กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1060.2 จุดที่จ้องมองคือจุดที่หลงใหลที่สุด
เพราะจดหมายฉบับนั้นไม่มีอยู่จริง และราชครูชุยฉานก็ไม่ได้ ก าชับอะไรเฉาเกิงซินมาแน่นอนว่าไม่ได้สั่งให้เฉาเกิงซินรับผิดชอบ ดูแลสายแผนภูมิดินของต้าหลีด้วย
ส่วนป้ ายหยก “แผนภูมิดิน” แผ่นนั้นและเรือนที่ถูกทิ้งร ้างมานาน หลายปีหลังนั้น คือเบาะแสสาคัญเส้นหนึ่งที่วิญญาณหยินข้างกาย ตนนี้เปิ ดเผยให้เฉาเกิงซินรู ้จริงๆ รอกระทั่งเฉาเกิงซินออกจาก ตาแหน่งผู้ตรวจการงานเตาเผาไปเป็ นขุนนางที่เมืองหลวง แล้วใช ้ เวลาวางแผนอย่างรอบคอบระมัดระวังอีกหลายปี ก่อนท าการ ‘ตรวจสอบและเก็บ’ มาจากคลังลับของกรมอาญา
ส่วนกุนซือผู้นี้แซ่หม่านามจาน เคยเป็ นอาจารย์สอนหนังสือคน หนึ่งของสานักศึกษาซานหยาก่อนที่จะย้ายออกมาจากต้าหลี ปีนั้น ศิษย์น้องเจ้าขุนเขาฉีจิ้งชุนเดินทางมุ่งหน้าไปยังแจกันสมบัติทวีป พร ้อมกับเหมาเสี่ยวตง หม่าจานก็เป็ นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งเช่นกัน แต่กลับไม่ใช่ลูกศิษย์เข้าห้องที่ได้รับการสืบทอดตัวต่อตัว สถานะ สายบุ๋นของเขาคล้ายคลึงกับเหมาเสี่ยวตงที่เป็ นรองผู้อานวยการ สถานศึกษาหลี่จี้ในทุกวันนี้ แต่สภาพการณ์ระหว่างเขากับเหมาเสี่ยว ตง เพียงชั่วหนึ่งความคิดกลับต่างกันดุจก้อนเมฆกับดินโคลน
คนหนึ่งคือบัณฑิตที่สามารถเข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋นแผ่นดิน กลางได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ประเด็นสาคัญคือยังได้พบกับอาจารย์ที่ได้ ต าแหน่งเทพกลับคืนมาจากในศาลบุ๋นเป็ นประจ า แต่อีกคนหนึ่งกลับ กลายมาเป็ นผีที่หลังจากตายไปแล้ววิญญาณไม่สลายหายไปไหนไร ้ ชื่อเสียง ทุกวันนี้ใต้หล้าทั้งหลายพูดถึงสายของเหวินเซิ่ง คนรุ่นเยาว์ ก็น่าจะไม่เคยมีใครรู ้ว่าเหวินเซิ่งเคยมีลูกศิษย์อย่างหม่าจานอยู่ ซิ่วไฉ เฒ่าเคยมาที่เมืองหลวงและสานักศึกษาขุนซาน แล้วเข้าพักที่หอเหริ นอวิ๋นอื้อวิ๋น ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าจานก็ไม่เคยเผยตัว อาจารย์ที่เขา เคารพนับถือมากที่สุดในชีวิตก็ไม่เคยมาหาเขา บางทีอาจจะรู ้มาตั้ง นานแล้วว่าเมืองหลวงต้าหลีมีผีหม่าจาน หรือบางทีอาจารย์อาจจะไม่ รู ้ หรืออาจจะรู ้แต่แกล้งท าเป็ นไม่รู ้
