กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1059.3 นครเดียวดายท่ามกลางเมฆหลากสี
จ าต้องยอมรับว่าเจ้าต่งสุ่ยจิ่งผู้นี้คือยอดฝี มือในการหาเงินมา ตั้งแต่เกิดจริงๆ พูดถึงแค่การค้าอย่างหนึ่งของเขาก็ทาให้หลินโส่วอีที่ ได้ยินรู ้สึกนับถืออย่างมากแล้ว
เหมาภูเขาตระกูลเซียนหลายลูกที่ปราณวิญญาณไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีสายน้าที่ใสกระจ่างมา แล้วเอามาทาเป็ น สถานที่สาหรับปลูกสวนกระถาง เอาไว้หลอกเงินจากแม่ทัพอัคร เสนาบดี ขุนนางชนชั้นสูงของล่างภูเขาโดยเฉพาะ
พูดเสียไพเราะว่าสะสมเงินไว้ให้ลูกหลานไม่มั่นคงพอ ไม่สู้มาสั่ง จองดอกไม้พืชพรรณตระกูลเซียนจากพวกเขากระถางหนึ่ง หากคิด จะเพาะปลูกให้ส าเร็จเป็ นรูปเป็ นร่างก็ต้องใช ้เวลาบ่มเพาะอย่างตั้งใจ นานหลายสิบปีหรืออาจถึงหลายหกสิบปี
หากมีสวนกระถางหนึ่งหรือสองใบ ทางฝั่งของจวนเซียนบนภูเขา ก็จะมีการจดบันทึกลงไปอย่างละเอียด อิงตามข้อเรียกร ้องของลูกค้า ทุกคน ตกลงกันให้เรียบร ้อยก่อนว่าลูกหลานรุ่นหลังของพวกเขาจะ เอากลับไปบ้านได้ในปีไหน แน่นอนว่าสามารถหักเป็ นเงินเทพเซียน แทนได้เหมือนกัน จะมาเอาไปหรือแลกเป็ นเงินไปก่อนเวลาที่กาหนด ไม่ได้ เว้นเสียจากว่าตระกูลตกอับจริงๆ ยากจนจนไม่ได้ยินเสียงเงิน
กระทบกัน ไม่มีข้าวสารให้กรอกปากหม้อขอแค่ลูกหลานในตระกูล
ขึ้นเขามาก็สามารถแลกเป็ นเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งที่จะมีการหักลบ ค่าใช ้จ่ายออกไปเล็กน้อย จวนเซียนที่ปลูกสวนกระถางให้ยังถึงขั้น สามารถช่วยเก็บรักษาทาเนียบวงศ์ตระกูลเล่มหนึ่งไว้ได้…เอาเป็ นว่า ทุกเรื่องล้วนละเอียดรอบคอบรัดกุม
หลินโส่วอีได้ยินว่ามีชนชั้นสูง ผู้มีอานาจของแต่ละแคว้นจานวน มากเกิดหวั่นไหว พากันควักเงินจ่ายจริงๆ กลายเป็ นกระแสนิยมใน แต่ละแคว้นล่างภูเขา
ทาการค้าทาได้ถึงขั้นนี้ หลินโส่วอีก็จาต้องนับถือในคัมภีร ์การ ท าการค้าของต่งสุ่ยจิ่งจริงๆ
นี่ยังเป็ นแค่หนึ่งในเส้นทางหาเงินมากมายของต่งสุ่ยจิ่งด้วย
อยู่ดีๆ ต่งสุ่ยจิ่งก็ด่าขึ้นมาว่า “คนไร ้ประโยชน์!”
หลินโส่วอีก็ถลึงตากล่าว “เป็ นเศษสวะที่ยังสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้า!”
