กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1059.5 นครเดียวดายท่ามกลางเมฆหลากสี
เฉินชิงหลิวโยนเม็ดหมากที่กาไว้ในฝ่ ามือทิ้งไปบนกระดาน หมาก เงยหน้าถามว่า “รู ้หรือไม่ว่าทาไมปีนั้นข้าถึงไม่ยอมสอนเวท กระบี่ให้กับเจ้า?”
“หากอาจารย์ยินดีบอกย่อมดีที่สุด”
ความนัยนอกเหนือจากประโยคนี้ของเจิ้งจวีจงแน่นอนว่าเขาที่ เป็ นลูกศิษย์รู ้ค าตอบมานานแล้ว แต่หากอาจารย์ท่านพยายามหา เรื่องชวนคุย เขาที่เป็ นลูกศิษย์ก็จะอดทนรับฟังไปก็แล้วกัน
หากจะบอกว่าลูกศิษย์ใหญ่คนนี้มีจุดใดที่ทาได้ไม่ถูกต้อง ไม่ดี ก็ ไม่มีเลยจริงๆ
ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้า พูดถึงแค่เรื่องที่ภูเขาต้นไม้เหล็ก กวอ โอ่วทิงพยายามจะละเมิดสัญญา ก็เป็ นเจิ้งจวีจงที่ขึ้นเขาไปแทน อาจารย์อย่างเขา
นครจักรพรรดิขาวสามารถตั้งตระหง่านไม่ล้มลงอยู่ในทวีปแดน เทพแผ่นดินกลางเจิ้งจวีจงผู้เป็ นเจ้านครได้รับการยอมรับว่าเป็ น บุคคลอันดับหนึ่ง คือยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารในใต้หล้า
เมื่อก่อนนอกจากใต้หล้าไพศาลแล้ว บางทีใต้หล้ามืดสลัวและใต้ หล้าเปลี่ยวร ้างก็อาจจะไม่ยอมรับ แต่ทุกวันนี้กลับต้องฝืนใจยอมรับ ในความจริงข้อนี้
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว ช่าง…แข็งแกร่งจนยากจะ อธิบายได้จริงๆ
แม้กระทั่งซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้น ตอนที่ดื่มเหล้าอยู่กับเฉินชิงหลิวใน สวนกงเต๋อก็ยังเอ่ยว่าความสามารถในการรับลูกศิษย์ของพวกเรา สองพี่น้อง ไม่มีอะไรจะให้พูดได้จริงๆ
แต่หากจะบอกว่าลูกศิษย์เปิดภูเขาอย่างเจิ้งจวีจงนั้นดีแค่ไหน เป็ นที่ชื่นชอบของอาจารย์อย่างมาก ก็ขอโทษด้วย เฉินชิงหลิวชอบ เขาไม่ลงจริงๆ
มารดามันเถอะ ไอ้หมอนี่ฉลาดเกินไปจริงๆ
จาได้ว่าปีนั้นตอนที่เจิ้งจวีจงเพิ่งจะเริ่มฝึ กตนก็ชอบเล่นหมาก ล้อมแล้ว
เฉินชิงหลิวรู ้สึกว่านี่ออกจะดูไม่เอาการเอางานเกินไป ผู้ฝึ ก ลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง จะมีเวลาว่างนี้หรือ? แล้วจะให้ อาจารย์วางใจสอนกระบี่แก่เจ้าได้อย่างไร?
เขาจึงเล่นการละเล่นอย่างหนึ่งกับลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาคนนี้ เดาตัวหมาก เดาว่าเป็ นหมากขาวหรือหมากด า
ผลคือเดาติดต่อกันสามสิบหกครั้ง เจิ้งจวีจงกลับเดาสีของเม็ด หมากได้ถูกต้องทุกครั้ง!
เด็กหนุ่มไม่มองมือข้างที่ซ่อนเม็ดหมากของอาจารย์เลยแม้แต่ น้อย ตั้งแต่ต้นจนจบเขาแค่จ้องไปที่ดวงตาของเฉินชิงหลิวเท่านั้น
ตอนนั้นมองดูเหมือนเฉินชิงหลิวมีสีหน้าเป็ นปกติ มองลูกศิษย์ที่ นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะซึ่งใบหน้าซีดขาว แต่ดวงตากลับเป็ น ประกายเจิดจ้า เฉินชิงหลิวก็เริ่มพึมพาอยู่ในใจ คนที่เป็ นอาจารย์ สรุปแล้วเหยียบโชคดีขี้หมาเก็บสมบัติมาได้หรือว่าออกจากบ้าน ไม่ได้เปิด ปฏิทินเหลืองถึงได้มาเจอตัวประหลาดเข้ากันแน่?
