กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1059.2 นครเดียวดายท่ามกลางเมฆหลากสี
ลู่เฉินไม่เข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายพูด แต่กลับพอจะคานวณในใจได้
รู ้แล้วว่าอีกฝ่ ายคือผู้ฝึกลมปราณที่มาจากกาลเวลาช่วงหลังที่ นานมาก
นี่ก็หมายความว่าอย่างน้อยในอนาคตที่ยาวนานมากยังคงมีผู้ ฝึกลมปราณที่มาที่นี่ได้ดีมากเลย เพียงแต่ว่าพอคิดอีกที ดูเหมือนว่า จะไม่แน่เสมอไป หากเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่บริสุทธิ์มากพอเล่า
มีสตรีที่โกนขนคิ้วทั้งสองข้าง นางยกหลังมือขึ้นมาดู แล้วถึงได้ เงยหน้าขึ้นมองนักพรตที่เป็ นแขกซึ่งเดินทางมาไกลด้วยท่าทางสน อกสนใจ
นอกจากนี้ยังมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็ นเงาพร่าเลือน เดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่
ลู่เฉินลองคานวณดูคร่าวๆ ก็พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับเปลี่ยว ร ้างค่อนข้างมาก
ก็จริงนะ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเกิดมาก็มีเรือนกายแข็งแรง เดินขึ้น ยอดเขาได้เร็วยิ่งกว่าไม่กลัวฟ้ าไม่เกรงดิน มักจะชอบอาศัยสองมือ ท าลายกฎสวรรค์ข้อเก่าและกฎเกณฑ์อย่างใหม่เสมอ
มีผู้เฒ่าที่แก่มากคนหนึ่งสวมกวานสูง ยามเดินกะโผลกกะเผลก เรือนกายโงนเงน มาหยุดอยู่ห่างจากเบื้องหน้าลู่เฉินไป ‘สิบกว่าก้าว” แล้วถึงกับใช ้ภาษากลางของเปลี่ยวร ้างถามว่า “ลู่ฝ่ าเหยียนตายหรือ ยัง?”
ลู่เฉินยิ้มตอบ “หากผู้อาวุโสเป็ นสหายเก่าของเขาก็ร ้องไห้ได้เลย หากว่ามีความแค้นต่อกันก็ปล่อยวางได้แล้ว ไม่ต้องมีการแก้แค้น อะไรอีกทั้งนั้น เพราะลู่ฝ่าเหยียนได้ถูกใครบางคนกินไปแล้ว”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงพยักหน้า จ้องเขม็งไปที่ “นักพรตหนุ่ม” ผู้นี้
ลู่เฉินจึงใช ้ภาษาทางการของเปลี่ยวร ้างยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าผู้ อาวุโสมีฉายาว่าอะไร”
ผู้เฒ่ากวานสูงหรี่ตากล่าว “ไม่มีฉายาอะไรทั้งนั้น เคยใช ้ นามแฝงว่าจางเจี้ยว ขอให้ข้าได้คิดดูก่อน ขอให้คิดอย่างละเอียด นึก ออกแล้ว ไม่เคยทาเรื่องใหญ่อะไร เอาแต่ฆ่าผู้ฝึ กยุทธขอบเขต ปลายทางของเปลี่ยวร ้างโดยเฉพาะ หึหึ เจ้าคนพวกนี้ แต่ละคน สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร นอกจากจะไม่อาจขึ้นไปถามหมัดบน เวทีประลองได้แล้ว อะไรก็ดีทั้งนั้น”
ลู่เฉินพยักหน้ารับรัวๆ เป็ นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ข้าเคยถาม ยอดฝี มือคนหนึ่งว่า เมื่อต้องถามหมัดกับคนอื่นๆ หากอีกฝ่ ายไม่ คู่ควรต่อกระบวนท่าต่อสู้จะท าอย่างไร? ผู้อาวุโสท่านลองเดาดูสิว่า ยอดฝีมือคนนั้นตอบอย่างไร คาตอบน่าสนใจอย่างยิ่งเลยล่ะ เขาบอก
ว่าต่อให้หมัดของเจ้าจะมีร ้อยพันแบบ ขึ้นเวทีไปตัดสินเป็ นตายก็ล้วน เป็ นหมัดหวังปาอยู่ดี”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงพยักหน้า “ยอดฝีมือมีความคิดเห็นที่สูงส่ง น่าเสียดายที่ไม่ได้พบเจอกัน”
ลู่เฉินยังคงพยักหน้ารับแรงๆ “อย่าได้เจอ อย่าได้เจอเด็ดขาดเลย ข้ากลัวว่าผู้อาวุโสจะถูกเขาต่อยตายด้วยสองสามหมัด”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงจ้องมองสู่เฉินอยู่ครู่หนึ่ง “เชื่อที่เจ้าพูดว่าเจ้า เคยเจอเจ้าคนผู้นั้นมาก่อนจริงๆ”
ลู่เฉินเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ผู้เฒ่าก็ถอยหลังกลับไป ตลอดทาง ยิ้มเอ่ยว่า “เป็ นนักพรตดีๆ มาเรียนรู ้เวทกระบี่ทาไม ฝึกตน ไม่ควรต้องมีสมาธิไม่วอกแวกหรอกหรือ?”
