กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1060.1 จุดที่จ้องมองคือจุดที่หลงใหลที่สุด
ตรอกอี้ฉือมีทั้งลูกหลานที่มีอนาคตอย่างหยวนเจิ้งติ้ง กวนอี้ หรานที่สร ้างคุณูปการสร ้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูล แล้วก็มีคนที่ ไม่ได้สวมชุดขุนนาง ใช ้ชีวิตไปวันๆ อยู่ใต้ร่มเงาของบรรพบุรุษ แค่ ทางานแลกเงินเท่านั้น
วันนี้ระหว่างทางที่เฉาเกิงซินเดินกลับบ้านก็ได้เจอกับคุณชาย เจ้าชู้เสเพลที่อย่าว่าแต่จะแบกเสาคานใหญ่ให้กับตระกูลได้เลย ไม่รื้อ เสาบ้านก็ควรต้องจุดธูปขอบคุณแล้ว ส าหรับคนผู้นี้ทางตระกูลก็ ไม่ได้รู ้สึกผิดหวังสักเท่าไร เพราะถึงอย่างไรตรอกอี้ฉือและถนนฉือ เอ๋อร ์ก็มีลูกหลานขุนนางและลูกหลานเมล็ดพันธ ์แม่ทัพที่เป็ นเช่นนี้ อยู่ไม่น้อย ขอแค่เป็ นช่วงวันปีใหม่ เพื่อไม่ให้ขวางหูขวางตาผู้อาวุโส ก็อย่าได้เข้าไปใกล้ให้โดนด่าเลย ได้รับความทุกข์ในเดือนหนึ่งแค่ ไม่กี่วัน แต่กลับสามารถมีความสุขได้ตลอดทั้งปี รถม้าจอดลงช ้าๆ เพราะบุรุษได้ยินเสียงเตือนในใจจากสารถี บอกว่าวันนี้รองเจ้ากรม เฉาไม่ได้มาทางานในที่ว่าการ บุรุษรีบยื่นนิ้วขาวนวลออกมาเลิกมุม หนึ่งของผ้าม่านรถม้าขึ้น เขาเป็ นคนวัยเดียวกันกับเฉาฉิงหล่าง วันนี้ ในรถยังพาภูตจิ้งจอกที่สวมเสื้อผ้าหรูหรามาด้วยคนหนึ่ง นางบอกว่า อยากจะมาเดินเล่นที่ตรอกอี้ฉือในตานานแห่งนี้สักรอบ รถม้าทั่วไป หรือจะกล้าขับมาที่นี่ ต่อให้ไม่มีคาสั่งห้ามก็ไม่มีความกล้าพอที่จะมา เที่ยวชมตรอกแห่งนี้ บุรุษจึงพานางมาเปิดหูเปิดตา การกระทาเช่นนี้
ทดลองกี่ครั้งก็ยังไม่พลาด เทียบกับยาปลุกก าหนัดแล้วยังได้ผล มากกว่าเสียอีกบุรุษขยับไปที่หน้าต่างรถ ยื่นมือไปเลิกผ้าม่านที่ถัก ทอมาจากแคว้นไฉ่อีขึ้น มองรองเจ้ากรมเฉาที่เดินหิ้วน้าเต้าสีม่วงเดิน เล่นอยู่เพียงล าพัง เขาหันมาคุยโวกับสตรีก่อนว่าตัวเองสนิทกับรอง เจ้ากรมเฉาเพียงใด ทุกวันนี้รองเจ้ากรมเฉาที่อยู่ในราชสานักต้าหลี ของพวกเราสูงศักดิ์เพียงใด ตรอกอี้ฉือมีแค่สองช่วงเวลาคือช่วง ประชุมเช ้ากับยามตะวันรอนเท่านั้นที่จะมีรถม้าสวนขวักไขว่ ผู้คน เบียดเสียดแออัด เวลานี้ค่อนข้างเงียบสงบ บุรุษยื่นศีรษะออกไปนอก หน้าต่างรถ เห็นว่ารอบด้านไม่มีใครก็ตะโกนเสียงดังด้วยรอยยิ้มเรียก พี่ใหญ่เฉา บอกว่าหากมีเวลาว่างก็ไปดื่มเหล้าที่เหลาสุราบ้านข้านะ เพิ่งจะได้เหล้าหมักบนภูเขามาชุดใหม่ อันที่จริงรสชาติไม่ได้ด้อยไป กว่าเหล้าเซียนฉางชุนสักเท่าใดเลย เพียงแต่ว่าชื่อเสียงด้อยกว่า เล็กน้อย
รองเจ้ากรมเฉาที่เดินอยู่ใต้ร่มต้นอู๋ถงหยุดเดิน หันหน้าไปมอง เห็นว่าตรงหน้าต่างรถราวกับใครเอาหัวหมูมาแขวนไว้
รองเจ้ากรมเฉาจึงผินตัวเบี่ยงข้าง รอให้รถม้าขยับเข้ามาใกล้ ช ้าๆ ใช ้น้าเต้าบรรจุเหล้าเคาะที่หัวหมูนั้นเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยสัพยอก ว่า เจ้าอ้วนเหวย หลังจากพาน้องสะใภ้กลับบ้านเดิมไปเยี่ยมบิดา มารดา ในที่สุดก็ตัดใจกลับมาบ้านได้แล้วหรือ?
