กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1061.3 ในดวงจันทร ์ สุราพอใช ้ได้
“ธงในตาหนักจื่อกงตั้งตรง โอรสสวรรค์ย่อมออกกรีธา หึหึ โอรส สวรรค์ นังหนูเจาเกอผู้นี้มีจิตใจทะเยอทะยาน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ ถึงขั้นที่ว่าจิตใจไม่ดีงามมากพอ นี่ก็ถูกต้องแล้ว”
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “หากพูดกันถึงการวางแผนทางใจ ก็ยังถือว่าเก่ง กว่าผู้ฝึกตนในทุกวันนี้
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้า “อ้อมไปอ้อมมา ก็ไม่รู ้ว่าโลกมนุษย์ ต้องสิ้นเปลืองแรงใจไปมากแค่ไหน””
“อะไรคือค าว่า “การจ าแลงแห่งมรรคา?”
อุตส่าห์ได้เจอกับสหายเก่าที่ยินดีจะดื่มเหล้าให้เต็มคราบและคุย เล่นอย่างสบายๆ ทั้งทีจึงเกิดแรงบันดาลใจ เจ้าอารามผู้เฒ่าเลยทา การถามตอบกับตัวเอง
“บ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอันที่อยู่ในตรอกหนีผิงก็คือการ จาแลงมรรคาอย่างหนึ่ง จวนประจาตระกูลของหลี่ซีเซิ่งที่อยู่บนถนนฝู ลู่ก็เป็ นเช่นเดียวกัน ภูเขาลั่วพั่วที่ตั้งอยู่ในที่ตั้งเก่าของถ้าสวรรค์หลีจู ก็ยิ่งเป็ นเช่นนี้”
“ก่อนอื่นคือต้องอยู่ที่เดิมไม่ย้ายถิ่นฐาน ไม่ได้เรียบง่ายเหมือน น้ามันที่ลอยอยู่บนผิวน้าหรือจอกแหนใบหนึ่งที่หมุนวนไปตาม
กระแสน้า ไม่ใช่ชาวเรือสัญชาติต่าต้อยของเมืองหงจู๋ที่ไม่ได้รับ อนุญาตให้ขึ้นฝั่ง แต่เป็ นตะปูดอกหนึ่งที่ถูกตอกลึกเข้าไปในพื้นดิน และหลุมในใจ น าพาจิตวิญญาณอันแรงกล้าที่ส่งผลกระทบต่อ ขนบธรรมเนียม ความสัมพันธ ์ผู้คนและใจคนบนวิถีทางโลกของพื้นที่ แห่งหนึ่งอย่างยาวนาน แต่การจาแลงบนมหามรรคาที่เป็ นเช่นนั้นก็ยัง เป็ นแค่ชั่วคราว ตื้นเขิน ไม่มั่นคง เป็ นแค่ร่องรอยบนหิมะเท่านั้น”
“อาจารย์ซานซานจิ่วโหวเคยไปพักอยู่ในบ้านหลังติดกับบ้าน บรรพบุรุษของเฉินผิงอันพักอยู่เพียงไม่นาน โรงเรียนเก่าของฉีจิ้งชุน เปิดสอนเด็กนักเรียนประถมมาประมาณหกสิบปีเรือนด้านหลังร ้านยา ตระกูลหยางที่ชิงถงเทียนจวินอยู่ อยู่ทีก็นานถึงหนึ่งหมื่นปี รอกระทั่ง คนจากลาหอเรือนว่างเปล่าก็กลายมาเป็ นดั่งหมอกควันที่ลอยผ่าน ตาไป หลงเหลือเพียงเส้นสายของ “จิตใจและเรื่องราว” ที่เหมือนตัด บัวแต่ยังเหลือใย ล้วนไม่ถือเป็ นการจ าแลงมรรคา”
เจ้าอารามผู้เฒ่าสะบัดชายแขนเสื้อ ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาด วงกลมวงหนึ่งไว้กลางอากาศ “สิ่งที่สาคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่ได้ กลายเป็ นฟ้ าดินเล็กที่พอปิ ดประตูลงแล้วการโคจรก็เป็ นระบบ ระเบียบ”