แค่แกล้งทาท่าว่าจะโจมตีก็ทาให้ปีศาจใหญ่เปลี่ยวร ้างขอบเขต บินทะยานบนยอดเขาตนหนึ่งตกใจถอยหนีไปได้ ลู่เฉินจึงหยุดเดิน เอ่ยอย่างล าพองใจว่า “ไม่ท าให้ตาแก่อย่างเขาตกใจตายได้หรอก”
ผู้เฒ่าลังเลใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังเลือกจะถอยร่นต่อไปไม่หยุด สุดท้ายเรือนกายก็ผลุบหายเข้าไปในกลุ่มหมอกขาว
ลู่เฉินทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นฝ่ ามือออกมา ใช ้ฝ่ ามือแนบไปบนผิว น้ากระจกใสชั้นนั้นเบาๆ
ก้มหน้าลงมองก็คล้ายจะมองเห็นผีเสื้อที่โบยบินอยู่ “ในน้า” ตัว หนึ่ง
ดวงตาสีทองที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งคู่หนึ่งลืมขึ้นช ้าๆ หรุบลงมอง นักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวบนศีรษะคนนั้น
ต่อให้นักพรตจะมีอายุขัยในการฝึกตนหลายพันปี แต่สาหรับสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลชั้นสูงตนนี้ก็ยังถือว่าอายุน้อยอยู่เหมือนเดิม
ไม่มีคาพูด ไม่มีเสียงในใจ ไร ้ริ้วกระเพื่อมไหว
ประหนึ่งการตีกลองสายฟ้ า ประหนึ่งฟ้ าคารณ ดุจดั่งแม่น้าที่ไหล เชี่ยวกรากถาโถม
“ลู่เฉิน เมื่อสามพันปีก่อนเจ้าก็เคยพยายามจะข้ามผ่านเขตแดน มา แล้วยังจะทดลองทาอีกครั้ง คิดจะละเมิดกฎสวรรค์อีกครั้งหรือ?”
ลู่เฉินเรือนกายโงนเงน ได้แต่หดมือกลับมา ถอนหายใจเบาๆ ยก ชายแขนเสื้อขึ้นสะบัดเอาเบาะรองนั่งใบหนึ่งออกมา เบาะใบนั้นพลิ้ว ลงบนผิวน้า
ลู่เฉินนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง สองมือวางทับซ ้อนกันไว้บนหน้าท้อง เงียบงันไม่เอ่ยคาใดเริ่มรวบรวมสมาธินั่งลืมตนอยู่ในห้องแห่งใจ
มีนักพรตบรรพกาลคนหนึ่งยืนอยู่เหนือศีรษะของสัตว์ดุร ้ายยุค บรรพกาลตัวหนึ่งซึ่งกาลังว่ายอยู่บนผิวน้าขยับเข้ามาใกล้
“นักพรตจมูกโคน้อยผู้นั้นมาทาอะไรที่นี่? คือขอบเขตบินทะยาน ขั้นสมบูรณ์แบบหรือว่าเป็ นขอบเขตสิบสี่กัน? เรียกขานใครเป็ น อาจารย์ในระบบสายเต๋า รีบพูดมาเร็วเข้า!”