“ในกลุ่มของสัตว์เดรัจฉานเฒ่าของเปลี่ยวร ้างที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมา เจ้าคิดว่าใครมีโอกกาสผสานมรรคาเป็ นขอบเขตสิบสี่ได้มากที่สุด? อืม เว้นจากเสี่ยวโม่แห่งภูเขาลั่วพั่วกับป๋ ายจิ่งที่อยู่ในรูปโฉมของเด็ก สาวที่ต่างก็ดีเยี่ยม แม้จะไม่ใช่คน แต่กลับมีกลิ่นอายของคน ไม่ เหมือนกับคนบางคนในบางสถานที่ที่ทั้งๆ ที่เป็ นคน แต่กลับมีกลิ่น อายเซียนมากเกินไป แม้กระทั่งพื้นที่ประกอบพิธีกรรม หัวไม่ถึงฟ้ า เท้าไม่สัมผัสดิน เหอะ ไม่บนไม่ล่าง อยู่ตรงกลางพอดี”
เฉินชิงหลิวนั่งที่ม้านั่งหิน มองไปยังลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนที่ ยืนอยู่ ยิ้มเอ่ยว่า “เชี่ยวเซ่อ อย่ามัวอึ้งอยู่สิ นั่งลงคุยกัน”
อันที่จริงสองข้างของโต๊ะก็มีมานั่งหินอยู่สองตัว หันเชี่ยวเชื่อ เหลือบมองศิษย์พี่ เจิ้งจวีจงยิ้มให้พลางพยักหน้า นางถึงได้กล้านั่งลง
หากอยู่ที่อื่นก็คงไม่เท่าไร หันเชี่ยวเซ่อคงไม่ถึงขั้นระมัดระวัง สารวมตนขนาดนี้ เพราะถึงอย่างไรคนที่มานั่งที่นี่ โดยทั่วไปแล้วก็ ต้องเล่นหมากล้อมกับศิษย์พี่เสมอ
เจิ้งจวีจงไม่สนใจคาพูดเสียดสีของอาจารย์ เพียงเอ่ยว่า “นามแฝงว่าหวังโหยวอู้ฉายา “ซานจวิน” ร่างจริงของมันกลับไม่ใช่ ซานจวินที่ใต้หล้าไพศาลของพวกเราให้การยอมรับ”
ระหว่างที่พูดคุยกัน ด้านหนึ่งของโต๊ะหมากล้อมที่อาจารย์และ ศิษย์นั่งอยู่ก็มีนักพรตอายุมากสวมกวานไม้ไผ่ สะพายกระบี่ขี่ลาคน หนึ่งปรากฏตัว
เฉินชิงหลิวขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ป๋ ายจิ่งหรือ?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “นางอยู่ในอันดับที่สาม เป็ นผู้ฝึ กกระบี่เต็มตัว การผสานมรรคาจึงค่อนข้างยาก ต่อให้เส้นทางที่เดินอยู่ใต้ฝ่ าเท้าจะ เป็ นเส้นทางที่ถูกต้อง มองดูเหมือนว่ามีแค่เส้นบางๆ กั้นขวางอยู่ แต่ แท้จริงแล้วกลับยังค่อนข้างห่างไกล”
“โอกาสในการผสานมรรคาของเผ่าปี ศาจบรรพกาลที่ ครอบครองฉายา “ซานจวิน โดยมิชอบตนนี้อยู่ที่ประโยคว่า “การ ปกครองที่กดขี่โหดร ้ายยิ่งกว่าพยัคฆ์” ของโลกยุคหลังเป็ นเหตุให้ เมื่อผ่านเวลามาหมื่นปี ยิ่งบนเส้นทางของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างมีความ โหดเหี้ยมมากเท่าไร ตบะของมันก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น และมันก็จะได้ นั่งเสวยสุข”