“แน่นอนว่านี่คือความตั้งใจของพวกเขา ใช่ว่าทาไม่ได้ แต่เป็ น เพราะไม่ยินดีจะท า ก็เหมือนที่ข้าจงใจทิ้งบ่อน้าบ่อหนึ่งไว้ในนครเสิ่น จิ่งต้าเฉวียนเหมือนกับที่ตงไห่แห่งอารามกวานเต๋าท า ไม่ได้ปิดประตู อย่างแท้จริง”
“รู ้หรือไม่ว่าท าไมปรมาจารย์มหาปราชญ์ถึงต่อสู้ไม่ชนะมรรคา จารย์เต๋า? นั่นก็เพราะต่อให้ไพศาลจะเคารพศาสตร ์ของลัทธิขงจื๊อ เพียงหนึ่งเดียว แต่กลับยังมีเมธีร ้อยสานักอยู่ด้วย”
“ส าหรับปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้ว ความรู ้ของทุกส านักก็คือ ภาระส่วนหนึ่งนอกจากต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วยังมีร ้อยบุปผาเบ่งบาน ทัศนียภาพงดงามสดใส เจ้าของต้องจ่ายราคาในการชมทิวทัศน์ที่ งดงามทุกวัน”
สิงกวานหาวซู่แห่งกาแพงเมืองปราณกระบี่ก็เคยใช ้ “ฉานเจ วียน” หนึ่งในกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาจ าแลงเป็ นเฮ่าไฉ่ ใช ้สิ่งนี้ สะบั้นการเชื่อมโยงบนมหามรรคาระหว่างดวงจันทร ์กับใต้หล้าเปลี่ยว ร ้าง
ภายหลังผู้ฝึกกระบี่หาวซู่ก็ฝึกตนอยู่ที่นี่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็เพื่อ ลบเลือน “ร่องรอยแห่งมรรคา” ส่วนนั้นทิ้งไป หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกตน ใหญ่ของใต้หล้ามืดสลัวมาพิศมรรคาอยู่ที่นี่ อาศัยเส้นสายนี้อนุมาน ออกมาเป็ นความจริงของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งได้มาก กว่าเดิม ศึกษาจนได้วิธีการในการเอาชนะเขาออกมาได้ นี่จะทาให้ หาวซู่สูญเสียความได้เปรียบยามที่ต้องถามกระบี่กับคนอื่น ผู้ฝึ ก ลมปราณบนยอดเขา นอกจากข้อยกเว้นที่พิเศษมากๆ แล้วล้วนยินดี ที่จะกุมวิธีการที่เป็ นท่าไม้ตายซึ่งใช ้รับมือกับผู้ฝึกกระบี่โดยเฉพาะไว้ ในมือหลายๆ รูปแบบ
เจ้าอารามผู้เฒ่าสะบัดชายแขนเสื้อ ม้วนภาพขุนเขาสายน้าใน สถานที่ต่างๆ ของเปลี่ยวร ้างก็ปรากฏขึ้นมา “ส่วนการเดินทางผ่าน ประเภทนี้ อย่าเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในตอนนี้มีมากมาย อันที่จริง กลับกลายเป็ นว่าคนในพื้นที่ได้รับบาดเจ็บ แต่เพียงไม่นานก็จะหายดี ได้ ค่อยๆ ลบเลือนอิทธิพลที่ได้รับไปได้เอง”
เป็ นผู้ฝึ กกระบี่ทั้งหลายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ที่มาเป็ น แขกในเปลี่ยวร ้าง เดินๆ หยุดๆ ไปตลอดทาง ไปเยือนสถานที่นับสิบ แห่ง
นครป๋ ายฮวา ซากปรักสนามรบโบราณหลงหง ภูเขาเขียวต้าเยว่ นครอวี้ป่ านราชสานักอวิ๋นเหวิน ภูเขาชุนเจี้ยน นครเซียนจาน สานักจิ่วเฉวียน ล าคลองเย่ลั่ว ภูเขาทั่วเยว่ ดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่
