กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1059.4 นครเดียวดายท่ามกลางเมฆหลากสี
“ถ้าอย่างนั้นก็เพราะรู ้สึกว่าเขาโชคดีเกินไป อายุน้อยๆ ก็มี ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ สร ้างคุณูปการไว้ที่ต่างบ้านต่างเมือง ชื่อเสียงระบือ ไกลหมื่นทิศ เป็ นลูกศิษย์ปิดส านักของอริยะแห่งศาลบุ๋น คนรักยังเป็ น บุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี ราวกับว่าความได้เปรียบทั้งหมด เขาล้วนได้ไปครองคนเดียว? ท าให้เจ้าอิจฉา รู ้สึกว่าสวรรค์ไม่ ยุติธรรม? เจ้าก็เลยต้องการทวงความเป็ นธรรมแทนเจ้ากรมหลิ่วนาย ท่านของเจ้า?”
“ไม่อิจฉา ข้าเคยศึกษาประวัติการร่ารวยของเขาอย่างละเอียด มาก่อน ต้องยอมรับว่าผลประโยชน์ทั้งหลายที่ได้ไปล้วนเป็ นสิ่งที่เขา เฉินผิงอันสมควรได้รับแล้ว”
คนที่เลื่อนขั้นได้เร็วที่สุดในวงการขุนนางต้าหลีมีอยู่สองคน ได้แก่หม่าหยวนอัครเสนาบดีและหลิ่วชิงเฟิงเจ้ากรมพิธีการแห่งเมือง หลวงส ารองต้าหลี
จุดที่น่าสนใจที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าคนทั้งวงการขุนนางต่างก็รู ้ดีว่าหลิ่ว ชิงเฟิงคือคนที่ฮ่องเต้นามาใช ้ตรวจสอบจับตามองลั่วอ๋องซ่งมู่ แต่ลั่ว อ๋องซ่งมู่กลับยังคงปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
การที่ลั่วจิงเมืองหลวงส ารองไม่ได้กลายไปเป็ นที่ว่าการของซ่งมู่ คนเดียวก็เพราะว่ามีหลิ่วชิงเฟิง
หลิ่วซัวเด็กรับใช ้ หวังอี้ฟูผู้ติดตาม คือคนสองคนที่ติดตามหลิ่ว ชิงเฟิ งอยู่นานที่สุดโดยเฉพาะหลิ่วซัวที่ยิ่งติดตามอยู่ข้างกายนาย ท่านบ้านตนมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แต่เนื่องจากหลิ่วชิงเฟิงไม่ใช่ผู้ฝึกตนจึงตายไปแล้ว ถึงขั้นที่ว่าผู้ เฒ่าไม่ได้กลายไปเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่แห่งหนึ่งด้วยซ้า
แต่ว่าหลิ่วซัวไม่ได้เคียดแค้นบัณฑิตที่แม้กระทั่งนายท่านของ ตัวเองก็ยังยอมรับด้วยเหตุนี้
ก่อนที่หลิ่วชิงเฟิงจะจากไปเคยยิ้มเอ่ยกับหลิ่วซัวว่า วันหน้าคน เพียงผู้เดียวที่จะสามารถทาให้นโยบายการปกครองทั้งหลายของ ราชครูชุยกลายมาเป็ นความจริงได้ การลงแรงไม่ได้อยู่ที่แผนในมุม ลับ ไม่ได้อยู่ที่เรื่องยิบย่อยซึ่งสามารถมองเห็นได้จากภายนอกแต่อยู่ ที่ความบริสุทธิ์ดั้งเดิม อยู่ที่ศีลธรรมและสัจธรรม อยู่ที่กิจการและ ความดีความชอบที่มิอาจมองไม่เห็นใจคน ชุยฉานจงใจเว้นพื้นที่ เหลือไว้ เพราะเขาเคยพูดเองกับปากว่าคนที่เรียนรู ้จากข้ารอด คนที่ เลียนแบบข้าตาย
ก็เหมือนอย่างการกระทาทุกอย่างของหลี่เป่ าเจินในแคว้นชิงหล วน ปีนั้นเมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของหลิ่วชิงเฟิงแล้วก็เป็ นแค่ประโยค เบาบางประโยคเดียวว่า “พวกเราใช ้วิธีการที่ไม่ชอบธรรมมาแสวงหา ความชอบธรรม จะรู ้สึกประสบความส าเร็จได้อย่างไร