แล้วลูกเจี๊ยบน้อยก็เริ่มหันมาจิกกันเองอีกครั้ง
เหนือก้อนเมฆขึ้นไปชั้นแล้วชั้นเล่ายังคงมีก้อนเมฆ ด้านล่างสุด ของชั้นเมฆก็คือโลกมนุษย์ มองนานเพียงใดก็ไม่เบื่อหน่าย
หม่าหยวนดื่มเหล้าไปแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจในการแต่งกลอน แต่ว่าต้องมีการร่างอารัมภบทเสียก่อน
ไม่เหมือนกับบัณฑิตหลายคน หม่าหยวนชอบท่องและคัดลอก บทนาที่ตัดมาจากบทกวีต่างๆ ด้วยตัวเอง
จ้าวเหยารองเจ้ากรมอาญานั่งโดยสารเรือข้ามฟากลาหนึ่งที่เป็ น ของกองทัพต้าหลีกลับบ้านเกิดครั้งนี้จ้าวเหยายังพาหม่าหยวนที่เป็ น หัวหน้างาน และหลางจงกองชิงลี่กรมคลังอย่างกวนอี้หรานมาด้วย
จ้าวเหยาถูก “อาจารย์อาน้อย” ผู้นั้นเรียกมา ส่วนกวนอี้หราน นั้นเอาเรื่องส่วนตัวมาเบียดบังส่วนรวม “ผ่านทาง” มาหาสหายที่นี่ เจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วกับจิงควนที่เพิ่งเป็ นเจ้าเมืองเขตเป่ าซี ได้ไม่กี่วันล้วนเป็ นสหายรักที่ดื่มเหล้าจืดชืดไม่มีเนื้อหนังให้คลุกเคล้า ที่ลาคลองชางผูจนอาเจียนมาด้วยกัน
เรือข้ามฟากอ้อมผ่านภูเขาพือวิ๋นมหาบรรพตอุดร นี่ก็ หมายความว่าขยับเข้าใกล้ท่าเรือหนิวเจี่ยวแล้ว
หม่าหยวนยืนพิงราวรั้วอยู่ที่ดาดฟ้ าชมทัศนียภาพนอกห้อง เอา มือตบราวรั้วเบาๆ เห็นทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ก็เกิดแรงบันดาลเริ่มแต่ง กลอนอีกครั้ง
จ้าวเหยานั่งดื่มเหล้าอยู่ในห้องกับกวนอี้หราน กวนอี้หรานหันมา ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอาหยวน เริ่มร่ายบทกวีอีกแล้วหรือ ต้องการให้ข้า ช่วยเรียบเรียงกลอนต่าโหยวหลายพันบทของท่านเป็ นรูปเล่มหรือไม่ จากนั้นก็หาร ้านหนังสือสักร ้าน จ่ายเงินจ้างพวกเขาตีพิมพ์? ไม่ต้อง กลุ้มเรื่องยอดขายหรอก ที่ว่าการในเมืองหลวงมีเยอะขนาดนั้น ขอ แค่คนที่เป็ นขุนนางตาแหน่งต่ากว่าขั้นสองลงไป เหนือขั้นเก้าขึ้นมา ต้องมีกันคนละเล่ม ข้าก็ได้ทุนคืนแล้ว การค้าครั้งนี้ทาได้จริงนะ! หาก
ยังรวมกับที่เมืองหลวงสารองเข้าไปด้วยก็จะได้กาไรก้อนใหญ่เลย ล่ะ!”
ใต้เท้าเจ้ากรมที่ถูกขัดจังหวะความคิดไม่แม้แต่จะหันหน้ามา เพียงชูนิ้วหนึ่งมาให้
จ้าวเหยายิ้มเอ่ย “หากใต้เท้าเจ้ากรมจะออกรวมเล่มบทกวีจริงๆ ต่อให้ไม่ใช ้เส้นสายในวงการขุนนาง แค่ใช ้นามแฝง อันที่จริงก็ไม่ ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการขายเลย”
กวนอี้หรานเอ่ยสัพยอก “รองเจ้ากรมจ้าว เจ้านี่เป็ นขุนนาง อย่างไรกันนะ ไม่รีบเอ่ยค าประจบยกยอเช่นนี้ให้เร็วกว่านี้ นี่อีกเดี๋ยว ท่านอาหม่าของข้าก็จะต้องไปนั่งก่อเตาเย็นที่ท่าเรือชื่อจุ้ยแล้วนะ”
จ้าวเหยาถามตรงๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าไปถึงใต้หล้าเปลี่ยวร ้างแล้วก็ยัง มีต าแหน่งเป็ นเจ้ากรมหรอกหรือ? จะถูกปลดจากต าแหน่งหรือ?”
