กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1062.3 ไร ้เทียมทานปลอม ไร ้เทียมทานที่แท้จริง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1062.3 ไร ้เทียมทานปลอม ไร ้เทียมทานที่แท้จริง
บุรุษลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที หันหน้าไปทางทิศ ตะวันออก สองมือพนมเข้าหากัน ก้มหัวลงไป พึมพ าเสียงเบาด้วย ศรัทธาจริงใจ “ขอบพระคุณพระโพธิสัตว์ที่ทรงเมตตากรุณา ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก”
โยวโจวใต้หล้ามืดสลัว
ภูเขาตี้เฝ่ย ต าหนักหัวหยาง
บริเวณใกล้เคียงกับศาลบรรพจารย์บนยอดเขามีนักพรตรูปโฉม เป็ นชายหนุ่มคนหนึ่งสร ้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปี เขาปิด ประตูเขียนตารา ตอนที่นักพรตอายุน้อยเคยปลูกต้นสนต้นหนึ่งกับ มือตัวเอง ตอนนี้เปลือกต้นไม้นั้นกลายเป็ นเกล็ดมังกรไปนานแล้ว
วันนี้นักพรตที่มีศาสตร ์คงความเยาว์ผู้นี้เรียกลูกศิษย์ผู้สืบทอด มาสามคน คนที่อายุขัยการฝึกตนมากหน่อยก็เกือบจะสามพันปีแล้ว คนที่อายุน้อยสุด อายุที่แท้จริงก็แค่ร ้อยปีเท่านั้น
พวกเขามีชื่อว่าอิ่นเซียน หนันเฉียง เกาฝู
อิ่นเซียนเป็ นขอบเขตเซียนเหริน คือเจ้าตาหนักปี้เวยที่มีขนาด ใหญ่ที่สุดนอกจากตาหนักหัวหยางซึ่งเป็ นต้นกาเนิดของภูเขาตี้เฝ่ ย
นักพรตหญิงหนันเฉียงคือเจ้าอารามต้ามู่ คอขวดขอบเขตหยก ดิบ คือผู้ฝึกกระบี่
เกาฝูอายุน้อยที่สุด ขอบเขตต่าที่สุด แต่หยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขต ก่อก าเนิดมานานหลายปีแล้ว ไม่มีหน้าที่หรือยศตาแหน่งในทางโลก ของภูเขาตี้เฝ่ ยและต าหนักหัวหยาง
ทว่าตอนที่เกาฝูสร ้างโอสถก็ได้ถูกอาจารย์นาพาขึ้นมาบนยอด เขา ให้เขาเพาะปลูกต้นสนน้อยต้นหนึ่งด้วยตัวเอง ตอนนั้นต้นสนเพิ่ง จะสูงเท่าตัวคนเท่านั้น
นอกจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนก็ยังมีคนนอกอีกคนหนึ่ง
คือนักพรตหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่ เขาเดินออกมาจากหอเก็บ ตาราซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของศาลบรรพจารย์ต าหนักหัวหยาง
ในหอเรือนเก็บรักษาตาราไว้หมื่นเล่ม พิศอดีตสามพันปีในภูเขา
หอหนังสือแห่งนี้มีชื่อว่าหอหมื่นตารา คือสถานที่อ่านหนังสือ ของบรรพจารย์รุ่นแรกของต าหนักหัวหยาง หากจะบอกว่าเก็บต ารา ไว้หมื่นเล่ม ถ้าอยู่ล่างภูเขาก็ยังถือว่ามีตาราเยอะและอุดมสมบูรณ์ แต่ส าหรับบนภูเขาแล้วกลับไม่ถือเป็ นอะไรได้เลย
ทว่าในหอหนังสือล้วนเป็ นตาราลับตาราวิเศษทั้งสิ้น แน่นอนว่า ส่วนใหญ่ล้วนเป็ นต าราเต๋าที่ฉบับพิมพ์แตกต่างกันแต่เนื้อหา เหมือนกัน ทว่าต่อให้เป็ นเช่นนี้ก็ยังถือว่ามากน่าดูชมแล้ว นี่จึงเป็ น
เหตุให้กรอบป้ ายค าว่า “ภาพอันสง่างามยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้า” จึงเป็ น ค ากล่าวที่สมชื่ออย่างยิ่ง
นอกจากนี้ยอดบนสุดของหอหมื่นตาราก็คือทางเข้าของถ้า สวรรค์แห่งที่หกนั้น ดังนั้นบุคคลที่มีใบหน้าไม่คุ้นเคยสาหรับภูเขาตี้ เฝ่ ยผู้นี้จึงต้องมารับหน้าที่เป็ นคนเฝ้ าประตูเพื่อเป็ นค่าตอบแทนใน
การอ่านต ารา
ทว่าในความเป็ นจริงแล้วจะมีใครกล้าบุกเข้ามาในภูเขาตี้เฝ่ ย ต่อ ให้มีคนกล้าจริงก็จะมีสักกี่คนที่สามารถมีชีวิตรอดเดินมาถึงบนยอด เขา ยืนอยู่นอกหอหนังสือได้?