ประเด็นสาคัญคือตอนนั้นหลี่เป่ าเจินจาต้องเอ่ยชื่นชมอีกฝ่ าย อย่างจริงใจว่าเหนือกว่าตนระดับหนึ่งจริงๆ
เหวยเลี่ยงผู้ฝึ กตนสานักฝ่ าเจียเคยช่วยราชครูในเรื่องการตั้ง ป้ ายศิลาเหนือยอดเขาของในทวีป
ส่วนหลิ่วชิงเฟิงก็เขียนระดับขั้นทาเนียบของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหนึ่ง ทวีปที่ภายหลังแทบจะถูกศาลบุ๋นยกเอามาใช ้ทั้งหมดด้วยตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ประหลาดใจจนมิอาจทาความเข้าใจได้แล้ว ไม่ มีความแค้นใดๆ ต่อกัน แล้วไฉนเจ้าถึงทาเช่นนี้ ต้องการอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไรที่ต้องการ”
หลี่เป่าเจินฟังมาถึงตรงนี้ ในที่สุดอาการตกตะลึงของเขาก็ไม่ได้ เสแสร ้งแกล้งท าอีกต่อไป ถามว่า “หลิ่วซัว นี่เจ้ามีแต่เจตนาร ้าย เท่านั้นเลยหรือ?”
หลิ่วซัวปิดปากเงียบไม่พูดอีกครั้ง ถึงขั้นที่ว่ายังหลับตาลงด้วย
หลี่เป่ าเจินหมุนจอกเหล้าว่างเปล่าในมือตัวเอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหลิ่วชิงเฟิ งจะต้องเคย เตือนเจ้ามาก่อนแน่ว่าหากวันใดมีคนข่มขู่เจ้ายกตัวอย่างเช่นข้า ก็ สามารถทรยศเขาได้เลย เพื่อให้เจ้ารักษาชีวิตน้อยๆ ของตัวเอง เอาไว้?”
หลิ่วซัวลืมตาขึ้น พยักหน้ารับ “หลี่จือจ้าวคาดการณ์ได้แม่นยา เป็ นเช่นนี้จริง ปีนั้นนายท่านยังก าชับข้าว่าจะต้องรีบลืมเนื้อหาของ บทสนทนาครั้งนั้นให้ได้โดยเร็ว หาไม่แล้วจะต้องหลอกเจ้าไม่ได้ แน่นอน”
นายท่านหวังว่าเขาจะสามารถกลายเป็ นหลี่เป่าเจินคนที่สอง แต่ หากจะให้เขาฉลาดกว่าหลี่เป่าเจินก็เป็ นเรื่องที่ยากมากจริงๆ
หลี่เป่าเจินถาม “รู ้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่เคยทาแบบนี้?”
หลิ่วซัวตอบ “เพราะเจ้าเดาได้ว่านายท่านจะต้องทาเช่นนี้ ดังนั้น จึงรู ้สึกว่าน่าเบื่อสาหรับเรื่องที่ไม่มีความหมาย แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็ คร ้านจะท ามาตลอดอยู่แล้ว”
หลี่เป๋ าเจินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “พูดให้ถูกก็คือในเมื่อไม่ น่าสนใจก็ย่อมไม่มีความหมายด้วย”
หลิ่วซัวย้อนถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่านายท่าน ไม่ได้เดาได้ว่าเจ้าจะต้องทาเช่นนี้?”
รอยยิ้มของหลี่เป่าเจินแข็งค้าง
หลิ่วซัวยิ้มเอ่ย “หลี่จือจ้าวไม่ต้องเสแสร ้งแล้ว สืบสาวราวเรื่องกัน แล้วเจ้าก็แค่กลัวเจ้ากรมหลิ่วที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น หรือจะพูดให้ถูกก็ คือ ต่อให้เขาตายไปแล้ว เจ้าก็ยังกลัว กลัวว่าเขาจะทิ้งทางหนีทีไล่ไว้ รับมือกับเจ้าโดยเฉพาะ”
หลี่เป่ าเจินคลี่ยิ้มสดใส พยักหน้ารับอย่างแรง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ คงต้องถามเจ้าแล้วว่ามีท่าไม้ตายที่ว่านี้จริงไหม?”
