนที่ภูเขาหวงหู เกินครึ่งก็น่าจะอยู่ที่ นั่น”
จวินเชี่ยนร ้องเอ๊ะหนึ่งที ช่วงนี้ดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้ของศิษย์น้อง เล็กจะมีบุคคลยิ่งใหญ่อยู่ไม่น้อยเลยนะ
เซียนเว่ยคิดแล้วก็ยังเอ่ยประโยคตามมารยาทกับเด็กหนุ่ม หน้าตาหมดจดคนนั้นว่า “เซียนกระบี่ป๋ าย ชื่อไม่เลวเลย”
ป๋ ายเหย่ถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
เซียนเว่ยพลันรู ้สึกกระอักกระอ่วน หมายความว่าอย่างไร? เดิมที ก็เป็ นคาพูดที่เอ่ยไปตามมารยาทเท่านั้น เจ้าจะให้เสี่ยวเต้าอธิบาย อย่างไรล่ะ?
บรรยากาศออกจะอึดอัดอยู่บ้าง น่าเสียดายที่เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย ที่ไม่เคยรู ้ว่าบรรยากาศเงียบสงัดในใต้หล้านี้เป็ นเช่นไรไม่ได้อยู่ด้วย จวินเชี่ยนยิ้มอธิบายว่า “นักพรตเซียนเว่ย เขาก็คือป๋ ายเหย่” เซียนเว่ยรู ้สึกอ่อนใจเป็ นทบทวี เด็กหนุ่มก็บอกแล้วว่าตัวเอง ชื่อป๋ ายเหย่ เขาไม่ชื่อป๋ ายเหย่แล้วจะชื่ออะไรล่ะ จวินเชี่ยนกล่าว “มีกฎที่ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษรอยู่ข้อหนึ่ง ก่อน จะขึ้นเขาดื่มชาก่อนหนึ่งถ้วย เอาอย่างไร?” ป๋ ายเหย่กล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม”
้
จวินเชี่ยนจึงพาป๋ ายเหย่ไปนั่งลงข้างโต๊ะตัวนั้น
อันที่จริงจวินเชี่ยนอยากจะดื่มน้าชาพลางแทะเมล็ดแตงไปด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอแม่นางน้อยที่ศิษย์น้องเล็กยกให้เป็ นผู้พิทักษ์ฝ่ าย ขวาของภูเขาลั่วพั่วแล้ว
ส่วนสหายรักป๋ ายเหย่จะคิดอย่างไร ถึงอย่างไรก็ไม่ส าคัญแล้ว
แม่นางน้อยชุดด าคล้ายจะได้รับข่าวจึงเร่งร ้อนออกจากภูเขา ด้านหลังมา จากนั้นก็ข้ามผ่านยอดเขาหลิงจี้แล้ววิ่งตะบึงลงจากภูเขา มาตลอดทาง
ศิษย์พี่จั่วของเจ้าขุนเขาคนดี นางเคยเจอมาก่อนแล้ว ข่าวลือ ภายนอกล้วนหลอกลวงคน เขาจะนิสัยเจ้าอารมณ์ได้อย่างไร เป็ น มิตรน่าใกล้ชิดจะตายไป!