กวนอี้หรานผงกปลายคางชี้ไป “เรื่องนี้มีเพียงขุนนางใหญ่ที่มี คุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมเล็กในห้องทรงพระอักษรเท่านั้นถึงจะรู ้ ลองถามเจ้าตัวเขาดูสิ”
หม่าหยวนเดินกลับเข้ามาในห้อง เอ่ยว่า “ไม่ต้องปลดประจ าการ ถึงอย่างไรกรมอาญาของพวกเราก็มีรองเจ้ากรมอย่างเจ้านั่งบัญชา การณ์ ไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดอะไรได้แล้วนับประสาอะไรกับ ตาแหน่งสูงในที่ว่าการหกกรม ใช่ว่าจะไม่มีทางที่จะขยับเขยื้อนได้ เลยก็แค่ว่าไม่อาจขยับเคลื่อนถี่เกินไปนัก”
กวนอี้หรานหัวเราะฮ่าๆ “สาหรับรองเจ้ากรมจ้าวแล้ว นี่ไม่ถือว่า เป็ นข่าวดีอะไรเลยนะต้องดื่มเหล้าดับทุกข์สักหน่อยแล้ว มา รอง เจ้ากรมจ้าว พวกเราชนกันหน่อย”
จ้าวเหยารู ้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง
เจ้าประมุขคนปัจจุบันของสกุลหม่าเสาค้ายันแคว้นผู้นี้ ก่อนหน้า นี้ไม่นานยังเป็ นเจ้ากรมกรมคลังอยู่เลย แต่กลับถูกโยกย้ายมาเป็ น ขุนนางหลักในกรมอาญา ตาแหน่งไม่ขึ้นและไม่ลด
เนื่องจากมู่เหยียนอดีตรองเจ้ากรมฝ่ ายซ ้ายของกรมอาญาได้ เลื่อนขั้นเป็ นเจ้ากรมคลังแทนที่หม่าหยวน กลายเป็ นขุนนางผู้ดูแล บัญชีแห่งแคว้น
ที่ว่าการกองงานต่างๆ ของกรมอาญา และยังมีผู้ฝึกตนถวายงาน ที่แขวนชื่ออยู่ในกรมอาญาต่างก็ยินดีที่จะได้เห็นเช่นนี้ เพราะถึง อย่างไรความเชี่ยวชาญในการคิดคานวณอย่างรอบคอบและ ความสามารถในการหาเงินของหม่าหยวนก็เลื่องลือไปทั้งราชสานัก
เกี่ยวกับสงครามครั้งนั้น ขุนนางหลักหกกรมของราชสานักต้า หลี สรุปแล้วใครมีคุณูปการมากกว่ากัน ก็มีแค่เสิ่นเฉินกับหม่าหยวน เท่านั้นที่แย่งชิงกันในเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้ากรมพิธีการ อย่างจ้าวตวนจิ่นเลย
เป็ นแซ่สกุลเสาค้ายันแคว้นเหมือนกัน เฉาผิงกับเยี่ยนเจี่ยวต่างก็ มุ่งหน้าไปยังท่าเรือรื่อจุ้ยของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ไปรวมตัวกับซ่งจ่างจิ้ง และซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองแล้ว