นี่แสดงให้เห็นว่าเกากูเจ้าตาหนักไม่เห็นคนนอกผู้นี้เป็ นคนนอก
เลยแม้แต่น้อย
โต๊ะหินใต้ร่มเงาของต้นสน คนทั้งสี่นั่งลงคนละด้านของโต๊ะได้พอดี
พวกอิ่นเซียนต่างก็เพิ่งเคยเห็นนักพรตร่างสูงใหญ่ผู้นี้เป็ นครั้ง แรก
อาจารย์ไม่บอกกล่าวตัวตนของอีกฝ่ ายก็ไม่มีใครกล้าสอบถาม และสืบเสาะ
สวมชุดคลุมเต๋าผ้าฝ้ ายที่ธรรมดาที่สุด เกรงว่าแม้แต่เต้ากวาน น้อยที่ไร ้ชื่อเสียงที่สุดหรือไม่ก็นักพรตที่ประจาการอยู่ในอารามซึ่งยัง ไม่ได้รับธรรมโองการก็น่าจะสวมใส่ชุดแบบนี้ได้เช่นกัน
เกากูเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ท่านผู้นี้คือนักพรตที่เคยอยู่ใน อารามซวีกวาน ใช ้นามแฝงว่าเหมาจุย ฉายาคือ “ป๋ ายกู่” (กระดูก
ขาว)”
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนพลันขนลุกขนชัน เส้นเอ็นหัวใจบีบ รัดตัวแน่นขมึง
แม้จะบอกว่าจานวนตัวสารองสิบคนของใต้หล้าไพศาลในครานี้ มีเยอะมากจริงๆ แต่ไม่มีใครรู ้สึกว่านักพรตคนใดก็ตามที่ติดอันดับจะ มีน้าหนักไม่มากพอ
ในความเป็ นจริงแล้วตัวสารองมากมายในครั้งนี้ต่างก็เคยเลื่อน ติดอันดับสิบคนในประวัติศาสตร ์มาก่อน หรือควรจะบอกว่าได้รับการ ยอมรับว่ามีศักยภาพพอจะถูกเลือก แต่เพียงแค่เพราะเหตุผลนานา ปการถึงได้ไม่ติดอันดับก็เท่านั้น
และตัวสารองเพียงหนึ่งเดียวที่ติดอันดับในครั้งนี้ซึ่งมีแค่ฉายาไม่ มีชื่อจริง ก็คือเจินเหรินกระดูกขาว
เรื่องที่ชวนคิดลึกที่สุดก็คือทั่วทั้งใต้หล้ามืดสลัว หรือแม้กระทั่งใต้ หล้าทุกแห่ง บนภูเขาต่างก็รู ้กันดีว่าเจินเหรินกระดูกขาวผู้นี้ก็คือหนึ่ง ในห้าฝันของเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จึงผู้นั้น!
เกากูถามเข้าประเด็นโดยตรงว่า “เหมาจุย เจ้าคิดว่าพวกเขา สามคน ใครเหมาะจะเป็ นเจ้าขุนเขาคนถัดไปมากที่สุด?”
เหมาจุยพูดด้วยสีหน้าเป็ นธรรมชาติ “เจ้าขุนเขา? ไม่ใช่เจ้า ต าหนักของต าหนักหัวหยางหรือ?”
เกากูเอ่ย “คือเจ้าขุนเขา?”