คือเซียนกระบี่ใหญ่เท่าโต๊ะ! อาจารย์จวินเชี่ยนเองก็ร ้ายกาจเหมือนกัน แล้วก็ยิ่งปรองดองเป็ น มิตรด้วย แล้วยังมีหมัดสองข้างที่ใหญ่เท่าถ้วย ดูเหมือนว่าในตาราจะบอก ไว้ว่า จอมยุทธท่องยุทธภพ สองหมัดต่อยจนใต้หล้าไร ้ศัตรูเทียมทาน ผู้พิทักษ์ขวาของภูเขาลั่วพั่ว จะดีจะชั่วก็เป็ นผู้ฝึกลมปราณคน หนึ่ง แต่ถึงกับวิ่งจนเหงื่อแตกท่วมไปทั้งศีรษะ ด้านหลังแม่นางน้อยชุดด ามีเด็กชายชุดขาวตามมาด้วย
้
ไม่มีหมี่ลี่น้อยบังอยู่ด้านหน้า วันนี้ขุนนางผู้เรียบเรียงตาราก็ไม่ ค่อยกล้าปรากฏตัวเท่าไรจริงๆ แล้วก็เป็ นเด็กชายผมขาวที่หิ้วหมี่ลี่น้อยมาถึงตีนเขาของภูเขา ด้านหลัง แต่หมี่ลี่น้อยกลับพูดว่าวางลง วางลง แล้วก็จะวิ่งไปที่ประตู ภูเขาที่อยู่ด้านหน้าด้วยตัวเองให้ได้ เด็กชายผมขาวเองก็จนปัญญา ได้แต่ปล่อยให้สองขาของหมี่ลี่ น้อยวิ่งสับไปเหมือนล้อรถ หมี่ลี่น้อยยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็ว ผ่านซุ้มประตูหน้าภูเขามาแล้วก็หยุดยืน นิ่ง ฉีกยิ้มกว้าง “อาจารย์จวินเชี่ยน มาแล้วหรือ” จวินเชี่ยนลุกขึ้นยืนแล้ว ยิ้มเอ่ยว่า “หมี่ลี่น้อย ให้เจ้ารอนานแล้ว” จวินเชี่ยนหันไปมองป๋ ายเหย่ ป๋ ายเหย่อ่อนใจอย่างมาก ได้แต่ลุก ขึ้นตาม หมี่ลี่น้อยมองเด็กหนุ่มที่สวมหมวกหัวเสือแล้วตีหน้าเคร่ง คิ้วสี เหลืองอ่อนจางสองข้างขมวดมุ่น แม้จะบอกว่าอันที่จริงแม่นางน้อยกาลังกลั้นขา แต่คนภายนอก มองมาบางทีอาจจะเหมือนว่านางก าลังโกรธอยู่ ป๋ ายเหย่เองก็รู ้สึกว่าน่าสนใจ จึงยิ้มเอ่ยว่า “อยากขาก็ขาเถอะ” หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม จากนั้นก็ส่ายหน้าแรงๆ เหมือนกลองป๋ องแป๋ ง
้
เด็กชายผมขาวมีท่าทีส ารวมอย่างหาได้ยาก เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “อาจารย์จวินเชี่ยนและยังมีป๋ าย….เซียนซือท่านนี้ ข้าคือขุนนางผู้ เรียบเรียงต ารา คงต้องบันทึกชื่อตามกฎของภูเขาบ้านเราหน่อยนะ?”