ทว่าเจ้าประมุขสกุลหม่าโผหยางผู้นี้คือชายร่างอ้วนฉุใบหน้า ดุดัน ขอแค่หม่าหยวนไม่สวมชุดขุนนางสวมรองเท้าขุนนาง มองดู แล้วอย่างมากสุดก็เหมือนเศรษฐีในอาเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มิ อาจเป็ นไปได้มากกว่านั้น หากจะบอกว่าเป็ นเศรษฐีอันดับหนึ่งของ เขตการปกครองหรือจังหวัดก็ยิ่งไม่มีทางมีสารรูปอย่างหม่าหยวน แน่นอน แต่คนเราจะดูกันแค่หน้าตาภายนอกไม่ได้ แม้หม่าหยวนจะมี รูปร่างเทอะทะอ้วนใหญ่ บางทีหากเขาเดินอยู่บนถนนในเมืองหลวง ตอนกลางคืนก็อาจจะทาให้คนที่ขี้ขลาดตกใจกลัวได้ สตรีกลัวจะ โดนฉุดคร่า บุรุษกลัวว่าจะโดนปล้นเงิน แต่เจ้ากรมหม่าที่ดูแลถุงเงิน ของต้าหลีมานานหลายปีผู้นี้กลับมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถที่ โดดเด่นหลากหลายอย่างยิ่ง ลายมือเขียนอักษรบรรจงแบบเล็กจานฮ วาก็ยิ่งยอดเยี่ยม ต่อให้เป็ นนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจ้าวที่เป็ นบรรพ บุรุษแห่งการเขียนตัวอักษรก่วนเก๋อถี่ในราชสานักต้าหลีก็ยังบอกว่า อักษรบรรจงแบบเล็กของหม่าหยวนตรงข้ามกับรูปลักษณ์ของเขา อย่างสิ้นเชิง
ความหมายก็คือหม่าหยวนอัปลักษณ์เท่าไร ตัวอักษรของเขาก็ เขียนได้งดงามมากเท่านั้น
และในฐานะขุนนางคนสาคัญของต้าหลีที่ถูกราชครูชุยฉานมอง เป็ นหนึ่งในแขนซ ้ายขวา หม่าหยวนก็คือขุนนางที่ไม่ธรรมดาอย่าง มากจริงๆ
แล้วก็เป็ นหนึ่งในสองคนที่เลื่อนขั้นได้เร็วที่สุดในช่วงเวลาไม่กี่ สิบปีที่ผ่านมาของวงการขุนนางต้าหลี สองคนที่ว่านี้ก็คือหม่าหยวน แห่งเมืองหลวงที่อยู่ทางเหนือ และหลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ในเมืองหลวงสารอง ทางใต้
ส่วนเรื่องที่ว่าทาไมกวนอี้หรานถึงได้พูดจาไร ้ความกริ่งเกรงกับ หม่าหยวน นั่นก็เพราะปีนั้นคนที่เป็ นอาจารย์คุมสอบเคอจวี่ของหม่า หยวนก็คือท่านปู่ทวดของกวนอี้หราน
เจ้ากรมผู้เฒ่าแห่งกรมขุนนางที่เหมือนตีขึ้นจากเหล็ก กับรอง เจ้ากรมและหลางจงที่เป็ นดั่งน้าไหล
นอกจากนี้ก่อนที่หม่าหยวนจะเลื่อนขั้นเป็ นขุนนางสูงขั้นสาม การประเมินใหญ่ของเมืองหลวงที่จะมีขึ้นทุกๆ สามปี ไม่ว่าหม่าหยวน จะอยู่ในเมืองหลวงหรือเป็ นขุนนางอยู่ในท้องถิ่น ทุกครั้งก็จะได้คา ประเมินอันดับหนึ่งอย่างไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น
นี่จึงเป็ นเหตุให้ตอนที่หม่าหยวนซึ่งมีชาติกาเนิดจากสกุลหม่า โผหยางเสาค้ายันแคว้นอยู่ในที่ว่าการกรมขุนนาง สามปีก็ได้เลื่อน ขั้นถึงเจ็ดครั้ง!