“การที่มันได้ครอบครองความได้เปรียบก่อนใครก็เพราะการ จัดการของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่และของโจวมี่ในเวลานั้น ได้ บงการให้คนของครึ่งทวีปกรูกันไปที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ก็เพื่อ เป็ นการปูพื้นให้กับการผสานมรรคาของมัน เชื่อว่าตอนนั้นหวังโหยว อู้น่าจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ว่าภายหลังก็แค่แกล้งทาเป็ นหลับเท่านั้น การคาดเดาของข้าขาดแค่ครึ่งก้าว หวังโหยวอู้ที่เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้า ไปข้างใน ส่วนอีกครึ่งเท้าก็เหยียบอยู่บนธรณีประตูแล้ว สามารถ เลื่อนขั้นเป็ นขอบเขตสิบสี่ได้แล้ว แต่กลับปิดบังซ่อนเร ้นได้อย่างลึก ล้าดังนั้นรอกระทั่งสงครามของเปลี่ยวร ้างดาเนินไปอย่างดุเดือด รุนแรง ใช ้เวลาอีกแค่ไม่กี่ปีหวังโหยวอู้ก็จะเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ได้ ส าเร็จ”
ได้ยินว่าโลกมนุษย์จะมีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง อย่างที่ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น เฉินชิงหลิวกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่ น้อย กลับกันยังแค่เหลือบมองม่านฟ้ าแวบเดียวเท่านั้น
ในบรรดาผู้ฝึ กตนขอบเขตสิบสี่จะไม่มีการแบ่งสูงต่ากันได้ อย่างไร?
บางทีเจิ้งจวีจงอาจเป็ นผู้ฝึกตนเพียงผู้เดียวในโลกมนุษย์ที่กล้า เรียกชื่อ “โจวมี่” ออกมาตรงๆ อย่างไม่ใส่ใจอะไร
ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่คนอื่นๆ ที่มีจานวนเพียงหยิบมือ ไม่ได้จะบอก ว่าศักยภาพของพวกเขาต้องเทียบกับเจิ้งจวีจงไม่ได้แน่นอน เพียงแต่
ว่าติดขัดที่สถานะของพวกเขาท าให้ไม่เหมาะที่จะทาเช่นนี้ สรุปก็คือ ต่างคนต่างก็มีความกังวลแตกต่างกันออกไป
เฉินชิงหลิวถาม “คนที่อยู่อันดับที่สองก็คืออู๋หมิงซื่อที่จงใจหลบ เลี่ยงป๋ ายเจ๋อหรือ?”
เจิ้งจวีจงส่ายหน้า “คือคนที่ใช ้นามแฝงว่าหลีโก้ว”
อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มที่มีลูกตาดาสองชั้น ก่อนหน้านี้เคย เผยกายที่นอกฟ้ า
เฉินชิงหลิวขมวดคิ้ว “เส้นทางแห่งการผสานมรรคาที่ต้องใช ้การ หลอมวัตถุ ไม่ใช่ว่าถูกคนชิงเดินตัดหน้าไปแล้วหรอกหรือ?”
อู๋โจวฉายา “ไท่หยาง” ของใต้หล้ามืดสลัวชิงเดินน าไปก่อนแล้ว หนึ่งก้าว
ตามหลักแล้วเส้นทางการผสานมรรคาสู่ขอบเขตสิบสี่ทุกเส้น ของผู้ฝึกตนใหญ่ล้วนเป็ นสะพานไม้ท่อนเดียวทั้งหมด
ก็เหมือนผู้ฝึกกระบี่เสี่ยวโม่ที่ทุกอย่างที่ทามาล้วนสูญเปล่าเพียง แค่เพราะนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูได้เดินไปบนเส้นทางก่อน แล้ว
เจิ้งจวีจงอธิบาย “หลีโก้วเคยเลือกเส้นทางสองเส้นในเวลา เดียวกัน เส้นหนึ่งคือการหลอมวัตถุ อีกเส้นหนึ่งคือการกินตารา มหา มรรคาจ าแลงออกมาเป็ นปลาเงิน (silverfish หรือแมลงสามง่าม) ตัว
