กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1062.2 ไร ้เทียมทานปลอม ไร ้เทียมทานที่แท้จริง
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “นอกจากจะฝึกบาเพ็ญตนแล้ว เวลาที่อยู่ว่าง ไม่มีอะไรท า ข้าก็เคยทาการละเล่นเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่ใช ้วิธีบวก และลบอยู่หลายครั้ง”
เป่าหลินกล่าว “ล้างหูรอฟังแล้ว”
อู๋ซวงเจี้ยงไม่ได้อมพะน า
บอกว่าที่ได้หล้าเปลี่ยวร ้างแห่งนั้น บุคคลที่ถูกผู้ฝึกลมปราณบน ภูเขาให้การยอมรับมากที่สุดเป็ นอันดับหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมเป็ นป๋ า ยเจ๋อ
แต่บุคคลอันดับสองกลับค่อนข้างจะน่าสนใจแล้ว ไม่ใช่ปีศาจ ใหญ่บนบัลลังก ์คนใดแล้วก็ไม่ใช่ผู้น าอย่างเฝ่ ยหราน แต่เป็ นผู้ฝึ ก กระบี่โซ่วเฉิน
แต่เนื่องจากคนที่เลื่อมใสป๋ ายเจ๋อมีมาก คนที่เกลียดป๋ ายเจ๋อก็มี อยู่ไม่น้อยเหมือนกันเป็ นเหตุให้สองอย่างบวกลบกันแล้ว ตัวเลขที่ได้ เป็ นผลลัพธ ์ หรือควรจะพูดว่าอัตราส่วนเปรียบเทียบนั้นกลับไม่อาจ ทิ้งระยะห่างจากโซ่วเฉินได้
ส่วนใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่ได้ “ใจคน” ไปมาก ที่สุดกลับน่าสนใจยิ่งกว่า
ถึงขั้นไม่ใช่หลี่เซิ่ง แต่กลับเป็ นเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว!
พูดถึงแค่ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่ าเขาที่ไม่อยู่ในอันดับทาเนียบวงศ์ ตระกูล ในใจของพวกเขาแต่ละคน มีคนกี่มากน้อยที่ต่างก็เลื่อมใส นครจักรพรรดิขาว มองสถานที่แห่งนั้นเป็ นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพียง หนึ่งเดียวในใจ?
ผู้ฝึกลมปราณที่เกลียดเจิ้งจวีจง ทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลมีอยู่เพียง น้อยนิด ถึงขั้นที่ว่าผู้ฝึกตนทาเนียบที่อคติต่อนครจักรพรรดิขาวและ เจิ้งจวีจงตามความหมายที่แท้จริงก็ยังมีอยู่ไม่มาก
แม้จะไม่ถึงขั้นเกลียดหลี่เซิ่ง ทว่าผู้ฝึกลมปราณที่ชิงชังราคาญ พิธีการยิบย่อยและกฎระเบียบที่เข้มงวดก็ย่อมมีอยู่ไม่น้อย แต่ความ อคติในใจที่มีต่อกฎระเบียบ มีต่อศาลบุ๋นประเภทนี้ แน่นอนว่าต้องเอา มาโยนลงบนหัวของหลี่เซิ่ง นี่จึงเป็ นเหตุให้หลี่เชิงอยู่ในอันดับที่สอง แต่ก็ห่างชั้นกับเจิ้งจวีจงอยู่ไกลมาก
ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัว หลังจากที่เจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงหาย ตัวไปก็ไม่มีเต้ากวานคนใดที่ทาให้ผู้คนรู ้สึกเลื่อมใสได้อย่างถึงที่สุด จนทิ้งคนอื่นไปไม่เห็นฝุ่นอย่างเจิ้งจวีจงหรือไม่ก็ป๋ ายเจ๋อได้อีก
ลู่เฉินแม้จะอยู่ในอันดับที่หนึ่ง ทว่าก็ทิ้งระยะห่างจากคนเก้าคนที่ ต่อหลังเขาไม่มากนักพูดถึงแค่ฝ่ ายหลังที่หากเอามารวมกันก็ สามารถต้านทานเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิงคนเดียวได้แล้ว
เป่ าหลินถามอย่างสงสัย “คิดคานวณเรื่องนี้จะมีความหมาย อะไร?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “ดังนั้นถึงได้บอกว่าเป็ นการละเล่นเล็กๆ ที่ใช ้ ฆ่าเวลาอย่างไรล่ะ”
แม้ว่าไช่เต้าหวงจะมีสีหน้าไร ้อารมณ์ แต่แท้จริงแล้วในใจกลับ ซับซ ้อนอย่างถึงที่สุด
การละเล่นเล็กๆ?!