ป๋ ายเหย่กล่าว “ข้าชื่อป๋ ายเหย่ เป็ นคนของทวีปแดนเทพแผ่นดิน กลางแห่งไพศาล ทุกวันนี้ฝึกตนอยู่ในอารามเสวียนตูของใต้หล้ามืด
สลัว” หมี่ลี่น้อยร ้องว้าว |
นางแอบยกนิ้วโป้ งให้กับอาจารย์จวินเชี่ยน
เซียนเว่ยได้ยินร่างก็เอียงพลัดหล่นจากเก้าอี้ไม้ไผ่ร่วงลงพื้น ไม่ ทันระวังหนังสือที่สอดไว้ตรงหน้าอกก็หล่นลงมาด้วย จึงใช ้ความเร็วที่ ฟ้ าผ่าไม่ทันป้ องหูเตะมันไปทางห้องของพี่น้องต้าเฟิง
คงเป็ นเพราะรู ้สึกว่าทาแบบนี้ดูจะไม่ให้ความเคารพต่อหนังสือจึง ย่องไปตรงนั้น หันหลังให้โต๊ะ เก็บหนังสือขึ้นมาเบาๆ เป่ าลมลงไป หนึ่งทีพร ้อมกับปัดฝุ่นให้สะอาด ก่อนเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
จากนั้นหยิบเอาตาราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งที่อยู่ในชายแขนเสื้อ อีกข้างออกมา แล้วถึงได้หมุนตัวกลับ แสร ้งท าเป็ นถือหนังสือไว้ใน มือ นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่แล้วเริ่มอ่านหนังสือ
เด็กชายผมขาวจดบันทึกชื่อของ “แขกผู้มาเยือน สองท่าน เรียบร ้อยแล้วก็เผ่นเพื่อความปลอดภัย โปรดอภัยที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับ แขก ถึงอย่างไรก็ยังมีหมี่ลี่น้อยนี่นะ
้
นั่งลงข้างโต๊ะ บนโต๊ะมีน้าชาไว้ให้แขกแล้ว นักพรตเซียนเว่ย เชี่ยวชาญในการต้อนรับขับสู้คนอย่างมาก รัดกุมแม้แต่น้าสักหยดก็ เล็ดรอดออกไปไม่ได้ หมี่ลี่น้อยมองอาจารย์จวินเชี่ยน หลิวสือลิ่วมองหมี่ลี่น้อย จะดูยากจนข้นแค้นไปหน่อยหรือไม่? วางใจได้เลย ไม่มีทางอยู่แล้ว
หมี่ลิ่น้อยจึงหยิบเมล็ดแตงกาใหญ่ออกมาจากชายแขนเสื้อ วาง กองลงตรงหน้าป๋ ายเหย่ แล้วจึงหยิบอีกก าใหญ่ให้กับอาจารย์จวิน เชี่ยน
จากนั้นแม่นางน้อยก็รู ้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ทาท่าจะเปิด กระเป๋ าผ้าฝ้ ายที่รักใบนั้น
ป๋ ายเหย่จึงยิ้มพลางแบ่งเมล็ดแตงครึ่งหนึ่งให้กับแม่นางน้อยชุด ด า
แม้ว่าเว่ยป้ อจะประหลาดใจว่าทาไมจูเหลี่ยนกับเจียงซ่างเจินต่าง ก็ไม่ได้ปรากฏตัวที่หน้าประตูทันที แต่เขาก็ยังรีบมาที่ข้างโต๊ะของ ภูเขาลั่วพั่ว
เว่ยป้ อประสานมือคารวะ “เทพน้อยเว่ยป้ อแห่งภูเขาพีอวิ๋นคารวะ อาจารย์หลิว อาจารย์ป๋ าย”
จวินเชี่ยนลุกขึ้นยืน กุมหมัดคารวะกลับคืนเว่ยซานจวิน
้
ป๋ ายเหย่เพียงแค่ผงกศีรษะรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หากว่าชอบความพิถีพิถันในพิธีการยิบย่อยพวกนั้น ตอน นั้นป๋ ายเหย่ก็คงไม่มีทางเลือกพื้นที่ประกอบพิธีกรรมเป็ นเกาะที่ตั้งอยู่ อย่างโดดเดี่ยวนอกทะเลแห่งนั้น
เว่ยป้ อถาม “ต้องการให้เทพน้อยแจ้งเจ้าขุนเขาเฉินสักหน่อย หรือไม่?”
