กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1062.1 ไร ้เทียมทานปลอม ไร ้เทียมทานที่แท้จริง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1062.1 ไร ้เทียมทานปลอม ไร ้เทียมทานที่แท้จริง
ต าหนักสุ่ยฉู
หอกว้านเชวี่ยริมชายฝั่ง หินพักมังกรกลางแม่น้า
อู๋ซวงเจี้ยงรับรองแขกด้วยตัวเอง เขาออกไปต้อนรับอาจารย์และ ศิษย์สามคน พวกเขามาถึงอย่างเงียบเชียบ
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ผีเซียนหญิงเป่ าหลิน หนึ่งในตัว ส ารองสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว
เดินไปริมฝั่งของแม่น้าด้วยกัน อู๋ซวงเจี้ยงได้ร่ายวิชาสกัดกั้นฟ้ า ดิน ป้ องกันก าแพงมีหูประตูมีช่องเอาไว้แล้ว แน่นอนว่ากาแพงนี้ ค่อนข้างหนาก็เท่านั้น ด้านหนึ่งคือตาหนักสู้ยฉู อีกด้านหนึ่งก็คือป๋ า ยอวี้จิง
เป่ าหลินกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “เจ้าต าหนักอู๋ พวกเขาคือลูก ศิษย์ที่ข้ารับมาใหม่ หลวี่อี่ ชิวอวี้อี้ หลายปีมานี้ ข้ารับพวกเขามาเป็ น ลูกศิษย์แค่สองคนเท่านั้น วันหน้าก็ขอมอบให้ต าหนักสุ้ยฉูของพวก ท่านแล้ว”
ผู้ฝึ กกระบี่รุ่นเยาว์สองคนที่ได้เจอเจ้าตาหนักสุ่ยอูผู้มีชื่อเสียง ยิ่งใหญ่เลื่องลือ ดวงตาก็เต็มไปด้วยแววสงสัยใคร่รู ้
ไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัวอะไร เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็คือลูก ศิษย์ผู้สืบทอดของเป่าหลิน
อาจารย์ยังกล้ารับกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่าจากผู้ไร ้เทียมทานที่ แท้จริงคนนั้น พวกเขาทีเป็ นลูกศิษย์ แค่ได้เจอกับผู้ฝึ กตนใหญ่ ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งก็ไม่ควรถึงขั้นทาท่าหวาดกลัวย าเกรงหรอก
กระมัง
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะถ่ายทอดมรรคาให้กับ พวกเขาด้วยตัวเองในอนาคตรอให้พวกเขามีความสามารถในการ ปกป้ องตัวเองได้แล้วก็สามารถไปก่อส านักตั้งพรรคด้วยตัวเองได้เลย จะมีการแบ่งภูเขาสองลูกออกเป็ นสองสาย หนึ่งคือสายผู้ฝึกกระบี่ อีก หนึ่งคือสายค่ายกลยันต์สายของค่ายกลยันต์ข้าพอจะถือว่าเดินเข้า ห้องได้แล้วเมื่อเทียบกับเต้ากวานบนยอดเขากลุ่มเล็กที่อาศัยสิ่งนี้มา ประทังชีพ ข้าย่อมด้อยกว่าไม่น้อยแต่หากจะพูดถึงระดับปลายแถว ของใต้หล้าก็พอจะนับเป็ นหนึ่งในนั้นได้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ชิ วอวี้อี้เหมาะจะฝึกควบค่ายกลยันต์มากกว่า หลวี่อี่สามารถตั้งใจฝึก กระบี่ได้”
เป่าหลินหยิบตาราลับเล่มหนึ่งที่เก็บรักษาไว้อย่างดีมานานหลาย ปีออกมาจากชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “จะต้องสอนเรื่องพวกนี้ให้กับชิวอวี้ อี้ด้วย”
อู๋ซวงเจี้ยงรับมา ยิ้มเอ่ยว่า “คาพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน ข้า ย่อมสอนได้อยู่แล้วสามารถรับรองได้ว่าไม่แย่ไปกว่าที่ใครบางคนจะ