ปีนั้นถ้าสวรรค์หลีจูที่เป็ นบ้านเกิดครึ่งตัวก็เพราะการละเล่นเล็กๆ ที่ไม่ต่างกันนี้ ที่เป็ นตัวตัดสินว่าใครคือหนึ่งนั้นในท้ายที่สุด!
ตัดสินใจว่าใครจะเป็ นคนสุดท้ายที่ได้อยู่ต่อบนโต๊ะเดิมพันตัวที่ ชิงถงเทียนจวินทิ้งไว้
แต่ผู้เฒ่าที่เวลานั้นเปิดร ้านขายของงานมงคลอยู่ในเมืองเล็กหรือ จะกล้าแพร่งพรายความลับสวรรค์ให้กับหูเฟิ งผู้เป็ นหลานชายฟัง ภายใต้เปลือกตาของชิงถงเทียนจวิน โชควาสนาทุกอย่างล้วนได้แต่ ให้เขาไขว่คว้ามาด้วยตัวเองเท่านั้น
เด็กทุกคนที่เพิ่งเกิดใหม่ในเมืองเล็ก ทางฝั่งของเตาเผามังกร จะต้องเผาเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งให้
จับฉลากกันก่อน
นี่ก็มีการแบ่งแยกชะตาดีกับชะตาร ้ายแล้ว
แต่นี่ไม่อาจตัดสินผลลัพธ ์ในท้ายที่สุดได้
ต้องดวงแข็งมากพอ
ก่อนที่ถ้าสวรรค์หลีจูจะหล่นลงบนพื้นก็คือการทดสอบเล็กๆ ครั้ง หนึ่ง
หลังหล่นลงพื้น เชื่อมโยงกับฟ้ าดินแล้ว นั่นต่างหากจึงจะเป็ น การทดสอบครั้งใหญ่
ผู้ฝึ กลมปราณที่บรรลุมรรคาบนโลกมนุษย์สามารถใช ้มรรคา จ าแลงเป็ นเวทคาถาวิชาอภินิหารและภาพเหตุการณ์แปลกประหลาด จ านวนนับไม่ถ้วน ใช ้ ‘พลังแห่งมรรคา” มาสร ้างอิทธิพลให้กับใจคน บนโลกในระดับที่ไม่เท่าเทียมกัน
ถ้าอย่างนั้นใจคนจะไม่ถูกผลักย้อนกลับไป จากนั้นก็ “ผสาน มรรคาให้เป็ นหนึ่ง” อีกครั้งหรอกหรือ?
หากไม่มีทางเป็ นเช่นนั้นได้จริง ถ้าอย่างนั้นซินขู่แห่งยอดเขารุ่น เยว่ของที่นี่ “กุ่ยเค่อ” สตรีแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง คนแจวเรือของใต้ หล้าไพศาลที่ในอดีตเนื่องจากมรรคาแตกต่างจึงมิอาจเดินร่วมทาง กับปรมาจารย์มหาปราชญ์จะด ารงอยู่ไปเพื่ออะไร?