นี่ทาให้หม่าหยวนได้รับฉายาในวงการที่ทาให้คนอิจฉาตาร ้อน ว่า “หม่าอันดับหนึ่ง”
ดังนั้นในที่ว่าการของกรมคลัง หม่าหยวนที่ชอบด่าคนที่สุดจึงไม่ ด่ากวนอี้หรานเพียงคนเดียว
แน่นอนว่านอกจากความสัมพันธ ์ในชั้นนี้แล้ว ความสามารถใน การคิดบัญชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการตรวจสอบ บัญชีของกวนอี้หรานก็ไม่เลวเลยจริงๆ
ม่านราตรีหนาหนัก อาณาเขตทางทิศตะวันออกของแจกัน สมบัติทวีป แคว้นชิงหลวนที่หลุดพ้นจากสถานะใต้อาณัติของต้าหลี แล้ว
หลี่เป่าที่เป็ นเจ้ากรมพิธีการมานานหลายปี วันนี้รับรองแขกด้วย ตัวเอง แขกที่มาคือบุคคลผู้หนึ่งที่ไร ้ชื่อเสียงทั้งบนและล่างภูเขาของ แจกันสมบัติทวีป
หลิ่วซัว
คือผู้ฝึกลมปราณหนุ่มคนหนึ่ง เป็ นคนในพื้นที่ของแคว้นชิงหล วน
หลี่เป่ ามีรูปโฉมเป็ นชายชราที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายตารา รอกระทั่งเขาปิดประตูห้องหนังสือลงก็กลายมาเป็ นหลี่เป่าเจินขุนนาง ทอผ้าของราชส านักต้าหลี
ในอดีตตอนที่หลี่เป่ าเจินรับหน้าที่เป็ นหัวหน้าสายลับของศาลา คลื่นมรกตของต้าหลีก็ได้มาเปลี่ยนสถานะขุนนางอยู่ที่แคว้นชิงหล วนแห่งนี้ เลื่อนขั้นไวมาก เพียงไม่นานก็ได้เป็ นรองเจ้ากรมพิธีการ
เคยคุมสนามสอบหลายครั้ง คือขุนนางผู้คุมอานาจสายบุ๋นของ แคว้นอย่างสมชื่อ
นอกจากนี้หลี่เป่าเจินยังถือเป็ นไท่ซ่างหวงหลังม่านของแคว้นใต้ อาณัติต้าหลีหลายแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นชิงหลวนเป็ นหนึ่งนั้นมานาน หลายปี จวนเซียนแต่ละแห่งบนภูเขา พรรคในยุทธภพล่างภูเขาต่างก็ อยู่ในการควบคุมของหลี่เป่าเจิน
เดิมทีหลิ่วซัวไม่อยากมาพบหลี่เป่ าเจิน แต่จวนลับแห่งหนึ่งของ เขากลับโดนโจรปล้นไม่ต้องคิดก็รู ้ได้ว่าเป็ นหลี่เป่าเจินที่ไปเอาฉกชิง เอาของของผู้อื่นมาโดยไม่บอกกล่าว
บนโต๊ะวางถ้วยไว้สองใบ ใบหนึ่งเป็ นน้าหมึก ใบหนึ่งเป็ นน้าใส
ในห้องหนังสือแห่งนี้ไม่มีตาราอริยะปราชญ์แม้แต่เล่มเดียว ล้วน เป็ นตาราเบ็ดเตล็ดที่ไม่มีประโยชน์ต่อชื่อเสียงลาภยศของการสอบ เคอจวี่ ไม่มีประโยชน์ต่อใจปวงประชาในวิถีทางโลก
หลี่เป่ าเจินรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก นั่งลงไปก่อนแล้วยื่นมือ มากดลงนความว่างเปล่าสองที บอกเป็ นนัยแก่แขกว่าไม่ต้องเกรงใจ
หลิ่วซัวลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
นั่งตรงข้ามกันเหมือนจะประลองหมากล้อม
หลี่เป่ าเจินยิ้มถาม “หวังอี้ผู้ล่ะ หลายปีมานี้พวกเจ้าได้เจอกัน หรือยัง?”