“หากเป็ นแค่เจ้าขุนเขาของภูเขาตี้เฝ่ ย หนันเฉียงค่อนข้างจะ เหมาะสม”
เหมาจุยเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เกาฝูคุณสมบัติเพียงพอ อัน ที่จริงดีกว่าหนันเฉียงด้วย แต่น่าเสียดายที่จิตแห่งมรรคาของเกาฝู เปราะบางเกินไป มิอาจต้านทานลมพัดใบไม้ไหว ตกอยู่ในมือของเจ้า คนแซ่ลู่ หากโดนหยั่งเชิงเพียงเล็กน้อย จิตแห่งมรรคาก็คงแหลก สลายไปแล้ว หรือบางทีหากบังเอิญเจอกับเจ้าคนแซ่อู๋ของต าหนักสู้ย ฉูผู้นั้นก็ยิ่งน่าเวทนามากกว่าเดิม เกรงว่าแม้แต่ตัวเองเป็ นใครเขาก็ คงยังไม่รู ้”
อิ่นเซียนเหลือบตามองอาจารย์อย่างระมัดระวัง คนอื่นพูดถึงศิษย์ น้องเล็กแบบนี้จะไม่เป็ นไรจริงๆ หรือ?
นักพรตหญิงหนันเฉียงได้ยินว่าเจินเหรินกระดูกขาวที่เปี่ยมไป ด้วยเรื่องราวมีสีสันน่าสนใจผู้นี้ถึงกับ “แนะนา” ให้ตนเป็ นเจ้าขุนเขา จิตแห่งมรรคาก็กระเพื่อมขึ้นลงไม่มาก เพียงแค่ใคร่รู ้ในเรื่องหนึ่งว่า เจ้าคนที่มีนามแฝงว่า “เหมาจุย” ผู้นี้ คงไม่ได้คิดอยากจะผูกสมัคร
เป็ นคู่บ าเพ็ญเพียรกับตนหรอกนะ? หาไม่แล้วขอบเขตหยกดิบคน หนึ่งจะให้มาเป็ นเจ้าขุนเขาของภูเขาตี้เฝ่ ยได้อย่างไร? เจ้าก็อุตส่าห์ คิดได้!
“ส่วนอิ่นเซียน อายุเยอะเกินไป ขอบเขตต่าเกินไป นอกจาก เคารพครูบาอาจารย์แล้วอย่างน้อยที่สุดในความเห็นของข้าก็ไม่มี
อะไรดีเลยสักอย่าง”
อิ่นเซียนถอนหายใจโล่งอก เหมาจุยหันหัวหอกมาใส่ เอ่ย ประโยคที่ไม่น่าฟังกับตนเทียนจวินผู้เฒ่ากลับไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงว่าเหมาจุยจะเริ่มดูแคลนศิษย์น้องเล็กของตนอีกครั้ง
“ตบะของเกาฝูไม่ได้เรื่องเช่นนี้ก็ต้องโทษที่อาจารย์อย่างเจ้าทา หน้าที่ได้ไม่ดีพอ มัวแต่ใจลอยไปคิดเรื่องอื่น ไม่ยินดีจะเจียระไนเขา อย่างตั้งใจ ตีเขาน้อยเกินไป เกาฝูแค่เคยได้ยินและเคยเห็นลมมรสุม ของข้างนอกมาบ้าง อายุน้อยอารมณ์พลุ่งพล่าน สายตามองสูงไม่ เห็นหัวใคร ฝึกตนร ้อยปีก็ราบรื่นเกินไป แล้วคนอื่นยังชอบประคอง เท้าเหม็นๆ ของเขาท าให้เขาลืมกาพืดตัวเอง อันที่จริงอายุไม่มากทั่ว ร่างก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายเน่าเฟะ ไม่ต่างอะไรจากเต้าหู้เหม็น วันๆ หากไม่รู ้สึกว่าจางเฟิงไห่แห่งป๋ ายอวี้จิงก็มีดีแค่นั้นเอง ก็รู ้สึกว่าเฉินอิ่ นกวานของกาแพงเมืองปราณกระบี่ความสามารถไม่สมชื่อ ไม่รู ้ฟ้ า สูงแผ่นดินต่า หากได้เจอกับสองคนนั้นจริงแล้วผูกปมแค้นต่อกัน ไม่ มีสถานะของลูกศิษย์ปิดส านักของเกากูคอยปกป้ อง ไปพบเจอกันบน ทางแคบข้างนอก ต่อให้พวกเขาจะขอบเขตเท่าเทียมกัน เกาฝูก็ยัง
