กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1063.1 ข้ารู ้ว่าเจ้าคือใคร
ซากปรักสนามรบโบราณที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในโยวโจว
จุดที่สายตามองไปเห็นคือความว่างเปล่าไร ้ผู้คน ไร ้ซึ่งพลังชีวิต
แต่อันที่จริงสถานที่แห่งนี้มีพืชพรรณรกครึ้ม เพียงแต่ว่าไม่มีนคร อันรุ่งเรืองและต้นไม้ยักษ์ที่สูงเสียดฟ้ าก็เท่านั้น ถึงได้ทาให้ดูเงียบ เหงาเปล่าเปลี่ยวไม่ครึกครื้นมากพอ
มีม้าสองตัวถูกขี่เคียงคู่กันมา หนึ่งชายหนึ่งหญิง คนหนึ่งขี่ม้าชั้น เลวตัวผอมแห้งเหมือนท่อนฟืน อีกคนหนึ่งกลับขี่ม้าแยนจือที่สง่างาม อย่างถึงที่สุด
นักพรตหนุ่มสวมชุดเต๋าที่ทาจากผ้าฝ้ ายสีเขียว ไหล่ของเขาโยก คลอนไปตามหลังม้าที่กระเด้งกระดอน พูดด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “ม้า แก่รู ้เส้นทาง ค่อยๆ ก้าวเดิน ค่อยๆ กลับไปกลับมาช ้าก็ยังดีกว่าไม่ได้ กลับมา”
สตรีอีกคนนั้นมีใบหน้างดงาม แต่นางกลับทาสีหน้าไร ้อารมณ์อยู่ ตลอดเวลา
พูดว่าเหมือนอยู่กันคนละโลกก็เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว พวกเขาก็คือลู่เฉินและจูลู่ที่ออกมาจากใต้หล้าไพศาล ลู่เฉินไม่ได้พาจูลู่ตรงไปที่ป๋ ายอวี้จิง
แต่ “ลู่เฉิน” ผู้นี้ แน่นอนว่าเป็ นแค่ยันต์ร่างแยกแผ่นหนึ่งเท่านั้น
ลู่เฉินชี้นิ้วไปด้านหน้า “ข้าเคยเป็ นเต้ากวานที่คอยรับรองแขก อยู่ในอารามเล็กข้างหน้ามานานหลายปี มีความสัมพันธ ์ที่ดีมากกับ พวกเขา ก่อนฟ้ ามืด พวกเราสองคนแค่เร่งความเร็วก็ต้องไปถึงได้ แน่นอน แล้วก็พักที่นั่นกันสักคืน”
จูลู่เพียงแค่พยักหน้ารับเงียบๆ
ตอนอยู่บ้านเกิด อันที่จริงจูลู่ก็เคยเจอกับพวกคนที่ชอบคลุกคลี อยู่กับธุลีแดง พวกติดสุราของตระกูลเซียนมาเหมือนกัน ส่วนพวก ยอดฝีมือนอกโลกที่รูปโฉมไม่เหมาะกับตัวตนก็เคยได้เห็นมาไม่น้อย เช่นกัน
แต่ระหว่างที่พวกเขาเดินทางมาด้วยกันนี้ ทัศนียภาพมากมายที่ ได้เห็นก็ยังคงท าให้จู ลู่รู ้สึกละลานตา คิดไม่ถึงอยู่ดี ส่วนใหญ่แล้ว ยังคงเป็ นเพราะเจ้าลัทธิลู่ที่อยู่ข้างกาย เพราะ เขาสามารถทาให้เรื่อง ปกติธรรมดากลายมาเป็ นความไม่ปกติได้
หน้าประตูเรือนในหมู่ชาวบ้านมีการแปะกระดาษแดงอักษรดาที่ ทางวัดมอบให้ ด้านบนเขียนคามงคลว่า “ซานจวินต้อนรับสิ่งใหม่”
ตอนนั้นลู่เฉินก็เอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า “ศาลาริมทาง เส้นทางบน ภูเขา ตัวอักษรในโลกมนุษย์ แม้ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่ผุพัง ไม่เน่า เปื่อยเสียหาย
พวกเขาเดินทางผ่านแม่น้าสายหนึ่ง เป็ นช่วงที่แสงแดดกาลังเจิด จ้า อากาศร ้อนแผดเผาที่สุด อากาศแห้งแล้งไม่มีฝนตกมานาน พ่อปู่ ลาคลองที่เรือนกายผ่ายผอมยืนอยู่ในท้องน้าที่แห้งขอด ก่อนจะทรุด ตัวลงบนพื้นดินที่แตกระแหง ทาท่าวักน้าขึ้นมาหนึ่งกอบมือหัวเราะร่า เอ่ยกับเทพภูเขาที่ยืนอยู่บนฝั่ง “ข้าดื่มหมดแล้ว เชิญเจ้าตามสบาย
พ่อปู่ลาคลองเห็นคนสองคนขี่ม้ามาก็ถามเสียงดังว่า พวกเจ้าใช่ เต้ากวานที่ได้รับธรรมโองการเป็ นวิชาเซียนหรือไม่ ช่วยประทานฝน รสหวานให้ตกลงมาสักครั้งได้หรือไม่?
