กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1062.4 ไร ้เทียมทานปลอม ไร ้เทียมทานที่แท้จริง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1062.4 ไร ้เทียมทานปลอม ไร ้เทียมทานที่แท้จริง
รอกระทั่งสืบทอดมาถึงมือของเกากู ขนาดของพิธีกรรมก็ขยาย ใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังมีการแบ่งประเภท แบ่งออกเป็ นส าหรับผู้ฝึ ก ลมปราณห้าขอบเขตล่าง ห้าขอบเขตกลางและห้าขอบเขตบน ทุกๆ หกสิบปีแต่ละประเภทก็จะมีการจัดงานพิธีหนึ่งครั้ง
ดังนั้นภายในเวลาหกสิบปี ทุกๆ ยี่สิบปี เกากูจะต้องเป็ นผู้จัดงาน พิธีกรรมด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง แต่จุดที่ประหลาดที่สุดนั้นอยู่ที่วิธีการ ถ่ายทอดมรรคาของเกากูที่ตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่าแล้งน้าใจไม่เห็นใจ ใคร
เพราะทุกครั้งที่เกากูถ่ายทอดวิชาให้กับผู้ฝึ กลมปราณห้า ขอบเขตล่าง เขากลับสอนคาถาการฝึกตนส าหรับห้าขอบเขตกลาง ยามที่ถ่ายทอดมรรคาให้กับผู้ฝึ กลมปราณห้าขอบเขตกลางกลับ สอนวิธีการฝึกตนของห้าขอบเขตบน พอถึงคราวที่ต้อง “ถ่ายทอด วิชาไขข้อข้องใจ” ให้กับผู้ฝึ กลมปราณห้าขอบเขตบนกลับสอน กุญแจส าคัญในการฝึกตนของห้าขอบเขตล่าง แล้วก็เพราะการท า อะไรเพี้ยนๆ เหลวไหลเช่นนี้ ในช่วงแรกของการเป็ นเจ้าขุนเขาภูเขา ตี้เฝ่ ยของเกากูถึงได้ท าให้ต าหนักหัวหยางเกิดข้อครหาถูกวิจารณ์ ไปมากมายแต่นานวันเข้าผู้คนก็คล้ายจะเคยชินไปเอง
้
บวกกับที่งานพิธีทุกครั้งจะต้องมีการมอบโอสถวิเศษที่หลอมด้วย กรรมวิธีลับระดับไม่เท่าเทียมกันให้กับผู้ที่มาร่วมงาน
ต่อให้มรรคกถาที่ถ่ายทอดให้จะเลื่อนลอย ไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อ การฝึกตน แต่โอสถนั้นกลับเป็ นของจริง ต่อให้ตัวเองไม่ได้ใช ้แต่เอา ไปขายแลกเงินหรือน าไปมอบให้กับผู้เยาว์ก็ล้วนไม่เป็ นปัญหา
โชคดีที่เกากูคือบุคคลอันดับหนึ่งด้านการหลอมยาที่ได้รับการ ยอมรับของใต้หล้ามืดสลัว หาไม่แล้วล าพังแค่ความเสียหายจากการ มอบยาก้อนนี้ออกไป เกรงว่านอกจากป๋ ายอวี้จิงแล้ว ไม่ว่าจะเป็ น สานักชั้นสูงแห่งไหนก็คงรับไม่ไหวจริงๆ
เมื่อเกากูนั่งลงบนขั้นบันได
อันที่จริงยังมีจิตหยางกายนอกกายอีกร่างหนึ่งของเกากูยืนอยู่ใน ระเบียงชั้นบนสุดของหอหมื่นต ารา ยืนเคียงบ่าอยู่กับเจินเหรินกระดูก ขาวอีกคนหนึ่ง
เพราะเป็ นขอบเขตสิบสี่แล้ว ดังนั้นหลายปี มานี้จึงมีบางครั้งที่ หากเกากูออกไปข้างนอกก็มักจะไม่ใช ้ร่างจริงที่มีทั้งจิตหยินจิตหยาง ครบถ้วน
เกากูกล่าว “หย่าเซิ่งเคยเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยตัวเองว่า ข้า เชี่ยวชาญการบ่มเพาะปราณแห่งความไพศาลในหัวใจตัวเอง ดังนั้น มือกระบี่อาเหลียงถึงสามารถแก้ไขปราณกระบี่สิบแปดหยุดให้ดีขึ้น ได้”
้
หย่าเซิ่งเคยออกเดินทางท่องอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวมานานหลายปี สุดท้ายก็พาหยวนพางไปจากที่นี่
เจินเหรินกระดูกขาวพยักหน้า “หากจะพูดถึงเรื่องของการหลอม ลมปราณ หย่าเซิ่งคือยอดฝี มือที่เก่งกาจสุด อีกทั้งต่อให้เผยแพร่ ออกไปภายนอก เว้นจากลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแล้วยิ่งผู้ฝึกตนขอบเขต สูงเท่าไรก็ยิ่งเรียนไม่ได้มากเท่านั้น ก็ไม่รู ้ว่าอาเหลียงผู้นั้นท าอย่างไร ถึงทาให้ผู้ฝึกกระบี่สามารถเรียนได้”
เจินเหรินกระดูกขาวถามอย่างประหลาดใจ “วิธีการผสานมรรคา ของเจ้าคงไม่ได้อาศัยการหลอมโอสถหรอกกระมัง?”