หนึ่ง สร ้างนครแห่งตาราขึ้นมา พยายามที่จะทาตรงข้ามกับแนวทาง ปกติ เรียกตัวเองเป็ นอ๋องอยู่ทางทิศเหนือ หลังจากที่โจวมี่เดินขึ้น สวรรค์ไปแล้ว เท่ากับว่าได้จงใจทิ้งสะพานไม้ที่แทบจะเดินขึ้นสวรรค์ ได้ไว้ให้กับหลีโก้ว ดังนั้นหลีโก้วจึงอาศัยสิ่งนี้ในการผสานมรรคา เรื่องไม่คาดฝันมีไม่มาก แทบจะเป็ นข้อสรุปที่แน่นอนแล้ว
หันเชี่ยวเซ่อฟังจนหนังตากระตุก
เฉินชิงหลิวมีสีหน้าเยือกเย็น “หากข้าเจอกับหลีโก้ว เจ้าคิดว่า อย่างไร?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “เขาไม่กล้าที่จะลงมือรุนแรงแบบเอาถึงตายด้วย ซ้า ดังนั้นหากเจอกับอาจารย์ก็มีแต่จะหลบเลี่ยงประกายเฉียบคมของ ท่าน”
เฉินชิงหลิวหัวเราะอย่างฉุนๆ
หันเชี่ยวเซ่อกลั้นขาอย่างอดไม่อยู่ อารมณ์ไม่ได้ตึงเครียดถึง เพียงนั้นอีกแล้ว
เฉินชิงหลิวหัวเราะร่วน “ถ้าอย่างนั้นข้าที่เป็ นอาจารย์ไม่ควรต้อง ขอบคุณลูกศิษย์อย่างเจ้าดีๆ หรอกหรือ?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ปีนั้นอาจารย์ไม่ได้ เปลี่ยนสีของเม็ดหมากในมือกะทันหัน”
เฉินชิงหลิวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “อันที่จริงตอนที่กาหมาก เม็ดที่สิบแปด ข้าเคยคิดอยากจะหลอกเจ้า แต่เจ้าโง่ใหญ่ผู้นั้นกลับ ใช ้เสียงในใจขัดขวางไว้สองครั้ง”
เจิ้งจวีจงกล่าว “ในเรื่องขั้นตอนข้ายอมรับ ผลลัพธ ์ข้าก็ยอมรับ ดังนั้นข้าจึงรู ้สึกซาบซึ้งใจต่ออาจารย์และนางมาโดยตลอด”
หากมีการเดาเม็ดหมากครั้งที่สามสิบเจ็ด เจิ้งจวีจงก็จะยังเดาถูก แต่กลับมีความเป็ นไปได้ว่าจะได้รับบาดเจ็บถึงรากฐานมหามรรคา
ดังนั้นวันนี้เฉินชิงหลิวถึงได้พูดว่าขอบคุณที่เชี่ยสือจีเคย ขัดขวางเขาสองครั้ง
เจิ้งจวีจงเอ่ยต่ออีกว่า “หวังโหยวอู้ หลีโก้ว ต่อมาจึงจะเป็ นป๋ ายจิ่ง และอู๋หมิงชื่อที่มีความเป็ นไปได้อย่างแน่นอน แต่นอกจากพวกเขา แล้ว อันที่จริงยังมีเฟยเฟยอีกคนที่โอกาสในการผสานมรรคาจะเดิน นาอยู่เบื้องหน้าป๋ ายจิ่ง เฟยเฟยสามารถผสานมรรคาได้ ภายนอก เป็ นเพราะได้รับคาชี้แนะจากป๋ ายเจ๋อ แต่ในความเป็ นจริงแล้วก็ถือว่า ยังเดินบนเส้นทางสายเก่าที่โจวมี่วางแผนไว้ให้”
เฉินชิงหลิวยิ้มเอ่ย “หากโจวมี่ร ้ายกาจอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ ไย ต้องเดินขึ้นฟ้ า เผ่นหนีไปแล้วก็ได้แต่เบิกตากว้างรอคอยให้บรรพ จารย์สามลัทธิผสานมรรคา ก่อนจะค่อยไปถามมรรคากับเขาเล่า?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “มหาสมุทรความรู ้โจวมี่ ถึงอย่างไรปีนั้นก็มีแค่ เขาคนเดียว”
เฉินชิงหลิวถาม “แล้วถ้าข้างกายโจวมี่มีเจ้ากับซิ่วหูอยู่ด้วยล่ะ?”