ต้องตายโดยไม่รู ้ตัวอยู่ดี หากสามารถมีชีวิตรอดกลับมาที่ภูเขาได้ ข้าจะโขกหัวขออภัยเขากาฝูเลย วันหน้าเขาออกจากบ้าน ข้าก็ สามารถนอนคว่าบนพื้น เอาสองมือปูเป็ นเส้นทางให้กับเขา หาก รองเท้าเขาเปื้อนฝุ่ นแม้แต่น้อยก็ถือว่าข้าไม่มีความจริงใจในการขอ อภัยมากพอ
“ในโลกแห่งสันติสุขก็คงไม่เป็ นอะไร แค่หลบอยู่ในภูเขาฝึกตน ไปอย่างมั่นคง ยึดครองถ้าสวรรค์แห่งหนึ่งไว้เป็ นพื้นที่ประกอบ พิธีกรรม เมื่อได้ขอบเขตบินทะยานแล้วก็ค่อยออกไปเสียเปรียบข้าง นอก ก็ไม่ถือว่าต้องตายง่ายเกินไป แต่หากกลียุคมาถึง เขามาเป็ น เจ้าขุนเขาพอถูกคนตบตายด้วยฝ่ ามือเดียวยังพูดได้ง่าย กลัวก็แต่ว่า จะเดือดร ้อนให้ตลอดทั้งภูเขาตี้เฝ่ ยและต าหนักหัวหยางกลายไปเป็ น ปฏิทินเหลืองหน้าหนึ่งน่ะสิ”
“เกากู ข้าล่ะสงสัยนัก เจ้าคิดอย่างไรของเจ้าถึงได้ชอบเอาเขาไป เปรียบเทียบกับลูกศิษย์คนอื่นอยู่เสมอ คนตัวเป็ นๆ คนหนึ่งจะเอาไป เปรียบเทียบกับคนตายได้อย่างไร?”
เหมาจุยกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าพูดจบแล้ว สามารถ กลับไปอ่านต าราได้แล้วกระมัง”
ส่วนเกาฝูที่ถูกเหมาจุยพูดเสียจนไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่าศิษย์พี่อิ่น เซียนก็ไม่ได้รู ้สึกโกรธเคือง เพียงแค่หันหน้าออกไปนอกภูเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่าใจ
ใช่สิ
เขาไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย มีหรือจะไม่รู ้ว่าคากล่าวที่บอกว่าใจไม่ อยู่กับเนื้อกับตัวที่เหมาจุยพูดถึงอาจารย์ตัวเองคือเรื่องจริงแท้แน่นอน อาจารย์ชอบเอาเขาไปเปรียบเทียบกับศิษย์พี่เล็กที่ตายไปแล้วคนนั้น นับตั้งแต่วันแรกที่ตนขึ้นเขามาฝึกตนก็เป็ นอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้นความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ หลายอย่างล้วนเป็ นสิ่งที่เกาฝู จงใจท า เขาแค่อยากจะพูดคุยกับอาจารย์ให้มากหน่อย ต่อให้โดน ด่าก็ยังดี แต่ก็ไม่อยากให้ถึงขั้นที่ทาให้อาจารย์ผิดหวังในตัวเขา
เหมาจุยกาลังจะลุกขึ้นยืน
เกากูก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เกาฝูเป็ นเจ้าขุนเขาก็แล้วกัน”
เหมาจุยเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้าเกากูตัวดี ในเมื่อเจ้าตัดสินใจ ได้นานแล้วจะให้ข้าเปลืองน้าลายพูดมากขนาดนี้ไปไย?”
เกากูยิ้มเอ่ย “คาเจ้ากี้เจ้าการของคนนอกคนหนึ่ง แค่รับฟังไปก็ พอ”
เหมาจุยลุกขึ้นยืน ยกนิ้วโป้ งให้กับเกากู “เจ้าคนแซ่เกา วันหน้า หากยังคิดอยากจะให้ข้าผู้อาวุโสผายลมอีกก็ถือว่าข้าเหมาจุยคือคน โง่”
เกากูยิ้มบางๆ “ตัวเลือกของเจ้าขุนเขามีเรียบร ้อยแล้ว เจ้าขุนเขา คนใหม่ของต าหนักหัวหยาง เจ้าต าหนักเหมา เจ้าไม่คิดจะนั่งลงคุย กันให้มากกว่านี้หรอกหรือ?”