เกาถูกล่าว “ใช่ แล้วก็ไม่ใช่”
เจินเหรินกระดูกขาวกระทืบเท้าเบาๆ ถามอย่างสงสัยว่า “คงไม่ หลอมเจ้านี้ไปจริงๆ แล้วกระมัง?”
ฉายา “จวี้เยว่” (ขุนเขายักษ์) ของเกากู
อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว โชคชะตาภูเขามีเยอะกว่าโชคชะตาน้ามาก นัก
มีภูเขาตี้เฝ่ ยเป็ นเทือกเขาบรรพบุรุษ หล่อหลอมภูเขาตี้เฝ่ ยและ เทือกเขาสาขาแยกมากมายที่แตกแขนงออกไป
เกากูยิ้มเอ่ย “หากเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้จริงๆ ป๋ า ยอวี้จิงจะยอมปล่อยไปหรือ?”
้
เจินเหรินกระดูกขาวเห็นว่าเขาไม่อยากพูดก็ไม่ถามมากอีก
เพราะถึงอย่างไรเส้นทางการผสานมรรคาของผู้ฝึกตนขอบเขต สิบสี่ ยิ่งโลกภายนอกรู ้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
เกากูถาม “หากเจ้าคิดจะสะบั้นเส้นเส้นทางการผสานมรรคาเป็ น ขอบเขตสิบห้าของลู่เฉิน ตัวเองสามารถกลายเป็ นตัวเอง ไม่ต้องมี เรื่องให้กังวลในภายหลังอีกแม้แต่น้อย เจ้าจะท าอย่างไร?”
เจินเหรินกระดูกขาวเอามือลูบราวรั้ว เงียบคิดไปพักหนึ่งถึงเอ่ย เนิบช ้าว่า “เลียนแบบตามรูปแบบ เอาอย่างเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส และเฒ่าตาบอดของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ที่ยอด เขารุ่นเยว่ อาศัยผู้ฝึกยุทธซินขู่ ได้รับการปกป้ องบนมหามรรคาที่ไม่ ต้องมีเหตุผล เดินไปได้อย่างมั่นคง ทาขอบเขตให้มั่นคงได้สาเร็จ จ าแลงมรรคาของฟ้ าดินรอบด้านอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็ น สถานการณ์ที่หางใหญ่จนขยับไม่ได้ ประหนึ่งใบหน้าของสาวงามที่มี รอยแผลเป็ นเพิ่มเข้ามา สานักใหญ่ทั้งหลายพากันชูธงก่อการปฏิวัติ อยู่ในอาณาเขตต่างๆ ของสิบสี่มณฑลในมืดสลัว พากันหลุดพ้นจาก ทาเนียบของเต้ากวาน ก่อตั้งพรรคเป็ นของตัวเอง ขีดเส้นแบ่ง ขอบเขตจากป๋ ายอวี้จิงอย่างชัดเจน อาศัยสิ่งนี้มา…”
ดูเหมือนเขาอยากจะพูดถึงคาเปรียบเปรยที่เหมาะสมที่สุด เกากูจึงรับค าต่อว่า “ตัดแบ่งใต้หล้า”
้
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในดวงจันทร ์เฮ่าไฉ่ เจ้าแห่งถ้าปี้เซียวก็เคยมี การทบทวนกระดานหมากและถกมรรคาอย่างตรงไปตรงมากับลู่เฉิน ผู้เป็ น “ศิษย์หลาน”
คิดจะสังหารลู่เฉิน มีอะไรยากเล่า มรรคกถาของคนผู้หนึ่งแบ่งออกเป็ นห้าความฝันเจ็ดจิตธรรม
ภาพบรรยากาศนี้จะต้องยิ่งใหญ่โอฬารถึงเพียงใด