ลู่เฉินสอดมือไว้ในชายแขนเสื้อ ผรุสวาทเสียงดัง นายท่านอย่าง ข้าไม่เป็ นวิชาเซียนอะไรทั้งนั้น มีแต่ฉี่ ต้องการหรือไม่?
พ่อปู่ ลาคลองจึงด่านักพรตที่ผ่านทางมาซึ่งดูคล้ายสมองจะมี ปัญหากลับคืนไป ด่าจนร ้อนใจแล้วก็ขว้างชามขาว หมายจะไปซ ้อม ไอ้หมอนั่นสักรอบ
นักพรตคล้ายจะรอคอยเวลานี้อยู่จึงหัวเราะร่าเสียงดัง ได้ๆๆ เป็ น นิมิตหมายอันดีแตกเพื่อความสงบสุข!
นักพรตยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ดีดนิ้วเบาๆ ทันใดนั้น เมฆทะมึนก็มารวมตัวกันฝนกระหน่าเทลงมา เม็ดฝนใหญ่เท่าเมล็ด ถั่วเหลืองไหลกรูเข้ามาในท้องน้าที่แห้งยอด
ตอนอยู่ในอ าเภอ ลู่เฉินพานางเดินไปตามตรอกซอกซอยละลาน ตา ได้เจอกับแมวป่ าในตรอกเก่าแก่ตรอกหนึ่ง และยังมีหมาพันธ ์ พื้นบ้านที่อยู่ในเรือน ลู่เฉินจะหยุดเท้าเสมอ ไม่รู ้ว่าคิดอะไรอยู่
ในอาณาเขตแห่งหนึ่งที่มีน้าฝนอุดมสมบูรณ์ มีคนเก็บหยกที่ใน มือถือกระบองไม้จับกลุ่มกันเดินลุยไปท่ามกลางกระแสน้าที่เชี่ยว กราก ใช ้แค่เท้าเหยียบลงบนก้อนหินก็วิเคราะห์ได้แล้วว่าใช่หยกงาม หรือไม่
ลู่เฉินจะม้วนขากางเกง บอกให้จูลู่รอบนฝั่ง ส่วนตัวลู่เฉินเสกไม้ เท้าไม้ไผ่เขียวชิ้นหนึ่งออกมา เดินก้าวยาวๆ ไปในลาคลอง เดี๋ยว เหยียบตรงนี้ เดี๋ยวเคาะตรงนั้น
มีผู้บัญชาการณ์เมืองหลวงที่รับหน้าที่เรียบเรียงตารา ระหว่างที่ผู้ เฒ่าเดินทางกลับบ้านเกิดหลังลาออกจากราชการ เขาที่บังเอิญเจอ กับลู่เฉินกลางป่ าพูดคุยกันอย่างถูกคอ แค่ดูลายมือ เอ่ยประโยคดีๆ สองสามประโยค ขุนนางน้าใสอายุมากที่เงินเก็บมีไม่มากก็ถูกลู่เฉิน “หลอกเอา” เงินทองและของมีค่าบางส่วนไปได้
นอนกลางดินกินกลางทรายอยู่บนยอดเขา เจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้ จิงท่านนี้ถึงกับกางกระโจมเป็ น กินผลไม้เชื่อมพลางโวยวายกับยุง ทั้งหลายไปด้วยว่าพวกเจ้าแน่จริงก็มากัดข้าสิ
เวลานี้ลู่เฉินบิดหมุนข้อมือเสกจานเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา แต่ไม่ได้ เสกตะเกียบคู่หนึ่งตามมาด้วย เขายกจานขึ้นกรอกอาหารใส่ปาก
ดังซ ้วบ ก่อนจะหันมาถามว่า “นี่เรียกว่าเผือกบดแปดสมบัติ อยากจะ ลองชิมดูบ้างไหม?”