หลิ่วซัวหัวเราะหยัน “ข้าบอกว่ามี เจ้าต้องไม่มีทางเชื่อแน่นอน ข้าบอกว่าไม่มี เจ้าก็จะยังกึ่งเชื่อกิ่งกังขา ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดว่ามี หรือไม่มี ขอถามหลี่จือจ้าวหน่อยเถิดว่าความหมายอยู่ที่ใด?”
หลี่เป่าเจินโยนจอกเหล้ากลับไปบนโต๊ะ ปัดมือ “หลิ่วซัว ข้าถาม เสร็จแล้ว เจ้ายังมีอะไรที่อยากจะพูดอีกไหม?”
หลิ่วซัวหลับตาลง “เจ้าและข้าต่างก็แค่รอความตายกันเท่านั้น”
หลี่เป่าเจินหลุดหัวเราะพรีด “แสร ้งทาเป็ นเร ้นลับซับซ ้อน หลอก ผีหลอกเจ้า เจ้าคิดว่าตัวเองคือหลิ่วชิงเฟิงจริงๆ หรือไร?!”
นอกประตูห้องหนังสือมีเสียงปรบมือเบาๆ ดังขึ้นมา
หลิ่วซัวคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “มาแล้ว”
ข้าอุตส่าห์ปิดปากไม่เอ่ยชื่อเฉินผิงอันมาโดยตลอด แต่เจ้าหลี่ เป่ าเจินดันไม่เชื่อในเรื่องนี้ เรียกขานคาแล้วคาเล่าว่าเฉินผิงอัน ทีนี้ จะโทษใครได้เล่า
หลี่เป่าเจินฝืนทาท่าสงบนิ่ง มองไปทางนอกประตู ถามด้วยสีหน้า เขียวคล้า “ใคร?!”
คนชุดเขียวปักปิ่นหยกผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้องหนังสือราวกับ เข้ามาในดินแดนไร ้ผู้คน “ไม่บังเอิญเลยนะ เจ้ากรมหลิ่วไม่อยู่แล้ว แต่ข้ายังอยู่ คิดจะฆ่าหลิ่วซัว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า”
ด้านหลังคนผู้นี้มีผู้ติดตามหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวติดตามมาด้วย
หลีเป่าเจินถาม “เป็ นเจ้าได้อย่างไร?!”
เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ ยื่นมือมากดลงบนหัวของหลิ่วซัว หนักๆ แล้วยิ้มบางๆ “เอ่ยว่า “อะไรที่ดีๆ ไม่รู ้จักเรียนรู ้ดันมาเรียนรู ้ใน เรื่องที่ไม่ดีพวกนี้ ระวังว่าจะตายจริงๆ ล่ะ”
หลีเป๋ าเจินอยากจะใช ้เสียงในใจพูดคุย อยากจะตะโกนเรียกชื่อ ของพี่ขายใหญ่ แต่กลับพบว่าตัวเองได้แต่ “เป็ นคนใบ้พูดไม่ออก” อย่าว่าแต่เปิ ดปากพูดเลย แม้กระทั่งวิธีใช ้เสียงในใจของผู้ฝึ ก ลมปราณก็ยังไร ้ประโยชน์
ต่อจากนั้นหลี่เป่ าเจินก็ต้องค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า เฉินผิงอันในเวลานี้ถึงกับมีดวงตาเป็ นสีทองบริสุทธิ์คู่หนึ่ง
……
นครเดียวดายที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสี
ในนครจักรพรรดิขาว ดินแดนไท่ซวีแห่งหนึ่งที่จริงและเท็จปะปน กันจนแยกไม่ออกมีกระบี่บินอยู่นับไม่ถ้วนที่เคลื่อนไหวอย่างไร ้
ระเบียบ บ้างเร็วบ้างช ้าไม่เหมือนกัน มองนานเข้าบางทีอาจรู ้สึกว่าไม่ มีเส้นแบ่งระหว่างการเคลื่อนไหวและการหยุดนิ่งเลยด้วยซ้า กระบี่บิน ที่มีจานวนมากมหาศาลเช่นนี้คือกระบี่ที่เจิ้งจวีจงหลอมเลียนแบบมา จากกระบี่แต่ละเล่มที่จ่ายเงินซื้อมา รวบรวมมาจากผู้ถวายงานและ พื้นที่ลับ ไม่ก็ “คัดลอกมาจากผลงานจริง ด้วยมือตัวเองเป็ นเวลา ยาวนานถึงสามพันปี ทว่าต่อให้เป็ นเช่นนี้ก็ยังคงมีกระบี่บินจานวน เกินครึ่งที่เจิ้งจวีจงอาศัยการอนุมาน การคานวณบนมหามรรคามา “จินตนาการถึง ซึ่งผ่านกาลเวลาที่ยาวนานมาก
เจิ้งจวีจงที่เงยหน้ามองภาพปรากฏการณ์ดวงดาวถอนสายตา กลับมา “ทางเส้นนี้น่าจะเดินผ่านไปไม่ได้แล้ว”