หลิ่วซัวเงียบไม่ตอบ
ปีนั้นนายท่านของหลิ่วซัว หรือก็คือหลิ่วชิงเฟิงเจ้ากรมพิธีการ ของเมืองหลวงส ารองต้าหลี ได้เป็ นขุนนางดุจบิดามารดาในอ าเภอ เล็กๆ แห่งหนึ่งของแคว้นชิงหลวน ตอนนั้นหวังอี้ฝุ่ ก็เป็ นเซี่ยนเหว่ย (ต าแหน่งเป็ นรองแค่นายอ าเภอ มีหน้าที่ดูแลอาเภอในด้านการรักษา ความสงบเรียบร ้อยและการบังคับใช ้กฎหมาย) ของอ าเภอ ภายหลัง เมื่อหลิ่วชิงเฟิงเปลี่ยนสถานที่ไปเป็ นเจ้าเมืองของเขตการปกครอง เล็กๆ ริมชายแดนที่แม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้ หวังอี้ฝู่ ก็ตามไปด้วย ช่วย เป็ นสารถีให้เขาตลอดทาง ในฐานะเด็กรับใช ้ติดตามหรือควรจะ เรียกว่าลูกศิษย์ครึ่งตัวของหลิ่วชิงเฟิ ง ความสัมพันธ ์ของเขากับ หวังเซี่ยนเหว่ยที่นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาในเวลานั้นก็ไม่เลว เพราะ อีกฝ่ายมักจะไปดื่มเหล้าเป็ นเพื่อนหลิ่วชิงเฟิงเป็ นประจ า
ดูเหมือนว่าขอแค่หวังเซี่ยนเหว่ยเปิดปากก็สามารถทาให้นาย ท่านของตนที่มักจะขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องในใจอยู่เพียงลาพังยอมพูด เยอะหน่อย
จาได้ว่ามีครั้งหนึ่งดื่มเหล้าด้วยกัน หวังอี้ฝู่ ก็ถามคาถามข้อหนึ่ง กับนายท่านบ้านตนอยากรู ้ว่าเขามองบนภูเขาอย่างไร
เพราะตอนนั้นหลิ่วซัวดื่มเหล้าจึงจาได้ไม่ชัดเจนนัก แต่การถาม ตอบระหว่างนายท่านบ้านตนกับหวังเชี่ยนเหว่ยในครั้งนั้น มีหลักการ เหตุผลข้อหนึ่งที่ทาให้หลิ่วซัวจดจาได้อย่างลึกซึ้งมาจนถึงทุกวันนี้
ในสายตาของนายท่านบ้านตน ผู้ฝึ กตนบนภูเขา ค าว่าเทพ เซียน อันที่จริงก็เป็ นแค่มนุษย์ธรรมดาที่มีหมัดใหญ่กว่าเล็กน้อย แค่
นี้เท่านั้น แทบไม่มีข้อแตกต่างอย่างอื่นอีก
ตอนนั้นหลิ่วชิงเฟิงยังมีคาถามอีกข้อหนึ่งที่ถามหลิ่วซัว แน่นอน ว่าอาจจะเป็ นการถามต้องตอบเองของอาจารย์อย่างหนึ่ง มีความ เกี่ยวข้องกับการรักษาและไม่รักษากฎระเบียบครอบคลุมไปถึงผู้ที่ เป็ นคนก าหนดกฎระเบียบด้วย
หลี่เป่ าเจินชี้ไปยังสมุดเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ ยิ้มเอ่ยว่า “หลิ่วซัว เจ้าเป็ นคนที่ระมัดระวังรอบคอบอย่างมาก ดังนั้นข้าจึงยิ่งประหลาดใจ มากกว่าเดิม สรุปแล้วเจ้าคิดอย่างไรกันแน่ของแบบนี้ไม่รู ้จักจดจาไว้ ในใจ แต่กล้าเขียนลงบนกระดาษเลยหรือ?”