แต่ก่อนหน้านั้น คากล่าวที่ว่า ‘ตรวจสอบตารา” ซึ่งเหมือนจะเป็ น การพูดอย่างไม่ใส่ใจของเฉินผิงอัน กลับกระแทกเข้าที่จุดอ่อนของลู่ เฉินพอดี
สามพันปี ที่ผ่านมา อาศัยอยู่ในป๋ ายอวี้จิง ทว่าเจ้าลัทธิลู่กลับ หยัดยืนอยู่ในฟ้ าดินเพียงล าพังอย่างโดดเด่น ใต้หล้ามืดสลัวก็เหมือน คัมภีร ์เต๋าเล่มหนึ่ง ลู่เฉินที่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็ นไปตามธรรมชาติ สามารถพลิกเปิดเนื้อหาในตาราอ่านได้ตลอดเวลา แล้วก็สามารถปิด ต าราลงได้ทุกเมื่อเช่นกัน
นี่ก็คือข้อดีของคนที่เปิดหนังสือ แต่หากลู่เฉินต้องพาตัวเข้าไป อยู่ในสถานการณ์ก็จะเหมือนกลายมาเป็ นคนเขียนหนังสือที่ทามาหา กินด้วยการขีดๆ เขียนๆ อย่างไม่มีจบสิ้นสภาพการณ์ของลู่เฉินก็คือ การ…ถูกเชิญท่านลงโอ่ง!
ก็เหมือนกับว่าใต้หล้ามืดสลัวทั้งแห่งจะกลายมาเป็ นบ่อโคลน เละๆ บ่อหนึ่งที่ดึงให้ลู่เฉินจมลงไปมิอาจถอนตัวขึ้นมาได้
้
ต่อให้มรรคกถาของเจ้าสู่เฉินจะสูงแค่ไหน จะมีวิธีการมากมาย แค่ไหน ผลคือไม่ว่าท าอะไรก็ล้วนผิดไปหมด ทางตันนี้มิอาจแก้ไข เมื่อมิอาจแก้ไข ต่อให้สถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าจะสงบสุขมั่นคง ก็มีเพียงจิตแห่งมรรคาของลู่เฉินเท่านั้นที่มิอาจสงบสุขได้
ในหมู่ชาวบ้านร ้านตลาด คนบางคนเป็ นโรครักความสะอาด หรือไม่ก็เป็ นโรคย้าคิดย้าทาที่เกิดจากการบีบคั้นตัวเองอย่างรุนแรง
สาหรับผู้ฝึกบาเพ็ญตนแล้ว การที่แสวงหาการไร ้ข้อบกพร่องบน จิตแห่งมรรคา อันที่จริงก็คือโรครักความสะอาดที่รุนแรงที่สุดอย่าง หนึ่ง
นักพรตหญิงอู๋โจว เกากู ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู อู๋ซว งเจี้ยงแห่งตาหนักสู้ยฉู เซียนกระบี่เป่ าหลิน ฯลฯ ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ไม่ ถูกกับป๋ ายอวี้จิงเหล่านี้ อันที่จริงล้วนมีความสัมพันธ ์ที่ไม่เลวกับลู่เฉิน
ในใต้หล้าแห่งนี้ลู่เฉินไม่มีศัตรูตามความหมายที่แท้จริง
อวี๋โต้วสามารถใช ้การสังหารมาหยุดยั้งการสังหาร หากทาผิดก็ ต้องแก้ไข ไม่มีอุปสรรคใดๆ ต่อจิตแห่งมรรคาของตัวเขาเอง สามารถ สวมชุดคลุมอาคม สะพายกระบี่เซียน บ้างก็ปรากฏตัวในสิบสี่มณฑล บ้างก็นั่งบัญชาการณ์ป๋ ายอวี้จิง ไม่แน่ว่าหากอวี๋โต้วสยบความ โกลาหลวุ่นวายเอาไว้ได้ สร ้างคุณูปการที่สมบูรณ์แบบจากเรื่องนี้ เขาก็อาจจะเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบห้าได้จริงก็เป็ นได้
้
แต่มีเพียงลู่เฉินเท่านั้นที่ทาไม่ได้ มิอาจเดินไปบนเส้นทางสายนี้ ได้มากที่สุด