ปีนั้นอยู่ในพื้นที่ลับของอุตรกุรุทวีป “นักพรตซุน” ที่ไปเป็ นแขก อยู่ในอารามเสวียนตูเคยถ่ายทอดหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่ คล้ายคลึงกันนี้ให้กับสหายเฉิน
ก่อนหน้านั้นเฉินผิงอันก็เคยคิดพิจารณาถึงปัญหาข้อหนึ่ง
ไม่ใช่การรู ้แบบงูๆ ปลาๆ แต่เป็ นการทดลองที่จะย้อนทวนสืบเสาะ ไปถึงต้นก าเนิด
เฉินผิงอันบังเอิญได้เจอกับตู้อวี๋ที่ศาลเทพวารีในอาณาเขตของ ทะเลสาบชางอวิ๋น หลังจากสนิทสนมกันแล้วก็เคยสอบถามฝ่ ายหลัง
เกี่ยวกับ ‘สถานการณ์ยากลาบาก” ที่จอมยุทธใหญ่พบเจอความอ ยุติธรรมแล้วชักดาบเข้าช่วยเหลือ
พูดถึงแค่ก่อนหน้านี้ไม่นาน หลิ่วซัวที่ตอนนี้ชื่อเสียงยังไม่โด่งดัง ประโยคที่เขาพูดหลังจากได้พบเฉินผิงอันในห้องหนังสือของแคว้น ชิงหลวนก็หนีไม่พ้นต้องการพิสูจน์ว่าตัวเอง “เคยมาเยือนโลก
มนุษย์” แห่งนี้
เจ้าอารามผู้เฒ่าหันหน้ามาถาม “หวังหยวนลู่ อาจารย์ขอถาม เจ้าหน่อย หมื่นปีเต็มเวลายาวนานมากพอแล้วกระมัง ท าไมช่วงเวลา ระหว่างนี้คนฉลาดของบนโลกมนุษย์มีมากมายดุจขนวัว วีรบุรุษผู้ กล้าก็มีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าคนที่มหามรรคาไปถึงขอบเขตสิบห้า ได้กลับยังมีแค่สามคนก่อนหน้านี้เท่านั้น? หรือว่าการที่เพิ่มมาสักคน หนึ่งมันยากขนาดนั้นเลย?”
หวังหยวนลู่ที่ถอยกลับไปนั่งยองอยู่ที่เดิม มองดูเหมือนเอาสอง มือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ แต่แท้จริงแล้วกาลังศึกษาของขวัญพบ หน้าที่อยู่ในชายแขนเสื้อชิ้นนั้นอย่างละเอียดต้องเริ่มต้นที่ระดับขั้น ของสมบัติอาคมแน่นอน จะมีโอกาสเป็ นอาวุธกึ่งเซียนได้หรือไม่นะ?
หากไม่เป็ นเพราะผู้อาวุโสเสี่ยวโม่ที่มอบของขวัญให้ยังไม่จากไป ด้วยนิสัยความเคยชินของหวังหยวนลู่แล้วต้องเอามากัดเหมือนมัน เป็ นทองก้อนหนึ่ง ดูว่ามีรอยฟันหรือไม่เพื่อเอามาพิสูจน์ว่าเป็ นของ จริงหรือของปลอมอย่างแน่นอน
ได้ยินคาถามข้อนี้ของอาจารย์ หวังหยวนลู่ก็ตอบตามสัตย์จริง ว่า “คุณูปการของบรรพจารย์สามลัทธิเปี่ยมล้น ฝึ กตนได้อย่างไร ้ ข้อบกพร่อง ช่วยบุกเบิกมหามรรคาสามเส้นให้กับโลกมนุษย์ เป็ น การก่อตั้งลัทธิเรียกตัวเองเป็ นบรรพจารย์”
เดี๋ยวโม่หัวเราะ
เจ้าอารามผู้เฒ่ากล่าว “พูดภาษาคน”
หวังหยวนลู่พึมพาเสียงเบา “เป็ นหลักการเหตุผลที่อ่านมาจาก ในต ารา ท าไมถึงจะไม่ใช่ภาษาคนล่ะ”
นักพรตร่างผอมแห้งที่เคยติดอันดับตัวสารองสิบคนของคนรุ่น เยาว์แห่งหลายใต้หล้าผู้นี้มาจากสายของโจรขโมยข้าวสาร อยู่กับ ใครล้วนนอบน้อมคล้อยตามไปเสียหมด มีเพียงอยู่กับคนสนิทบางคน ที่เกือบจะพลาดนับเป็ นบรรพบุรุษเท่านั้นที่ถึงจะกล้าหาญ พูดจา องอาจแกร่งกล้ายิ่ง แน่นอนว่านักพรตที่เจอเรื่องอะไรหากหลบได้ก็จะ รีบหลบเลี่ยง พอเจอกับเรื่องที่หลบเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ขอแค่หวังหยวนลู่ เลือกที่จะลงมือก็จะต้องลงมืออย่างเอาเป็ นเอาตายแน่นอน