เจิ้งจวีจงยิ้มเอ่ย “ทางที่ดีที่สุดไม่ควรตั้งสมมติฐานให้กับเรื่องราว ในโลกมนุษย์ อย่าได้พูดค าว่าถ้าหาก”
เฉินชิงหลิวจุ๊ปากเอ่ย “อาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์แล้วสินะ”
เจิ้งจวีจงเอามือข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะหิน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์”
เฉินชิงหลิวรอคอยประโยคถัดไปเงียบๆ แต่เจิ้งจวีจงกลับไม่ได้ พูดต่อ เฉินชิงหลิวจึงด่ายิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กหน้าเหม็น หลอกข้าเล่น หรือไร?”
ใบหน้าเจิ้งจวีจงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ปีนั้นอาจารย์สั่งสอนศิษย์ไว้ มาก มีประโยคหนึ่งที่ศิษย์จดจาได้ขึ้นใจเสมอมา”
เฉินชิงหลิวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อายุมากแล้ว หูตาฝ้ าฝาง สมองไม่พอใช ้แล้ว อย่าให้ข้าเดาเลย มีลมก็รีบผายออกมาซะ!”
เจิ้งจวีจงกล่าว “อาจารย์เคยเอ่ยประโยคหนึ่งกับข้าว่า ‘จวีจง อาจารย์มีแค่เจ้าเป็ นลูกศิษย์คนเดียว วันหน้าต้องมีอนาคตก้าวหน้า ให้อาจารย์มีความสุขสักหน่อย
เฉินชิงหลิวเอ่ยอย่างสงสัย “ข้าเคยพูดประโยคเอาจริงเอาจังแบบ นี้ด้วยหรือ?”
เจิ้งจวีจงยิ้มเอ่ย “มีครั้งหนึ่งดื่มเหล้าเมา เป็ นคาพูดในใจจาก ความเมาของอาจารย์
เฉินชิงหลิวนวดคลึงปลายคาง พึมพ าว่า “มารดามันเถอะ โลก มนุษย์มีเจิ้งจวีจงผู้นาสายมารเพิ่มมาคนหนึ่ง แต่ดันมาโทษข้าเฉินชิง หลิวนี่นะ?”
เจิ้งจวีจงยกมือขึ้น โบกชายแขนเสื้อ ชี้ไปยังจุดหนึ่งของใบถง ทวีป คือตาแหน่งที่อยู่ของหลี่ซีเซิ่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอทุกท่านชมการแลกหมากครั้งนี้เถิด ช่วยไพศาลพิฆาตมืดสลัว”
เฉินชิงหลิวอึ้งตะลึง แล้วพลันสบถด่าดังลั่น “เจ้าเด็กหน้าเหม็น มาพูดเรื่องนี้กับข้าทาไม เก็บไว้ในใจก็พอแล้ว นี่ต่างจากการหลอก หลวงบรรพจารย์ลบล้างบรรพชนตรงไหน…”
กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย
และเวลานี้เอง นักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เผยกายออกมาจาก ความว่างเปล่า ยื่นมือมากดลงบนแขนของเจิ้งจวีจงเบาๆ “เป็ น บัณฑิต อย่าได้มีไฟโทสะรุนแรงขนาดนี้”
ข้างกายนักพรตเด็กหนุ่มยังมีนักพรตสะพายกระบี่เรือนกายสูง ใหญ่ยืนอยู่ด้วย
มรรคาจารย์เต๋ากับอวี๋โต้วลูกศิษย์คนรอง
คิดไม่ถึงว่าเพียงไม่นานก็มีอาจารย์ผู้เฒ่าอีกคนโผล่มา ยื่นมือ มาจับประคองแขนของเจิ้งจวีจงเอาไว้ “ยกขึ้น ยกขึ้น ยกเอาไว้ บัณฑิตอย่างพวกเราท าไมจะพูดจาห้าวเหิมไม่ได้เล่า”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็มาแล้วเหมือนกัน ข้างกายยังมีหลี่เซิ่ง ตามมาด้วย
รวมไปถึงซิ่วไฉเฒ่าที่ขมวดคิ้วมุ่น
เฉินชิงหลิวหันไปขยิบตาให้ซิ่วไฉเฒ่า ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดไม่พูดไม่จา ซิ่วไฉเฒ่า ต้องอาศัยเจ้าให้ช่วยไกล่เกลี่ยแล้วนะ
ข้าอีกแล้วหรือ? ลาดันโม่ยังต้องมีหญ้าให้แทะเลยนะ แล้ว นับประสาอะไรกับเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้ ข้าแขนขาเล็กบางจะมามี เอี่ยวด้วยได้หรือ? พี่ชายท่านไม่สงสารน้องชายบ้างเลยหรือ?