เป่ าหลินถาม “หลังจากผสานมรรคาเป็ นขอบเขตสิบสี่แล้ว ทัศนียภาพจะเป็ นเช่นไร?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ “มิอาจบอกกล่าวแก่คนอื่นได้”
เป่ าหลินถามอีก “เส้นทางแห่งการผสานมรรคามีแค่เส้นเดียว หรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงชี้ไปยังจุดสูง ย้อนถามว่า “ตัวอย่างสาเร็จรูปก็วางอยู่ นอกฟ้ านั่น เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เป่ าหลินถามอีกว่า “ร่างจริง จิตหยิน จิตหยางกายนอกกาย อย่างมากสุดก็คือเดินไปบนมหามรรคาที่มุ่งสู่ยอดสูงสุดสามเส้นใน เวลาเดียวกัน”
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า “พูดได้แค่ว่าอย่างมากสุดก็คือ “ตัวเอง” ที่ เป็ นขอบเขตสิบสี่สามคน หากมองแยกกัน ถ้าพาดสะพานเชื่อม ระหว่างมหามรรคาสองเส้น สามารถผสานมรรคาได้เช่นเดียวกัน แล้วก็สามารถบรรยายเป็ นการ ‘ผสานมังกร” ของแม่น้าสองเส้นที่มา รวมกันข้าถึงขั้นสงสัยมาโดยตลอดว่านี่ก็คือความหมายในช่วง แรกเริ่มสุดของคากล่าวที่ว่า “ผสานมรรคา อย่างนั้นหรือ ดังนั้น จะต้องยิ่งมากก็ยิ่งมีประโยชน์สาหรับเส้นทางการผสานมรรคาอย่าง แน่นอน ยกตัวอย่างเช่นเส้นทางการผสานมรรคาของเจ้าแห่งถ้าปี้ เซียวที่มิอาจจัดให้อยู่ในขอบเขตใดเดี่ยวๆ ได้ การผสานมรรคากับ ดินอวยพรถูกมองเป็ นระดับล่างสุดในรูปแบบการผสานมรรคาสาม ชนิดก็เพราะนอกจากจะมีขีดจากัดมากที่สุดแล้ว ยังมีอีกจุดหนึ่งที่ ร ้ายแรงถึงแก่ชีวิตมากที่สุด นั่นก็คือยากที่จะเปลี่ยนไปผสานมรรคา กับฟ้ าอ านวยหรือคนสามัคคีได้อีก”
“แต่ในทางตรงข้ามกลับไม่เป็ นเช่นนั้น”
“ซึ่งเส้นทางใต้ฝ่ าเท้าที่ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ทุกคนสามารถเดิน ไปได้มีจ านวนมากหรือน้อยกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับพลังพิฆาตสูงต่า หลังจากการผสานมรรคาของผู้ฝึกตนเลย”
“เส้นทางการผสานมรรคาก็มีการแบ่งใหม่เก่าอยู่เช่นกัน”
หนึ่งในสิบผู้กล้าของใต้หล้ายุคบรรพกาล มีผู้ฝึกตนหญิงหลันฉี นางคือบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของสายอาจารย์หล่อหลอมแห่งใต้ หล้า เป็ นเหตุให้โลกยุคหลังมีคากล่าวที่ว่า“คลังอาวุธของเชื้อพระวงศ์ ห้ามทหารเข้า จัดวางไว้ที่หลันฉี” (แท่นวางอาวุธในสมัยโบราณ)
หลันฉีคือผู้ฝึกตนหญิง อู๋โจวก็ใช่ ตอนท้ายสุดนักพรตหญิงคน นี้ยังถึงขั้นหลอมตัวเองเป็ นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งด้วย “รูปลักษณ์เป็ นคน ภายในกลวงว่างดุจสวรรค์” รูปโฉมควบอยู่ ระหว่างมนุษย์และเทพ
และหนึ่งในสิบผู้กล้าก็ยังมีผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่ฝึกวิถีแห่งผี น าไปก่อนใคร เขาคือผีวิญญาณหยินตนแรกในโลกมนุษย์
และสวีเจวี้ยนก็คือผี คนมีบุญย่อมมี “สวรรค์คุ้มครอง”
ก็เหมือนปลายทางของเส้นทางบางสายที่จะต้องมีตาแหน่งว่าง เปล่าเหลืออยู่ รอคอยให้ผู้ฝึกลมปราณบางคนในโลกยุคหลังมานั่งลง
หรือยกตัวอย่างเช่นโจวมี่ที่เป็ นฝ่ายยกตาแหน่งให้หลีโก้ว
เป่าหลินถาม “ผู้อาวุโสไช่ ขอละลาบละล้วงถามสักคา ปีนั้นพวก ท่านมองฟ้ าดินแห่งนี้อย่างไร?”