จวินเชี่ยนยิ้มโบกมือ “ไม่ต้อง ให้ศิษย์น้องเล็กทาธุระของตัวเอง ไปก่อน ไม่ต้องให้เขามาสนใจพวกเรา รับรองแขกไม่รับรองแขกอะไร นั่น ป๋ ายเหย่ชอบที่จะไม่มีใครมาสนใจมากกว่า”
หมี่ลิ่น้อยที่กาลังเปิดถุงผ้าฝ้ ายเพื่อหยิบปลาเล็กตากแห้งพลัน หยุดชะงัก
จวินเชี่ยนเอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า “แน่นอนว่าหมี่ลี่น้อยคือ ข้อยกเว้น”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง แบ่งปลาตากแห้งตัวน้อยอย่างมีความสุข ป๋ ายเหย่หันไปมองจวินเชี่ยน
จวินเชี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กินสิ มัวอึ้งอยู่ทาไม ข้าเคยกินแล้ว รสชาติไม่เลวเลยล่ะ”
้
ป๋ ายเหย่จึงได้แต่หยิบปลาลาธารตากแห้งขึ้นมาตัวหนึ่ง เคี้ยว อย่างละเอียด เห็นว่าแม่นางน้อยคนนั้นแอบใช ้หางตามองประเมินตน ก็ได้แต่เอ่ยว่า “รสชาติไม่เลว”
หมี่ลี่น้อยลิงโลดสุดขีด หยิบปลาตากแห้งอีกถุงหนึ่งออกมาจาก กระเป๋ าสะพายผ้าฝ้ าย วางลงไปบนโต๊ะ
จากนั้นนางก็ตบกระเป๋ าสะพาย เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ยังมีอีก!”
ป๋ ายเหย่จนค าพูด
จวินเชี่ยนหัวเราะดังลั่น
สหายรักป๋ ายเหย่ก็มีวันนี้ด้วย
……
ลู่เฉินส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งไปให้ที่อารามเสวียนตูก่อน เรียกว่าเป็ นจดหมายทางบ้านก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด ผินเต้าสนิทกับ อารามเสวียนตูขนาดนั้น แวะไปที่นั่นเหมือนกลับบ้านของตัวเอง คน ทั้งใต้หล้าล้วนรับรู ้
ส่วนก่อนจะออกมาจากใต้หล้าไพศาลได้ถือโอกาสช่วยเหลือเจ้า ขุนเขาเฉินเล็กๆ น้อยๆ นั่นก็เรียกว่าช่วยด้วยหรือ? ผินเต้ากับเจ้า ขุนเขาเฉินคือสหายรักที่พบเจอกันโดยบังเอิญเชียวนะ!
หลังจากนั้นก็เป็ นการเดินทางการตามความหมายที่แท้จริงแล้ว
้
ในนครหนันหัว ลู่เฉินทาการถือศีลอาบน้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า อย่างที่หาได้ยาก แล้วปิดด่านนั่งพิทักษ์พื้นที่ประกอบพิธีกรรมของ ตัวเองอย่างจริงจัง ถึงได้กล้าเดินทางทวนกระแสน้าไป
บนเส้นทางนั้น ลู่เฉินที่สวมกวานดอกบัวบนศีรษะเดินลุยน้า ได้ เจอกับภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเหนือการคาดการณ์มากมาย
ชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋สองข้างลากเอาสีสันหลากหลายที่ชวน ให้คนมองวิงเวียนตาลายทิ้งไว้เบื้องหลัง
น่าเสียดายที่ตลอดเส้นทางนี้ไม่มีใครที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้
ในที่สุดลู่เฉินก็มาเจอ “ผู้ที่ผ่านทางมา” คนหนึ่ง น่าเสียดายที่ เรือนกายของอีกฝ่ ายเปล่งวูบแล้วก็หายไป ลู่เฉินไม่ทันได้พูดจา แค่ เห็นอย่างเลือนรางว่าอีกฝ่ ายคือผู้ฝึกลมปราณหญิง และนางก็เพียง แค่มองสบตากับลู่เฉินเท่านั้น