บุรุษร่างอ้วนแซ่เหวยเขินอาย ตนยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ เขา ไม่ได้คุยโวกับสตรีผู้นั้นจริงๆ เขากับเฉาเกิงซินเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก จนโต สนิทสนมกันอย่างมาก
ตอนที่เฉาเกิงซินเป็ นเด็กหนุ่มเคยขายของเล่นที่ไร ้สาระทั้งหลาย ก็ล้วนเป็ นเจ้าคนผู้นี้ที่คอยช่วยเหลืออยู่หน้าหลัง และทุกวันนี้ก็เป็ น คนดีเพียงคนเดียวที่เฉาเกิงซินไปกินเหล้าแล้วสามารถเชื่อเงินไว้ได้ โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยเร่งรัดให้ชาระหนี้
อีกทั้งบุรุษยังมีเป้ าหมายอยู่ข้อหนึ่ง ไม่ว่าเฉาเกิงซินจะเป็ นขุน นางอะไร ก็ไม่เคยขอให้เขาทาเรื่องให้ เจอหน้ากันก็แค่นัดหมายกัน ดื่มเหล้า พอไปดื่มเหล้าด้วยกันก็คุยกันแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ และเรื่อง น่าอายบางอย่าง
ใบหน้าของเฉาเกิงซินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีท่าทีว่าจะขยับเท้า ไปไหน ยืนอยู่ข้างรถคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กับเจ้าอ้วนไปเรื่อย ดู เหมือนว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา เด็กหนุ่มร่างอ้วนผิวขาวในอดีตก็ได้ กลายมาเป็ นผู้ใหญ่ที่ไว้หนวดแล้ว ความต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ อ้วนขึ้นอีกหลายเท่าตัว
คงเป็ นเพราะหาเงินไม่เก่งนัก บวกกับที่หลายปีมานี้ผู้อาวุโสใน ตระกูลก็ไม่ค่อยมีหน้ามีตาในวงการขุนนางมากนัก ค่อนข้างจะเดิน ลงเนินแล้ว ไม่มีใครเป็ นเสาคานหลักที่มีคุณสมบัติมากพอจะเข้าร่วม การประชุมเล็กมาหลายปีแล้ว เจ้าอ้วนเปิดร ้านเหล้าอยู่ที่ลาคลองชาง ผูแค่ร ้านเดียว เมื่อเทียบกับชาวบ้านทั่วไปแน่นอนว่าต้องถือว่ามี
รายได้เข้ามามากมายทุกวัน ทว่าอยู่ในตรอกอี้ฉือที่มีตระกูลชน ชั้นสูงตั้งเรียงรายกลับถือว่าอยู่ในระดับที่สูงก็ไม่ได้ต่าก็ไม่ถึง ใน บรรดาลูกหลานขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการยอมรับว่าไม่เป็ นโล้เป็ น พายของตรอกอี้ฉือก็ถือว่าอยู่ปลายแถว คนรุ่นหลังบางคนที่ขอแค่ ยอมไปท าการค้าทางทิศใต้ของลาน้าใหญ่ เมื่อหลายปีก่อนต่างก็ได้ ครอบครองเรือข้ามฟากตระกูลเซียนบนภูเขาล าสองล าแล้ว สรุปก็คือ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นเจ้าอ้วนตรงหน้าผู้นี้อยู่ในสายตา
และเวลานี้เองก็มีรถม้าอีกหลายคันเคลื่อนผ่านที่แห่งนี้ เห็นได้ ชัดว่ามองเห็นเงาร่างของรองเจ้ากรมเฉาแล้วจึงพากันหยุดรถ คน หนุ่มคนหนึ่งที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์เลิกผ้าม่านขึ้น ยิ้ม ทักทายรองเจ้ากรมเฉา คนในตระกูลของทั้งสองฝ่ ายคบหากันมา หลายรุ่น ทั้งยังเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน ดังนั้นคนหนุ่มจึงเรียก ใต้เท้ารองเจ้ากรมขุนนางผู้นี้อย่างสนิทสนมว่าท่านอาเฉา