หากจะบอกว่า “การไม่ฝืนกระทา” ของเจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงนั้น สอดคล้องกับค ากล่าวที่ว่าทาสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยไม่ฝืนกระทา (ไม่ฝืน กระทาในที่นี้คือการปล่อยให้ทุกอย่างด าเนินไปตามธรรมชาติ ซึ่ง เป็ นหัวใจหลักของลัทธิเต๋า) ของมรรคาจารย์เต๋าอย่างถึงที่สุด แต่อัน ที่จริงลู่เฉินกับมรรคาจารย์เต๋าผู้เป็ นอาจารย์ เดิมทีก็มีการแบ่งแยก ของมหามรรคาที่ลุ่มลึกอย่างถึงที่สุดดารงอยู่
ขอแค่ใต้หล้าเกิดกลียุควุ่นวาย ขอแค่ระดับความสูงของมรรค กถาเจ้าสู่เฉินมิอาจเหนือว่ามรรคาจารย์เต๋าผู้เป็ นอาจารย์ได้ ลู่เฉินก็ จะยังเป็ นได้แค่เต้ากวานของป๋ ายอวี้จิง ควันดินปื นผุดพุ่งจากทั่ว สารทิศในใต้หล้า ธุลีแดงในสิบสี่มณฑลตลบอบอวล ลู่เฉินจะต้อง แปดเปื้อนผลกรรมนับไม่ถ้วน แล้วจะผสานมรรคากับขอบเขตสิบห้า ได้อย่างไร จะเลื่อนขั้นไปเสริมตาแหน่งที่มรรคาจารย์เต๋าทิ้งไว้ได้ อย่างไร?
ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมดวงจันทร ์ เจ้าแห่งถ้าปี้เซียวเคยมีการ อนุมานบนมหามรรคาครั้งหนึ่ง การชักดึงเชื่อมโยงกันระหว่างเส้น สายแต่ละเส้น จากจุดไปสู่เส้น จากเส้นไปสู่พื้นผิว
หากเดินไปตามเส้นสายของเจ้าอารามผู้เฒ่า ถ้าอย่างนั้นใต้หล้า มืดสลัวที่สมบูรณ์ในใจของลู่เฉินก็เหมือนสตรีคนหนึ่งที่เดิมทีเป็ นคน
้
งามแห่งยุค ทว่าพอตื่นขึ้นมากลับกลายเป็ นสตรีที่ใบหน้าเต็มไปด้วย รอยกระ
บนกระดานหมากส่วนสุดท้าย นอกจากผู้ฝึกตนใหญ่ที่ถูกลิขิต มาแล้วว่าจะต้องงัดข้อกับป๋ ายอวี้จิงและอวี๋โต้วอย่างกลุ่มของพวกเกา กู ก็ยังมีซินขู่แห่งยอดเขารุ่นเยว่ หลินเจียงซียนแห่งยาซาน หยางชิง แห่งหอซานไห่ สวีเหมียน โจรขโมยข้าวหวังหยวนลู่ จางเฟิ งไห่ที่ หลุดพ้นไปจากป๋ ายอวี้จิง ไปก่อตั้งพรรคของตัวเอง และยังมีเหยาชิง เสนาบดีรูปงามแห่งราชวงศ์ชิงเสิน เจาเกอฉายาฟู่ คาน…พวกเขาต่าง ก็ต้องกลายมาเป็ นศัตรูของป๋ ายอวี้จิงและลู่เฉิน จากนั้นตั้งกระดาน หมากแผ่นนี้ขึ้นให้เป็ นเหมือนกาแพง ก็คือ “กาแพงเกลื้อน” ที่แค่มอง ก็รู ้สึกหวาดผวาทั้งยังเต็มไปด้วยความรังเกียจชิงชังซึ่งตั้งขวางอยู่บน เส้นทางของลู่เฉินอ้อมผ่านไปไม่ได้ เว้นเสียจากว่าลู่เฉินจะทุบท าลาย กาแพงนั้นลงถึงจะเดินหน้าไปบนมหามรรคาต่อได้
“แทบทุกคนต่างก็มิอาจใช ้พละกาลังที่แท้จริงมาประคับประคอง ความคิดบางอย่างที่ใหญ่ที่สุดในใจของตัวเอง”