หลังจากนั้นก็เจอกับชายฉกรรจ์เปลือยเท้าที่เมื่อเทียบกับลู่เฉิน แล้ว เรือนกายของเขาใหญ่โตราวกับภูเขา ทุกครั้งที่ย่างก้าวออกไป จะต้องมีพลังอานาจดุจฟ้ าผ่าสะเทือนเดือนลั่นในสะเก็ดน้าที่กระจาย อยู่ใต้ฝ่ าเท้าบางครั้งก็สอดแทรกไปด้วยเศษแก้วใสจานวนนับไม่ถ้วน ที่กระจายออกไปสี่ด้านแปดทิศ
ลู่เฉินจึงม้วนตวัดชายแขนเสื้อเก็บเอาเศษแก้วใสที่ค่อนข้างใหญ่ หลายชิ้นซึ่งอยู่ ใกล้เคียง มาไว้ในกระเป๋ าของตัวเอง ลู่เฉินเอ่ย ขอบคุณกลั้วเสียงหัวเราะต่อสหายที่ไม่รู ้ว่าจะมุ่งหน้าไปยังอนาคต
้
หรือย้อนกลับไปยังอดีตผู้นั้น ทว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นเอาแต่ก้มหน้าก้ม ตาวิ่งตะบึงไปอย่างเดียว ไม่ได้สนใจเขา
การเดินทวนแม่น้าแห่งกาลเวลาสายนี้ ได้พบเจอกับคนที่เดินอยู่ บนเส้นทางเดียวกันก็ถือว่ายากราวเดินขึ้นสวรรค์แล้ว คิดอยากจะ เห็นรูปโฉมของอีกฝ่ ายให้ชัดเจนก็ยากยิ่งกว่าการเดินขึ้นสวรรค์เสีย อีก
ตอนนี้ลู่เฉินไม่กล้าทามุทราคานวณด้วยซ้า เพราะในแม่น้าใต้ ฝ่ าเท้ามีน้าวนอยู่นับไม่ถ้วน หากไม่ทันระวังก็จะจมลึกลงไปภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอกับผู้บรรลุมรรคาที่แท้จริงบางคนที่อยู่ ใน เวลานี้” ก็ยิ่งเป็ นเหตุการณ์อันตรายประหนึ่งน้ากระทบหิน ดั่งกระแส น้าวนที่พุ่งไหลแรงและเชี่ยวกราก ลู่เฉินไม่อยากจะนอนแบ็บอยู่ที่ใดที่ หนึ่งขยับไม่ได้ไปนานหลายร ้อยปีหรอกนะ ส่วนภาพที่ผุดขึ้นมาแล้ว แวบหายไป “บนชายฝั่ง” ซึ่งเห็นระหว่างทางเป็ นบางครั้ง ล้วนเป็ น ภาพเหตุการณ์ที่พร่าเลือนไม่แน่ชัด พอเห็นไปแล้ว หากคิดจะจาให้ ได้ ต่อให้เป็ นคนที่ขอบเขตสูงอย่างลู่เฉินก็ยังเวียนหัวตาลาย เพราะ ภาพแต่ละภาพนั้นเป็ นตัวแทนถึงเจตนารมสวรรค์ที่มิอาจพูดมิอาจ อธิบายได้
ไม่รู ้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน โชคดีที่ลู่เฉินมีการเตรียมการมาก่อน นานแล้ว ตลอดสามพันปี ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีการขี่ม้าชมบุปผา ท่ามกลางแม่น้ายาวแห่งกาลเวลาล้วนเป็ นการฝึกประสบการณ์ครั้ง หนึ่ง บวกกับที่ปีนั้นลู่เฉินเคยถูกศาสดาพุทธดึงตัวเข้าไปในติสหัสสี
้
โลกธาตุ (โลกธาตุขนาดใหญ่มีสามพันโลกธาตุ) เป็ นเหตุให้การ ไหลเวียนไปของกาลเวลาที่ต่อให้จะยาวนานจนแทบจะไร ้ที่สิ้นสุด แต่ ส าหรับลู่เฉินแล้วก็ยังไม่ถือว่าเป็ นด่านยากอะไรหาไม่แล้วหาก เปลี่ยนเป็ นขอบเขตสิบสี่ทั่วไป เกรงว่าคงจะต้องถูกดินแดนที่ “ว่าง เปล่าในว่างเปล่า” “ไม่มีมีไม่มี” นี้ทรมานจนจิตแห่งมรรคาสูญเสีย การควบคุมไปแล้ว
ในที่สุดลู่เฉินก็หยุดเดิน พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด ถึง แล้วๆ ในที่สุดตนก็หาเจอแล้ว!