บนสมุดเล่มนั้นคือแผนการที่ร ้อยเรียงต่อเนื่องกัน หันหัวหอกไป ยังบุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่แค่นิ้วมือของเขาก็อาจจะขยี้ให้หลิ่วซัวตาย ได้
ทั้งสองอายุห่างกันไม่มาก แต่ขอบเขตกลับต่างกันมากนัก หลิ่วซัวยังคงไม่เอ่ยอะไร
หลี่เป่ าเจินถาม “หรือจะบอกว่าเป็ นความคิดที่มาจากเจ้ากรม หลิ่ว เจ้าแค่ช่วยเขียนบันทึกลงไปให้เท่านั้น?”
ในที่สุดหลิ่วซัวก็เปิดปากเอ่ยว่า “หากเป็ นความคิดของนายท่าน ข้า การที่เจ้าได้สมุดไปครองก็ต้องยังอยู่ในแผนการแน่นอน”
หลี่เป่าเจินพยักหน้า “ก็น่าจะเป็ นเช่นนี้”
จ าได้ว่าปีนั้นได้มองการ ‘กินกับแกล้มแกล้มสุรา” ของเจ้ากรมผู้ เฒ่าหลิ่วครั้งหนึ่ง มีพรรคบนภูเขาแห่งหนึ่งที่เป็ นวัวสันหลังหวะ ต้องการจะเปิดโปงเรื่องน่าอายเรื่องหนึ่ง จึงไหว้วานให้หลิ่วชิงเฟิงช่วย หลิ่วชิงเฟิ งจึงช่วยแต่งเรื่องน่าอายที่คล้ายคลึงกันเรื่องหนึ่งขึ้นมา เรื่องนี้แพร่ไปบนภูเขาอย่างดุเดือด รายงานภูเขาสายน้าต่างก็พากัน พูดถึงเรื่องนี้ ผลคือได้แต่พิสูจน์ว่าพรรคแห่งนั้นบริสุทธิ์เท่านั้น จากนั้นก็มีคาพูดซุบซิบนินทาที่ทาร ้ายพรรคแห่งนี้เกิดขึ้นอีก ผู้ฝึก ตนก็ต้องเริ่มพิสูจน์ตัวเองอย่างยากลาบาก หลังจากนั้นมา รอกระทั่ง เรื่องน่าอายที่แท้จริง “ถูก” เปิดโปง ทั้งบนภูเขาและล่างภูเขาต่างก็ไม่ สนใจ ไม่ยินดีจะซักไซ ้ให้ถึงที่สุดอีก
หลี่เป่ าเจินไปหาหลิ่วชิงเฟิง ฝ่ ายหลังแค่อธิบายง่ายๆ ประโยค เดียวว่า นี่เรียกว่าชมเรื่องครึกครื้น หากเป็ นเรื่องครึกครื้นที่ เหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ครึกครื้นเท่าเดิมแล้ว
แน่นอนว่าเพื่อให้เป็ นค่าตอบแทน พรรคเล็กที่พอจะมีฐานะแห่ง นั้นก็ทุบหม้อขายเหล็กแอบเอาเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ไปมอบให้กับ กรมคลังของเมืองลั่วจิงอย่างลับๆ
จนถึงทุกวันนี้หลี่เป่ าเจินก็ยังไม่รู ้ว่า พรรคเล็กในยุทธภพที่เป็ น เหยื่อได้รับความเสียหายอย่างแท้จริงจากเรื่องน่าอายครั้งนั้นซึ่งไม่ทัน ได้เปิดโปงศัตรูคู่แค้น สุดท้ายแล้วได้รับความยุติธรรมที่พวกเขารู ้สึก พึงพอใจ หรือไม่ก็คือความเป็ นธรรมที่ในใจพวกเขายอมรับได้อย่าง แท้จริงบ้างหรือไม่
ส่วนสมุดบนโต๊ะเล่มนั้น จุดเริ่มต้นของแผนการที่หลิ่วซัวบันทึก ไว้ก็ถือว่าเป็ นการชิงลงมือก่อนที่มีต่อเฉินผิงอัน
คือหร่วนซิ่วแห่งสานักกระบี่หลงเฉวียน
เมื่อเป็ นเช่นนี้ การที่เฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่วร่ารวยขึ้นมา กะทันหันก็ยิ่งเป็ นเรื่องที่สมเหตุสมผล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสอดคล้องกับความรู ้สึกและอารมณ์ของ ผู้คน