ลู่เฉินแสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยิน
“ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็ นศิษย์ลูกศิษย์หลานของใคร ข้ากับ นักพรตคนแรกของโลกมนุษย์ และยังมีเด็กหนุ่มใบ้ที่ปีนั้นชอบรั้งอยู่ ท้ายขบวนยาวเหยียดถือเป็ นนักพรตที่มีลาดับอาวุโสเท่ากัน เจ้ายัง ไม่รีบเรียกว่าบรรพจารย์อีก นี่ถือว่าเจ้าได้เปรียบใหญ่เทียมฟ้ าแล้ว นะ! กลับไปแล้วรับรองว่าเจ้าต้องคุยโวได้กับทุกคนแน่นอน”
ลู่เฉินเพียงแค่ตั้งใจทาสมาธิ ทุกลมหายใจ ลมปราณที่แท้จริงจะ ไปรวมกันอยู่ตรงรูจมูก ประหนึ่งงูขาวสองตัวที่ห้อยย้อยลงมา ตรงข้อ เท้าของนักพรตก็มีภาพเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน
“เจ้าจมูกโคน้อย มองไม่ออกเลยว่าเจ้าจะพอมีตบะอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่นานเข้าจะยังวางมาดโอ้อวดแบบนี้อีกได้ หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะสู้ไม่ได้แม้แต่แมลงน่าสงสารพวกนั้นก็ได้นะ อย่าว่าแต่ปล่อยลมปราณที่แท้จริงเข้าออกเลย ห้าอวัยวะและอวัยวะ ภายในก็อาจจะถูกปาดจนราบเรียบไปด้วย”
“นักพรตน้อย บอกกับท่านปู่ บรรพบุรุษมาสิว่าทุกวันนี้วิถีทาง โลกของเจ้ากับผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตไม่สูงไม่ต่ามีเยอะหรือไม่? ทั่วทั้งใต้หล้ามีพอให้สองมือนับหรือไม่?”
“ไม่พูดก็ไม่เป็ นไร เจ้าแค่บอกข้ามาว่า นักพรตน้อยเป็ นใบ้ที่ไม่ ว่าพบเจอใครก็ท าตัวไม่ต่างกันผู้นั้น ภายหลังได้ถูกใครต่อยจนฟัน ร่วงเต็มพื้นหรือไม่?”
ฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดลู่เฉินก็ลืมตาขึ้น เอามือลูบจมูก “เขาคือ อาจารย์ของเสี่ยวเต้าเอง ผู้อาวุโสท่านรอก่อนเถอะ เสี่ยวเต้าจะไป เชิญอาจารย์มาราลึกความหลังกับท่านผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้”
“ช่างเถิด ข้ากับเขาไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน ปีนั้นความสัมพันธ ์ ที่มีต่อกันก็ไม่ธรรมดา ไม่ได้เจอกันก็ไม่เห็นจะเป็ นไร”
หลังจากนั้นนักพรตบรรพกาลผู้นี้ก็ไม่เปิดปากพูดอะไรอีกแล้ว จริงๆ
บุคคลประหลาดที่คล้ายจะฝึ กวิชาญาณจิ้งจอกป่ าซึ่งเป็ นวิชา นอกรีต อันที่จริงคอยตั้งใจฟังบทสนทนาของลู่เฉินกับนักพรตผู้นั้น อยู่ตลอด พอรู ้ว่านักพรตหนุ่มมีสถานะเป็ นนักพรตจริงๆ ก็พลัน ผิดหวังอย่างหนัก ร ้องไห้ดังลั่น สะอึกสะอื้นไม่เป็ นเสียง
สตรีที่ชอบงอหลังมือเหมือนธนูหยกขาวผู้นั้นโบกมือให้กับลู่เฉิน คลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ท่านนักพรต ทุกวันนี้ชิงชิวของโลกมนุษย์มี เจ้าของใหม่แล้วหรือยัง?”