สอนด้วยตัวเองเลย แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าคุณสมบัติของชิวอวี้อี้นั้นคง จะฝึ กสาเร็จได้สักเจ็ดแปดส่วน แต่รอกระทั่งเปิดภูเขาก่อตั้งพรรค เมื่อไหร่ ชิวอวี้อี้ส่งต่อควันธูปสายค่ายกลยันต์ออกไป รับลูกศิษย์ที่ดี มาสักคนก็พอหากลูกศิษย์ผู้สืบทอดยังไม่ได้เรื่องก็ต้องฝากความหวัง ไว้ที่ลูกศิษย์ของลูกศิษย์แล้ว”
ในวันเวลาที่ป๋ ายอวี้จิงยังมีแค่สามนครหกหอเรือน ใต้หล้ามืด สลัวเคยมีสหายรักอยู่สี่คนที่ออกท่องไปทั่วใต้หล้าด้วยกัน
อวี๋โต้ว หลิวฉางโจว “นักพรตโก้ว” ที่เชี่ยวชาญวิถีแห่งยันต์ สิง โหลวอาจารย์ค่ายกลที่มีฉายาว่า “เทียนฉือ” เป่ าหลินเซียนกระบี่ หญิง
ผลคืออวี๋โต้วได้กลายเป็ นลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋า สุดท้ายรับหน้าที่เป็ นเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ ายอวี้จิง ส่วนอดีตของเจียง จ้าวหมอเจ้าหอจื่อซี่ในทุกวันนี้ก็คือหลิวฉางโจว
ถ้าอย่างนั้นตาราลับเล่มที่เป่ าหลินมอบให้กับอู๋ซวงเจี้ยงในวันนี้ มรรคกถาที่บันทึกเอาไว้ก็ย่อมมาจากการทุ่มเทสติปัญญาและก าลัง กายใจตลอดชีวิตของสิงโหลวอาจารย์ค่ายกลแล้ว
เป่าหลินใช ้เสียงในใจถามว่า “อู๋ซวงเจี้ยง คราวก่อนเจ้าบอกว่าจะ สั่นคลอนรากฐานของป๋ ายอวี้จิง อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ฝึกตนขอบเขต สิบสี่ที่พลังพิฆาตสูงมากพอสามคน อีกทั้งยังต้องเตรียมใจไว้แล้วว่า จะได้แต่ไปมิอาจกลับ ตอนนี้เจ้าสามารถบอกกับข้าได้หรือยังว่า
นอกจากเจ้าแล้วยังมีชุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู คนสุดท้ายล่ะเป็ น ใคร? เกากูแห่งต าหนักหัวหยางหรือ? เขาเองก็ต้องใช ้เวลาจึงจะเลื่อน เป็ นขอบเขตสิบสี่ได้เหมือนเจ้าหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า “เจ้าอารามซุนไม่ได้อยู่ในรายชื่อสามคน ที่ว่านี้”
ความนัยนอกเหนือจากประโยคนี้ก็คือเกากูที่มีฉายาว่า “จวี่เยว่” ก็คือหนึ่งในสามคนนั้น
เป่าหลินถอนหายใจเบาๆ ถามว่า “ข้ากับเขามีความแค้นส่วนตัว ต่อกัน เจ้าเองก็ใช่เจ้าอารามซุนกับเกากู…ดูเหมือนว่าก็ใช่ด้วย”
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า “มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้นที่ถือว่าเป็ น ความแค้นส่วนตัว เจ้าอารามชุนกับเจ้าตาหนักเกาไม่ได้เป็ นเช่นนี้”
เป่ าหลินคร ้านจะซักไซ ้ไล่เรียงไปมากกว่านี้ ในเมื่อตัดสินใจดี แล้วก็ไม่ถือสาเรื่องพวกนี้อีก
แม้ว่าเกากูจะมีลูกศิษย์เยอะ แต่ชีวิตนี้เขาไม่มีลูกหลาน ส่วนลูก ศิษย์คนเล็กที่เขาฝากความหวังไว้ให้มากที่สุดก็มาจากสกุลหยางหง หนงแห่งโยวโจว เกากูมองอีกฝ่ ายเป็ นเหมือนลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง มาโดยตลอด
ส่วนศิษย์น้องและศิษย์หลานของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตู
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ ์ระหว่างศิษย์พี่หญิงหวังซุนกับ ศิษย์น้องชายคนนั้นของนาง แม้แต่ผู้ฝึ กกระบี่ที่ไม่ชอบสืบข่าวบน ภูเขาที่สุดอย่างเป่าหลินก็ยังเคยได้ยินมาก่อน