บอกว่าทั้งสองฝ่ายได้กาหนดเรื่องแต่งงานกันไว้นานแล้ว
จากนั้นก็เป็ นพรรคเล็กสองพรรคที่ได้ครอบครองรายงานภูเขา สายน้าซึ่งเป็ นผู้ป่าวประกาศเรื่องนี้ที่ต่างก็ถูกกวาดล้างทั้งสานักอย่าง น่าสังเวช ล้วนตายอยู่ภายใต้ปราณกระบี่
แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อว่านี่คือฝีมือของภูเขาลั่วพั่ว
แต่นี่เพิ่งจะเป็ นช่วงข้อต่อแรก คือปมเงื่อนที่ผูกไว้ปมเล็กๆ เท่านั้น
แต่ว่าคนมีใจบางคนอาจจะเริ่มคาดเดากันแล้วว่าขั้นตอนนี้จะใช่ การใส่ความจากภูเขาตะวันเที่ยงหรือไม่
ส่วนหร่วนฉงแห่งสานักกระบี่หลงเฉวียน ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ของต้าหลี ทั้งๆ ที่รู ้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง และเนื้อหาในรายงาน ขุนเขาสายน้าพวกนี้ก็เป็ นเรื่องเท็จ แต่ความสัมพันธ ์กับภูเขาลั่วพั่ว ล่ะ?
ข้อต่อที่สองจึงจะเป็ นทะเลสาบซูเจี่ยน เกี่ยวข้องกับกู้ช่าน
สามารถยืนยันความจริงได้จากบันทึกขุนเขาสายน้าบางเล่ม
หลี่เป่ าเจินหันไปมองน้าสองถ้วยที่อยู่บนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กู้ช่านคือหมึกด า ไม่ว่าจะคนจะกวนอย่างไรก็คือน้าหมึก แต่เฉินผิง อันกลับเป็ นน้าใสถ้วยนั้น แค่หยดหมึกลงไปเล็กน้อยก็จะเริ่มเปลี่ยน จากใสเป็ นขุ่นแล้ว”
หลิ่วซัวพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธความคิดนี้ของหลี่เป่าเจิน
“หลิ่วซัว เจ้ามีความแค้นกับเฉินผิงอันหรือ?”
“ไม่มี”
“ครั้งแรกที่เห็นหน้าเขาก็ไม่ถูกชะตาแล้ว?”
“ปีนั้นได้เจอกันครั้งแรกก็รู ้สึกว่าเขาเป็ นบัณฑิตเหมือนกับนาย ท่านของข้า บุคลิกอบอุ่นอ่อนโยน เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ฝึกอบรมบ่ม เพาะตัวเองได้ดี แล้วก็สอนคนอื่นได้ ยิ่งลงมือทาเรื่องต่างๆ ได้”
ครั้งแรกที่เจอหน้ากันคือบนเส้นทางนอกสวนสิงโตแคว้นชิงหล วน เพื่อหลีกทางให้กับถ่านดาน้อยคนหนึ่งที่ขวางทาง รถม้าก็พุ่งเข้า
ไปในสระน้า พวกเขากลายเป็ นไก่ตกน้า
แต่การแสดงออกของเฉินผิงอันในเวลานั้นกลับทาให้หลิ่วชั่วเกิด ความรู ้สึกที่ดีด้วย ก็เหมือนกับหลักการเหตุผลที่นายท่านของตนพูด ไม่ว่าครอบครัวจะเป็ นอย่างไร เป็ นตระกูลชนชั้นสูงก็ดี เป็ นตระกูล เล็กๆ ก็ช่าง ขอแค่มีความคิดที่ว่าเด็กในบ้านของตัวเองทาความผิด ผู้ใหญ่มิอาจเอ่ยขอโทษแทนก็ถือว่าจบเรื่องกันแล้วได้ ต้องให้เด็กรู ้ว่า ตัวเองท าผิด และรู ้จักที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขด้วย