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะร่วน “มีแขกอยู่ด้วย เจ้าเป็ นลูกศิษย์ใหญ่ เปิดขุนเขาของอาจารย์ ต้องแสดงออกให้ดีหน่อย อาวุธเซียนในชาย แขนเสื้อชิ้นนั้น ลูบคลาจนร ้อนแล้วหรือยัง? หากอาจารย์จ าไม่ผิดล่ะ ก็ เจ้ายังไม่ได้มอบของขวัญกราบอาจารย์เลยนะ?”
พอหวังหยวนลู่ได้ยินว่านี่ถึงกับเป็ นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง สีหน้าก็ สดชื่นกระปรี้กระเปร่าทันใด พริบตานั้นก็พูดได้เป็ นน้าไหลไฟดับ ราวกับว่าหากไม่พูดให้หลายประโยคหน่อยก็จะผิดต่อของขวัญหนัก ล้าค่าชิ้นนี้
“บรรพจารย์สามลัทธิ เดิมทีพวกเขาก็คือผู้มีพรสวรรค์ในกลุ่มผู้ มีพรสวรรค์บนเส้นทางการฝึกตนอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้เปรียบในการชิง ลงมือก่อน ก็เหมือนกวีบทหนึ่งที่ผู้ที่เป็ นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลก มนุษย์คนนั้นเขียนเอาไว้ว่า “เงยหน้ามองดวงจันทร ์” คนรุ่นหลังที่แต่ง กลอน หากยังเขียนบทกลอนที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร ์อีกก็ช่วยไม่ได้ แล้ว จะต้องเสียเปรียบอย่างมาก เขียนว่าแหงนหน้ามองดวงจันทร ์ก็ ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ไม่ถูกด่าว่าลอกผลงานคนอื่นก็ถือว่าดีแล้ว อย่างมากสุดก็ต้องเขียนว่าก้มหน้ามองดวงจันทร ์ นั่นถึงจะถือว่ามี ความแปลกใหม่ แต่การเขียนเกี่ยวกับดวงจันทร ์ในสายน้า ถึงอย่างไร ก็ไม่สู้เขียนถึงดวงจันทร ์บนท้องฟ้ าที่ฟังแล้วมีพลังมากกว่า หาก เปลี่ยนเป็ นการฝึกตน เป็ นมรรคาก็จะเล็กแล้ว”
“พวกเขาแต่ละคนได้ครอบครองใต้หล้ากันคนละแห่ง มหา มรรคาโคจรได้อย่างสมบูรณ์แบบและเป็ นหนึ่งเดียวกัน ฟ้ าดินหยินห ยางสามหลักห้าธาตุ ตะวันจันทราดาราภูเขาสายน้า สรรพชีวิตล้วน เดินไปบนเส้นทาง ยากที่จะหลบหลีกกฎเกณฑ์ตายตัว ต่อให้เจ้าจะ เป็ นผู้ฝึกลมปราณมานานพันพันหมื่นปี เส้นทางการฝึกตนมีหมื่น
หมื่นพันเส้น ขอบเขตบินทะยานก็ยังอยู่แค่ที่ยอดเขา และขอบเขตสิบ สี่ก็ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์อยู่ดี”
เสี่ยวโม่พยักหน้า
เจ้าอารามผู้เฒ่าถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าหากมรรคาจารย์เต๋า มีชีวิตอยู่ได้อีกหมื่นปี ทาอย่างไรถึงจะมีโอกาสเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบ
ห้า?”