เหมาจุยจ้องเขม็งไปที่เกากู หลังจากแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ ายไม่ได้ ล้อเล่นก็นั่งกลับลงไปอีกครั้ง ถามเสียงเบาว่า “ต้องถึงขั้นนี้เลยหรือ?”
เกากูลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าสามคนคุยกันต่อเถอะ ข้ายังมีธุระ อิ่น เซียน ตามข้าลงภูเขาเดินไปคุยกันไป”
อิ่นเซียนดวงตาแดงก่า ลุกขึ้นยืน คารวะตามขนบลัทธิเต๋า “ศิษย์ น้อมรับคาสั่งของท่านอาจารย์”
อาจารย์และศิษย์สองคนเดินลงไปจากยอดเขาบรรพบุรุษด้วยกัน
อิ่นเซียนเอ่ยเสียงสั่น “อาจารย์ ต้องโทษที่ศิษย์โง่เขลา จนถึงทุก วันนี้ก็ยังมิอาจพิสูจน์ มรรคาบินทะยานได้”
เกากูกล่าวด้วยน้าเสียงเรียบเฉย “นักพรตพูดถึงแค่ขอบเขตสูง ต่าก็ไม่มีความหมายอะไร หลายปีที่ผ่านมานี้ทั้งในและนอกภูเขาตี้เฝ่ ยล้วนเป็ นเจ้าที่ดูแลรับผิดชอบ จุดที่ทาไม่ถูกก็มี เรื่องที่ทาได้ดีกลับมี มากยิ่งกว่า มีลูกศิษย์อย่างเจ้าคือความโชคดีของอาจารย์”
อิ่นเซียนยินดีที่จะไม่ได้ยินคาพูดอบอุ่นหัวใจพวกนี้ยังดีเสียกว่า หรือหากได้ยินช ้าไปกว่านี้สักหลายสิบปีหรือร ้อยปีก็ยังดี ทางที่ดีที่สุด ชั่วชีวิตนี้เขาอิ่นเซียนไม่ต้องได้ยินค าพูดทานองนี้เลย ต่อให้ศิษย์ไม่ อยู่แล้ว แต่อาจารย์ยังอยู่
เกากูหัวเราะ ยื่นมือไปตบแขนของลูกศิษย์ข้างกายเบาๆ “อาจารย์มีนิสัยดื้อรั้นหน้าตาเย็นชาคาพูดก็เย็นชา ชอบทาให้ทั้งตัว เองและคนอื่นอึดอัด พวกเจ้าที่เป็ นลูกศิษย์ก็ได้แต่ต้องอภัยให้มาก หน่อย”
น้าตาพลันไหลอาบใบหน้าแก่ๆ ของอิ่นเซียนอย่างที่มิอาจ ควบคุมได้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่จะก้าวเดินก็ยังยากล าบาก เขาคิดจะท า ให้จิตแห่งมรรคามั่นคง ฝืนทาตัวให้กระปรี้กระเปร่าเดินลงภูเขาไป เป็ นเพื่อนอาจารย์
คิดไม่ถึงว่าเกากูจะตบไหล่ลูกศิษย์ จากนั้นนั่งลงไปบนขั้นบันได ก่อน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อิ่นเซียน นั่งชมทัศนียภาพเดิมๆ เป็ นเพื่อน อาจารย์หน่อยเถอะ”
เกากูตบหัวเข่าเบาๆ เงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ “การเกิดมาเป็ นมนุษย์ นั้นยากยิ่ง กระบี่ดีไม่มีทางผุพังอยู่ในฝัก ดวงตาใหญ่เหมือนท้องฟ้ า แสงจันทร ์มืดหม่นลมพัดแรงยามราตรีปิดจมูกเถิดหนา โลกมนุษย์คือ ลานอันเน่าเหม็น”