ต่อให้จะเป็ นเซียนกระบี่หญิงที่เลื่อนติดอันดับตัวสารองของใต้ หล้า เป่ าหลินในวันนี้กลับเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่ในที่สุดก็ได้พบ เจอกับผู้รอบรู ้สองคนจึงเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู ้ อยากจะไขข้อ
ข้องใจ อยากได้รับค าตอบ “ไม่มีอะไรละลาบละล้วงหรอก”
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “น่าเสียดายที่คาถามนี้ของสหายไม่ ต่างอะไรจากการถามคนที่ไม่รู ้อะไรเลย”
เป่าหลินยิ่งมึนงงไม่เข้าใจ
ผู้เฒ่าจึงได้แต่อธิบายว่า “ปีนั้นตาแหน่งเทพของข้าต่าต้อย มิ อาจมองเห็นการไร ้ขีดจากัดนั้นได้”
เป่ าหลินยิ่งประหลาดใจเป็ นทบทวี อดไม่ไหวถามว่า “หรือว่า “การไร ้ขีดจ ากัด” ก็สามารถมองเห็นได้ทั้งหมดด้วย?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “พวกเราควรจะรู ้สึกโชคดีว่าโลกมนุษย์ทั้งใบ ไม่ใช่ต าราบางเล่มที่ “หนึ่งตัวอักษรมีค่าเท่าทองพันชั่ง”
ใครที่สามารถเปลี่ยนตัวอักษรตัวหนึ่งได้ก็จะได้รับทองพันชั่ง
ผู้เฒ่าลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “พูดได้แค่ว่ายิ่งตาแหน่งเทพ สูงเท่าไร สิ่งที่คิด สิ่งที่สายตามองเห็นก็จะยิ่งเข้าใกล้กับคาว่าไร ้ ขีดจากัดมากเท่านั้น แต่ว่า….”
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยเตือน “อาจารย์ไช่อย่าใช ้คาว่า “แต่” เลย สภาพการณ์อย่างในทุกวันนี้พูดมากไปก็ไร ้ประโยชน์”
ผู้เฒ่าพยักหน้า
กลางอากาศเหนือแจกันสมบัติทวีปมีศาลชิวเฟิงที่จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไร ้เจ้าของ
เข้ามาในศาลชิวเฟิงของข้า เข้ามาในประตูความคิดถึงของข้า
สามารถกลายเป็ นเจ้าของศาลชิวเฟิงได้ แน่นอนว่าต้องเป็ นคน ลุ่มหลงในรักที่แท้จริงคู่หนึ่ง
ดังนั้นนี้ถึงทาให้ศาลชิวเฟิงเผยตัวอยู่บนโลกมานานหลายปี แต่ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมิอาจมีใครที่ได้ครอบครอง
และศาลชิวเฟิงแห่งนี้ อันที่จริงก็เป็ นอู๋ซวงเจี้ยง หลิ่วชีและไช่เต้า หวง ผู้เฒ่าจันทรา” ที่สูญเสียต าแหน่งเทพ แต่กลับรักษาสมุดชะตา ชีวิตคู่เล่มหนึ่งเอาไว้ได้ที่ร่วมแรงกันซ่อมแซมและสร ้างขึ้นมาใหม่บน พื้นฐานของพื้นที่ลับบรรพกาลที่ปริแตกแห่งหนึ่ง ต่อให้คนมีใจมา อนุมานเรื่องนี้ อย่างมากสุดก็ได้แต่ย้อนทวนไปถึงหลิ่วชีแล้วก็ได้แค่ หยุดลงเพียงเท่านั้นแล้วนับประสาอะไรกับที่หลิ่วชีก็ไม่ใช่พวกคนที่
รับมือได้ง่าย ในเรื่องนี้คาดว่าปีศาจใหญ่หย่างจื่อน่าจะเข้าใจอย่าง ลึกซึ้งที่สุด