“ตาสูงมือต่า ยกตัวอย่างเช่นข้าไงล่ะ สหาย เจ้าก็ด้วยเหมือนกัน”
“ค น ที่ไ ด้ส ม ใ จ ป ร า ร ถ น า ห มื่น ปี ที่ผ่ า น ม า ม อ ง ไ ป ทั่ว ประวัติศาสตร ์แล้วก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ โจวมี่แห่งเปลี่ยวร ้าง ความคิดละเอียดอ่อนรอบคอบ ใช ้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้ าหมาย ทาให้ใต้หล้าผอมเพื่อขุนตัวเองให้อ้วนพี จากนั้นเดินขึ้นฟ้ าจากไป แล้วถึงกับยังหันกลับมาหล่อเลี้ยงเปลี่ยวร ้างได้อีก เจิ้งจวีจงแห่งนคร
้
จักรพรรดิขาว เรียกตัวเองว่าเป็ นผู้น าแห่งลัทธิมารด้วยความ ภาคภูมิใจ คาดว่าอีกไม่นานเขาก็คงจะสร ้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคย มีมาก่อนหมื่นปีได้สาเร็จ ซิ่วหูชุยฉานผลักดันเรื่องคุณความชอบและ ลาภยศไปได้ถึงขีดสูงสุด หากชุยฉานมีใจเห็นแก่ตัวแม้เพียงน้อย เกรงว่าผลลัพธ ์ที่ตามมาคงเลวร ้ายเกินกว่าจะคาดคิด ในบรรดาคน รุ่นเยาว์ ดูเหมือนว่าก็มีเพียงเฝ่ ยหรานและจางเฟิงไห่เท่านั้น สวีเจวี้ยน ถือว่าเป็ นได้แค่ครึ่งตัว เพราะที่มากกว่านั้นคือเขาไม่ได้พึ่งตัวเอง แต่ ต้องพึ่งโชคชะตา”
ในที่สุดเจินเหรินกระดูกขาวก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า “ก็ยังมีเฉินสืออี อิ่ นกวานคนสุดท้ายที่ชื่อเสียงโด่งดังมากอีกคนไม่ใช่หรือ? เขาไม่เข้า ตาสหายเลยหรือไร?”
เกากูส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เขาใจอ่อนเหมือนสตรี มีใจเมตตา มากเกินไป แน่นอนว่าบุคคลที่เป็ นเช่นนี้ยิ่งมีบนโลกเยอะเท่าไรก็ยิ่งดี มากเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเด็ก ยังเด็กอยู่มากจริงๆ ดังนั้นใน อนาคตเขาจะเป็ นเช่นไร ผลส าเร็จในวันข้างหน้าจะสูงมากแค่ไหน สหายเจ้าก็สามารถตั้งตารอดูได้เลย”
“ป๋ ายอวี้จิง จะส าเร็จได้ก็ด้วยอวี๋โต้ว จะพ่ายแพ้ได้ก็ด้วยอวี๋โต้ว”
“ใต้หล้ามืดสลัว คนที่ไร ้ความผิดก็คืออวี๋โต้ว คนที่มีความผิดก็ คืออวี๋โต้ว”
“สมกับเป็ นวีรบุรุษจริงๆ”
้
“เมื่อหมื่นปีก่อน หมื่นปีให้หลัง มรรคาจารย์เต๋า อวี๋โต้ว คนบาง คนที่ยังไม่แน่นอนวีรบุรุษที่แท้จริงก็มีแค่สามคนนี้เท่านั้น”
เจินเหรินกระดูกขาวถอนหายใจ “อวี๋โต้วไร ้เทียมทานจริงๆ หาก เปลี่ยนลู่เฉินเป็ นอวี๋โต้ว ข้าก็จะกลับไปทางานอยู่ที่ป๋ ายอวี้จิงแต่โดย ดี”
เกากูยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็ นศัตรูกับเขา ไม่เสียแรงที่เกิดมาในชาติ นี้”