เอาเป็ นว่าหากลูกศิษย์ใหญ่คนนี้ของข้าเกิดปัญหา ข้าก็จะไปหา ลูกศิษย์คนเล็กของเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่วแล้วกัน
ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองดูนะ?
ให้เร็วเลย!
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เขายื่นมือไปกามือของเจิ้งจวีจงเขย่าแรงๆ อยู่นานแล้ว “น้องเจิ้ง มา พวกเรามาเล่นหมากด้วยกันสักกระดาน พูดไปแล้วก็กลัวว่าจะท าให้เจ้าตกใจ หลายปี มานี้ทักษะการเล่น
หมากล้อมของพี่ใหญ่อย่างข้าพัฒนาขึ้นอย่างพรวดพราด วันนี้ไม่ เหมือนในอดีตแล้ว ไม่ต้องปล่อยไก่อีกแล้ว จะต้องเอาชนะเจ้าได้ แน่นอน…”
ถูกซิ่วไฉเฒ่าก่อกวนเช่นนี้ มรรคาจารย์เต๋าและปรมาจารย์มหา ปราชญ์จึงดึงมือกลับมาแทบจะในเวลาเดียวกัน
หลี่เพิ่งยิ้มเอ่ย “ไม่จาเป็ นต้องแลกหมาก”
อวี่โต้วกลับถามว่า “เจ้าอยากแลกหมาก?” “เจ้าไม่ยอมรึ?”
เจิ้งจวีจงย้อนถาม “เชื่อหรือไม่ว่าแม้แต่ลู่เฉิน ข้าก็จะแลกไป พร ้อมกันด้วย”
พวกเราสามคน ใครก็อย่าหวังว่าจะเป็ นขอบเขตสิบห้าเลย
มีเพียงหันเชี่ยวเซ่อที่ยังนั่งเหม่ออยู่ที่เดิม ตัวสั่นเทิ้ม จิตแห่งมหา มรรคา…ยังจะมีจิตแห่งมหามรรคาอะไรให้พูดถึงอีก
อะไรที่เรียกว่าเทพเซียนตีกันอย่างแท้จริง ภาพเหตุการณ์เบื้อง หน้านี้ก็คือใช่เลย
นี่ไม่ใช่การทิ้งถ้อยคาอาฆาตระหว่างเด็กหนุ่มชาวบ้านที่พบเจอ กันบนทางแคบอะไรแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าร ้องเอ๊ะ “น้องเจิ้ง ทาไมถึงไปทะเลาะกับคนอื่นอีกแล้ว เล่า วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือนะ หากขยับมือได้ก็อย่าขยับปาก…
แน่นอนว่าไม่ควรจะทะเลาะหรือตีกับใครทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไรคน เขาก็เป็ นผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริงนะ ต่างก็พูดกันว่าชื่อเสียงของคนก็ เหมือนเงาของต้นไม้ มีเพียงตั้งชื่อผิด แต่ไม่มีใครตั้งฉายาผิด นี่จะไม่ ถือว่าเป็ นชื่อเสียงปลอมหรอกหรือ? อีกอย่างขอบเขตของเจ้าลัทธิลู่ก็ สูงมากเลยนะ! ส่วนหลี่ซีเซิ่งนั้นก็ช่างเถิดถึงอย่างไรทุกวันนี้ก็เป็ นคน กันเองแล้ว”
คงเป็ นเพราะปรมาจารย์มหาปราชญ์ทนฟังต่อไปไม่ไหวจึง กระแอมหนึ่งที ถือเป็ นการเตือนจิ๋วไฉเฒ่าว่าอย่ามายุแยงกระพือไฟ อยู่ที่นี่
ซิ่วไฉเฒ่าร ้องโอดครวญอยู่ในใจ อย่างข้านี่เรียกว่าทาตรงกัน ข้ามกับวิธีปกติทั่วไป ไม่ทาแบบนี้แล้วเจิ้งจวีจงจะฟังเข้าหูได้อย่างไร?