เฉาเกิงซินแสร ้งทาเป็ นไม่ได้ยิน คร ้านจะชายตามองด้วยซ้า เอา แต่คุยเล่นกับเจ้าอ้วนต่อไป ทิ้งเด็กรุ่นหลังของตรอกอี้ฉือที่ท ากิจการ ได้อย่างใหญ่โตไว้ตรงนั้น ฝ่ ายหลังจะทักทายก็ไม่ใช่ จะขอตัวลา กลับไปก็ไม่ได้ ต้องเสียหน้าครั้งใหญ่กับกลุ่มสหายของตัวเองเช่นนี้ คนหนุ่มไม่กล้าแสดงสีหน้าไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้ จากไปเงียบๆ อย่างรู ้กาลควร ได้แต่ค้อมเอวกึ่งๆ นั่งยองอยู่ตรง ผ้าม่านรถใกล้กับคนขับรถม้าอยู่อย่างนั้น เฉาเกิงซินได้รับเสียงในใจ จากเจ้าอ้วนบอกว่าพี่ใหญ่เฉาท่านอย่าทาให้ข้าต้องวางตัวลาบากสิ
รองเจ้ากรมเฉาถึงได้เหล่ตามองไปทางขบวนรถ เพียงแค่ผงกปลาย คาง บอกเป็ นนัยว่าให้รีบไสหัวไป ไปให้ไกลเดี๋ยวนี้
ชายหนุ่มชนชั้นสูงร่ารวยที่ในตระกูลมีคนหลายคนเป็ นขุนนาง ใหญ่ในพื้นที่ศักดินาของท้องถิ่นต้าหลีไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ถอย กลับเข้าไปในห้องโดยสารรถอย่างขลาดๆ ถึงขั้นที่ว่าไม่รู ้สึกขาย หน้าอะไรด้วยซ้า
ลูกหลานของตรอกอี้ฉือก็มีการแบ่งระดับเหมือนกัน เฉาเกิงซินที่ มีประสบการณ์ในวงการขุนนางมาอย่างโชกโชนคือระดับหนึ่งอย่าง ไม่ต้องสงสัย เป็ นเหตุให้รุ่นบิดาหรือแม้กระทั่งรุ่นปู่ ของคนหนุ่มผู้นั้น ทุกวันนี้หากพบเจอเฉาเกิงซินก็ยังสามารถนั่งพูดคุยกันอย่าง ทัดเทียมได้ ตอนที่คุยเล่นกันหากเฉาเกิงซินยกขานั่งไขว่ห้าง ไม่ได้ แปลว่าเขาไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากทางตระกูล แต่เป็ นคนเขา ทาตัวไม่ห่างเหิน ตอนที่แวะเวียนไปดื่มเหล้าตามบ้านต่างๆ ช่วงวันปี ใหม่ ยังคงเป็ นเพราะเฉาเกิงซินตั้งใจยึดหลักปฏิบัติของผู้เยาว์ ไม่ ยินดีนั่งในตาแหน่งประธานก็เท่านั้น
เจ้าอ้วนยิ้มเอ่ย “ไฉนต้องไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ ทาเอาข้าที่มอง อยู่ข้างๆ นึกอยากจะยกเท้าขึ้นมาแคะเล็บแล้ว”
เฉาเกิงชินรัดน้าเต้าบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวให้เรียบร ้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตะพาบน้อยกลุ่มนี้ ในกระเป๋ ามีเงินเหม็นๆ อยู่ไม่กี่ตาลึงก็หาง ชี้ขึ้นฟ้ าไปแล้ว กิจการของเหลาสุราใหญ่โตขนาดนั้นก็ยังไม่รู ้จัก เลี้ยงเหล้าท่านอาเฉาบ้าง ไม่เลี้ยงเหล้าก็ยังพอทาเนา แต่นี่ยังไม่รู ้จัก
เห็นแก่ที่ข้าเกือบจะมีสัญญาหมั้นหมายตอนยังเป็ นเด็กกับอาหญิง ของเขาชดใช ้หนี้ค่าเหล้าให้ข้า เพียงแค่เรียกขานง่ายๆ ว่าท่านอา เฉาตอนเจอกันบนถนนจะมีค่าได้สักกี่แดงกัน ใต้หล้านี้มีเรื่องดีขนาด นี้ด้วยหรือ?”