“อิ่นเซียน พวกเจ้าอย่าได้ท าให้ภูเขาตี้เฝ่ ยแห่งนี้กลายไปเป็ นผืน นาที่ทาให้คนที่เดินผ่านต้องปิ ดจมูกเด็ดขาด แรงใจในการฝึ ก บ าเพ็ญตน กลิ่นอายเซียนของผู้ที่บรรลุมรรคาแน่นอนว่าควรมี ความ กล้าหาญของจอมยุทธ จิตใจที่เร่าร ้อนก็ไม่ควรขาดเหมือนกัน คนที่ ยอมออกไปเกลือกกลิ้งอยู่ในบ่อโคลนของความธรรมดาสามัญและ ความกล้าหาญนอกภูเขา พวกเจ้าก็จงรู ้จักทะนุถนอมเห็นค่าคนโง่ที่
เป็ นเช่นนี้ให้มาก จงปกป้ องมรรคาพวกเขาให้ดี ให้ขอบเขตของ นักพรตในตาหนักหัวหยางกลุ่มนี้สูงยิ่งกว่าเดิม สูงขึ้นไปอีกหน่อย”
ภูเขาตี้เฝ่ ยคือพื้นที่ประกอบพิธีกรรมชั้นเลิศที่ผู้คนให้การ ยอมรับ คือพื้นที่มงคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลเจ็ดสิบสองแห่ง ทั้ง ยังเป็ นถ้าสวรรค์แห่งที่หกที่ได้เลื่อนขั้นเป็ นหนึ่งในสามสิบหกถ้า
สวรรค์เล็ก
ปราณวิญญาณนอกภูเขารวมตัวกันกลายเป็ นทะเลเมฆที่กลิ้ง หลุนๆ เดี๋ยวผลุบเดี่ยวโผล่ ประหนึ่งลมหายใจของคน แต่ว่าการสูด เข้าและพ่นออกนี้ไม่มีความต่างเรื่องความใสสะอาดและขุ่นมัว ล้วน เป็ นปราณวิญญาณและกลิ่นอายแห่งมรรคาที่บริสุทธิ์ระหว่างฟ้ าดิน
จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ของไพศาลมีชื่อเสียงทัดเทียมกับ ต าหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ยแห่งมืดสลัว
และต่างก็มียอดฝี มือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหล่านักพรตมา ชุมนุมกันดุจก้อนเมฆ
สิ่งปลูกสร ้างน้อยใหญ่ไม่ว่าจะเป็ นตาหนักหอเรือน แท่นบูชาทา พิธี อารามกระท่อมบ่อน้าสะพานที่อยู่ในภูเขาตี้เฝ่ ย ลาพังแค่ส่วนที่ ถูกจดลงบันทึกเอาไว้ก็มีมากถึงแปดร ้อยกว่าแห่ง เรือนที่ถูกเรียกว่า เรือนพักก็มีถึงเก้าพันเก้าร ้อยเก้าสิบเก้าหลัง
ทุกครั้งที่มีงานวัด ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่มาขอพรให้แคล้ว คลาดพ้นภัยและจุดธูปแก้บนที่นี่ก็มีมากหลายแสนคน
เจ้าขุนเขาภูเขาตี้เฝ่ ยควบกับเจ้าต าหนักหัวหยางคนปัจจุบันก็ คือเกากูฉายา ‘จวี้เยว่” หนึ่งในสิบคนแห่งใต้หล้ามืดสลัว
อันที่จริงในประวัติศาสตร ์ของภูเขาตี้เฝ่ยเคยมีเรื่องอย่างแขกแย่ง บทบาทของเจ้าภาพปรากฏขึ้นเหมือนกัน เคยมีเต้ากวานที่ใช ้กาลัง กดข่มต าหนักหัวหยางแย่งชิงต าแหน่งเจ้าขุนเขาไปครอง
รอกระทั่งเกากูรับหน้าที่เป็ นเจ้าตาหนักต่อถึงได้ช่วงชิงคาเรียก ขานว่าเจ้าขุนเขากลับคืนมาให้กับสายเต๋าของตนได้
วันนี้ในอาณาเขตของภูเขาตี้เฝ่ ยได้เปิดประตูใหญ่บานหนึ่งออก เดินเข้าไปข้างในก็คือภูเขาตี้เฝ่ยอีกแห่งหนึ่ง
คือเกากูที่ร่ายวิชาอภินิหารใหญ่ จาแลงจิตธรรมกลายมาเป็ นฟ้ า ดินเล็ก มากพอที่จะเอาของปลอมมาสวมรอยของจริง