เจิ้งจวีจงอีกคนส่ายหน้า “ไม่แน่เสมอไป”
“ใช ้สติปัญญาและเรี่ยวแรงที่มีจนหมดสิ้นแล้วก็ยังเป็ นได้แค่นี้ หรือว่าควรจะไปขอให้คนอื่นช่วย แต่ปัญหาคือจะไปขอให้ใครช่วยได้ บนโลกมนุษย์ไม่มีชุยฉานอีกแล้ว”
“รอไปก่อนเถอะ”
“ยกตัวอย่างเช่นเล่นหมากล้อมกับเจ้าลัทธิโค่วหมิงแห่งป๋ ายอวี้จิ งก่อนสักกระดานหนึ่ง?”
โค่วหมิงแห่งป๋ ายอวี่จิง มรรคกถาสูงส่งดุจมังกร
ข้ามีฝีมือในการพิฆาตมังกร ชักกระบี่เชิญให้ท่านมอง
นอกจากเจิ้งจวีแล้ว ผู้ฝึกตนในประวัติศาสตร ์ของนครจักรพรรดิ ขาวที่เคยมาเยือนพื้นที่ลับแห่งนี้ ดูเหมือนว่าจะมีแค่ฟู่ จิ้นลูกศิษย์เปิด ภูเขาและกู้ช่านลูกศิษย์ปิดประตูเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่ฟู่ จิ้นเคยมานั่งนิ่งๆ อยู่ที่นี่หนึ่งเดือนกว่า แต่ก็ไม่ได้ผล เก็บเกี่ยวอะไรกลับมา
กู้ช่านนั้นไร ้ความปรารถนาไร ้ความต้องการยิ่งกว่าศิษย์พี่ฟูจิ้น เพียงแค่ถามคาถามที่ฟังก็รู ้ว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจากอาจารย์ “ผู้ฝึก กระบี่มีกระบี่บิน หากไม่มีการสืบทอดจากอาจารย์และจากตระกูล แต่ เรียนรู ้เอาเองอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ก็ต้องตามหาวิชาอภินิหารแห่งชะตา ชีวิตของกระบี่บินเล่มนั้นเอาเองใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าใช่ เพียงแต่ว่าในเรื่องนี้มีความยากง่ายต่างกันอยู่ และความแตกต่างก็มากราวฟ้ ากับเหว ผู้ฝึ กกระบี่ตามหาและ ตรวจสอบวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเหมือนการลงน้า ไปจับปลา บ้างก็มืดสลัว น้าลึก จึงจาต้องอดทนคลาหาไปพักหนึ่ง บ้างก็น้าตื้น สามารถมองเห็นได้เลย ไม่ต้องเปลืองแรงสักเท่าไร ส่วน น้าตื้นน้าลึกกับระดับขั้นสูงต่าของกระบี่บินนั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง กัน ล้วนต้องอาศัยดวงทั้งสิ้น แต่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของ กระบี่บินหลายเล่มกลับมีการแบ่งชัดเจนเหมือนมังกรที่ว่ายอยู่บน หาดน้าตื้นผู้ฝึกกระบี่ก็ได้มาครองง่ายๆ แค่ดึงหนวดมังกรก็กระชาก ขึ้นฝั่งให้กลายมาเป็ นของตัวเองได้แล้ว แต่วิชาอภินิหารแห่งชะตา ชีวิตบางอย่างกลับเหมือนปลาตัวน้อยที่ว่ายอยู่ใต้มหาสมุทรผู้ฝึ ก
กระบี่ต้องสิ้นเปลืองพละกาลังมหาศาลในการไปตามหามัน แต่กระนั้น ก็ยังได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมาน้อยมาก ได้แต่เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่ายัง ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ชะตากรรมเล่นตลก ในบรรดาคนเหล่านี้ก็จะมีผู้ ฝึกตนใหญ่ที่ในอนาคตจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปใต้หล้าอยู่หลายคน แท้จริงแล้วเป็ นผู้ฝึ กกระบี่ที่อาพรางตัวตน ก็แค่ว่าไม่สะดวกใจจะ ยอมรับว่าตัวเองเป็ นผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น คุณสมบัติในการฝึกตนดี เดิน ขึ้นสู่ที่สูงไปตลอดทางเหมือนผ่าล าไม้ไผ่ แต่ถูกจากัดอยู่ที่ระดับขั้น