ลู่เฉินคารวะอีกฝ่ ายด้วยขนบลัทธิเต๋ “ตอบผู้อาวุโส ทุกวันนี้โลก มนุษย์ไม่มีชิงชิวอยู่แล้ว ยังจะมีเจ้าของได้อย่างไร”
สตรีพลันมีสีหน้าซับซ ้อน คล้ายจะร่าไห้แต่ก็เหมือนจะคลี่ยิ้ม ภูต จิ้งจอกของโลกยุคหลัง หากมาเจอกับนางก็ต้องรู ้สึกละอายใจที่สู้ ไม่ได้
“เจ้ามาที่นี่ทั้งไม่ข้ามดินแดนแล้วก็ไม่ถอยกลับไป คิดจะทา อะไร?”
“ป้ องกันไม่ให้มีคนมาที่นี่แล้วทาการ “แลกตัวหมาก” กับ…ศิษย์ พี่ใหญ่ของข้า”
หากจะบอกว่าขอบเขตสิบสี่แลกกับขอบเขตสิบสี่
แน่นอนว่าศิษย์พี่ใหญ่ของลู่เฉินต้องเสียเปรียบมากกว่า
ต้องยืนกรานว่าจะไม่ทาการค้าที่ขาดทุนแบบนี้เด็ดขาด
สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าว “ลู่เฉิน เจ้ามีเหตุผลของเจ้า ข้าก็มีหน้าที่ รับผิดชอบของข้า เจ้ามิอาจอยู่ที่นี่ได้นาน ถอยกลับไปซะ”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างน้อยใจ “เมื่อก่อนศิษย์พี่ของข้าก็มาที่นี่บ่อยๆ เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่เห็นเจ้าจะไล่เขาเลย”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอ่ย “ไม่เหมือนกัน โค่วหมิงทะยานลม ใกล้เคียงกับ การได้รับพรจากสวรรค์ ถือว่าเป็ นวิชาอภินิหารแล้ว”
สายตาของลู่เฉินฉายแววไม่พอใจ “ผินเต้าถามใจคลายฝันก็ไม่ ใกล้เคียงกับวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งเหมือนกันหรอกหรือ”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าว “มรรคกถากับวิชาอภินิหาร ถึงอย่างไรก็ยังมี ความแตกต่าง”
ลู่เฉินกล่าว “ก็ช่วยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หน่อยไม่ได้หรือไร?”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอบ “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ”
ลู่เฉินจึงทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง รีบยื่นมือมาค้ายันไว้บนผิว น้า ร่างถึงได้ไม่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าว “พวกเขาไปจากที่นี่ไม่ได้ จาเป็ นต้องอยู่ที่นี่ แล้วเจ้าสู่เฉินจะมาสิ้นเปลืองตบะอย่างเปล่าประโยชน์อยู่ที่นี่ไปไย”
ลู่เฉินกระโดดลุกขึ้นยืน เบาะรองนั่งถูกสายฟ้ าที่เป็ นเส้นเล็กบาง หลายเส้นเผาไหม้เกิดประกายไฟส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะ สุดท้ายก็ไหล หายไปตามกระแสน้า
ร่างของเขาเซถลาไปเบื้องหน้า
ต่อมาสองเท้าก็เหมือนจมอยู่ในโคลน ทุกครั้งที่ลู่เฉินขยับเท้า จะต้องมีดินโคลนที่หนักเหมือนภูเขาลูกหนึ่งติดมาด้วย
พริบตานั้นเรือนกายของลู่เฉินก็ดีดตัวขึ้นสูง ลอยลิ่วไปในแนว ขวาง ตอนที่พลิ้วกายลงพื้นคล้ายจะขาแพลง ข้อต่อหัวเข่าส่งเสียง ลั่นกร๊อบ
อันที่จริงนี่คือเหตุผลที่ว่าทาไมก่อนหน้านั้นตอนที่ลู่เฉินอยู่ใน โรงเตี๊ยมกั้วอวิ๋นถึงได้หงายหลังลงพื้นตอนที่นั่งอยู่บนราวรั้ว
รวมไปถึงท าไมเขาถึงได้ขาแพลงตอนอยู่สานักกระบี่หลงเซี่ยง
ลู่เฉินยกมือขึ้น ประกบสองนิ้วแล้วกระชากดึงเบาๆ เอ่ยอย่าง เดือดดาลว่า “หากยังกั้นกันเช่นนี้อีก เสี่ยวเต้าจะแสดงฝีมือที่แท้จริง แล้วนะ!”