เจินเหรินกระดูกขาวที่อยู่ในหอเรือนกับเหมาจุยที่อยู่ใต้ร่มเงาสน เอ่ยประโยค “ไยต้องทาถึงขั้นนี้” ออกมาแทบจะเวลาเดียวกัน
เกากูกลับไม่ได้ให้คาตอบกับพวกเขาทั้งคู่ เพียงแค่เปลี่ยนเรื่อง คุย เอ่ยประโยคหนึ่งที่ถือเป็ นค าท านายว่า
“เหมาจุย ข้าช่วยเจ้าเลือกลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาไว้เรียบร ้อย แล้ว เขาแซ่เหมา เหมาจากประโยคชื่อที่สอบได้อยู่ในอันดับหน้า (หมิงเลี่ย เฉียนเหมา) เหมาที่แปลว่าหญ้าคา ตอนนี้เขาจะยังไม่มาฝึก ตนที่ภูเขาตี้เฝ่ย เจ้าแค่อดทนรอไปก็พอ”
เจินเหรินกระดูกขาวพยักหน้าเบาๆ “เกากู เมื่อพวกเจ้าจากไป โลกมนุษย์ก็จะเงียบเหงายิ่งกว่าเดิมแล้ว”
เกากูยิ้มอย่างสง่างาม “เจ้าตาหนักเหมา เรียนรู ้จากข้าให้มาก คนของวันนี้ไม่พูดถึงเรื่องของวันพรุ่งนี้ เว้นเสียจากว่าเป็ นเรื่องดีที่
้
คู่ควรแก่การรอคอย ทุกเรื่องสมหวังดังใจปรารถนา ความฝันงดงาม กลายมาเป็ นความจริง”
เจินเหรินกระดูกขาวเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เรียนรู ้ไม่ได้หรอก ข้าคน นี้ค่อนข้างจะมองโลกในแง่ร ้าย”
เกาถูกล่าว “สหายเจ้าเองก็ไม่ใช่คนนี่นา แต่เป็ นโครงกระดูกขาว
โครงหนึ่ง”
เจินเหรินกระดูกขาวยิ่งอ่อนใจมากกว่าเดิม “เกากู คาล้อเล่นนี้ ไม่ตลกเลยนะ”
เกากูพยักหน้า “ข้าไม่ถนัดเรื่องนี้จริงๆ”
เจินเหรินกระดูกขาวก้มหน้าลงเหลือบตามอง เอ่ยสัพยอกว่า “ก็ ไม่สั้นนี่นา น่าเสียดาย”
พอประโยคนี้เอ่ยออกมา เจินเหรินกระดูกขาวก็โดนชายแขนเสื้อ สะบัดใส่ ร่างพลันปลิวกระเด็นออกไป กระดูกทั้งร่างแหลกสลาย กลายเป็ นผุยผง กว่าจะหยุดยืนนิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เสียงกระดูกข้อ ต่อลั่นดังกร๊อบแกร๊บ
งานพิธีครั้งนี้ ตามหลักแล้วเกากูจะต้องถ่ายทอดมรรคกถาให้กับ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง
หนึ่งคืออธิบายความรู ้เรื่องจิตวิญญาณระหว่างมนุษย์ธรรมดากับ ผู้ฝึกบ าเพ็ญตน
้
สองอธิบายเรื่องฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของผู้ฝึ กลมปราณ เกี่ยวกับการบุกเบิกและการจับคู่ระหว่างช่องโพรงลมปราณของ “ภูเขาทายาท” ทั้งหลาย
สามอธิบายถึงบทซัวเจี้ยนและบทฉีอู้ลุ่นของเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ า ยอวี้จิง
ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมือนการถ่ายทอดมรรคาในครั้งที่ผ่านๆ มาของเกากูสักเท่าไร