หวังหยวนลู่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ทางที่ดีที่สุดคือ ต้องเปลี่ยนพื้นที่ที่เป็ นเขตอิทธิพลใหม่ คล้ายคลึงกับใต้หล้าห้าสีซึ่ง เป็ นใต้หล้าใหม่ล่าสุด สถานที่ต้องใหญ่มากพอ ใหญ่จนสามารถ รองรับมหามรรคาได้ การฝึกกระบี่ การฝึกวรยุทธ สามลัทธิรวมเป็ น หนึ่ง ฝึกวิชาอภินิหารบรรพกาล สิ่งที่ข้าคิดได้ก็มีแค่เส้นทางสี่สายนี้”
“บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทั่วเยว่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ท าไมถึง ไม่อาจเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบห้าได้?”
เพียงแค่เพราะปีนั้นเฉินชิงตูจับมือกับกวนจ้าวและหลงจวินพา กันไปถามกระบี่ที่ภูเขาทั่วเยว่ ถึงได้ทาให้ผู้ปกครองเผ่าปีศาจในโลก มนุษย์ผู้นี้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการผสานมรรคากับใต้หล้าเปลี่ยว ร ้างไป
แล้วก็ยิ่งเป็ นเพราะหลังจากนั้นมามีกาแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตั้ง ตระหง่านไม่ล้มลงและภูเขาใหญ่แสนดี้ที่หยั่งรากอยู่ในเปลี่ยวร ้าง เป็ น เหตุให้ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างมี “มหามรรคาที่ไม่สมบูรณ์
บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทั่วเยว่มิอาจเดินขึ้นสู่ยอดสูงได้เสียที นี่จึง ทาให้โจวมี่ที่มาในภายหลังฉวยโอกาสไปได้
และสถานที่สองแห่งนี้ก็มีสถานการณ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ อารามกวานเต๋าของตงไห่ที่ตั้งอยู่ในใบถงทวีป สานักชั้นสูงของ ไพศาลอย่างภูเขามังกรพยัคฆ์แผ่นดินกลางอารามเสวียนตู ต าหนัก
หัวหยางเว้นจากป๋ ายอวี่จิงของใต้หล้ามืดสลัว
สานักอักษรจงเหล่านี้ ต่อให้มีผู้ฝึ กตนขอบเขตสิบสี่นั่งบัญชา การณ์ก็ยังมีการแบ่งหลักรอง มีการแบ่งระหว่างเจ้าเหนือหัวกับขุน นางอย่างชัดเจนกับศาลปุ่นและป๋ ายอวี้จิง
แต่กาแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาใหญ่แสนลึกลับต่างออกไป อย่างสิ้นเชิง ถือเป็ นเขตอิทธิพลขนาดใหญ่ที่ถูกตัดแบ่งออกไปจาก ใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ถือว่าตั้งป้ อมประจันหน้ากันกับมรรคาของภูเขาทั่ว เยว่
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มถาม “เสี่ยวโม่ รู ้หรือไม่ว่าทาไมมรรคาจารย์ เต๋าถึงได้ปรากฏตัวที่นครจักรพรรดิขาว?”