เป๋ าหลินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ต้องให้ข้าโกนหัวหรือไม่? สาหรับข้าแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ลูบมวยผม รู ้สึกว่าคากล่าวนี้น่าสนใจ และภาพเหตุการณ์นั้นก็
ยิ่งตลก เป่าหลินจึงหัวเราะดังลั่นอยู่กับตัวเอง
นางลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้มานาน กี่ปีแล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผมปอยหนึ่งก็คือความรัก ความคิดถึงที่สมบูรณ์แบบส่วนหนึ่ง ไม่ได้อยู่ที่ว่าจานวนเส้นผมมี
มากหรือน้อย”
ไช่เต้าหวงพลันเหลือบมองมาที่เขา
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มตาหยี สิบนิ้วของสองมือสอดประสานกัน ครุ่นคิด อยู่เล็กน้อยก็รู ้ถึงสาเหตุแล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงแห่งต าหนักสุ่ยฉที่เคยสังหารคนรักกับมือตัวเอง สิ่งที่ ผสานมรรคากลับเป็ นประโยคที่ว่า “หวังให้คนมีรักในใต้หล้าได้อยู่ ด้วยกันจนแก่เฒ่า
ใบถงทวีป
พื้นที่ลับแห่งหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งมีแขกมาเยือนแล้วก็ จากไป
ในพื้นที่ลับมีเพียงเนินเขาเล็กอยู่แห่งหนึ่ง บนยอดเขามีป้ ายหิน เก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่จุดที่ประหลาดที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าป้ ายหินเขียนคา ว่า “ดิน” ไว้ด้านบน เขียนค าว่า “ฟ้ า” ไว้ด้านล่าง
เนื้อหาในป้ ายศิลาเป็ นตัวอักษรโบราณที่เขียนในแนวตั้งเป็ นคา ว่า “มิอาจฟื้นคืนได้อีกตลอดกาล
ยอดบนสุดของป้ ายหินวางกระบี่เหรียญทองแดงเกรอะสนิมไว้ เล่มหนึ่ง
หนึ่งป้ ายศิลาหนึ่งกระบี่สยบปราณชั่วร ้ายในพื้นที่ลับทั้งหมด เอาไว้ กักให้อยู่ในอาณาเขตของเนินขนาดเล็ก มิอาจแพร่ไหล ออกไปข้างนอกได้ หากไม่มีของสิ่งนี้ช่วยสยบก าราบเอาไว้ อย่าว่า แต่พื้นที่ลับแห่งนี้เลย เกรงว่าภูเขาสายน้าหมื่นลี้ของใบถงทวีปที่อยู่ นอกพื้นที่ลับก็จะต้องถูกปราณชั่วร ้ายที่มากมายมหาศาลขุมนี้ “ชะ ล้างจนเอี่ยมอ่อง” ประหนึ่งน้าท่วมทานบที่ทะลักท่วมผ่านพันภูเขา หมื่นสายน้า
บุรุษเรือนกายกายาแต่ร่างกลับพร่าเลือนคนหนึ่งสวมชุดป่านเนื้อ หยาบเดินมาที่ด้านล่างของเนินเขา แล้วเดินขึ้นเขาไปช ้าๆ เดินหนึ่ง ก้าวทิ้งรอยเท้าไว้หนึ่งรอย
อักษรโบราณที่แกะสลักลงบนป้ ายศิลาส่องประกายสว่างไสว ถูก บุรุษโบกชายแขนเสื้อครั้งแล้วครั้งเล่าสลายแสงสีทองเหล่านั้นทิ้งไป ปราณกระบี่จากกระบี่เหรียญทองแดงโบราณแผ่กระเพื่อมไม่หยุด แล้วก็เริ่มเต้นระริกอยู่บนยอดสูงสุดของป้ ายหิน แต่ก็ถูกบุรุษยกมือ ขึ้นแล้วกดลงไปเบื้องล่างเช่นเดียวกัน บังคับให้กระบี่โบราณเล่มนั้น แนบติด “บนพื้น” ที่อยู่เหนือยอดของป้ ายหิน