ของกระบี่บิน เป็ นเหตุให้คุณสมบัติในการฝึ กกระบี่ย่าแย่ ดังนั้นจึง อายเกินกว่าจะพูดออกมา ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าผู้ฝึกกระบี่ด้วยความ ภาคภูมิใจ หากจะพูดว่าผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าแทบไม่มีใครที่เป็ นผู้ฝึก ตนอิสระ หนึ่งเพราะพรรคบนภูเขาคิดจะตามหาตัวอ่อนผู้ฝึ กกระบี่ ข้างนอกก็ย่อมทุ่มสุดกาลัง หากเจอกับหยกดิบก็จะพากลับขึ้นเขาไป เจียระไนอย่างระมัดระวัง ยอมทุ่มทรัพย์สินเงินทองในการอบรม ปลูกฝัง นอกจากนี้การบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งขึ้นมา ก็มีร่องรอยให้สืบเสาะ ก าแพงเมืองปราณกระบี่ อุตรกุรุทวีป อาณา เขตสู่โบราณในแจกันสมบัติทวีป และยังมีพื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ อีกหลาย แห่งในไพศาล โอกาสที่จะมีผู้ฝึ กกระบี่ปรากฏตัวก็มักจะเหนือกว่า พื้นที่แห่งอื่น
“ผู้ฝึกกระบี่ที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มหรือมากกว่านั้น หรือว่ามีกระบี่บินเล่มเดียวแต่กลับมีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตหลาย ประเภท ก็จะมีข้อได้เปรียบก่อนก าเนิดหรือไม่?
“สาหรับตัวผู้ฝึกกระบี่เอง แน่นอนว่าต้องเป็ นเช่นนี้ ระหว่างกระบี่ บินกับกระบี่บิน รวมไปถึงระหว่างวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่ถอย มาเลือกในระดับรอง การ ‘ตีความ” ที่ใกล้เคียงกันของทั้งสองอย่าง หรือการ “ชดเชยกันและกัน” ซึ่งตรงกันข้ามกันของสองอย่าง ล้วน เพิ่มพูนสิ่งที่เป็ นประโยชน์ในระดับที่แตกต่างกัน แต่หากมองจากผู้ ฝึกกระบี่ทุกคนและประวัติศาสตร ์แล้ว กลับไม่แน่เสมอไป ยกตัวอย่าง เช่นอาจารย์ปู่ ของเจ้าก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มเดียว แต่เป็ น กระบี่บินที่มีความเกี่ยวข้องกับเวทน้าทุกชนิด ต่อให้กระบี่บินของผู้ ฝึ กกระบี่ร ้อยเล่มพันเล่มมารวมกัน เมื่อเจอกับกระบี่เล่มนั้นก็ยัง เหมือนเหล่าขุนนางที่ต้องเข้าเฝ้ าเจ้าเหนือหัว ได้แต่ก้มหัวให้อยู่ดี
“การตั้งชื่อให้กับกระบี่บินทุกเล่มเป็ นความรู ้ที่ยิ่งใหญ่มากใช่ หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าชื่อของกระบี่บินก็เหมือนกระบวนท่าวิชาหมัด ของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าที่ไม่ควรแพร่งพรายให้ใครรู ้ง่ายๆ
“เว้นเสียจากการตั้งชื่อของผู้ฝึกกระบี่ที่จงใจแสร ้งทาเป็ นเร ้นลับ ซับซ ้อนหรือไม่ก็เป็ นตาบอดคลาช ้างที่จะไม่พูดถึง กระบี่บินเล่มหนึ่ง หากตั้งชื่อยิ่งใหญ่เกินไป หรือเป็ นแค่ชั้นวางว่างเปล่าที่ไม่สมกับชื่อ หรือว่าชื่อขัดแย้งกับความจริง ก็จะส่งผลกระทบต่อวิชาอภินิหารแห่ง ชะตาชีวิตของกระบี่บิน ตั้งชื่อเล็กเกินไปก็จะเป็ นการย่ายีวัตถุดิบ สวรรค์ให้เสียเปล่าเพราะหมายความว่าผู้ฝึกกระบี่ที่เลอะเลือนคนนั้น ยังไม่เข้าใจเส้นสายที่แท้จริงของกระบี่บินและวิชาอภินิหารแห่งชะตา ชีวิต
“ศิษย์เหลือแค่คาถามข้อสุดท้ายแล้ว ที่มาของกระบี่บินอาศัยแค่ ชะตาชีวิตเท่านั้นหรือ?”