จูลู่ส่ายหน้า
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ตอนนี้เอาแต่คิดว่าจะขึ้นไปยังที่สูงแล้วขึ้นไปสู่ จุดสูงสุดอย่างไร วันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง คนที่ สามารถเสวยสุขอย่างสงบได้ นั่นต่างหากจึงจะเป็ นเทพเซียนที่ แท้จริง”
จูลูกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยว่ากันวันหลัง”
ลู่เฉินพยักหน้า ถึงกับไม่โต้แย้งแล้วก็ไม่สั่งสอน ทั้งยังเอ่ยคล้อย ตามว่า “มีเหตุผลอย่างมากแล้ว”
จูลู่พลันถามว่า “ข้าไม่ได้ฝันไปจริงๆ หรือ?”
ลู่เฉินหัวเราะร่วน “ในฝันนอกฝันกลางฝัน ต้องให้มั่นใจเท่านั้น ถึงจะดีกว่าหรือ?”
จูลู่ถาม “ถ้าอย่างนั้นท่านคือลู่เฉินจริงๆ ใช่ไหม?”
ลู่เฉินหลุดขาอย่างอดไม่อยู่ “อาจจะใช่ และอาจจะไม่ใช่ ต้องดูที่ อารมณ์ของเจ้า”
ไม่พูดถึงระดับความคลุมเครือยากจะเข้าใจและความแข็งแกร่ง อ่อนด้อยของพลังสังหารหลังจากผสานมรรคา พูดถึงแค่ความ
มหัศจรรย์งดงามลานตาของวิชาคาถา ลู่เฉินบอกว่าตัวเองเป็ นที่หนึ่ง ก็เป็ นได้อย่างสมชื่อ ไม่มีใครกล้าแก่งแย่งกับลู่เฉินในเรื่องนี้
ห้าความฝันเจ็ดจิตธรรมของลู่เฉินไม่เคยปิ ดบังต่อโลกภายนอก เป็ นเหตุให้การผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของลู่เฉินนั้น…เปิดเผยมาก ที่สุด รู ้แล้วจาไว้ก็ดี ไม่รู ้หรือเคยได้ยินมาแต่ลืมไปแล้วก็ช่าง โลก
มนุษย์ในใต้หล้าจะเป็ นอย่างไรก็ตามแต่ใจ
นักพรตฝันว่าเป็ นเจิ้งห่วนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ คนมีชีวิตฝันว่า หนุนหัวกะโหลกต่างหมอนฝันซ ้อนฝัน ฝันว่าต้นลี่ซู่ (หรือต้นโอ๊ค) มี ชีวิต ฝันว่าเต่าศักดิ์สิทธิ์ตาย ฝันว่ากลายเป็ นผีเสื้อไม่รู ้ว่าตัวข้าคือ ใคร ใครเป็ นตัวหลักใครเป็ นตัวรอง
นอกจากนี้ก็มียังมีเจ็ดวัตถุแห่งจิตธรรมได้แก่ไก่ไม้ ต้นชุน ตัวตุ่น คุนเผิง นกขมิ้น นกยวนฉู ผีเสื้อ
สี่ฝันในนั้นได้รับการไขความฝันแล้ว ดังนั้นสหายกระดูกขาวที่ ใช ้นามแฝงว่าเหมาจุยอยากจะไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนก็เชิญตามสบาย
ส่วนเจ็ดวัตถุจิตธรรม นกขมิ้นที่สามารถทดสอบโชคชะตาบุ๋นได้ ถูกเก็บมานานแล้ว ไก่ไม้คืออวี๋เจินอี้แห่งพื้นที่มงคลดอกบัว นกยวนฉู คือผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแห่งจวนเทียนซือบางท่านที่ “สละร่าง” อยู่บนเกาะ เดียวดายนอกทะเล เป็ นเจ้าของคนเก่าของชุดคลุมอาคมจินหลี่คุน เผิงก็เก็บกลับมาแล้ว สหายเก่าที่เคยมีการ โต้แย้งหาวเหลียง” กับลู่ เฉินบนเรือราตรี ในเมื่อเขาเองก็เปิดปากแล้ว อีกอย่างตอนนั้นอู๋ซว