แม้ว่าจะมีการสกัดกั้นฟ้ าดิน แต่ก็ยังมีลมแม่น้าพัดโชยมาปะทะ ใบหน้า เส้นผมตรงจอนหูของเซียนกระบี่หญิงปลิวเบาๆ ดวงตาเรียว ยาวคลอประกายน้าคู่นั้นฉายแววหนักแน่นมากเป็ นพิเศษ
เซียนกระบี่หญิงที่เป็ นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดผู้นี้ ต่อให้ กลายไปเป็ นผีก็ยังคงรักมั่นลึกซึ้งต่อคนรัก ใจนี้ไม่เคยแปรเปลี่ยน พันปีผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า ความรักนี้ก็ไม่เคยลดน้อยลงแม้สักเศษ เสี้ยว
อู๋ซวงเจี้ยงหันไปมองสายน้าที่ไหลไปทางทิศตะวันออก
รูปแบบของทหารเหมือนน้า น้าย่อมหลีกเลี่ยงที่สูงและไหลไปสู่ที่ ต่า ลักษณะของกองทัพก็เช่นกัน หลีกเลี่ยงจุดแข็งและเข้าโจมตี จุดอ่อน
เมื่อใต้หล้าไม่ใช่ใต้หล้าของคนคนเดียวอีกต่อไป
ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ใต้หล้าจะเป็ นของใครก็บอกได้ยากแล้ว
การสลายมรรคาของมรรคาจารย์เต๋า เจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงยังไม่ หวนกลับคืนมา อวี๋โต้วผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริงดูแลกิจธุระในป๋ ายอวี้ จึงเป็ นเวลาหนึ่งร ้อยปี ลู่เฉินยังไม่ตื่นจากฝันชิงซานลูกศิษย์ปิดส านัก ของมรรคาจารย์เต๋ายังไม่อาจสยบใจคนได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “หากอวี๋โต้วไม่เป็ นผู้ไร ้เทียมทานมากพอ ข้า วางแผนอย่างล าบากยากเย็นมานานหลายปี ขนาดนี้ ระมัดระวัง รอบคอบทุกก้าวย่างเพื่อหวังเล่นงานเขา แต่ก็ไม่เคยกล้าเผชิญหน้า เข่นฆ่ากับเขาเลยสักครั้ง นี่ก็ไม่ใช่ว่าข้าเทียบกับตัวตลกที่ดีแต่
กระโดดโลดเต้นไม่ได้หรอกหรือ?”
คนในใต้หล้าต่างก็ยกเอาแต่เรื่อง “ผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริง” มา พูดกัน ก็เพียงแค่เพราะว่าสิ่งเดียวที่พอจะวิจารณ์อวี๋โต้วได้ก็มีแต่เรื่อง นี้เท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉายาผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริงนี้ เดิมทีก็ เป็ นคากล่าวที่โลกภายนอกมอบให้กับอวี๋โต้วในปีนั้น ไม่ใช่อวี๋โต้ว ที่ตั้งให้ตัวเอง
สัมผัสได้ถึงภาพเหตุการณ์ผิดปกติของนอกฟ้ า เป่าหลินมีสีหน้า ซับซ ้อน ถามอย่างใคร่รู ้ว่า “ข้ารู ้ว่าเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้ นั้นเก่งกาจมาก แต่เขาร ้ายกาจขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”
“เจิ้งจวีจงร ้ายกาจแค่ไหน ไม่กลายเป็ นศัตรูบนมหามรรคากับ เขาก็จะไม่มีทางรู ้ความจริงข้อนี้ไปตลอดกาล”
อู๋ซวงเจี้ยงไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงยิ้มเอ่ยว่า “จิตแห่งมรรคา มรรค กถา การประลองทางจิตใจ การประคองทางพละกาลัง อาจารย์เจิ้ง ล้วนเชี่ยวชาญทั้งหมด”
เป่าหลินมีเพียงความเงียบงัน