เจ้าอ้วนเอ่ยอย่างสงสัย “พี่ใหญ่เฉา วันนี้ไม่ใช่ว่าท่านเพิ่งจะใช ้
หนี้ค่าเหล้าหมดไปหรือไร?” เฉาเกิงซินนึกว่าตัวเองฟังผิดไป “อะไรนะ?” |
เจ้าอ้วนอธิบายให้ฟัง ที่แท้หนี้ค่าเหล้าทั้งหมดที่เฉาเกิงซินติดไว้ ที่ลาคลองชางผูซึ่งรวมถึงร ้านเหล้าของเขาเป็ นหนึ่งในนั้น ได้ถูกคน มือเติบต่างถิ่นคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเฉินคนดีช่วยใช ้หนี้แทนให้แล้ว
เฉาเกิงซินหน้าไม่เปลี่ยนสี เพียงแค่ใช ้ความคิดเล็กน้อยก็ยิ้มเอ่ย ว่า “คงเป็ นเพราะอยากจะตีสนิทกับหมวกขุนนางของรองเจ้ากรม อย่างข้ากระมัง ช่างเถิด จะถือเสียว่าไม่มีเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
เจ้าอ้วนกึ่งเชื่อกึ่งกังขา ใครจะใจกล้าถึงเพียงนี้? เห็นว่าขุนนาง ผู้รักษาความสงบของต้าหลีกินข้าวเปล่าๆ ไม่ท าอะไรเป็ นการเป็ นงาน หรือไร? หรืออย่างแย่ที่สุดก็ไม่รู ้จักหาพวกภาพอักษรของโบราณ ติด สินบนด้วยความประณีติสง่างามบ้างหรือไร? จะต้องทาเรื่องให้ ใหญ่โตเอิกเกริกเช่นนี้ ร ้านเหล้าของลาคลองชางผูใช่สถานที่ที่จะ เก็บซ่อนความลับได้หรือ? ปัญหาคือถือหัวหมูหาศาลส่งเดชก็ไม่ดีนะ
ใครบ้างที่ไม่รู ้ว่ารองเจ้ากรมเฉาของพวกเราขึ้นชื่อว่าดื่มเหล้ารับ ของขวัญไม่ท างาน บนโต๊ะพูดว่าได้ๆๆ นอกโต๊ะกลับยากๆๆ
เฉาเกิงซินโบกมือ “ไม่ขัดจังหวะการชมทัศนียภาพของเจ้าแล้ว วันหน้าหากเจอเรื่องอะไรจริงๆ ก็ไปหาหันลิ่วเอ๋อร ์ เขาสามารถช่วย พูดแทนได้ บนพื้นดินที่อยู่ใกล้กับล าคลองชางผูแถบนั้น ตาแหน่งขุน นางขั้นหกของเขาสามารถใช ้ได้เท่ากับขุนนางเมืองหลวงขั้นสาม ล้วนเป็ นพี่น้องคนกันเองที่เล่นกันมาตั้งแต่เล็กจนโต รู ้ไส้รู ้พุงกันดี เจ้าเองก็อย่าได้หน้าบางเกินไป จะพูดหลักการเหตุผลที่ไม่ใช่ หลักการเหตุผลกับเจ้า หากเจอกับเรื่องยากลาบาก เห็นพี่น้องเป็ นพี่ น้องมากเกินไปก็เท่ากับว่าไม่เห็นพี่น้องเป็ นพี่น้อง พูดถึงแค่เรื่องเมื่อ สิ้นปีของปีก่อน เรื่องใหญ่เท่าเมล็ดงาเท่าถั่วเขียว