ทุกวันนี้หม่าจานยังมีสถานะที่แอบแฝงอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือเป็ น หนึ่งในคนเฝ้ าศาลของศาลบุรพกษัตริย์ที่ตั้งบูชาจักรพรรดิทุกยุคทุก สมัยของในเมืองหลวงต้าหลี
ในเมืองหลวง คนเดียวที่มีสิทธิ์พูดได้ก็คือเถ้าแก่หยางที่ทุกวันนี้ รับหน้าที่เป็ นเทพท่องราตรีในศาลเทพอภิบาลเมืองประจ าเมืองหลวง นี่แน่นอนว่าเป็ นทางถอยเส้นหนึ่งที่หยางเหล่าโถวที่อยู่ในเรือนหลัง ของร ้านยาช่วยจัดเตรียมไว้ให้ กลายเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขา สายน้าก็จะปกป้ องควันธูปของตระกูลได้ต่อไป ตระกูลหยางของพวก เขาสืบทอดร ้านยากันมาทุกยุคทุกสมัย ผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือนหลัง แม้ใน นามจะแซ่หยาง และชาวบ้านในเมืองเล็กก็ มองเขาเป็ นบรรพบุรุษ
ตระกูลหยาง แต่อันที่จริงกลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลหยางของ ตรอกเถาเย่เลย
สุดท้ายหม่าจานเอ่ยว่า ปี นั้นชุยฉานจงใจทิ้งข้าที่จะเป็ นคนก็ ไม่ใช่คนเป็ นผีก็ไม่ใช่ผีไว้ข้างกายเจ้า ให้คอยช่วยเจ้าดูแลขุนนางใน ที่ว่าการผู้ตรวจการเตาเผาหลงเฉวียน ชุยฉานจะต้องรอวันนี้อยู่ แน่นอน เฉินผิงอันฉลาดมาก ย่อมต้องเดาได้ ดังนั้นวันหน้าขอแค่ เจ้าสามารถใช ้สายแผนภูมิดินได้ดี เฉินผิงอันก็ยินดีจะเชื่อว่า จดหมายฉบับนั้นมีอยู่จริง
เฉาเกิงซินถามอย่างประหลาดใจ “อาจารย์ท่านตกอยู่ใน สภาพการณ์เช่นนี้ ตอนนั้นก็น่าจะถือเป็ นความตั้งใจของราชครูชุยก ระมัง ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ท่านไม่รู ้สึกแค้นเคืองเขาสัก นิดเลยหรือ?”
หม่าจานเอ่ยด้วยน้าเสียงเรียบเฉย “ก่อกรรมทาเข็ญเอง จะโทษ เขาไม่ได้”
ใน “บทเกียรติยศและอัปยศ” ของอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ค าพูด ทาร ้ายคนได้ลึกล้าเหมือนหอกและง้าว
แต่แท้ที่จริงแล้วการไม่พูดถึงกลับยิ่งทาร ้ายจิตใจคนได้มากยิ่ง กว่า แน่นอนว่าหม่าจานไม่ได้รู ้สึกว่าการที่อาจารย์ไม่มาพบตนจะมี ปัญหาใดๆ คากล่าวที่ว่า “ก่อกรรมทาเข็ญเอง” ก็คือการให้ข้อสรุป แบบตอกปิดฝาโลงที่ดีที่สุดที่หม่าจานมีต่อตัวเอง ขนาดเฉินผิงอัน