สองนิ้วเหมือนกระตุกม่านผืนหนึ่งออกมา แล้วลู่เฉินก็เลิกม่าน
มุมหนึ่งขึ้น
ทันใดนั้นฟ้ าดินที่เดิมทีสว่างไสวราวกับกลางวันก็มีแสงมืดด า เหมือนน้าหมึกจ านวนนับไม่ถ้วนแทรกซึมเข้ามาในฟ้ าดินแห่งนี้ดุจ น้าขึ้น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตวาด “หยุดนะ!”
ลู่เฉินรีบยื่นมือออกไปปาด สีดามืดเหล่านั้นถอยกลับเข้าไปใน ผ้าม่าน จากนั้นคลายนิ้วมือทาเหมือนปล่อยผ้าม่านให้ห้อยตกลงมา อีกครั้ง
ลู่เฉินเอ่ยอย่างขลาดๆ “ผินเต้าเสียกิริยาแล้ว”
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาคล้ายเสียงก้องในหุบเขา แต่ก็เหมือนเสียง อสนีบาต “แม้ว่าจะเป็ นหมาจนตรอกพยายามกระโดดข้ามก าแพง แต่ ก็พอจะมีตบะอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่เสียแรงที่เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของ มรรคาจารย์เต๋า”
ลู่เฉินยกสองมือเท้าเอวฉับ ตั้งท่าพร ้อมด่าเต็มที่ “ทาตัวลับๆ ล่อๆ มาพูดจาเหน็บแนมกันท าไม แน่จริงเจ้าก็ออกมาสิ?”
ส่วนสถานะของอีกฝ่าย ลู่เฉินเองก็รู ้ชัดเจนดี
คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งที่อยู่ใต้การดูแลของกรมสายฟ้ าสรวง สวรรค์บรรพกาล ทุกวันนี้ตาแหน่งเทพก็ยังคงอยู่
เจ้าคนที่เป็ นสารถีให้กับหนันจานอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีผู้นั้นเคย ดูแลกองพิฆาต
เทพองค์นี้ถือเป็ นหัวหน้าครึ่งตัวของสารถีเฒ่า แต่กระนั้นก็ยังไม่ อยู่ในอันดับหนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูง
เขาถาม “หม่าขู่เสวียนจะตายหรือไม่?”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ปีนั้นบอกไปแล้วว่ายอมปล่อยเขา ไปครั้งหนึ่ง เท่ากับว่าผินเต้าช่วยเขาไปแล้วหนึ่งครั้ง ไม่อย่างนั้น ป่ านนี้เขาก็ถูกเฉินผิงอันฆ่าตายไปนานแล้ว ยังจะให้ผินเต้าท า อย่างไรอีก?!”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เงียบเสียงไป ถอยกลับไปที่ตาแหน่งเทพของตัวเอง
ลู่เฉินถอนหายใจโล่งอก
ฟ้ าดินเป็ นพยาน ก็มีผินเต้านี่แหละที่ไม่เคยได้หยุดพักว่างเว้น กับเขาสักเค่อเดียว
แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้จะหวังมาโดยตลอดว่าหม่าขู่เสวียนจะ สามารถ สติปัญญาเปิดออก’ แล้วก้าวเดินไปบนวิถีแห่งเทพต่อ
แต่ “พื้นที่ประกอบพิธีกรรม” ในโลกมนุษย์ของเทพกรมสายฟ้ า เก่าผู้นี้กลับไม่ได้อยู่ที่ภูเขาเจินอู่ซึ่งเป็ นสถานที่ที่หม่าขู่เสวียนใช ้ฝึก ตน
ภูเขาเจินอู่หนึ่งในศาลบรรพชนของสานักการทหารแจกันสมบัติ ทวีป แท้ที่จริงแล้วคือหนึ่งในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเทพอีกองค์ หนึ่ง