ได้ยินว่าคนบางคน น้อยใจจนขังตัวเองไว้ในห้องดื่มเหล้าเงียบๆ อยู่คนเดียว ดื่มจนน้ามูก น้าตาไหลพราก เจ้าทาประชดใครกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมที เจ้าก็เป็ นฝ่ ายมีเหตุผล ก็ไม่แปลกที่สุดท้ายเรื่องก็แดงไปถึงหูคนใน บ้านท าให้ท่านลุงเหวยรู ้สึกว่าเจ้าไม่รู ้จักแยกแยะ มิตรภาพใหม่ในใต้ หล้าล้วนได้มาจากการรบกวนคนอื่น แล้วก็จากไปเพราะหาโอกาส ในการช่วยคลี่คลายปัญหาให้กับผู้อื่น ข้าไม่รู ้เลยว่าเจ้ากลัวอะไร หากกลัวว่าจะรบกวนคนอื่นอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ แน่จริงก็อย่าไปหาเงิน จากความครึกครื้นที่เหลาสุราสิ”
เจ้าอ้วนเอ่ยอย่างอัดอั้น “บิดาข้าไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับข้าเลย”
เฉาเกิงซินหัวเราะอย่างฉุนๆ “สมองไปโตอยู่บนคอหมดแล้ว หัด ใช ้ให้มากหน่อย”
เจ้าอ้วนพยักหน้า “รู ้แล้ว วันหน้าข้าจะต้องไตร่ตรองให้มาก”
เฉาเกิงซินยิ้มเอ่ย “มีเวลาก็กลับบ้านบ่อยๆ จิบเหล้ากับพ่อเจ้า พลางพูดคุยเรื่องในใจกันไปด้วย อย่างมากก็แค่ยอมรับกับท่านลุง เหวยว่าตัวเจ้าเองไม่ได้ความก็พอแล้ว จะดีจะชั่วก็เป็ นลูกชายแท้ๆ ของเขา อีกอย่างหากเจ้ามีใจกตัญญูจริง เมื่อเทียบกับพวกเพื่อน บ้านที่ภายนอกกตัญญูภายในเนรคุณแล้วจะไม่ดีกว่าพวกเขามาก หรอกหรือ? อีกอย่างก็จ าไว้ว่ารีบแต่งภรรยาชะ เรื่องอะไรก็ไม่ต้องสน ทั้งนั้น แค่ให้ท่านลุงเหวยได้อุ้มหลานชายหลานสาวก็พอ ถึงเวลานั้น เจ้าก็ดูสิว่าพอเขามาเจอเจ้าจะมีรอยยิ้มให้หรือไม่?”
เจ้าอ้วนอิ่มรับหนึ่งที
เฉาเกิงซินพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สุดท้ายข้ายังต้องเตือนเจ้า สักค า”
เจ้าอ้วนกล่าว “พี่ใหญ่เฉาพูดมาได้เลย ข้าฟังอยู่”
เฉาเกิงซินหัวเราะชั่วร ้าย “ตรอกอี้ฉือของพวกเราขึ้นชื่อว่าถนน ราบเรียบ รถม้าของเจ้าอย่าได้โยกคลอนเสียล่ะ ตอนที่ท่านลุงเหวย เป็ นหนุ่มก็เคยพลาดก่อเรื่องน่าอายครั้งใหญ่มาแล้ว”
เจ้าอ้วนพลันเบิกตากว้าง “บิดาข้า?!”