หม่าจานก็ยังไม่ยินดีจะไปพบ แล้วนับประสาอะไรกับอาจารย์? เพียงแต่ส่วนลึกในจิตใจหม่าจานกลับหวังให้อาจารย์ยังจดจ าตนได้ เพียงแต่ตนไม่กล้าไปพบหน้าอาจารย์ก็เท่านั้น
เฉาเกิงซินเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เมื่อผลไม่เป็ นดั่งหวังก็ควร ย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง”
นี่มาจากประโยคที่มีชื่อเสียงของหย่าเซิ่ง
นี่จึงเป็ นเหตุให้หม่าจานเอ่ยประโยคสั่งสอนของเหวินเซิ่งตอบ กลับไปว่า “อาจารย์มีค ากล่าวบอกว่า ยึดมั่นในหลักการมิใช่เชื่อฟัง แต่เจ้าเหนือหัว มารยาทพิธีการต้องสอดคล้องกับใจคน ผู้ที่รู ้ตัวเอง ย่อมไม่โทษคนอื่น ผู้ที่รู ้ชะตากรรมไม่โทษฟ้ า การบ่มเพาะจิตใจของ วิญญูชนไม่มีอะไรดีไปกว่าความซื่อสัตย์จริงใจ เมื่อมีความซื่อสัตย์ จริงใจแล้วไซร ้ก็ไม่ต้องพะวงถึงสิ่งอื่นอีก”
เฉาเกิงซินเฉลียวฉลาดถึงเพียงใด แน่นอนต้องฟังออกว่าทุก ประโยคของอาจารย์ผู้เฒ่าหม่าจานที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความละอาย ใจมาตลอดหลายปีมีนัยยะบางอย่าง ประโยคแรกที่บอกว่ายึดมั่นใน หลักการมิใช่เชื่อฟังแต่เจ้าเหนือหัว คือชื่นชมราชครูชุยฉาน ประโยค ที่สองคือสิ่งเดียวที่ตัวเขาเองต้องการในทุกวันนี้ ส่วนประโยคสุดท้าย แน่นอนว่าพูดถึงลูกศิษย์ปิดสานักของสายเหวินเซิ่งอย่างเฉินผิงอัน สาหรับศิษย์น้องเล็กคนนี้ ดูจากบทสนทนาระหว่างหม่าจานกับเฉา เกิงซินก่อนหน้านี้ก็สามารถมองออกถึงการยอมรับของอาจารย์ผู้
เฒ่า คือความรู ้สึกชื่นชมยกย่องอย่างแรงกล้าที่เอ่อล้นออกมาจาก ค าพูดท่าทาง
เฉาเกิงซินยิ้มเอ่ย “มาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เข้าไปดื่มชาสักสอง สามถ้วยไหม?”
หม่าจานส่ายหน้า “ผีที่ไม่อาจเห็นแสงสว่างอย่างข้า เป็ นแค่คน เฝ้ าศาลที่เฝ้ าประตูก็พอแล้ว ไม่สะดวกจะเหยียบย่างเข้าไปในตระกูล ของชนชั้นสูงอย่างพวกเจ้า”
เฉาเกิงซินจึงไม่รั้งอาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่ว่าจะพูดจาหรือทาอะไรล้วน เคร่งขรึมจริงจังเอาไว้อีก
หม่าจานพลันถามว่า “เฉาเกิงซิน ด้วยสถานะและสติปัญญาของ เจ้า ไยต้องรีบร ้อนอยากให้ส าเร็จด้วยเล่า?”
เฉาเกิงซินสะบัดชายแขนเสื้อ ยกแขนขึ้น ทามือเป็ นท่าถือจอก เหล้า “ชีวิตคนมีความไม่พอใจอยู่มากมาย จงรีบดื่มเหล้าในจอกให้ หมด”
หม่าจานนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคือผู้ฝึก ลมปราณ ไฉนถึงได้พูดว่าชีวิตคนมีแต่ความไม่พอใจอยู่มากมาย”
เฉาเกิงซินตบน้าเต้าบรรจุเหล้าตรงเอว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เทพ เชียนอะไรกัน ก็แค่ผีขี้เหล้าเท่านั้น”
เพราะมีภาระหน้าที่ติดตัว หม่าจานจึงใช ้เสียงในใจบอกลาเฉา เกิงซินแล้วกลับไปที่ศาลบุรพกษัตริย์ทันที คนเฝ้ าศาลอีกคนยื่น จดหมายฉบับหนึ่งให้เขา บอกว่าขุนนางของเมืองหลวงคนหนึ่งนาม ว่าสวินชวี่นามามอบให้ บอกให้มอบให้แก่หม่าจาน จดหมายลับที่ บอกได้ยากว่าเป็ นเทียบเชิญหรือจดหมายทางบ้านฉบับนี้ร่ายตรา ผนึกขุนเขาสายน้าที่ไม่ได้สูงส่งอะไรไว้ชั้นหนึ่ง บนซองจดหมาย เขียนคาว่า “ศิษย์พี่โปรดเปิดอ่านด้วยตัวเอง” ลงท้ายว่าศิษย์น้องเฉิน ผิงอัน
เปิดซองจดหมายออก เนื้อหาในจดหมายมีแค่สามประโยค
อาจารย์บอกไว้ว่า หากมองทั้งความเป็ นและความตายในแง่ดีได้ ชีวิตนี้ก็เดินมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ขอเชิญศิษย์พี่ให้ไปที่ภูเขาลั่วพั่วเพื่อ พบหน้าอาจารย์ ก่อนหน้านี้ไม่สะดวกจะร าลึกความหลังกับท่านใน เมืองหลวงต้าหลี อาจารย์คิดถึงศิษย์พี่หม่ามาก
หม่าจานสอดจดหมายกลับเข้าไปในซอง นั่งอยู่ในห้องที่เงียบ เหงาวังเวง ผู้เฒ่ายื่นฝ่ ามือออกมาลูบไปบนของจดหมายที่วางไว้บน โต๊ะ น้าตาไหลอาบใบหน้าแก่ชรา
ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่ามาถึงเมืองหลวง ปรากฏตัวที่หอเหรินอวิ๋น อื้อวิ๋น ตอนที่อยู่หน้าตรอก ซิ่วไฉเฒ่ามักจะลูบหนวดอยู่บ่อยๆ คล้าย ก าลังรอคอยใครอยู่
ภายหลังเหวินเซิ่งไปที่สานักศึกษาชุนชานมารอบหนึ่ง ก็ยิ่ง เท่ากับว่าเป็ นการเปิดเผยสถานะในวงการขุนนางต้าหลีอย่างชัดเจน จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่ไปที่ตรอกอีกแล้ว
รอกระทั่งลูกศิษย์คนสุดท้ายพูดถึง ซิ่วไฉเฒ่าที่หากอยู่กับเฉินผิง อันไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนพูดง่ายไปเสียหมดกลับร ้อนใจจนกระทืบเท้า ก่นด่าอย่างที่หาได้ยาก บอกว่าหม่าจานผู้นี้ ทาแบบนี้สมควรเสียที่ ไหน ทั้งๆ ที่รู ้ว่าอาจารย์มาถึงเมืองหลวงแล้ว อยู่ห่างแค่ไม่กี่ก้าว เท่านั้นกลับไม่รู ้จักมาราลึกความหลังกับอาจารย์ คนที่เป็ นลูกศิษย์ใน ใต้หล้านี้มีใครเขาเคารพครูบาอาจารย์เช่นนี้บ้าง? หรือว่ายังต้องให้ ข้าที่เป็ นอาจารย์ไปหาเขาเอง? ไม่พบ ไม่พบ พบกะผายลมน่ะสิ!
แล้วก็เพราะว่าเป็ นเฉินผิงอัน หากเปลี่ยนไปเป็ นจั่วโย่วหรือเหมา เสี่ยวตง คาดว่าคงจะต้องช่วยอาจารย์ด่าคนแล้ว เฉินผิงอันโน้มน้าว อาจารย์ต่อ บอกว่าไยต้องโกรธศิษย์พี่หม่าด้วย เอาความใจกว้างของ อาจารย์ออกมาใช ้สิ
ดูเหมือนซิ่วไฉเฒ่าจะโกรธจริงๆ พูดแค่ว่าไม่พบ ยืนกรานว่าจะ ไม่พบ ใครจะช่วยพูดแทนหม่าจานก็ไม่เป็ นผล เมื่อก่อนเป็ นลูกศิษย์ ที่ดีถึงเพียงใด แม้จะบอกว่าเป็ นเหมือนเสี่ยวตงที่ปกติเวลาอาจารย์ ถามลูกศิษย์กลับไม่รู ้อะไรสักอย่าง แม้จะโง่ไปสักหน่อย แต่กลับดี ตรงที่เคารพครูบาอาจารย์ ปีนั้นคนที่ยกเก้าอี้มาให้นั่งก็ไม่ใช่หน้าที่ ของเหมาเสี่ยวตงด้วยซ้า ทุกวันนี้เจ้าเด็กหม่าจานเป็ นขุนนางใหญ่ แล้ว มาดใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้ าเสียอีก เลยท าเป็ นไม่รู ้จักอาจารย์เสีย
แล้ว…เฉินผิงอันจึงจะบังคับลากอาจารย์ไปที่ศาลบุรพกษัตริย์ที่เมือง หลวงต้าหลีด้วยกัน ต่อให้ซิ่วไฉเฒ่าจะถูกลูกศิษย์ที่รักและเอ็นดูที่สุด ดึงแขนก็ยังยืนนิ่งเหมือนต้นสนไม่ไป อย่าว่าแต่ออกไปจากตรอกเลย วันนี้ขอแค่ออกไปจากลานบ้านหลังนี้ ข้าก็ไม่ต้องเป็ นลูกศิษย์ให้กับ หม่าจานเลยหรือ
ตอนนั้นเฉินผิงอันได้แต่ล้มเลิกความคิด
บอกว่าตนที่เป็ นลูกศิษย์คนสุดท้าย ที่แท้ก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงพูด อะไรกับอาจารย์ได้ ช่างเป็ นลูกศิษย์ได้ธรรมดายิงนัก
ซิ่วไฉเฒ่าได้แต่เป็ นฝ่ ายกลับมาปลอบใจลูกศิษย์คนสุดท้ายแทน บอกว่ามันคนละเรื่องกันเลย จะคิดแบบนี้ไม่ได้นะ เจ้ามาโกรธอาจารย์ ท าไมกัน พวกเราต้องโทษเจ้าหม่าจานนันจริงๆ ด้วย ดูสิดู อาจารย์ ไม่ไปเจอเขาน่ะถูกต้องแล้ว…
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ อธิบายกับเฉินผิงอันไปประโยค หนึ่งบอกว่าหม่าจานต้องข้ามด่านทางใจของตัวเองให้ได้
เฉินผิงอันที่อยู่ด้านข้างหัวเราะ บอกว่าเดาได้แล้ว ศิษย์ก็แค่เป็ น ห่วงอาจารย์เท่านั้นเอง
ภูเขาลั่วพั่ว
พอหลิวสือลิ่วกับป๋ ายเย่มาถึง เด็กชายผมขาวที่ต้องเขียน รายละเอียดเพิ่มลงไปบนท าเนียบล าดับเหตุการณ์ประจ าปีอยู่ว่างไม่มี
อะไรทาจึงวิ่งไปที่ยอดเขาเพียงลาพัง ทาหน้าย่นยู่ ท่าทางอัดอั้นไม่ สบายใจ
นั่นคือป๋ ายเหย่ตัวเป็ นๆ เลยนะ กว่าจะได้เจอก็ไม่ง่ายเลย ยังไม่ ทันได้คุยสักประโยคน่าขายหน้าจริงๆ
ปีนั้นอยู่ในตาหนักสุ่ยฉูของใต้หล้ามืดสลัว อู๋ซวงเจี้ยงเจ้าตาหนัก ชื่นชอบบทกวีของซูจื่อมากกว่า ส่วนคนรักของเขา ผู้ฝึกตนหญิงที่มี ฉายาว่า “เทียนหราน” มีคุณสมบัติในการฝึ กตนธรรมดา แต่นาง กลับเรียกได้ว่าหลงใหลในบทกวีของป๋ ายเหย่
เพื่อความชื่นชอบของนาง อู๋ซวงเจี้ยงที่พยายามรวบรวมกวีบท ใหม่ล่าสุดของป๋ ายเหย่ในใต้หล้ามาให้ได้มากที่สุดไม่เคยขอร ้องคน อื่น ต้องติดค้างน้าใจอารามเสวียนตู ตาหนักหัวหยางและยังมีพื้นที่ มงคลซืออวี๋ไว้ไม่น้อย แน่นอนว่าได้ชดใช ้คืนไปแล้ว ส่วนการค้านี้จะ คุ้มค่าหรือไม่ อู๋ซวงเจี้ยงเป็ นคนตัดสินใจเอง
ส่วนทาไมถึงชอบซูจื่อเป็ นพิเศษ อู๋ซวงเจี้ยงบอกว่าซูจื่อสามารถ หาความสุขท่ามกลางความทุกข์ได้ เป็ นเหตุให้เป็ นคนใจกว้าง ย้อนกลับมามองป๋ ายเหย่ เขาราบรื่นเกินไป ถือว่าสุขสุดขีดสุดท้ายจะ กลายเป็ นความทุกข์ แต่ป๋ ายเหย่ก็มีพรสวรรค์มีความสามารถโดด เด่นเหนือใครจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหนือกว่าที่กลิ่นอายเซียนมี มากพอ ยิ่งใหญ่ไพศาล ผู้ที่ภาคภูมิใจในชีวิตต่างก็ชื่นชอบ ผู้ที่ ผิดหวังก็ชื่นชอบเช่นเดียวกัน
ในที่สุดก็ได้เจอกับป๋ ายเหย่ “นอกต ารา” แต่นางกลับรู ้สึกอาย เสียได้
เนื้อหนังมังสาของนางในเวลานี้ค่อนข้างจะน่าสังเวชจริงๆ
เด็กชายผมขาวนั่งอยู่บนราวรั้วหยกขาวของยอดเขาจี๋หลิง ทอด ถอนใจเฮือกๆ กลัดกลุ้มยิ่งนัก
หากตนมีหนังหน้าแบบบรรพบุรุษอิ่นกวานก็ดีน่ะสิ เวลานี้ก็น่าจะ กาลังดื่มเหล้ากับอาจารย์ป๋ ายเหย่แล้วกระมัง
จูเหลี่ยนเดินเล่นมาถึงที่นี่ เรือนกายของเขางองุ ้ม สองมือไพล่ หลัง เท้าสวมรองเท้าผ้าที่ฝีเย็บแน่นละเอียด เป็ นรองเท้าที่หน่วนซู่ให้ หมี่ลี่น้อยเอามาแจกจ่ายให้กับทุกคน ทุกคนล้วนมีส่วน
เด็กชายผมขาวหันหลังให้พ่อครัวเฒ่า ยกมือขึ้นโบก ถือว่าเป็ น การทักทายอีกฝ่ายแล้ว
จูเหลี่ยนเดินเข้ามาใกล้ราวรั้ว มองไปยังทัศนียภาพห่างไกลที่ เหมือนม้วนภาพซึ่งเปลี่ยนจากหมึกเข้มเป็ นหมึกอ่อนไล่เรียงกันเป็ น ชั้นๆ ถามว่า “ขุนนางผู้เรียบเรียงตารา มีเรื่องในใจหรือ?”