คาเรียกขานใหม่อย่างเสี่ยวโม่นี้ เจ้าอารามผู้เฒ่าเรียกอย่าง คล่องปากมาก
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า
เจ้าอารามผู้เฒ่าทอดถอนใจ “เจิ้งจวีจงถือเป็ นคนที่ประหลาด มากคนหนึ่ง เขาคิดอยากจะพิสูจน์มาโดยตลอดว่าตัวเองไม่ใช่ มรรคาจารย์เต๋า”
เสี่ยวโม่ถาม “หากคิดจนเข้าใจกระจ่างแล้ว ไม่ว่าคาตอบจะใช่ หรือไม่ใช่ เจิ้งจวีจงก็คิดจะเปลี่ยนจากแขกมาเป็ นเจ้าบ้านหรือ?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ คุยเล่นกันก็ควรต้องคุยอย่างนี้จริงๆ เสียด้วย
เสี่ยวโม่ถามอย่างสงสัย “จะท าได้หรือ?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้มเอ่ย “จะทาได้หรือไม่ได้ก็ต้องลอง ดูก่อนถึงจะรู ้”
ก็เหมือนอย่างเขาที่อยู่ในอารามกวานเต๋า ใช ้พื้นที่มงคลดอกบัว ทั้งแห่งมาถามมรรคากับถ้าสวรรค์เล็กเหลียนฮวาที่มรรคาจารย์เต๋า เป็ นผู้เฝ้ าพิทักษ์นานหลายพันปี พยายามที่จะพลิกฟ้ าพลิกดินสลับ สับเปลี่ยนจักรวาล ก็ยังทาไม่สาเร็จเหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่ขั้นตอนนี้ เดิมทีก็เป็ นการฝึกตนอย่างหนึ่งอยู่แล้ว
พูดถึงใต้หล้ามืดสลัวในทุกวันนี้ หากมองในระยะยาว สาหรับใน ความเห็นของเจ้าอารามผู้เฒ่าแล้ว ผู้ที่จะเป็ นภัยคุกคามใหญ่ที่สุด ส าหรับป๋ ายอวี้จิง อันที่จริงก็คือยอดเขารุ่นเยว่ที่จางเฟิงไห่กับผู้ฝึก ยุทธซินขู่ร่วมมือกัน
เดินกันคนละเส้นทางกับป๋ ายอวี้จิง มีทั้งชื่อเสียงแล้วก็มีทั้ง ผลประโยชน์ นี่ต่างหากจึงจะเป็ นมรรคาหล่อหลอมฟ้ าดินที่แท้จริง
หากเจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงเดินไปบนเส้นทางสายเก่าของมรรคา จารย์เต๋าผู้เป็ นอาจารย์ ต่อให้เขา “แปรเปลี่ยนหนึ่งชี่ (พลังชี่หรือ ลมปราณ พลังที่เล็กที่สุดในร่างกาย) เป็ นซานชิง (หรือไตรวิสุทธิเทพ เทพเจ้าสูงสุดของลัทธิเต๋าสามองค์)” หวนกลับมายังป๋ ายอวี้จิง ก็ยาก ที่จะเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบห้าได้อยู่ดี
เว้นเสียแต่ว่าอวี้โต้วพกกระบี่ออกเดินทางไกลแต่เนิ่นๆ ถอนราก ถอนโคนผู้ฝึ กลมปราณกลุ่มที่มีซินขู่ จางเฟิ งไห่เป็ นผู้น าให้หมด โดยเร็ว จากนั้นพังยอดเขารุ่นเยวให้ราบเป็ นหน้ากลอง ทุบท าลายให้ แหลกลาญ
แต่นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยการกระทาของอวี๋โต้ว
เพราะอวี๋โต้วชอบว่าไปตามสถานการณ์ ดูแค่ถูกผิดต่อเรื่องนั้นๆ เท่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือตามความเห็นของอวี๋โต้วแล้ว ใต้หล้าทั้งแห่งไม่มี การแบ่งในนอกป๋ ายอวี้จิงอะไรทั้งนั้น ถึงขั้นที่ว่าไม่มีการแบ่งบนภูเขา และล่างภูเขาอะไรด้วย
ขอแค่เป็ นคนที่ทาความผิด หากมาตกอยู่ในมือของอวี๋โต้ว ไม่ว่า เจ้าจะมีสถานะมีภูมิหลังเป็ นเช่นไร จะยอมรับตั้งแต่ตอนนี้หรือไม่ วัน หน้าจะแก้ไขความผิดหรือไม่ ล้วนไม่มีความหมายใดๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ซินขู่กับจางเฟิ งไห่ย่อมมิอาจ ประคับประคองกันและกันได้อย่างยาวนาน มิอาจต้านทานการดัก สังหารครั้งแล้วครั้งเล่าของอวี๋โต้วได้ ถ้าอย่างนั้นหากจู่ๆ มีเจิ้งจวีจงที่ เข้ามาปั่นป่วนสถานการณ์เพิ่มมาอีกคนล่ะ?
หากสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าบีบให้ลู่เฉินจ าต้องเข้ามาอยู่ใน สถานการณ์ ผลกรรมในโลกโลกีย์พัวพันกันหนาถี่มากเกินไป ยาก ที่จะประคับประคองสภาพการณ์ของเรือกลวงลาหนึ่งในฟ้ าดินไว้ได้ อีก ได้แต่ลดขั้นบันไดบนมหามรรคาลงไปหนึ่งชั้น หรือไม่ก็ต้อง เปลี่ยนเส้นทาง หลังจากนั้นถูกสถานการณ์ใหญ่ห่อหุ้มมิอาจหลุด พ้นออกมาได้ สิบสี่มณฑลของมืดสลัวล้วน “แผ่นดินจมดิ่ง” (ภาษาจีนอ่านว่าลู่เฉิน) หนึ่งทวีปหรือถึงขั้นหลายทวีป แล้วลู่เฉินควร จะจัดการกับตัวเองอย่างไร? ยังจะพูดถึงการก้าวเข้าสู่ขอบเขตสิบห้า ที่มองดูเหมือนขาดอีกแค่ก้าวเดียวอย่างไรได้อีก?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจิ้งจวีจงก็คือคนคนหนึ่งที่แสวงหามรรคาด้วย ความบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด
แต่นี่ไม่ขัดต่อการที่เจิ้งจวีจงคิดจะทุ่มไหที่แตกให้แหลก ให้ทั้งใต้ หล้ามืดสลัวปูแผ่เต็มไปด้วยร่องรอยอันหนาขันที่เขา “สลายมรรคา ของเจิ้งจวีจงที่เป็ นขอบเขตสิบสี่สองคนหรืออาจถึงขั้นสามคน
นี่ก็มากพอจะทาให้ใต้หล้ามืดสลัวผลัดเปลี่ยนฟ้ าดินแล้ว
หากเจิ้งจวีจงยังมีทางหนีทีไล่ไว้รับมือ ล้มก่อนแล้วค่อยหยัดยืน ขึ้นมาอีกครั้งเล่า?
การ “แลกตัวหมาก” ที่ไม่เคยมีใครทาได้มาก่อน อีกทั้งจะไม่มี ใครท าได้อีกในภายหลังครั้งนี้ จานวนเม็ดหมากของอวี๋โต้วและป๋ า ยอวี้จิง แน่นอนว่าต้องมีเยอะมาก แต่กระนั้นก็ยังมีจ านวนจ ากัด ไม่
ถึงกับว่าไร ้ขีดจากัดอย่างสิ้นเชิง
หากมีการประลองหมากล้อมกัน เม็ดหมากที่อยู่ในโถเก็บเม็ด หมากข้างมือของอวี๋โต้วมีแต่จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ อาจมีเพิ่มขึ้นมาได้ บ้าง แต่กระนั้นสถานการณ์ก็จะยังคงเป็ นรายรับที่ไม่พอกับรายจ่าย มี แต่จะลดแล้วลดอีก
ทว่าหากเจิ้งจวีจงแค่ต้องรับประกันว่าตัวเองจะไม่ถูกใครฆ่าตาย ไม่ถึงขั้นมีจุดจบที่ต้องกายดับมรรคาสลาย เมื่อเป็ นเช่นนี้ ต่อให้ จานวนเม็ดหมากของเจิ้งจวีจงในปัจจุบันจะอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบ กับป๋ ายอวี้จิงได้ติด ทว่ากระดานหมากของเขาคือใต้หล้ามืดสลัวทั้ง แห่งหรือแม้กระทั่งอาจรวมถึงไพศาล ห้าสีและเปลี่ยวร ้างไว้ด้วย อีกทั้ง จานวนเม็ดหมากที่อยู่ในโถเก็บสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่ง นานก็ยิ่งมีมาก เพิ่มแล้วเพิ่มอีก
ศาลบู๊แห่งใหม่ที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาในใต้หล้ามืดสลัว ข้าเจิ้งจวีจง ปานประหนึ่งเทพองค์แรกในภาพแขวนตรงกลาง