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “สหายเป่ าหลิน ในเมื่อเป็ นพันธมิตรที่ร่วมมือ กันอย่างจริงใจ ข้าก็จะพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง หลายปี มานี้ใน ต าหนักสุ่ยฉูของพวกเรา ดูเหมือนว่านอกจากเสี่ยวป๋ ายแล้วก็ไม่เคย มีใครไปเยือนมาก่อน เทียบกับศาลบรรพจารย์และหอกว้านเชวี่ยแล้ว
ธรณีประตูของสถานที่แห่งนั้นก็สูงกว่าเยอะมาก”
เป่าหลินพยักหน้า “ไปเปิดหูเปิดตาก็ดีเหมือนกัน”
อู๋ซวงเจี้ยงเดินนาไปก่อนก้าวหนึ่ง เป่ าหลินขยับเท้าก้าวตามไป ท่ามกลางหมอกขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา พวกเขามาถึงพื้นที่ลับแห่ง หนึ่ง ในฟ้ าดินเล็กแห่งนี้ถึงกับไม่มีปราณวิญญาณแม้แต่เสี้ยวเดียว
ส่วนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสองคนที่เป็ นประหนึ่งหยกคู่กลับถูกทิ้งไว้ ที่เดิม
ภูเขาเล็กลูกหนึ่งที่ไม่สูง อบอวลไปด้วยเมฆหมอกโอบล้อม ตรง ตีนเขามีร ้านอยู่แห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าที่ใบหน้าเปล่งปลั่งแต่ดวงตากลับ มืดมนคนหนึ่งกาลังนั่งอาบแดดสูบยาสูบอยู่ข้างโต๊ะ
อู๋ซวงเจี้ยงอธิบายให้เป่ าหลินฟังด้วยรอยยิ้ม “ภูเขาลูกนี้ชื่อ ว่าชวอเหอ ร ้านแห่งนี้ชื่อว่าร ้านหมั้นหมาย และยังเป็ นร ้านแรกบน โลกมนุษย์ อยู่มานานหลายปีแล้ว”
ในห้องมีโครงของเตียงหลังหนึ่งที่สร ้างขึ้นด้วยฝี มือประณีติ ซับซ ้อนอย่างถึงที่สุด ทุกปี อู๋ซวงเจี้ยงจะมาประกอบชิ้นส่วนเล็กๆ แกะสลักอย่างตั้งใจ เรื่องนี้รีบร ้อนไม่ได้
นี่คือหนึ่งในสินเดิมที่เขาเตรียมไว้ให้บุตรสาวของตัวเอง อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ยทักทาย “อาจารย์ไช่ แขกผู้มีเกียรติที่อยู่ข้าง
กายข้าคนนี้คือผู้ฝึกกระบี่เป่าหลิน”
ผู้เฒ่าแซ่ไฉ่เหลือบมองเป่ าหลินแล้วถอนหายใจเบาๆ สายตา ฉายแววเวทนา เอ่ยเนิบช ้าว่า “สตรีที่มีความรักลึกซึ้งอย่างเจ้า หาได้ ไม่ง่ายนัก”
เป่าหลินไม่รู ้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
นางไม่ใช่ผู้ฝึกบาเพ็ญตนที่มีความรู ้กว้างขวาง ตลอดชีวิตที่ผ่าน มาตั้งใจหลอมกระบี่อย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นภูเขาชวอเหอ ร ้านหมั้น หมาย หรือผู้เฒ่าแช่ไช่อะไร รู ้แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากไม่รู ้
อู๋ซวงเจี้ยงหยิบถุงผ้าแพรใบหนึ่งที่ส่องประกายรัศมีแวววาว ออกมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ “หลายปีมานี้ทางฝั่งของป๋ ายอวี้จิงจับตา มองอย่างเข้มงวด ดังนั้นส่วนแบ่งจึงธรรมดา”
ผู้เฒ่าเหลือบตามองถุงใบนั้น พยักหน้า “ไม่เป็ นไร แค่มีเส้นผม ของสตรีจากใต้หล้าห้าสีก็พอแล้ว สิ่งของอย่างเส้นผมนั้น ไม่เคยเน้น ในเรื่องจ านวนอยู่แล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็เลิกเปลือกตาขึ้นมองมวยผมของเป่ า หลิน สายตาที่เดิมที่ขุ่นมัวของผู้เฒ่าพลันเปลี่ยนมามีประกายสดใส ประหนึ่งได้เห็นสมบัติล้าค่า
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “สหายเป่าหลิน เจ้ายินดีจะตัดผมสักปอยหนึ่ง มอบให้กับอาจารย์ไช่หรือไม่?”