ยันต์สีม่วงสีเขียวปีกใหญ่ที่อยู่ในชายแขนเสื้อสองข้างของชุดเต๋ ล้วนสลายหายเป็ นเถ้าธุลี
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าของลู่เฉิน เหมือนเขามาถึงผืนน้าที่กว้าง ใหญ่ไร ้ที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง ผิวน้าราบเรียบดุจกระจก ใต้ฝ่ าเท้าเต็มไป ด้วยหินกรวด มีมากมายนับไม่ถ้วน สีสันหลากหลาย เจิดจ้าพร่าตา อย่างถึงที่สุด
“ผิวน้า” เหมือนกระจกบางๆ ชั้นหนึ่ง หินกรวดพวกนั้น อันที่จริง หากมองอย่างละเอียดทรายทุกเม็ดล้วนคือดวงดาวหนึ่งดวง เพียงแต่ ว่าพวกมันปูทับกันชั้นแล้วชั้นเล่า
ในจุดที่ห่างไปไกลมากสุดสายตาการมองเห็นของลู่เฉิน มีโซ่ ยาวเส้นหนึ่งที่คล้ายโซ่เหล็กพาดผ่านแม่น้า ประหนึ่งเส้นเส้นหนึ่งที่
้
ทอดขวางอยู่ระหว่างฟ้ าและดิน หากจะให้บอกชื่อของมัน ก็น่าจะ เรียกมันว่า ‘เหตุและผล” (ทางศาสนาหมายถึงผลกรรม) ได้กระมัง แต่ลู่เฉินกลับยังคงหาเทพบรรพกาลที่ตนเองต้องการคุยด้วยผู้ นั้นไม่เจอ สถานะคือหุนเจ่อ หนึ่งในตาแหน่งเทพ คือคนที่คอยเฝ้ าดูผู้ที่ตาย ไปแล้วและผู้ที่ละเมิดกฏในแม่น้าแห่งกาลเวลา
แต่ว่าต่อให้ตอนนี้จะต้องกลับแล้วก็ไม่ถือว่าเสียแรงที่เดินทางมา ในครั้งนี้ ในที่สุดก็ได้เจอกับ “สิ่งมีชีวิต” กลุ่มใหญ่ มีทั้งภูตผีและเทพ เซียน
มีสตรีที่เห็นโฉมหน้าไม่ชัดคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียว ภูษาของนางพลิ้วไสวไปอย่างเชื่องช ้า ให้ความรู ้สึกงดงามดุจภูษา ของสตรีในภาพวาดฝาผนังที่พลิ้วไหวไปตามสายลม
นางอยู่ในท่านั่งคุกเข่า ตรงหน้าวางโต๊ะน้าชาตัวเตี้ยๆ ไว้ตัวหนึ่ง ด้านบนวางอุปกรณ์ดื่มสุราที่ปั้นจากดินเผาลักษณะโบราณเรียบง่าย ไว้หลายชิ้น
มีภูเขายักษ์ลอยอยู่กลางอากาศลูกหนึ่งที่ลดลงต่ามาอย่าง ต่อเนื่อง มองแล้วดูเหมือนว่าต่อให้เอาห้ามหาบรรพตของแผ่นดิน กลางมารวมกัน ภูเขาลูกนี้ก็ยังสูงยิ่งกว่า แต่ความจริงกลับต่าเตี้ยยิ่ง กว่าฝุ่นเม็ดหนึ่งของใต้หล้าไพศาลเสียอีก
้
บนยอดเขามีคนผู้หนึ่งที่เหนือหัวไร ้ศีรษะแต่ในมือถือศีรษะอยู่ บนศีรษะมีดวงตามากมายราวกับรูของรังผึ้ง พอสังเกตเห็นลู่เฉิน บ้าง ก็กะพริบตาบ้างก็หลับตา เสียงดังหวึ่งๆ
ยังมีบุคคลประหลาดคนหนึ่งที่เปิดปากพูดไม่หยุด นิ้วมือเขียน ตัวอักษร คล้ายใช ้เสียงจากจมูกท่องภาษาพระธรรมสองค า เหมือนจะ ไม่ชอบที่ถูกคนมารบกวนจึงตวาดเสียงดังลั่น “หนวกหู!”