เนื้อหาที่กล่าวในงานพิธีครั้งนี้คล้ายกับว่าผู้ฝึกลมปราณทั้งสาม ขอบเขตต่างก็เอาไปใช ้ได้จริง
เกากูนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่งบนยอดเขา เบื้องหน้ามีกระถาง ธูปใบหนึ่งวางอยู่ก่อนที่เกากูจะถ่ายทอดมรรคาได้โน้มกายไป ด้านหน้า จุดธูปภูเขาดอกหนึ่งปักไว้ในกระถางธูปทองแดงที่ด้านใต้ สลักตัวอักษรสองค าว่า “เซวียนเต๋อ’ เอาไว้ ควันธูปลอยอวลขึ้นสูง
นักพรตหลายพันคนแค่เลือกที่นั่งตรงไหนในภูเขาตี้เฝ่ ยก็ได้ แต่ ละคนมีสถานะแตกต่างกันไป ในเวลานี้คนที่มารับฟังเกากูถ่ายทอด มรรคาบนภูเขาตี้เฝ่ย มีทั้งเทพเซียนภูตผีและตัวประหลาด
“มนุษย์ล่างภูเขา ร่างกายมนุษย์มีสามจิตเจ็ดวิญญาณ ประหนึ่ง กาวและยางไม้ ยามดึกดื่นค่าคืนไม่ควรใช ้ความคิดกับเรื่องใดอย่าง ลึกซึ้ง ง่ายที่จะถูกช่วงชิงวิญญาณ ยามกลางวันไม่ควรเพ่งมองวัตถุ ใด ง่ายที่จะทาร ้ายจิตใจ”
้
“ใจซ่อนจิตวิญญาณ ตับซ่อนจิต ปอดซ่อนวิญญาณ เป็ นเหตุ ให้จิตไม่โบยบินวิญญาณมิอาจก าราบ ผู้ฝึกบ าเพ็ญตน ฟ้ าดินเล็ก เรือนกายมนุษย์ เดิมทีก็ไม่มีความต่างในเรื่องนี้ ผู้ฝึกบาเพ็ญตนอย่าง เราๆ ต้องควบคุมจิตใจ ต้องหลอมลมปราณ มีการเดินขึ้นเขาฝึกตน มรรคาไม่ได้อยู่ที่ความสูง แต่อยู่ในหัวใจ อยู่ใต้ฝ่ าเท้า อยู่บนเส้นทาง การที่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาก็เพราะทาในวิธีการที่ตรงกันข้าม เป็ นเหตุให้มีเรือนแห่งใจ มีการนั่งลืมตน มีการรวบรวมสมาธิ มีการ หายใจรับเอาปราณวิญญาณ หลอมวัตถุนอกกายน ามาใช ้เชื่อมโยง ฟ้ าดินสองแห่งเข้าด้วยกัน สร ้างโอสถทอง สร ้างทารกก่อก าเนิด จิต บินไปนอกกายก็คือนอกฟ้ า จิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกล พลังชีวิตเคลื่อนลงไปที่ส้นเท้าฝึกหายใจเช่นเดียวกับเจินเหริน จิตห ยางกับเส้นสายแห่งพื้นดินเชื่อมโยงถึงกัน หวนกลับคืนสู่ธรรมชาติ ความเป็ นจริง พาดสะพานเดินขึ้นฟ้ า จึงมีความเป็ นอมตะ”
เพียงแต่ว่าการเริ่มต้นถ่ายทอดมรรคาในวันนี้เป็ นเพียงแค่คา เกริ่นนาของบทความบทหนึ่งเท่านั้น
ภูเขาตี้เฝ่ ยที่เป็ นภาพลวงตา นักพรตหลายพันคนตั้งใจฟังอย่าง มีสมาธิ บางคนที่เดิมทีมาแค่เพื่อโอสถกลับเริ่มรวบรวมสมาธิรับฟัง แล้ว
ส่วนภูเขาตี้เฝ่ ยที่เป็ นของจริง เกากูที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดเคียงข้าง ลูกศิษย์ลุกขึ้นยืนใบหน้าประดับรอยยิ้ม พึมพาเบาๆ
้
“หยิบยืมความแปลกใหม่จากห้าร ้อยปีหน้า พันปีผ่านพ้นกลับ รู ้สึกว่ามันล้าสมัย”