รอกระทั่งใต้หล้าเกิดความวุ่นวายอลหม่าน ดินปื นจากไฟ สงครามแผ่ลามไปทั่วสิบสี่มณฑล ก็คือการบูชาควันธูปที่มากมายหา ที่สิ้นสุดไม่ได้ต่อศาลบู๊ใหม่เอี่ยมแห่งนี้
เจ้าอารามผู้เฒ่าเงยหน้ามองไปยังทิศไกล
กลัวก็แต่ว่าเจิ้งจวีจงที่อยู่ในโลกมนุษย์จะสมคบคิดกับโจวมี่ที่อยู่
บนฟ้ ามานานแล้วคือคนที่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน
การสมคบคิดประเภทนี้ไม่ได้พูดถึงการปรึกษาหารือกันต่อหน้า
หากเป็ นเช่นนี้จริงเชื่อว่าเจิ้งจวีจงต้องไปอยู่ในสวนกงเต๋อของ ศาลบุ๋นนานแล้ว
แต่เป็ นความรู ้ใจที่เชื่อมโยงถึงกันโดยที่ทั้งสองฝ่ ายไม่จาเป็ นต้อง พูดอะไรแม้แต่ค าเดียว ถึงขั้นที่ว่าไม่ขัดต่อการที่พวกเขาจะเป็ นศัตรู ของกันและกันในช่วงเวลาหนึ่ง
ข้าแค่ท าไปตามแนวทางของข้า ต่างคนต่างเดินไปบนเส้นทาง ของตัวเอง แต่สุดท้ายก็จะมีวันหนึ่งที่เส้นทางแตกต่างมาบรรจบเป็ น เส้นทางเดียวกัน
เจ้าอารามผู้เฒ่าใช ้นิ้วแตะไปบนหน้าโต๊ะ มีมดตัวหนึ่งก่อตัว ขึ้นมาตรงปลายนิ้วของเขา ริ้วน้ากระเพื่อมเหมือนดอกบัวดอกหนึ่ง เบ่งบาน สุดท้ายหยุดนิ่งกลายเป็ นม้วนภาพที่มีเส้นสายชัดเจน
มดตัวนั้นเหมือนไต่ไปบนกระดาษแผ่นใหญ่ รอยน้าหมึกเข้มข้น มดเหมือนอยู่ในเขาวงกตที่หันไปทางไหนก็เจอแต่กาแพงบัง จ าเป็ นต้องคอยเดินอ้อมผ่านไปอยู่ตลอด
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ชักใยหุ่นเชิด ไม่รู ้ว่าตัวเองคือ คนที่ชักใยหุ่นเชิด ก็คืออิสระ”
“มรรคาไม่มีสิ่งใดชดเชยได้ บางทีอาจจะหลุดพ้นจากรั้วล้อมของ ตัวอักษรและภาษาหรือบางทีอาจจะอาศัยก าลังของตัวเองคนเดียว ลากกระชากให้ใจคนบนโลกขยับขึ้นสูง นี่ต่างก็เป็ นมหามรรคาอย่าง หนึ่ง”
เวลาหมื่นปีอันยาวนาน เพียงพริบตาก็ผ่านพ้นไป ดื่มน้าก็ลืมคน ที่ขุดบ่อน้าไปนานแล้ว
ดื่มเหล้าไยต้องรู ้ว่าคนที่หมักเหล้าคือใคร รสชาติสุราพอใช ้ได้ก็ เพียงพอแล้ว
เสี่ยวโม่ยกชามเหล้าขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “หากมีเรื่องให้กลุ้มก็ค่อย กลุ้มใหม่ มีเหล้าก็ดื่มเหล้า”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เสี่ยวโม่ ความสามารถใน การยุให้คนดื่มเหล้าในทุกวันนี้ร ้ายกาจมากแล้วนะ”
เสี่ยวโม่มิอาจละโมบเอาคุณความชอบมาเป็ นของตน จึงอธิบาย ว่า “เป็ นแค่ความสามารถไม่กี่ส่วนที่เรียนรู ้มาจากคุณชายเท่านั้น”
เจ้าอารามผู้เฒ่าได้ยินก็รีบหันหน้าไปอีกด้านร ้องว่าปัดโธ่แล้วถ่ม น้าลายลงพื้น