เป่ าหลินไม่สงสัยในเจตนาของอู๋ซวงเจี้ยงแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ ถามว่าอีกฝ่ายจะเอาเส้นผมของตัวเองไปท าอะไรด้วย นางประกบสอง นิ้วตัดผมกระจุกหนึ่งลงมาวางบนโต๊ะโดยตรง
ต้องรู ้ว่าจิตวิญญาณและเลือดเนื้อของผู้ฝึ กบาเพ็ญตน หรือ แม้กระทั่งเส้นผมและเล็บหากตกไปอยู่ในมือของศัตรูก็ง่ายที่จะ ก่อให้เกิดหายนะที่ยากจะป้ องกัน
อู๋ซวงเจี้ยงนั่งลงข้างโต๊ะพร ้อมกับเป่าหลิน ผู้เฒ่าเก็บถุงผ้าแพรที่ บรรจุเส้นผมของสตรีไว้เต็มถุงและเส้นผมสีนิลปอยนั้นของเป่ าหลิน ไปแล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ไช่เคยเป็ นองค์เทพบรรพ กาลที่ดูแลสมุดวาสนาชีวิตคู่ของโลกมนุษย์ ต าแหน่งเทพไม่ถือว่าสูง แต่หน้าที่ของอาจารย์ไช่ก็คือเป็ นคนผูกด้ายแดง ส าคัญส าหรับชาย หญิงในโลกมนุษย์ของพวกเราหรือไม่ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู ้ได้ และ เส้นผมของสตรีก็คือความรักความคิดถึง คือหนึ่งในวัตถุดิบสาคัญ หลายชนิดที่ร ้านหมั้นหมายภูเขาชวอเหอของอาจารย์ไช่น ามาหลอม
เป็ นด้ายแดง ยิ่งสตรีมีความรักลึกซึ้งมาก เท่าไร ระดับขั้นของเส้นผม ก็จะสูงมากเท่านั้น ด้ายแดงที่ถูกหลอมออกมาแน่ นอนว่ายิ่งดี กว่าเดิม”
อันที่จริงอู๋ซวงเจี้ยงยังไม่ได้พูดอย่างละเอียดนัก บุรุษลุ่มหลงสตรี คลั่งแค้นบนโลกที่เปลี่ยนจากรักไปเป็ นแค้น เส้นผมของพวกเขาก็ เอามาหลอมเป็ นด้ายแดงได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าระดับขั้นของเส้นผม บุรุษจะสู้ของสตรีไม่ได้
นอกจากนี้ “ความรักความคิดถึง” ก็มีอายุขัย ยิ่งความรักล้าลึก เท่าไร ผ่านเวลามายาวนานเท่าไหน ระดับขั้นก็จะสูงมากเท่านั้น
แต่ว่าในนี้มีตรรกะอยู่ข้อหนึ่ง อันดับแรก อายุขัยร ้อยปีของมนุษย์ ธรรมดาล่างภูเขาถือว่าเป็ นอายุที่สูงซึ่งหาได้ยากมากแล้ว อีกอย่างก็ คือจะรับประกันได้อย่างไรว่าความรักความคิดถึงจะไม่จืดจางไปตาม กาลเวลา? รองลงมาก็คือผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา ส่วนใหญ่แล้วจะไร ้ กิเลสไร ้ปรารถนา ชายหญิงที่ผูกสมัครเป็ นคู่บาเพ็ญเพียรกันบน ภูเขา ความรักเข้มขันหรือเจือจาง ไม่ใช่เพราะว่าเป็ นเทพเซียนแล้ว ความรักจะต้องลึกซึ้งเสมอไป ถึงขั้นที่ว่าอาจยังสู้ชายหญิงที่เป็ น ชาวบ้านธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้า นี่จึงเป็ นเหตุให้คนอย่างเป่ าหลิน และเฉิงเฉียนที่ทุกวันนี้ฝึกกระบี่อยู่บนหินพักมังกร ถือว่าหาได้ยากยิ่ง
อาจารย์ใช่ท าท่าจะพูดแต่ไม่พูด
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “หากได้เส้นผมของสหายเป่าหลินมา เร็วกว่านี้ การผูกด้ายแดงของปีนั้นก็จะเป็ นการกระทาที่ผีไม่รู ้เทพไม่ เห็น ไม่แน่ว่าอาจจะโชคดีท าได้ส าเร็จจริงๆ”
เป๋ าหลินถามอย่างสงสัย “เจ้าต าหนักอู๋กับอาจารย์ไช่คิดจะผูก ด้ายแดงให้กับผู้ฝึกตนใหญ่สองคนไหนหรือ?”