หากจะให้เทพองค์นี้เปิดปากถามจริงๆ ลู่เฉินก็ต้องก้มหัวคารวะ ตามขนบลัทธิเต๋าก่อนแล้วต้องพูดจาดีๆ ต้องมีมารยาทอย่างยิ่ง
เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็ นศิษย์พี่ใหญ่เจ้าลัทธิหรือศิษย์พี่อวี่ ต่างก็ให้ความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณูปการมีคุณธรรมล้าเลิศผู้ นี้อย่างมาก
เพราะในช่วงเวลาของยุคบรรพกาลเมื่อประมาณหกพันปีก่อนได้ ปรากฏบุคคลที่มีพลานุภาพน่าเกรงขามซึ่งได้ครอบครอง “ฉายา เทพ” ใหม่เอี่ยมกลุ่มหนึ่ง
ปรากฏตัวในช่วงเวลาใกล้เคียงกับ “ต้าเจี้ยว” ฉายาเทพของโจว โหยวภูเขาลุ้ยซานแผ่นดินกลางและเงินเหรินพสุธาที่มีขุนเขา ทั้งหลายเป็ นที่ว่าการเหล่านั้น
อีกทั้งบรรพจารย์ของสามลัทธิต่างก็ยอมรับในฉายาเทพพวกนี้
ยกตัวอย่างเช่นมีเทพองค์หนึ่งในนั้นที่ใช ้ฉายาเทพว่า “เจินอู่
ป๋ ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว เทวบุตรมารนอกโลกของฟ้ านอก ฟ้ า นอกจากจะกลัวมรรคาจารย์เต๋าแล้วก็ยังกริ่งเกรงเสินจวิน “เจินอู่” ผู้นี้ด้วย
มีต้นกุ้ยอีกต้นที่อยู่บนดวงจันทร ์ผลิดอกยามฤดูใบไม้ผลิ ใน
ต าหนักบนสวรรค์ ดอกกุ้ยร่วงโรยดุจสายฝน
เทพหญิงที่ถือว่าเข้ามาเสริมในตาแหน่งเทพที่ว่างอยู่ผู้นี้ ฉายา เทพของนางคือ “ก่วงหาน
เพียงแต่ว่านางไม่ยินดีจะหวนกลับไปยัง “พื้นที่ประกอบพิธีกรรม” แห่งนั้น
ลู่เฉินยื่นมือมาป้ องข้างหู รออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินอะไร ถึงได้เก็บ มือกลับมา ถามหยั่งเชิงว่า “ต่างก็ถอยกันคนละก้าว?”
ยังคงเงียบงันไร ้เสียง ลู่เฉินโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก นี่ก็ คือการตอบตกลงแล้ว
เรือนกายลู่เฉินหายวับไป ไปหยุดอยู่ในจุดหนึ่งแล้วเผยกายอีก ครั้ง ไม่เห็นภาพบรรยากาศที่คึกคักอย่างก่อนหน้านี้อีก มีเพียงไอ หมอกขาวโพลนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
นักพรตสวมกวานดอกบัวยืนอยู่เพียงล าพัง ระหว่างฟ้ าดินมีเพียง เวลาที่ไหลหายไปเหมือนสายน้าที่ไม่ไหลย้อนกลับ
ลู่เฉินมีสีหน้าเปลี่ยวเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็ นมาก่อน ไม่เหมือนใน ยามปกติของเขาแม้แต่น้อย
ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็จะอยู่ที่นี่รอคอยเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิ ขาวก็แล้วกัน!
……
อาเภอไหวหวง บ้านเก่าแก่หลังหนึ่งที่ไม่เคยขายให้กับคนต่าง ถิ่น
ต่งสุ่ยจิ่งเปิดประตูออก ยิ้มเอ่ยว่า “โอ้ นี่ไม่ใช่หลินหยกดิบหรอก หรือ ให้เกียรติมาเยือนถึงที่ ช่างเป็ นเกียรติยิ่งนัก”
หลินโส่วอีก้าวข้ามธรณีประตูมาแล้วก็ยื่นมือออกมา “อย่ามัวพูด เหลวไหล เร็วๆ เข้า”
ต่งลุ่ยจิ่งถามอย่างสงสัย “อะไร?”