ถ้าสวรรค์พื้นที่มงคลในประตูใหญ่แห่งนี้เหมือนว่าเต้ากวาน หลายหมื่นคนในภูเขาได้ย้ายออกไปจนเกลี้ยงแล้ว นอกจากศาล บรรพจารย์ของตาหนักแห่งต่างๆ ในภูเขาที่ไม่หลงเหลืออยู่ สิ่งปลูก สร ้างและทัศนียภาพอย่างอื่น หรือแม้กระทั่งปราณวิญญาณฟ้ าดินที่ โคจรอย่างเป็ นระเบียบก็ยังไม่ต่างไปจากความเป็ นจริง หากผู้ฝึ ก บ าเพ็ญตนมาหลอมลมปราณอยู่ที่นี่ก็จะได้ผลลัพธ ์ของจริง เช่นเดียวกัน แต่ขอแค่เดินออกมาจากประตูใหญ่ก็จะมีจุดจบดั่งการ ใช ้ตะกร ้าไม้ไผ่ตักน้า ปราณวิญญาณทุกเสี้ยวจะต้องมอบกลับคืนไป ให้เกากูทั้งหมด
ผู้ฝึ กลมปราณนอกภูเขาตี้เฝ่ ย วันนี้พากันเดินผ่านประตูเข้า ภูเขามาด้วยขบวนยิ่งใหญ่ทอดยาวเป็ นสาย ลองค านวณดูคร่าวๆ ก็ น่าจะมีอยู่หลายพันคน
ก่อนจะขึ้นเขา หน้าประตูภูเขาจะมีเต้ากวานของตาหนักหัวหยาง ที่คอยแจกจ่ายยาเม็ดหนึ่งให้กับคนนอกทุกคน แน่นอนว่าจะไม่รับก็ ได้ แต่ไม่ว่าจะมีสถานะหรือขอบเขตอะไรเต้ากวานที่เดินทางไกล มาถึงที่แห่งนี้ต่างก็รับยาไว้กันแทบทุกคน จากนั้นคารวะตามขนบ ลัทธิเต๋าถือเป็ นการขอบคุณและแสดงมารยาทกลับคืนต่อต าหนัก หัวหยาง
นับตั้งแต่ที่บรรพจารย์รุ่นแรกของต าหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ ยก่อ ตั้งพรรคขึ้นมาก็ได้ตั้งกฏศาลบรรพจารย์ไว้ข้อหนึ่ง ทุกๆ หกสิบปีเจ้า ขุนเขาทุกรุ่นในยุคหลังล้วนจะต้องจัดงานพิธีกรรมครั้งหนึ่ง ผู้ฝึกตน ไม่จากัดสถานะ ขอแค่ไม่ใช่พวกคนชั่วช ้าสามานย์ก็ล้วนสามารถมา ฟังค าบรรยายถ่ายทอดมรรคาจากเจ้าตาหนักหัวหยางที่ภูเขาตี้เฝ่ ย ได้
ขณะเดียวกันผู้ฝึ กลมปราณจากด้านนอกทุกคนที่เข้ามาใน อาณาเขตของภูเขาตี้เฝ่ ยต่างก็จะได้รับโอสถล้าค่าที่ตาหนักหัวหยาง หลอมขึ้นด้วยกรรมวิธีลับเม็ดหนึ่งโดยไม่ต้องเสียค่าใช ้จ่าย
เป็ นเหตุให้สิบสี่มณฑลของมืดสลัวในประวัติศาสตร ์มีผู้ฝึ ก ลมปราณมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนอิสระที่ขอบเขตไม่สูง และเต้ากวานของแคว้นเล็กที่ส่วนใหญ่ตั้งใจมาเยือนภูเขาตี้เฝ่ ยก็เพื่อ
โอสถที่สาหรับพวกเขาแล้วเรียกได้ว่ามีมูลค่าควรเมืองเม็ดนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่ขาดแคลนเต้ากวานที่คุณสมบัติไม่ธรรมดา แต่ ขาดโชควาสนาเซียนครั้งหนึ่ง หลังจากที่รับฟังคาบรรยายของเจ้า ต าหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ ยไปแล้ว ก็จะสามารถข้ามผ่านด่านยากบน เส้นทางของการฝึกตน ฝ่ าทะลุคอขวดบุกรุดหน้าประหนึ่งผ่าลาไม้ไผ่
พัฒนาไปอย่างว่องไว