เพราะถึงอย่างไรในความทรงจา บิดาที่เป็ นหลางจงกรมพิธีการ มานานหลายปีก็คือวิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่อ่านตาราอริยะปราชญ์มา จนเต็มอิ่ม นิสัยก็คร่าครีหัวโบราณจนน่าตกใจ
เฉาเกิงซินกล่าว “อย่าไปบอกเขานะว่าข้าเล่าให้ฟัง”
เจ้าอ้วนปล่อยผ้าม่านลง พอถูกรองเจ้ากรมเฉาเปิดโปงเช่นนี้ก็ดู เหมือนว่าเขาจะไม่ได้กลัวบิดามากขนาดนั้นอีกแล้ว
ทุกคนต่างก็ถูกคนรุ่นบิดาตีจนเติบใหญ่ แม้แต่เฉาเกิงซินเองก็ ไม่ใช่ข้อยกเว้น ความต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือชักเข็มขัดหยกออกมา หรือใช ้ฝักดาบ ใช ้แส้โบยหรือใช ้ไม้บรรทัดหากไปก่อเรื่องข้างนอกยัง พูดได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตะลุมบอนกันของคนวัยเดียวกัน พวกผู้ใหญ่แทบจะไม่ให้ความสนใจ หน้าเขียวจมูกบวมก็ยังไม่เป็ นไร แต่กลับมีอยู่สองเรื่องที่จะต้องโดนตีแน่นอน หนึ่งคืออาศัยชาติตระกูล ของตัวเอง เรียนหนังสือไม่รู ้จักเรียนรู ้อะไรที่ดีๆ กล้าเถียงอาจารย์ใน โรงเรียน สถานการณ์เช่นนี้ส่วนใหญ่จะเกิดกับตระกูลแม่ทัพที่อาศัย อยู่บนถนนฉือเอ๋อร ์มากกว่า นอกจากนี้ก็คือรังแกเด็กหญิงที่อายุพอๆ กันรับรองว่าโดนตีอย่างหนักสักรอบหนึ่งก็พอแล้ว ต่อให้เหล่าขุนนาง ของสองถนนและตรอกจะมีงานหลวงยุ่งแค่ไหน แม่ทัพอัครเสนาบดีที่ สวมชุดสีม่วงสีเหลืองพวกนี้ พอกลับบ้านก็พร ้อมจะเอากฎบ้าน ออกมาปรนนิบัติลูกหลานตัวเองเสมอ
เฉาเกิงซินเดินเข้าไปในบ้านเพียงล าพัง คล้ายกับก าลังใช ้เสียง ในใจ “คุยกับตัวเอง” เหมือนกาลังทบทวนตัวเองไปรอบหนึ่ง
อาจารย์หม่า เฉินผิงอันเดาความจริงได้แล้วใช่ไหม? ตอนนั้นที่ อยู่ในบ้านหลังเล็กเขาจงใจไม่พูดออกมา? เพราะเห็นแก่หน้าของ ศิษย์พี่อย่างท่าน? ก็เลยไม่ได้ถือสาอะไรข้า?
อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เป็ นกุนซืออยู่ในที่ว่าการผู้ตรวจการของ อ าเภอไหวหวงมานานหลายปีเอ่ยตอบกลับมาด้วยน้าเสียงเรียบเฉย ว่า เขาเป็ นคนจิตใจละเอียดรอบคอบ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในบ้านหลัง เล็กก็คอยหยั่งเชิงเจ้าอยู่ตลอด ต้องเดาได้แล้วแน่นอน หาไม่แล้วก็ไม่ มีทางช่วยใช ้หนี้ค่าเหล้าให้กับเจ้า ถือว่ายอมรับการที่เจ้าเสี่ยง อันตรายเพื่อแสวงหาความร่ารวยไปโดยปริยาย ส่วนข้าน่ะ ก็แค่ วิญญาณหยินที่ไม่เคยได้เห็นแสงสว่างตนหนึ่งเท่านั้นจะถือเป็ นศิษย์ พี่อะไรได้ จะมีหน้ามีตาอะไรให้กล่าวถึง เฉาเกิงซินนวดคลึงหว่างคิ้ว รู ้สึกปวดหัวอย่างยิ่ง สอบถามไปอย่างระมัดระวังว่า จะมีภัยแฝงซึ่ง ยากจะช่วยเหลือทิ้งไว้หรือไม่เป็ นข้าที่โลภมากก็เลยสูญเสียมาก? อาจารย์ผู้เฒ่าที่มองไม่เห็นร่องรอยคนนั้นหัวเราะหยันเรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม้กลายเป็ นเรือไปแล้ว มาเสียใจภายหลังจะมีความหมายอะไร เฉา เกิงซินเริ่มเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ อาจารย์หม่า แผ่นหยก “แผนภูมิ ดิน” ชิ้นนั้น ถือเป็ นเบาะแสที่ท่านให้ข้า หากอิงตามล าดับอาวุโสของ ศาลบุ๋น ท่านก็ถือเป็ นอาจารย์อาของเฉินผิงอันด้วยหากถูกคิดบัญชี ย้อนหลังขึ้นมาจริงๆ ท่านต้องช่วยข้าด้วยนะ
อาจารย์ผู้เฒ่าแซ่หม่าเงียบไม่ตอบ เขาไม่มีหน้าไปพบศิษย์น้อง เล็กหรอก
ก็เหมือนประโยคที่เฉาเกิงซินพูดกับโจวไห่จิ้งในเรือนหลังเล็ก แห่งนั้น เหล้ายังมีของปลอม แล้วนับประสาอะไรกับค าพูด
นี่ก็คือการเดิมพันครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง