กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1061.1 ในดวงจันทร ์ สุราพอใช ้ได้
ถาดหยกเงินบินอยู่ปลายก้อนเมฆสีคราม ผู้คนบนสวรรค์ทั้งเงียบสงบและปลอดภัย
คงเป็ นเพราะแสงกระบี่ของเสี่ยวโม่สะดุดตาเกินไป ความเร็วใน การขี่กระบี่ก็เร็วเกินไปต้องเป็ นการเผยกายของเซียนกระบี่ใหญ่คน หนึ่งแน่นอน ผู้ฝึ กตนหลายคนที่อยู่ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของ มณฑลต่างๆ จึงพากันทะยานลมขึ้นมา หมายจะมาสืบเสาะให้รู ้แน่ชัด เพราะถึงอย่างไรเขียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวก็มีอยู่ไม่ มาก หากจะพูดถึงเซียนกระบี่ แน่นอนว่าต้องเป็ นไพศาลที่เป็ นอันดับ
หนึ่ง
ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัวแห่งนี้มักจะมีผู้ฝึกตนที่ทะยานลมเข้า มาใกล้ดวงจันทร ์เป็ นประจา เห็นดวงจันทร ์ดวงเก่าที่ทุกวันนี้ลอยอยู่ บนฟ้ าเคียงคู่กับเฮ่าไฉ่เป็ นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ป๋ ายอวี้จิงไม่ได้ มีข้อบังคับเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่ผู้ฝึกตนมิอาจอยู่ในดวงจันทร ์ นานเกินไป พกพาเอาอุปกรณ์บนภูเขามาตั้งตกแต่งโต๊ะอาหารให้ สวยงาม ชมทัศนียภาพของสิบสี่มณฑลเป็ นกับแกล้มแกล้มสุรา ดื่ม เหล้ามื้อหนึ่ง ก็ยังถือว่าพอจะทาได้
เจ้าอารามผู้เฒ่าเหล่ตามองไป รังเกียจที่พวกเขามารบกวน อารมณ์สุนทรีในการดื่มเหล้าของตนกับเสี่ยวโม่จึงประกบสองนิ้วชี้ไป ทางนั้น ชี้ไปทางนี้ แล้วดีดนิ้วไล่ไป เสียงเพี้ยะๆ จึงดังตามมา
คล้ายกับเสียงพัดที่ใช ้ตบแมลงวัน ไล่เต้ากวานแห่งมืดสลัวที่มี ตบะเริ่มต้นที่ขอบเขตเซียนเหรินพวกนั้นให้กลับลงไปบนพื้น คนที่ เป็ นขอบเขตบินทะยานยังดีหน่อย ร่างไหววูบหนึ่งทีก็ถอยกลับไป อย่างรู ้กาลเทศะแม้จะหน้าม้านอยู่บ้าง แต่พวกขอบเขตเซียนเหริน กลับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้แล้ว แต่ละคนเหมือนถูกกระบองฟาด หนักๆ กว่าจะหยุดร่างให้นิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เวียนหัวตาลายเหมือน เห็นดาวสีทอง ต้องทาจิตแห่งมรรคาให้มั่นคง พวกเขาไม่กล้าก่นด่า ได้แต่นินทาในใจไม่หยุด
มีคนหนึ่งเป็ นขอบเขตหยกดิบที่ทะยานลมขึ้นมาจากมณฑลจู้ โจว ขอบเขตไม่สูง แต่กลับมีสมบัติล้าค่าสาหรับทะยานลมชิ้นหนึ่ง ความเร็วจึงว่องไว เรือนกายประหนึ่งงูสีทองที่โผนทะยานเลื้อยคด เคี้ยวขึ้นมาบนดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่
หากว่าถูก “วิชาอภินิหารดีดนิ้ว” ของเจ้าอาราม เกรงว่าคงจะ บาดเจ็บไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดสมบัติชิ้นนั้นก็ต้องรักษาไว้ไม่อยู่
เสี่ยวโม่มองนักพรตหญิงคนนั้นแวบหนึ่งก็งอนิ้ว ดีดแสงกระบี่ เส้นหนึ่งออกมา ปราณกระบี่ไม่ได้พุ่งไปเป็ นเส้นตรง แต่เหมือน เส้นด้ายที่ลอยล่อง พริบตาเดียวก็แผ่ลามออกไปพันหมื่นลี้
สุดท้ายแลงกระบี่ก็ห่อหุ้มเรือสมบัติกระสวยที่ผู้ฝึกตนผู้นั้นเป็ น คนบังคับเอาไว้แล้วกระชากเบาๆ ดึงทั้งนางทั้งสมบัติให้กลับไปบน ยอดเขาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นดินในโลกมนุษย์
นักพรตหญิงที่ยังขวัญหนีดีฝ่ อไม่หายรีบเก็บเรือยันต์ซึ่งถือเป็ น สมบัติพิทักษ์ภูเขาชิ้นนั้นมา นางก้มหัวกราบตามขนบลัทธิเต๋าไปยัง
ดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่อยู่ไกลๆ ถือเป็ นการขอบคุณ
เห็นว่าเสี่ยวโม่ลงมือแล้ว เจ้าอารามผู้เฒ่าจึงหยิบชามเหล้า ขึ้นมาจิบเหล้าหมักเองที่มีชื่อว่าพันสารทไปหนึ่งคา
ในยุคบรรพกาล เสี่ยวโม่ก็ค่อนข้างจะใจกว้างกับผู้ฝึกลมปราณ หญิงในโลกมนุษย์อยู่แล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้า “น่าเสียดายที่เจ้าเสี่ยวโม่ตื่นมาช ้า ถูกอารามเสวียนตูชิงน าไปก่อนก้าวหนึ่ง”
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “ตามการจินตนาการของเส้นสายความรู ้ที่สหาย ปีเขียวเสนอตอนอยู่ที่ชายหาดลั่วเป่ าในปีนั้น หากข้าตื่นมาเร็วก็ไม่ แน่เสมอไปว่าจะได้เจอกับคุณชาย ไม่อาจเดินทางไปยังหอสยบปีศาจ ของแจกันสมบัติทวีปเป็ นเพื่อนคุณชาย แล้วก็ไม่มีทางคิดถึงเส้นทาง แห่งการผสานมรรคาที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างก่อนหน้านี้ได้”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “คือเหตุผลข้อนี้”
ไม่ได้เจอกันหมื่นปี พื้นฐานนิสัยของเสี่ยวโม่ยังคงไม่เปลี่ยน แต่ การพูดการจากลับมีพัฒนาการขึ้นเยอะ
เวทกระบี่ที่ยอดเยี่ยมเลิศล้าบทนั้นของเสี่ยวโม่ประหนึ่งการปล่อย ว่าวในฤดูใบไม้ผลิหนึ่งเส้นเชื่อมโยงสู่ฟ้ าคราม
พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เทียนเซียนแห่งป๋ ายอวี้จิงคนหนึ่งที่เดิมทีก็ ฝึกตนอยู่ในเฮ่าไฉ่ก็นั่งไม่ติดแล้ว
ก่อนที่นักพรตเฒ่าจะออกจากบ้านก็ต้องทามุทราคานวณตาม ความเคยชินประหลาดนัก ไม่เหมือนในอดีต ในที่สุดวันนี้ก็เหมาะให้ ออกเดินทางแล้ว เขาจึงเร่งรุดมาหาเจ้าแห่งถ้าปี้เซียวทันใด
ในดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่ นอกจากพื้นที่ประกอบพิธีกรรมซึ่งใช ้หลอม โอสถชั่วคราวของเจ้าแห่งถ้าปี้เซียวแห่งนี้แล้วก็ยังมีเพื่อนบ้านอีกคน หนึ่ง คือตาหนักเต๋าหยกขาวแห่งหนึ่งที่ตาเนื้อสามารถมองเห็นปราณ วิญญาณเข้มข้นเหมือนสายน้าไหลริน
เจ้าของคือเทียนเซียนเต้ากวานจากนครอวี้ซูป๋ ายอวี้จิง ก่อนหน้า นี้ได้รับโองการฉบับหนึ่งจากเจ้าลัทธิรองอวี่โต้วว่าสามารถมาฝึกตน อยู่ที่นี่ได้ แต่จะต้องถูกหักคุณูปการจานวนมากบนต าราเล่มหนึ่งที่อยู่ ในหอชิงเก๋อซึ่งเป็ นหอเรือนที่สูงที่สุดของป๋ ายอวี้จิง แลกมาด้วยทาง ลัดสายหนึ่ง หวังว่าจะฝ่ าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหรินไปได้ อยู่ใน พื้นที่ประกอบพิธีกรรมบนดวงจันทร ์ที่ห่างไกลจากโลกมนุษย์ ใช ้วิธี ของการยกเรือนมาบินทะยานพิสูจน์มรรคา
บอกว่าเป็ นเพื่อนบ้าน แต่หากจะแวะไปหากันจริงๆ อันที่จริงก็ไม่ ต่างจากการเดินทางไกลบนพื้นดินที่ต้องข้ามทวีปหลายทวีปเลย
เสี่ยวโม่ยังคงนั่งเป็ นเพื่อนสหายปี้เซียวไม่ขยับไปไหน หวังหยวน ลู่ลาดับอาวุโสต่า จึงลุกขึ้นยืนรับแขกอยู่ใต้ชายคา
ส่วนนักพรตเด็กหนุ่มที่นั่งหลอมยาอยู่บนม้านั่งนั้นไม่ชอบเรื่อง การต้อนรับขับสู้ใครมากที่สุด เขาจึงเปลี่ยนท่านั่งเสียใหม่ ขยับ น้าเต้าลูกใหญ่ที่สะพายเอียงๆ ไว้บนหลังหันออกไปนอกประตูห้อง
เจ้าอารามผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่ หนวดยาวพลิ้วไสว มีมาดของ เซียนอย่างมากจริงๆ ต่อให้เวลานี้นักพรตเฒ่าจะนั่งดื่มเหล้า ส่วนสูงก็ ยังพอๆ กับลูกศิษย์หวังหยวนลู่ที่ยืนอยู่
ผู้ที่มาคือบุคคลอันดับสามของนครอวี้ซู นักพรตเฒ่ามีนามว่าสวี่ จู่จิ้ง ในมือถือแส้ปัดฝุ่ น สถานะคล้ายคลึงกับบรรพจารย์ผู้คุมกฏของ สานักแห่งหนึ่ง แต่กลับขึ้นชื่อว่าเป็ นพวกใจอ่อน
นักพรตเฒ่าคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้านครอวี้ซูคนก่อน อายุขัยการฝึกตนยาวนานน่าเสียดายที่คุณสมบัติไม่ถือว่าโดดเด่น สักเท่าใด แน่นอนว่าคาว่าธรรมดาในที่นี้ก็แค่เปรียบเทียบกับเต้า กวานรุ่นเดียวกันของป๋ ายอวี้จิงเท่านั้น
จางเฟิงไห่ที่อายุสามสิบปีก็อ่านตาราที่เก็บไว้ในนครอวี้ซูจนครบ หมดทุกเล่มผู้นั้นก็คือศิษย์น้องเล็กเพียงหนึ่งเดียวของนักพรตเฒ่า คนนี้
ขณะที่นักพรตเฒ่ากาลังจะเปิดปากพูด เจ้าอารามผู้เฒ่าก็เอ่ย ด้วยน้าเสียงเรียบเฉยขึ้นมาก่อนว่า “สวี่จู่จิ้ง พูดภาษาทางการของ
ไพศาล สหายคนนี้ของข้ามาจากไพศาล ฟังภาษาของมืดสลัวไม่ เข้าใจ”
แน่นอนว่านี้ไม่ใช่เรื่องยากสาหรับนักพรตเฒ่า เขาคารวะตาม ขนบลัทธิเต๋า “สวี่จู่จิ้ง แห่งนครอวี้ชูป๋ ายอวี้จิงคารวะเจ้าแห่งถ้าปี้ เซียว”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายังคงนั่งเฉย
เสี่ยวโม่ลุกขึ้นกุมมือคารวะกลับคืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฉายาสี่จู๋ นามโม่เซิง เป็ นผู้ฝึกกระบี่ ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขา ลั่วพั่วแห่งไพศาล สวี่เทียนจวิน ยินดีที่ได้พบกัน”
เจ้าอารามผู้เฒ่าผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา
สวี่จู่จิ้งนั่งลงด้านข้าง เสี่ยวโม่จงใจเอาเหล้าหมื่นกาลมารับแขก เพราะเคยได้ยินคุณชายพูดว่า ในบรรดาห้านครสิบสองหอเรือน ของป๋ ายอวี้จิง นครอวี้ซูกับนครเสินเซียวต่างก็ถือว่าไม่เลว
ส่วนจะตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่าเอาของของคนอื่นมาทาให้ตัวเองมี หน้ามีตาหรือไม่ ตนกับสหายปี้เซียวไยต้องคิดเล็กคิดน้อยกันในเรื่อง แบบนี้ หากสุราไม่พอก็ต้องโทษที่สหายปี้เซียวขี้เกียจในการหมัก เหล้าเกินไป
หวังหยวนลู่ไปหยิบชามขาวใบหนึ่งมาจากที่ห้องครัวพอดี พอชามขาววางลงบนโต๊ะ สุราก็ตามมาติดๆ ทันที
หวังหยวนลู่พลันรู ้สึกอุ่นซ่านในใจ ตนถูกชะตากับผู้อาวุโสเสี่ยว โม่อย่างมาก!
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ นักพรตร่างผอมแห้งฝึกตนอยู่ที่นี่มักจะรู ้สึก อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอด กังวลว่าวันใดตนออกไปจากดวงจันทร ์ เฮ่าไฉ่ ‘ลงเขา” ไปหาประสบการณ์เพียงล าพังจะถูกคนเอากระสอบ
ป่านมาครอบหัว
สาเหตุมีแค่ข้อเดียว อาจารย์ท่านผู้อาวุโสไม่รู ้จัก ‘วางตัว’ เกินไป แล้ว!
พูดถึงแค่การ “ตบแมลงวัน” เมื่อครู่นี้ คนเขาไม่ได้มารบกวนถึง บ้านจริงๆ เสียหน่อย ก็แค่ผ่านทางมาที่เฮ่าไฉ่เท่านั้นก็ถูกอาจารย์ตบ เพี้ยะๆ กลับลงไปบนพื้น ขวางหูขวางตาท่านตรงใดกัน?
อาจารย์ท่านร่ายวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ทุกคนล้วนเคารพยาเกรง ไม่กล้าพูดอะไรมากแม้แต่ค าเดียว แต่วันหน้าศิษย์ยังต้องออกไปท่อง ยุทธภพอยู่นะ
สวี่จู่จิ้งเอ่ยขอบคุณแล้วดื่มเหล้าหนึ่งคา เหล้าเซียนไหลเข้าปาก พริบตานั้นปราณวิญญาณก็กลิ้งหลุนๆ ผ่านลาคอไปยังกะเพาะลาไส้ ประหนึ่งน้าตกที่เทดิ่งลงเบื้องล่าง ช่องโพรงลมปราณระหว่างทาง เหมือนได้เปลี่ยนภาพบรรยากาศอย่างใหม่
นักพรตเฒ่าอดไม่ไหวเอ่ยชมเชย “สุราดี!”
เจ้าอารามผู้เฒ่ากลับไม่รับน้าใจ ถามแสกหน้ามาทันทีว่า “ดื่ม เหล้าไปกาหนึ่งแล้ว มีธุระอะไรก็พูดมา ไม่มีธุระก็รีบๆ กลับไปซะ ข้า ยังต้องพูดคุยราลึกความหลังกับเสี่ยวโม่”
สวี่จู่จิ้งยิ้มเอ่ย “ก็แค่มากราบภูเขามาเยี่ยมเยือนท่านผู้อาวุโส เท่านั้น หากยังสามารถพูดคุยเรื่องในยุคบรรพกาลกับผู้อาวุโสได้อีก
สักสองสามประโยคก็ยิ่งดี”
ได้ยินกับหูไม่สู้เห็นเองกับตา พลิกเปิดปฏิทินเหลืองในโลกยุค หลังก็สู้ฟังจากปากคนในเหตุการณ์ที่อยู่ในตาราพูดเองกับปากไม่ได้
เจ้าอารามผู้เฒ่าร ้องเหอะ แต่ก็ไม่ได้ออกคาสั่งไล่แขกอย่างที่หา ได้ยาก
สวี่จู่จิ้งจึงเอาแต่นั่งดื่มเหล้าไปเงียบๆ โชคดีที่เสี่ยวโม่เห็นว่า เทียนจวินเซียนกวานแห่งนครอวี้ซูผู้นี้พูดไม่เก่งจึงเป็ นฝ่ ายชวนคุย เอง ยกตัวอย่างเช่นเต้ากวานที่ทะยานลมมาก่อนหน้านี้คือใคร มี สถานะอะไร มาจากภูเขาลูกไหน เมื่อเป็ นเช่นนี้บรรยากาศบนโต๊ะ เหล้าก็ไม่ชวนอึดอัดมากถึงเพียงนั้นอีกแล้ว
สวี่จู่จิ้งย่อมบอกทุกอย่างที่ตัวเองรู ้ด้วยเช่นกัน เรื่องในใต้หล้ามืด สลัวก็คือเรื่องในบ้านของป๋ ายอวี้จิง อีกทั้งสวี่จู่จิ้งยังเป็ นเต้ากวานหนึ่ง ในสามคนของนครอวี้ซูที่สามารถเข้าร่วมการประชุมของป๋ ายอวี้จิง ได้ พูดคุยเรื่องเหล่านี้จึงเหมือนนับสมบัติในบ้านตัวเอง
สวี่จู่จิ้งดื่มเหล้าหมักเซียนที่ไม่ทราบชื่อกาหนึ่งอย่างเชื่องช ้าจน หมดก็ลุกขึ้นขอตัวลา
เสี่ยวโม่จึงหิ้วเหล้าหมื่นกาลสองไหและเหล้าพันสารทสองไหมา มอบให้เป็ นของขวัญจากลาเพื่อแสดงน้าใจของเจ้าบ้าน
สวี่จู่จิ้งรีบเอ่ยขอบคุณ รับไว้อย่างไม่เกรงใจ
นักพรตเฒ่ากับอีกฝ่ ายคุ้นเคยกันจนเรียกอีกฝ่ ายว่าอาจารย์ เสี่ยวโม่ได้แล้ว แม้แต่คาว่าสหายก็ยังละไว้ได้แล้ว
สาหรับผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่มีรูปโฉมเป็ นคนหนุ่มผู้นี้ ความ ประทับใจที่นักพรตเฒ่ามีต่ออีกฝ่ ายก็คือเวทกระบี่สูงมาก นิสัยก็ดี มาก เป็ นคนพิถีพิถันรอบคอบคนหนึ่ง
ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมตาหนักหยกขาวของดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่ นอกจากสวี่จู่จิ้งที่ปิดด่านแล้วก็ยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งและลูก ศิษย์ของลูกศิษย์อยู่ด้วย ล้วนเป็ นเต้ากวานที่คุณสมบัติดีเยี่ยมของ นครอวี้ซู
โดยเฉพาะลูกศิษย์ของลูกศิษย์ของนักพรตเฒ่าที่ได้รับคาเรียก ขานอย่างไพเราะว่า “จางเพิ่งไห่คนที่สองแห่งนครอวี้ซู” กวาดตามอง ไปทั่วกลุ่มคนรุ่นเยาว์ทั้งหลายในห้านครสิบสองหอเรือน คุณสมบัติ ของคนผู้นี้ดีเยี่ยมจนสามารถติดสามอันดับแรกได้ นี่ยังเป็ นเพราะใน กลุ่มเต้ากวานอายุน้อยมีคนที่ใช ้ฉายาว่า “ชิงซาน” ซึ่งเป็ นลูกศิษย์ ปิดส านักของมรรคาจารย์เต๋าอยู่ด้วย ดังนั้นครั้งนี้สวี่จู่จิ้งมาบุกเบิก
พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ในดวงจันทร ์ก็เพื่อพาลูกศิษย์ของลูกศิษย์ คนนี้มาอยู่ข้างกายเพื่อถ่ายทอดวิชาให้โดยเฉพาะ
เพียงแต่ว่านักพรตเฒ่าก็รู ้ดีอยู่แก่ใจว่าเมื่อเทียบกับคาเรียกขาน ศิษย์น้องเล็กจางเพิ่งไห้ในปีนั้นที่บอกว่าเป็ น “อวี๋โต้วแห่งนครอวี้ซู” “อวี๋โต้วคนที่สองของป๋ ายอวี้จิง” “เจ้าลัทธิน้อยแห่งป๋ ายอวี้จิง” แล้ว
กลับ…มิอาจเปรียบเทียบกันได้เลย
หลังจากที่สวี่จู่จิ้งร่ายวิชาอภินิหารหดย่อภูเขาสายน้าจากไปแล้ว เจ้าอารามผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สวี่จู่จิ้งไม่รู ้ด้วยซ้าว่าพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมของตัวเองถูกเจ้ามองทะลุไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “สันดอนเปลี่ยนง่าย สันดานเปลี่ยนยากนี่นา”
แม้จะบอกว่าหมื่นปีให้หลัง ไม่ว่าจะเป็ นการประลองคาถาถาม มรรคาหรือถามกระบี่เมื่อเทียบกับการที่ทาตัวตามแต่ใจของเมื่อหมื่น ปี ก่อนแล้วจะมีพันธนาการเหมือนถูกมัดมือมัดเท้ามากกว่า กฎระเบียบเข้มงวดมากมาย แต่พอเสี่ยวโม่ออกมาจากข้างกายของ เฉินผิงอันกลับเหมือนผู้ฝึกกระบี่เสี่ยวโม่ในอดีตได้มากกว่า
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ย “ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี”
หมื่นปีให้หลัง ผู้ฝึกบาเพ็ญตนและมนุษย์ธรรมดาเหมือนร่วมกัน สวมใส่ชุดคลุมอาคมตัวหนึ่งที่มีชื่อว่ากฎระเบียบ วิชาอภินิหารของ ชุดคลุมอาคมก็คือความเป็ นไปของโลกและความสัมพันธ ์ระหว่าง ผู้คน
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “หากไม่เป็ นเพราะก าแพงเมืองปราณ กระบี่มีอิ่นกวานคนสุดท้ายที่ขึ้นชื่อว่าอายุน้อยทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้น ป๋ ายจิ่งกับเจ้าก็สามารถแบ่งกันครอบครองหนึ่งดวงตะวันหนึ่งดวง จันทร ์ ร่วมกันส่องประกายแสงเฉิดฉายได้เลย หากพวกเจ้าสามารถ จับมือกันเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ อีกทั้งยังเป็ นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ คา ว่าคู่รักเทพเซียนก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง หมื่นปีที่ผ่านมาก็ถือว่ามีแค่ พวกเจ้าคู่เดียวแล้ว น่าเสียดายนัก”
ดวงจันทร ์สามดวงของเปลี่ยวร ้างในอดีต ดวงจันทร ์ที่เคยอยู่ตรง กลางซึ่งอยู่ใต้ฝ่ าเท้าของเจ้าอารามผู้เฒ่าในเวลานี้มีชื่อว่า ‘กระจก ทอง” อีกชื่อคือ “เฮ่าไฉ่” เป็ นทั้งพื้นที่ประกอบพิธีกรรมในนามของ แม่นางน้อยที่มีชื่อว่าเซอเยว่ แต่ก็เป็ นสถานที่ที่เสี่ยวโม่หลับใหลนาน หมื่นปีด้วย ดังนั้นใครที่เป็ นเจ้าของดวงจันทร ์ตัวจริง เรื่องนี้ก็บอกได้ ยากจริงๆ หากผู้ฝึกกระบี่กลุ่มของเฉินผิงอันไม่ได้ร่วมแรงกันย้ายเฮ่า ไฉ่มายังมืดสลัว หรือสมมติว่าเซอเยว่ไม่ได้เดินทางไปเยือนแจกัน สมบัติทวีป ถ้าอย่างนั้นรอกระทั่งป๋ ายเจ๋อกลับไปยังเปลี่ยวร ้าง ปลุก เสี่ยวโม่ให้ตื่น เป็ น “อาจารย์เสี่ยวโม่” ที่ไม่เคยดึงนิสัยใจคอดั้งเดิมทิ้ง ไปอย่างในวันนี้ คาดว่าเซอเยว่คงต้องยอมเปลี่ยนพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมแต่โดยดีแล้ว แม้จะบอกว่าดวงจันทร ์ตะขอหยก (อวี้โกว) ได้ ร่วงลงสู่โลกมนุษย์แล้ว แต่ถึงอย่างไรบนฟ้ าก็ยังมีดวงจันทร ์อยู่อีกดวง
มีพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งหนึ่งที่เหลือเพียงรากฐานมีชื่อว่า ฉานกง สิ่งปลูกสร ้างเรียงรายหลายร ้อยหลังที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่ง นั้นล้วนพังราบเป็ นหน้ากลองในศึกเดินขึ้นสวรรค์ของยุคบรรพกาล
ตอนนั้นที่เสี่ยวโม่ตื่นขึ้นมาก็เคยเก็บซากปรักตาหนักดวงจันทร ์ แห่งหนึ่งไป ลักษณะคล้ายคลึงกับวังหลวงของเมืองหลวง
เฉินผิงอันจะนาไปมอบให้กับหลิวเสี้ยนหยางในนามของเสี่ยวโม่ เพื่อให้เป็ นของขวัญร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งงาน
ดังนั้นหากจะพูดถึงผู้ฝึกตนในใต้หล้าที่คุ้นเคยกับดวงจันทร ์เฮ่า ไฉ่มากที่สุด อันที่จริงก็ต้องบอกว่าคือเสี่ยวโม่ที่วันนี้ได้หวนกลับมา ยังสถานที่เดิมอีกครั้งถึงจะถูก
ตามการคาดเดาเดิมของเจ้าอารามผู้เฒ่า เชื่อว่าโจวมี่จะต้องทิ้ง ทางหนีที่ไล่ไว้ในเปลี่ยวร ้างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นอย่างน้อยก็ จะต้องช่วยให้หนึ่งในสองผู้ฝึกกระบี่บรรพกาลสองคนอย่างเสี่ยวโม่ และป๋ ายจิ่ง แน่นอนว่าความเป็ นไปได้น่าจะเป็ นป้ ายจึงที่มีคุณสมบัติ ในการฝึกตนดีมากกว่า ให้นางได้ผสานมรรคาเป็ นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ ขอบเขตสิบสี่ก่อนเพื่อเข้าไปเสริมตาแหน่งว่างของมือกระบี่หลิวชา ได้ทันเวลา
เพราะไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เจ้าอารามผู้เฒ่าที่ไม่เข้าข้างใคร ทั้งนั้นก็ไม่มีทางสิ้นเปลืองความคิดจิตใจและตบะในการอนุมาน ผลลัพธ ์
การเดินขึ้นฟ้ าของโจวมี่อยู่ตอนหลัง แท้ที่จริงแล้วการ “สลาย มรรคา” เกิดขึ้นก่อน
เพียงแต่ว่าการสลายมรรคาครั้งนี้มีวิธีการคล้ายคลึงกับการที่ปี นั้นโจวมี่กินปีศาจใหญ่ของเปลี่ยวร ้างไปตนแล้วตนเล่า ค่อนข้างลับๆ ล่อๆ ไม่เปิดเผยผึ่งผายมากพอ
บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่กายดับมรรคาสลาย ภายหลัง ภูเขาทั่วเยว่ถูกเฉินผิงอันที่ขอยืมขอบเขตไปจากลู่เฉินฟันผ่า ผู้ครอง ใต้หล้าคนใหม่ที่เปลี่ยวร ้างให้การยอมรับอย่างผู้ฝึกกระบี่เฝ่ ยหราน อายุยังน้อย อีกทั้งยังมีกาแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่ไม่ถูก เฉินผิงอันหล่อหลอมแล้วย้ายเอาไป บวกกับที่การดารงอยู่ของเฒ่า ตาบอดและภูเขาใหญ่แสนลี้ นี่จึงทาให้สถานะผู้ครองใต้หล้าของเฝ่ ย หรานตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่าได้มาอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรมมาโดย ตลอด สภาพการณ์ของเฝ่ ยหรานจึงคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษใหญ่ ภูเขาทัวเยว่
แต่ใต้หล้าไพศาลไม่มีปรมาจารย์มหาปราชญ์และศาลบุ๋นแล้ว ใต้หล้ามืดสลัวขาดมรรคาจารย์เต๋าและป๋ ายอวี้จิงไป ในช่วงกาลเวลา ที่ ‘ว่างเปล่า” นี้ บนเส้นทาง ไม่ว่าใครก็ล้วนช่วงชิงเป็ นที่หนึ่งได้
นี่หมายความว่าเส้นทางการเดินขึ้นสู่ยอดสูงของเผ่าปีศาจแห่ง เปลี่ยวร ้างจะโปร่งโล่งไร ้อุปสรรคขัดขวาง หลังจากนี้อีกร ้อยปีพันปี บนพื้นแผ่นดินของเปลี่ยวร ้างก็ได้ถูกลิขิตมาแล้วว่างูและมังกรจะ “ผุดขึ้นจากพื้นพสุธา” เหล่าผู้กล้าพากัน “ข้ามฝั่ง”
ขอแค่ป๋ ายเจ๋อออกจากหอพิทักษ์เมืองที่อยู่ในทวีปแดนเทพ แผ่นดินกลางของไพศาลหวนกลับไปยังเปลี่ยวร ้าง เรื่องที่ขอบเขต ของเขาเพิ่มสูงขึ้นก็ไม่ปล่อยให้ป๋ ายเจ๋อ “กดขอบเขต” ได้ตามใจ ปรารถนาอีกแล้ว นี่เป็ นเรื่องที่ตัวเขาเองควบคุมไม่ได้
เมื่อสงครามระหว่างสองใต้หล้าเริ่มต้นขึ้น สรรพชีวิตมอดม้วย มรณา ระหว่างที่เปลี่ยวร ้างกับไพศาลผลัดกันรุกผลัดกันรับไปมา หวังโหยวอู้ที่เริ่มลงมือผสานมรรคากับ “การปกครองที่รุนแรง โหดร ้าย” ของใต้หล้าแห่งหนึ่งมานานแล้ว
หลีโก้วที่สืบทอดนครไร ้ราตรีที่โจวมี่สร ้างขึ้นมาจากการกินตารา คล้ายกับว่าหอเก็บตาราบางแห่งของโลกมนุษย์แค่เปลี่ยนเจ้าของไป เท่านั้น เท่ากับว่าหลีโก้วได้สืบทอดตัวอักษรที่สร ้างขึ้นในเปลี่ยวร ้าง และสายธารแห่งสายปุ่ นทั้งหมดของภาษาทางการในใต้หล้าที่โจวมี่ ทิ้งไว้ให้ บวกกับหลีโก้วได้ฟื้นคืนบทบาทของ “บัณฑิต” ในยุคบรรพ กาลกลับคืนมา เดินไปบนเส้นทางตรงกันข้ามกับ “ความรู ้ที่ แพร่หลาย” ของหลายใต้หล้า ข้าหลีโก้วตั้งตัวเป็ นราชาอยู่ทางทิศ เหนือ