ใบหน้าของอู๋ซวงเจี้ยงประดับยิ้มน้อยๆ ใช ้เสียงในใจตอบว่า “คือ นักพรตหญิงอู๋โจวฉายา “ไท่หยาง” กับนักพรตหลวี่เหยียนที่มีฉายา ว่า “ฉุนหยาง”
คนหนึ่งคือผู้ฝึ กตนหญิงขอบเขตสิบสี่ที่พลังพิฆาตเป็ นอันดับ หนึ่งในใต้หล้ามืดสลัวอีกคนหนึ่งคือนักพรตพเนจรที่ถอยออกจาก ขอบเขตสิบสี่ไปด้วยตัวเอง
อาจารย์ไช่เหลือบมองมวยผมของเป่ าหลินแล้วกระตุกมุมปาก ท าท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูดอยู่เหมือนเดิม
อู๋ซวงเจี้ยงหลุดขาอย่างอดไม่อยู่ “หากจะเสี่ยงอันตรายทาเรื่องนี้ จริง เกรงว่าคงต้องล าบากสหายเป่ าหลินแล้ว อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะ ออกไปไหนไม่ได้หลายสิบปีเลยล่ะ”
เป่าหลินไม่คิดว่านี่เป็ นเรื่องใหญ่อะไร นางเพียงถามอย่างใคร่รู ้ว่า “ทาไมปีนั้นถึงไม่พูดกับข้าตรงๆ?”
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “หนึ่งเพราะเสี่ยงอันตราย เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้ว ว่า “อาจจะโชคดี” หากไม่ทันระวังก็จะเป็ นการสร ้างศัตรู ต้องมีจุดจบ
อเนจอนาถที่นึกอยากแสดงฝีมือแต่กลับกลายเป็ นปล่อยไก่ อู๋โจวกับ หลวี่เหยียน ไม่ว่าจะหาเรื่องใครก็ล้วนไม่เป็ นผลดีทั้งนั้น แล้ว นับประสาอะไรกับที่นี่ยังเป็ นการหาเรื่องพร ้อมกันถึงสองคน อีกอย่าง ก็คือปี นั้นเจ้าและข้ายังไม่ได้เป็ นพันธมิตรกัน ข้าไม่อยากติดค้าง น้าใจใหญ่เทียมฟ้ ากับเจ้า อีกทั้งเจ้าก็เป็ นผู้ฝึ กกระบี่ทั้งยังไม่มีกล อุบายอะไร บวกกับที่การอาพรางความลับสวรรค์ถือเป็ นข้อบกพร่อง อย่างหนึ่งง่ายมากที่ข้ากับตาหนักสุ่ยฉูจะต้องเสียผลประโยชน์ใหญ่ ด้วยเรื่องเล็กน้อย”
เป่าหลินยิ้มเอ่ย “เจ้าตาหนักอู๋พูดมาตรงๆ ว่าข้าโง่เลยก็ได้”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “ผู้ฝึกกระบี่ไม่จาเป็ นต้องฉลาดมากเกินไป ฉลาดเกินไปก็ไม่อาจกลายเป็ นผู้ฝึกกระบี่ที่บริสุทธิ์ได้”
เป่ าหลินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เจ้าต าหนักอู๋ ท่านก็ช่างกล้าคิด จริงๆ!”