ทางฝั่งของยอดเขามีเงาร่างที่พร่าเลือนเช่นเดียวกันปรากฏ ขึ้นมา แต่กลับเป็ นร่างของสตรี ในมือหิ้วตะกร ้าไม้ไผ่สานใบหนึ่ง
เหมือนคราวก่อนที่ได้เจอกับผีจงขุยซึ่งจับผลัดจับผลูเข้ามาในที่ แห่งนี้ ดูเหมือนนางจะรู ้สึกว่าตัวเองควรจะนึกอะไรออก แต่ดันนึกไม่ ออก วันนี้ความคิดประหลาดที่ล้อมวนอยู่ในหัวใจปัดทิ้งอย่างไรก็ไม่ จางหายไปนี้ยังคงทาให้นางขมวดคิ้วน้อยๆ ครุ่นคิด แต่เอียงหัวคิดก็ แล้วก็ยังไม่ได้ผล นางจึงคิดจะถอยกลับไป ตัวอักษรบนป้ ายหินไม่มี ร่องรอยของการถูกลบเลือนเลยแม้แต่น้อย ทว่าความหมายที่ซ่อน แฝงอยู่ภายในกลับถูกกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปลดทอนไปแล้วปีแล้ว ปีเล่า คราวก่อนนางก็อยากจะยื่นมือไปหยิบกระบี่เหรียญทองแดงเล่ม นั้นแล้ว แต่กลับทาไม่ได้
ขอแค่ปลายนิ้วของนางสัมผัสโดนกระบี่โบราณ ฟ้ าดินก็จะมี ไฟ ไหม้” เกิดขึ้น เปลวเพลิงลุกลามประหนึ่งน้าไหล เผาไหม้ทั้งฟ้ าและ ดิน
ตอนนั้นมี “บัณฑิต” คนหนึ่งช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะให้ แล้ว เขายังเอ่ยกับนางด้วยว่าอีกเดี๋ยวก็จะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ดู เหมือนว่าหากเวลาสั้นหน่อยก็ครึ่งปี ยาวหน่อยก็หนึ่งปี?
บุรุษเหม่อมองนาง นางก็มองบุรุษอย่างเลื่อนลอย
นี่คือการกลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปหมื่นปี
บุรุษพยายามที่จะทาให้เสียงของตนอ่อนโยน เขาเอ่ยว่า “คิดถึง เจ้ามากมาโดยตลอด”
สตรีส่ายหน้า ขมวดคิ้ว เหม่อมองไปยังบุรุษประหลาดคนนั้น ไม่รู ้ ว่าเหตุใดนางถึงได้รู ้สึกเสียใจและรู ้สึกผิด พึมพ าว่า “จ าเจ้าไม่ได้ แล้ว”
บุรุษยิ้มเอ่ย “ไม่เป็ นไร ข้าจาเจ้าได้เสมอมา”
นางถาม “ทาไมถึงไม่มาหาข้าให้เร็วกว่านี้ล่ะ?”
บุรุษเอ่ยเสียงเบา “นึกว่าเจ้าไม่อยู่แล้ว”
เงียบไปพักหนึ่งเขาก็ยกมือขึ้น กาเป็ นหมัดแล้วทุบลงบนหัวใจ บุรุษพูดด้วยน้าเสียงแหบพร่าว่า “นึกว่าเจ้าอยู่แค่ตรงนี้ของข้า”
นางคล้องตะกร ้าไว้บนข้อมือ เขย่งปลายเท้า ยื่นสองมือมาลูบ ใบหน้าของบุรุษ
บุรุษกุมนิ้วเรียวบางที่เย็นขึ้นน้อยๆ ของนางเอาไว้ในฝ่ ามือ ถู เบาๆ ให้ความอบอุ่นพึมพ ากับตัวเองว่า “จะท ากับข้าอย่างไรก็ได้ ก็ ข้าเป็ นบุรุษของเจ้านี่นา”
เมื่อหมื่นปีก่อน ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ สิ่งที่หวังไม่ประสบผล ควรจะ มีจุดจบอย่างไรก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นนั้น บุรุษไม่เคยมีความไม่
พอใจใดๆ ในเรื่องนี้