อันที่จริงหลี่ซีเซิ่งสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ของที่แห่งนี้แล้ว จึง อยากจะมาที่นครจักรพรรดิขาว อย่างมากก็เล่นหมากล้อมกับเจิ้งจวี จงล่วงหน้าก่อนตาหนึ่ง
หากไม่เป็ นเพราะอยากจะปกป้ องมรรคาให้กับเป่าผิงน้อย หมาก กระดานนี้จะเล่นช ้าหรือเล่นเร็ว อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
เพียงแต่ว่าหลี่ซีเซิ่งกลับถูกหลี่เซิ่งขัดขวางไว้ หลี่เซิ่งบอกแค่ให้ เขาเตรียมการส าหรับการโต้วาทีของสามลัทธิให้ดีๆ อย่างอื่นไม่ต้อง สนใจแล้ว
มรรคาจารย์เต๋าเงยหน้ามองไปยังตัวอักษรพวกนั้น
เจิ้งจวีจงคือผู้มีความสามารถที่หมื่นปี ก็ยากจะพานพบอย่าง แท้จริง ไม่จ าเป็ นต้องชิงน าหน้าก่อน
มรรคาจารย์เต๋าเอ่ย “หมากสามกระดานนั้น ควรจะเล่นอย่างไรก็ เล่นไปอย่างนั้น”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พยักหน้าบอกว่าใช่
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้าเอ่ย “สามกระดานดี ชนะสองแพ้หนึ่งก็จะ ค่อนข้างยุติธรรมแล้วเรื่องอย่างการเล่นหมากล้อมนี้ วันนั้นอารมณ์ดี หรือไม่ มีข้าวให้กินอิ่มหรือไม่ ดื่มเหล้าดีหรือว่าดื่มเหล้ารสเลว ความสามารถในการเล่นหมากล้อมก็จะขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน สามตา ก็ดีมากเลยล่ะ เล่นเสร็จตาหนึ่ง ชนะไม่ลาพอง แพ้ไม่ท้อถอย จะได้ เตรียมการส าหรับหมากกระดานถัดไปให้ดี”
เฉินชิงหลิวยิ้มเอ่ย “ซิ่วไฉเฒ่าเข้าใจการเล่นหมากล้อมดีมาก เลยนะ”
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงพยักหน้า “ความเข้าใจก็ค่อนข้างจะมีความโดด เด่นด้วย”
อวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองที่สะพายกระบี่มาเพียงแค่มองไกลๆ ไปยัง ทิศทางที่ตั้งของภูเขาห้อยหัวในอดีต
มรรคาจารย์เต๋าใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจิ้งจวีจง เหมือน อย่างที่เจ้าเห็น”
ในเมื่อในที่สุดก็ได้พบเจอหน้ากันแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าสมใจ ปรารถนาแล้ว
ในพื้นที่ลับของนครจักรพรรดิขาวมี “เจิ้งจวีจง” คนที่สามโผล่ ออกมา สวมชุดคลุมเต๋าสวมกวานเต๋า ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอาย เต๋า เขาก้มหัวคารวะตามขนบของลัทธิเต๋าต่อมรรคาจารย์เต๋าที่อยู่ใน ฟ้ าดินด้านนอก
มรรคาจารย์เต๋าก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว มายังพื้นที่ลับแห่งนี้ ยิ้ม บางๆ เอ่ยว่า “ล้วนไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ กลับเป็ นว่าคนที่มองสถานการณ์ อยู่ข้างนอกจะเห็นได้ชัดเจนกว่า ถ้าอย่างนั้นก็สืบสาวเบาะแสไปกับ ผินเต้า พูดถึงเรื่อง “วิถีกระบี่กับหนึ่ง” สักสองสามประโยคก็แล้วกัน”
คิดไม่ถึงว่าเจิ้งจวีจงจะยิ้มเอ่ยว่า “ข้ากลับอยากรู ้มากกว่าว่าอะไร คือความตะลึงพรึงเพริดขวัญหายของ “ใต้หล้า” ในครั้งแรก”
มรรคาจารย์เต๋ากล่าว “ชื่อเสียงสามารถทาให้แข็งแกร่งได้ แต่ เต๋ามิอาจอธิบายได้ด้วยค าพูด”