หลวี่เหยียนที่มีฉายาว่าฉุนหยางผู้นั้น นางแค่เคยได้ยินข่าวลือ บางอย่างที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็ นความจริงหรือไม่ แต่สตรีอย่างอู๋ โจวนิสัยเป็ นอย่างไร คนทั้งโลกล้วนรับรู ้ เจ้าอู๋ซวงเจี้ยงก็กล้าวางแผน เล่นงานนางด้วยหรือ? ไม่กลัวหรือว่าต าหนักสุ่ยฉูจะถูกสมบัติอาคมที่ สาดใส่ดั่งสายฝนทุบทาลายจนไม่เหลือชิ้นดี?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การฝึกบาเพ็ญตนบนภูเขา แต่ไหน แต่ไรมาก็เป็ นคนใจกล้าที่กินจนท้องแตกตาย คนขี้ขลาดทนหิวตาย บางครั้งอาจมีข้อยกเว้น ขอแค่ไม่กลายเป็ นข้อยกเว้นก็พอแล้ว”
หากไม้กลายเป็ นเรือจริงๆ หลวี่เหยียนฉุนหยางที่เพิ่งมารู ้ตัว ภายหลัง ด้วยจิตแห่งมรรคาที่มั่นคง บางทีอาจยังสามารถใช ้กระบี่ แห่งสติปัญญาสะบั้นเส้นใยรัก ไม่ยอมเป็ นคู่บ าเพ็ญเพียรอะไรกับอู๋ โจว
แต่นักพรตหญิงอู๋โจวกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะตัดใจสะบั้นวาสนา รักครั้งนี้กับมือตัวเองได้ลง ไม่แน่ว่าอาจฝื นใจยอมขอบคุณอู๋ซว งเจี้ยงที่เป็ นผู้เฒ่าจันทราช่วยผูกด้ายแดงให้
เป่าหลินเอ่ยอย่างอ่อนใจ “คาพูดทานองนี้ หากเจ้าพูดก็ยังพอได้ อยู่หรอก”
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “เพียงแค่เพราะอวี๋โต้วมีตบะสูงเกินไปจึงดูแคลน ที่จะต้องปัดแข้งปัดขากับคนอื่น”
เป่าหลินรู ้สึกอึดอัดแปลกๆ
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ต่างก็พูดกันว่าป่ วยมานานจน กลายเป็ นหมอรักษาเสียเองเป็ นศัตรูกันมานานถึงเพียงนี้ ทั้งสองฝ่ าย ย่อมต้องกลายเป็ นคนรู ้ใจของกันและกัน”
ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป บางทีพอได้ยินเรื่องที่เจิ้งจวีจงถามมรรคา กับอวี๋โต้วในภายหลังก็อาจเอ่ยสัพยอกว่า ผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริง
สะพายกระบี่สวมชุดขนนก นานๆ ทีจะได้ออกเดินทางไกลสักครั้ง แต่ กลับไม่มีหน้าไม่มีตาเอาเสียเลย ปีนั้นหยุดอยู่ที่ศาลาจัวฟ่ าง ไม่กล้า ไปพบเฉินชิงตูที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกวันนี้แม้กระทั่งผู้เยาว์บน ภูเขาอย่างเจิ้งจวีจงที่อายุขัยการฝึกตนห่างกันนานถึงสามพันปีก็ยัง กล้าท้าทายเขา กล้ามาประลองเวทคาถากับเขา
แต่อู๋ขวงเลี้ยงผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาที่ถูกลิขิตมาแล้วว่าจะต้อง ต่อสู้อย่างไม่ตายไม่ยอมเลิกรากับอวี๋โต้วซึ่งเป็ นขอบเขตสิบสี่ เหมือนกัน กลับกลายเป็ นว่าต้องระวังแล้วระวังอีก ทั้งยังต้องวางแผน มาเนิ่นนานหลายปี