เด็กชายผมขาวถอนหายใจ “โชคดีที่บรรพบุรุษอิ่นกวานไม่ได้ อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นข้าต้องขายหน้ากว่านี้แน่”
“ความสัมพันธ ์ของชายหญิง ในห้องมีห้อง เหนือหอเรือนมีหอ เรือน คนในสถานการณ์มิอาจบอกกล่าวได้อย่างชัดเจน ประหนึ่งทา
ผิดที่มีโทษประหารชีวิต ยากที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองที่สุด แล้ว”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ความรักก็เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่เกเรเอาแต่ ใจ พอเติบใหญ่ก็เปลี่ยนชื่อกลายเป็ นความรับผิดชอบ มีชื่ออีกอย่าง ว่าใจตรงกัน”
เด็กชายผมขาวหัวเราะหึ ยิ้มปากกว้างเอ่ยว่า “พ่อครัวเฒ่า ใน ที่สุดก็มองพลาดแล้วสินะ กับป๋ ายเหย่น่ะ ข้าแค่เลื่อมใสเขาอย่างเดียว เท่านั้น จะเกี่ยวพันไปถึงความรักชายหญิงได้อย่างไร”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเจ้าชอบป๋ ายเหย่ ก็แค่ เลื่อมใสเท่านั้น พวกคนมีความสามารถที่ชอบโอ้อวดตัวเองในโลก มนุษย์ มีใครบ้างที่ไม่เลื่อมใสป๋ ายเหย่? เหมือนอย่างข้าที่ก็ต้องคิดหา ถ้อยค าดีๆ เอาไว้ก่อนถึงจะมีความกล้ามากพอจะขยับเข้าใกล้ป๋ าย เหย่เหมือนกัน”
จูเหลี่ยนรู ้ดีว่า การที่นางไม่ได้พูดคุยกับป๋ ายเหย่มากนักก็เพราะ กังวลว่าป๋ ายเหย่ที่มาจากอารามเสวียนตูใต้หล้ามืดสลัวจะชักน า สายตาของยอดฝีมือให้มองมาเยอะเกินไป แล้วจะเดือดร ้อนไปถึงอู๋ซว งเจี้ยงด้วย
ทุกวันนี้เด็กชายผมขาวตั้งฉายาให้ตัวเองว่าคงโหว
ทั้งๆ ที่อยากให้ไผ่สองต้นอยู่เคียงคู่ แต่กลับเสียใจภายหลังที่ให้ สามีไปหายศต าแหน่งตะกร ้าไม้ไผ่ตักน้าเหลือเพียงความว่างเปล่า ดุจความชอบของสตรีที่ว่างเปล่า
เด็กชายผมขาวแกว่งขาสองข้าง “ถูกคนคนหนึ่งชอบมากเกินไป คนที่ถูกชอบดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจว่าควรจะชอบอีกฝ่ ายอย่างไร
ดี”
พูดง่ายๆ ก็คือถูกถนอมเอาใจจนเสียคน เคยชินที่จะร ้องขอจาก คนอื่น ไม่เข้าใจว่าควรจะทุ่มเทอย่างไร นางถามว่า “ใช่หลักการ เหตุผลข้อนี้หรือไม่? นี่ข้าต้องคิดมานานหลายปี เลยนะกว่าจะคิด ออกน่ะ!”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ถูกแล้วก็ไม่ถูก”
เด็กชายผมขาวยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “หมายความว่าอย่างไร?”
จูเหลี่ยนฟุบตัวลงบนราวรั้ว “มีหลักการเหตุผลบางอย่างที่อันที่ จริงใช่ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจ เพียงแต่ว่าต้องให้คนนอกอย่างข้ามาเป็ นคน พูด เจ้าถึงจะคิดว่ามีเหตุผล หาไม่แล้วจะรู ้สึกใจฝ่อแทน”
เด็กชายผมขาวเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ฮ่า พระจากต่างถิ่นสวดมนต์ ได้น่าฟังกว่าสินะ?” (เปรียบเปรยว่าคนบางคนทาอะไรโดยไม่เชื่อคน สนิทข้างกาย แต่ไปหลงเชื่อคาของคนนอกอย่างหน้ามืดตามัว)