ครู่หนึ่งต่อมาบุคคลประหลาดก็เริ่มพูดสองคานั้นซ้าไปซ้ามาอีก ครั้ง คือคาว่า “อิสระ
บางครั้งถึงจะมีคาที่ต่างไปจากเดิม แล้วบุคคลประหลาดนั้นก็จะ ร ้องไห้เสียงดังลั่นพึมพากับตัวเองว่า ไม่ลืมเหตุและผล ไม่พอ อยู่ไกล เกินกว่าจะพอ
บนหอสูงสีขาวหิมะแห่งหนึ่งที่คล้ายกับหล่อหลอมมาจากเกล็ด หิมะนับไม่ถ้วน มีแท่นบูชาที่ใช ้สาหรับการบวงสรวงเซ่นไหว้ตั้งอยู่ ควันธูปหลายกลุ่มลอยอวล แต่กลับค่อยๆ ลดระดับลงอย่างช ้าๆ บ้าง สูงบ้างต่า
คงเป็ นการใช ้พิธีการโบราณขอเทพเจ้าให้เป็ นอมตะ
“ด้านข้าง” หอสูงคือเรือลาเล็กที่ทามาจากไม้โบราณลาหนึ่ง มี “ชุดคลุมสีม่วงตัวหนึ่ง ที่บนชุดเต็มไปด้วยรูปของมังกรลอยอยู่เหนือ หัวเรือ ใช ้ภาษาโบราณแค่นเสียงหัวเราะ “เส้นทางขาดไปแล้ว ยังเพ้อ
้
ฝันว่าจะชักน าฟ้ าดิน จะเป็ นพ่อมดน้อยเจอพ่อมดใหญ่อีกได้ อย่างไร!”
มีบุรุษที่คิ้วยาวมากแล้วผิวก็ขาวมากคนหนึ่ง รูปโฉมเหมือนเจิน เหรินผู้บรรลุมรรคาในยุคบรรพกาล คงเป็ นเพราะนานๆ ทีจะเห็นว่ามี คนมาเยือนที่นี่ ใบหน้าของเขาจึงค่อยๆ ชัดเจนขึ้น รูปโฉมงามล้า อย่างถึงที่สุด แต่กระนั้นก็ยังยากจะปกปิดดวงตาที่หม่นหมองไร ้แสงคู่ นั้นไว้ได้ บุรุษคนนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่บริเวณใกล้เคียงกับโซ่ยาว วาง ง้าวใหญ่เล่มหนึ่งพาดขวางไว้บนหัวเข่า บางทีคงเป็ นเพราะไม่ได้เปิด ปากพูดอย่างจริงจังมานานมากแล้ว น้าเสียงของเขาจึงแหบพร่า เหมือนมีดลับกับหิน ยิ้มถามว่า “ใครกัน มาจากสถานที่ใดเวลาใด?”
เพียงแต่ไม่นานเขาก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “เจ้าต้องฟังไม่เข้าใจ แน่นอน ถึงอย่างไรหากนับตั้งแต่เหตุพลิกผันครั้งนั้น เวลาก็ผ่านมา นานถึงแปดพันปีแล้ว”