หลินโส่วอีกล่าว “ของขวัญแสดงความยินดี”
ต่งสุยจิ่งถูกหยอกจนขา “นี่คือเอาอย่างเว่ยซานจวินหรือ”
หลินโส่วอีกล่าว “ข้ายืมเงินฝนธัญพืชมาจากเฉินผิงอัน ต้องรีบ คืนเขาโดยเร็ว”
ต่งสุ่ยจิ่งหัวเราะร่วน “ท าเอาข้าตกใจหมด นึกว่าเจ้าจะแต่งงาน เสียอีก”
หลินโส่วอียกเท้าขึ้นทาท่าจะถีบคน ต่งสุ่ยจิ่งผินตัวหันข้าง ยิ้ม เอ่ยว่า “บัณฑิตขยับปากไม่ขยับมือนะ”
หากใช ้คาพูดของเจ้าขุนเขาเฉินก็คือลูกเจี๊ยบสองตัวที่ออกจาก เล้าหันมาจิกกันเอง
หลินโส่วอีกล่าว “กฎเดิม ให้ไวเลย
ต่งสุ่ยจิ่งจึงไปก่อไฟที่ห้องครัว ทาเกี่ยวน้ามาสองชาม
ตอนที่ต่งสุ่ยจิ่งง่วนทาอาหาร หลินโส่วอีที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะแปด เซียนในห้องก็หันไปมองเหม่อต้นหลิ่วที่อยู่ในลานบ้าน
ส่วนบ่อน้าที่อยู่ข้างต้นหลิ่ว หลินหยกดิบไม่แม้แต่จะชายตามอง
รอกระทั่งต่งสุ่ยจิ่งใช ้สองมือถือเกี๊ยวน้าที่ควันร ้อนลอยกรุ่นมา ข้างละชาม หลินโส่วอีก็ถอนสายตากลับมาแล้ว
หลินโส่วอีรับชามและตะเกียบมา ถามว่า “รู ้หรือไม่ว่าครั้งนี้เฉิน ผิงอันเรียกพวกเรามาท าอะไร?”
ต่งสุ่ยจิ่งส่ายหน้า “ไม่ได้ถาม”
หลินโส่วอีกินเกี๊ยวน้าแล้วก็เริ่มหาเรื่องติ ต่งสุ่ยจิ่งคร ้านจะฟัง เอา แต่ก้มหน้าก้มตากินส่วนของตัวเองไป
ปี นั้นตอนที่อยู่ในโรงเรียนก็เกลียดขี้หน้าไอ้หมอนี่แล้ว ไม่ใช่ เพราะหลินโส่วอีคือลูกหลานคนมีเงิน แต่เป็ นเพราะเขาชอบท าหน้า บูดบึงอยู่ทุกวัน
หลังจากนั้นมาต่งสุ่ยจิ่งก็ยิ่งไม่ชอบขี้หน้าหลินโส่วอีเข้าไปใหญ่ เพราะพวกเขาสองคนคือคนวัยเดียวกัน เพราะพี่สาวของหลี่ไหว สตรีบอบบางประหนึ่งกิ่งหลิวผู้นั้น อีกทั้งนางยังมีคิ้วตาที่อ่อนโยน
ถึงเพียงนั้น ต่งสุ่ยจิ่งถาม “เจ้าติดเงินเฉินผิงอันเท่าไร?” หลินโส่วอีตอบ “หนึ่งร ้อย” ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้า “ข้าจะส ารองจ่ายไปให้ก่อน” หลินโส่วอีกล่าว “เงินฝนธัญพืช”
ต่งสุ่ยจิ่งแสร ้งท าเป็ นตกตะลึง “ข้ายังนึกว่าเงินเกล็ดหิมะน้อยเสีย
อีกนะ”
หลินโส่วอีด่าไปคาหนึ่งว่าเจ้าเศรษฐีบ้านนอก
ต่งสุ่ยจิ่งกล่าว “เจ้าสนิทกับเฉินผิงอันขนาดนั้น ไฉนถึงได้ยินดี จะติดค้างน้าใจข้าแทนล่ะ”
หลินโส่วอีตอบ “การขุดเจาะลาน้าใหญ่ที่ใบถงทวีป ทุกจุดล้วนมี แต่เรื่องที่ต้องใช ้เงิน”
ต่งสุ่ยจิ่งเอ่ย “แล้วข้าไม่มีเรื่องที่ต้องใช ้เงินหรือไร?”
หลินโส่วอีร ้องเฟ้ ย “เจ้าต่งครึ่งเมืองมีแต่จะหาเงินได้น่ะสิ