ล้วนเป็ นสิ่งที่สวรรค์ลิขิตนอกเหนือจากชะตากรรม เจ้าบอกว่าผู้ ฝึกกระบี่อาศัยแค่ชะตาชีวิตก็ไม่ผิดหรอก แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด
ระหว่างเมฆหลากสีมีธงผืนใหญ่ผืนหนึ่งตั้งอยู่ ด้านล่างคือโต๊ะหิน ที่แกะสลักเป็ นกระดานหมากล้อม วางโถเก็บเม็ดหมากไว้สองใบ
มีผู้เฒ่าชุดเขียวคนหนึ่งเอาสองมือไพล่หลัง เหนือศีรษะคือ ประโยคที่หลายใต้หล้าล้วนรับรู ้ “ถ่อมตนแด่คนในใต้หล้า’
เสียงในใจของหันเชี่ยวเซ่อดังขึ้น “ศิษย์พี่ อาจารย์มาที่นคร จักรพรรดิขาวแล้ว”
เจิ้งจวีจงกล่าว “บอกให้เขารอเดี่ยว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
หากเป็ นแค่การเรียนเวทกระบี่ สาหรับเจิ้งจวีจงแล้วก็ไม่อาจพูด ได้ว่าไร ้ประโยชน์เสียเลย แต่ความหมายกลับไม่มาก
เพราะเจิ้งจวีจงได้ทดลองมาก่อนนานแล้ว
ดังนั้นเจิ้งจวีจงจึงละทิ้งเส้นทางสายนี้ไปอย่างสิ้นเชิง จิตหยาง กายนอกกายที่เป็ นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเต็มตัวคนหนึ่ง นึก จะทิ้งก็ทิ้ง เหมือนรองเท้าเก่าที่ชารุด
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ต่อให้เป็ นผู้ฝึ กกระบี่เต็มตัว ขอบเขตสิบสี่แล้วก็ยังอยู่ห่างจากมหามรรคาเส้นที่เจิ้งจวีจงคิดไว้ใน ใจอยู่ไม่น้อย
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีกระบี่นอกกระบี่ แสวงหามรรคาบนเวทคาถา เส้นทางที่ป๋ ายเหย่เดินผ่านในปีนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน
เจิ้งจวีจงสองคนผสานรวมเป็ นหนึ่ง มองกระบี่บินพวกนั้นแล้ว พึมพากับตัวเองว่า “เหมือนดั่งแซ่ ชื่อ นามและฉายาของคน”
อันที่จริงตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ในอนาคตที่จะมาเยือนพื้นที่ลับแห่งนี้ ต้องมีจ านวนไม่น้อยแต่ระหว่างการเฝ้ ามองการ “บ่มเพาะกระบี่บิน แห่งชะตาชีวิต” ของพวกเขาครั้งนั้นของเจิ้งจวีจงกลับยังได้ผลเก็บ เกี่ยวน้อยมาก
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ฟ้ าดินที่มหามรรคาโจรได้อย่างสมบูรณ์ แบบ แล้วเป็ นผู้ฝึ กกระบี่คนแรกที่ถือกาเนิดขึ้นมาตามโชคชะตา เพราะสอดคล้องกับหลักการแห่งสวรรค์
ส่วนฟู่ จิ้นและกู้ช่านที่อยู่ในกลุ่มของลูกศิษย์ก็แค่โชคดีเท่านั้นถึง ได้ไม่ถูกเจิ้งจวีจงลบความทรงจาทิ้งไป
ด้านข้างโต๊ะหินใต้ธงผืนใหญ่
เฉินชิงหลิวเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง คีบเม็ดหมากวางบนกระดาน เล่นหมากล้อมเพียงล าพัง