ลูกผู้ชายต้องค้าฟ้ ายันดินได้ ได้รับความอยุติธรรมเล็กน้อยจะ เป็ นไรไป
ถูกร่วมสังหารก็ร่วมสังหารไปเถิด
สติปัญญาไม่แจ่มชัด จิตวิญญาณไม่ครบถ้วน ความทรงจ า สับสนวุ่นวาย ร่างกายแยกกระจายหล่นร่วงลงพื้น ก็ไม่เป็ นไร
ภายหลังฟื้นคืนสติกลับมาในระดับที่แน่นอนแล้ว รู ้ว่านางธาตุไฟ เข้าแทรก อีกทั้งยังเคยสร ้างภัยพิบัติครั้งใหญ่ไว้ในโลกมนุษย์ หรือ ควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือไว้ในปรโลก จากนั้นนางก็สละร่างไปจาก โลกนี้ด้วยตัวเอง เขาไม่สงสัยเลยว่านี่คือการวางแผนอะไรของบรรพ จารย์สามลัทธิ แล้วนับประสาอะไรกับจอมปราชญ์น้อยและอาจารย์ ซานซานจิ่วโหวท่านนั้น ต่างก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็ น แผนการชั่วร ้ายอะไร ดังนั้นเขาจึงแค่ถามถึง ‘ที่อยู่ของนาง แต่จอม ปราชญ์น้อยก็ดีหรืออาจารย์ซานซานจิ่วโหวก็ช่าง ล้วนไม่ได้ให้ ค าตอบใดๆ
อันที่จริงเขารู ้ชัดเจนดีว่ายิ่งเป็ นผู้ฝึ กลมปราณที่ขอบเขตสูง เท่าไร การสละร่างไปจากโลกนี้ก็จะยิ่งเป็ นดั่งน้าที่หกลงพื้นแล้วยากที่ จะตักกลับคืนมาได้มากเท่านั้น (อุปมาว่าเป็ นเรื่องที่ยากจะแก้ไข)
บุรุษก้มหน้าลงจ้องมองนาง “แต่เจ้าต้องทนทุกข์ ข้าเสียใจมาก”
นางคลี่ยิ้มหวาน “ข้ารู ้ว่าเจ้าต้องมีความล าบากใจ”
ยกตัวอย่างเช่นยังได้พบกับเจ้า บุรุษคนหนึ่งที่ตอนนี้นางยังจา ไม่ได้ว่าเขาเป็ นใคร น่าจะต้องยกคุณความชอบให้กับพื้นที่ต้องห้าม ที่มองดูเหมือนเต็มไปด้วยปราณสังหารเป็ นการลงทัณฑ์ที่รุนแรงแห่ง นี้แล้ว
หากไม่มีสถานที่แห่งนี้ให้พักพิง โลกมนุษย์ไม่ว่าจะเป็ นโลกมืด หรือโลกสว่างก็คือไม่มีพื้นที่สักเศษเสี้ยวให้นางได้หยัดยืน
บุรุษเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะมี พันหมื่นเหตุผล ข้าก็ไม่สน”
สตรียกแขนข้างที่คล้องตะกร ้าไม้ไผ่ขึ้นมา พูดกลั้วหัวเราะด้วย น้าเสียงอ่อนโยน “ไม่รู ้ว่าเหตุใด ในตะกร ้าไม้ไผ่ถึงมีน้าหยดหนึ่งอยู่ ตลอด ไม่รู ้ว่าผ่านไปนานกี่ปีแล้ว แต่มันกลับไม่เคยเพิ่มแล้วก็ไม่เคย ลดลง”
บุรุษพลันตื่นตะลึง เพ่งสายตามองไป ขนาดเขาที่มีตบะสูงก็ยัง ต้องจ้องมองอย่างละเอียดถึงจะสังเกตเห็นว่าในตะกร ้าไม้ไผ่มีน้าอยู่ หยดหนึ่งจริงๆ
บุรุษยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง รวบหยดน้าหยดนั้นมาไว้ที่ ปลายนิ้วของตัวเองจากนั้นแตะลงไปบนหว่างคิ้วของสตรีเบาๆ
น้าหนึ่งหยดประหนึ่งดอกบัวที่ผลิบานอยู่กลางหว่างคิ้วของสตรี
พริบตานั้นเรือนกายของนางพลันโงนเงน บุรุษยื่นมือไปจับ ประคองนางให้ยืนได้มั่นคงก่อน แล้วจึงพานางไปนั่งพักบนพื้น