เจิ้งจวีจงเผยกาย เอ่ยเรียก “อาจารย์”
“มิกล้ารับ”
เฉินชิงหลิวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “กลัวว่าจะบั่นทอนอายุ”
หันเชี่ยวเซ่อเคยชินกับเรื่องแบบนี้มานานมากแล้ว
ปีนั้นอาจารย์กับศิษย์พี่ก็อยู่ด้วยกันน้อย แยกจากกันมาก แต่ขอ แค่ได้เจอหน้ากันก็มักจะเป็ นภาพเหตุการณ์เช่นนี้เสมอ
จากลากันนานสามพันปี ไม่ง่ายเลยกว่าที่อาจารย์และลูกศิษย์จะ ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ผลคือก็ยังไม่ทาให้คนรู ้สึกประหลาดใจ อยู่ดี
หันเชี่ยวเซ่อไม่รู ้ถึงความสัมพันธ ์ระหว่างอาจารย์กับนักพรตตา บอดของแจกันสมบัติทวีป ส่วนสารถีป๋ ายหมางของอุตรกุรุทวีปหรือ เฉินชิงหลิวลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออะไรนั่นก็ยิ่งไม่รู ้แล้ว
รากฐานมหามรรคาของอาจารย์ไม่ได้อยู่ในเก้าทวีปของไพศาล แต่มาจากพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งของหลิวเสียทวีป
ตอนที่หันเชี่ยวเซ่อยังเป็ นเด็กสาว ครั้งแรกที่ได้พบอาจารย์ ตอน นั้นข้างกายของอาจารย์ยังมีสาวใช ้คนหนึ่งติดตามอยู่ นางพกหอก สั้นติดตัวเล่มหนึ่ง มีชื่อว่าเซี่ยสือจี
ปีนั้นความทรงจาแรกที่หันเชี่ยวเซ่อมีต่อสตรีเรือนกายกายาผู้ นั้นก็คือสตรีผู้นี้ช่างสูงเหลือเกิน เรือนกายก็ใหญ่โตยิ่งนัก!
แต่ไม่รู ้ว่าเหตุใด เซี่ยสือจีถึงได้เรียกตัวเองว่าสาวใช ้ด้วยความ ภาคภูมิใจ แต่อาจารย์กลับเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิง
ภายหลังอาจารย์รับเจ้าตัวก่อเรื่องหลิ่วเต้าฉุนมาเป็ นลูกศิษย์คน เล็ก เซี่ยสือจีเองก็รักใคร่เอ็นดูหลิ่วเต้าฉุนมาก ยังเคยมอบชุดคลุม อาคมสีชมพูหนึ่งตัวและหอแก้วใสหลังหนึ่งให้กับเขา
ปีนั้นหันเชี่ยวเซ่อก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ สตรีแซ่เซี่ยผู้นั้น ไฉนถึงได้ โปรดปรานหลิ่วเต้าฉุนนักหนา
ภายหลังถามศิษย์พี่เจิ้งจวีจงถึงได้รู ้คาตอบ ที่แท้ก็คือ “คนโง่มอง คนโง่ มักจะรู ้สึกสนิทสนมใกล้ชิดกันมากเป็ นพิเศษ
แต่หันเชี่ยวเซ่อก็เกิดคาถามขึ้นมาอีก เพราะนางสัมผัสได้ว่าอัน ที่จริงศิษย์พี่เจิ้งก็สนิทสนมกับเซี่ยสือจีมาก ถึงขั้นที่ว่ายังเหมือนจะ สนิทสนมกว่าเฉินชิงหลิวผู้เป็ นอาจารย์เสียอีก
เจิ้งจวีจงบอกว่าหลิ่วเต้าฉุนคือคนฉลาดครึ่งๆ กลางๆ ที่ชอบ แกล้งโง่ ถือเป็ นคนโง่จริงๆ คนหนึ่ง ส่วนเซียสือจีคือคนที่ทาอะไรไม่โง แต่กลับยินดีที่จะเป็ นคนโง่อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเป็ นคนฉลาดจริงๆ