งเจี้ยงก็รู ้แล้วด้วย ลู่เฉินก็ยินดีที่จะผลักเรือไปตามกระแสน้า มีเพียง ตัวตุ่นเท่านั้นที่ลู่เฉินยังคงทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล ไม่ได้ทิ้งไว้เพื่อเล่น งานใคร แค่รู ้สึกว่าน่าสนุกก็เท่านั้น
ส่วน “ยุคบรรพกาลมีต้นไม้ใหญ่นามว่าต้าชุน” ที่ “แปดพันปีคือ วสันต์ แปดพันปีคือสารท” ที่ลู่เฉินเป็ นผู้เสนอขึ้นก่อนใคร ต้นไม้นี้ ไม่ได้มาตรฐาน ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ เป็ นเหตุให้ไม่มีประโยชน์ มากที่สุด และอันที่จริงการที่ลู่เฉินจะเก็บหรือไม่เก็บต้นขุนต้นนี้มาก็ ได้นั้น เป็ นเพราะต้นไม้ต้นนี้คือต้นไม้แห่งมรรคาในใจของลู่เฉิน เพียงแต่ว่าย้ายจากที่ปลูกในใต้หล้าไพศาลมาปลูกอยู่ในใต้หล้ามืด สลัวก็เท่านั้น
ลู่เฉินใช ้หมัดทุบฝ่ ามือ “คิดได้แล้วว่าควรจะแนะน าตัวเองกับคน แปลกหน้าที่รู ้จักใหม่อย่างไร เสี่ยวเต้าปู้ ไฉ มาตุภูมิมาจากชวีหยวน ฉายาซ่านมู่”
จูลู่กาลังจะเปิดปากพูด ลู่เฉินก็เปลี่ยนจากฝ่ ามือเป็ นนิ้วยื่นมา ทางจูลู่ ตวาดเบาๆ ว่า “เงียบ!”
จูลู่ปิดปากตามจิตใต้ส านึก เพียงแต่ว่าครู่ต่อมาถึงได้รู ้ตัวว่าเจ้า ลัทธิลู่แกล้งหลอกนางเท่านั้น นางยังสามารถเปิ ดปากพูดได้ เหมือนเดิม “สนุกนักหรือ?”
ลู่เฉินยกสองแขนกอดอก ร่างโยกคลอนอยู่บนหลังม้า เริ่มกวาด ตามองไปรอบด้านมองบนฟ้ ามองใต้ดิน “ฟ้ าช่างสูงและแผ่นดินช่าง กว้างใหญ่เหลือเกิน”
นอกฟ้ า พื้นที่ลับแห่งหนึ่งที่คลอนแคลนจะแตกสลายแต่ยังไม่ แตก
อวี๋โต้วหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ กระบี่อาคมสอดกลับใส่ฝัก สะพายไว้ด้านหลัง
ห่างออกไปไกลคือผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่สามคนที่ยืนเคียงบ่ากัน ล้วนเป็ นเจิ้งจวีจง แต่แยกไม่ออกแล้วว่าไหนคือร่างจริง ไหนคือจิตห ยางจิตหยิน
แต่เนื่องจากมีเจิ้งจวีจงคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมเต๋าและสวมกวาน เต๋าจึงแยกแยะได้ง่าย
อวี๋โต้วเพียงแค่มอง “คนผู้นี้” ก็นึกอยากจะเปลี่ยนสถานที่ แต่ละ คนอย่ามัวออมแรงไว้สามส่วนอีกเลย ทั้งสองฝ่ ายปลดปล่อยฝีมือให้ เต็มที่ ถามมรรคากันอย่างจริงจังสักครั้ง
เจ้าเจิ้งจวีจงตัวดี ช่างไร ้ชื่อไร ้แปยิ่งนัก
เพียงแค่เพราะเจิ้งจวีจง “นักพรต” ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่มีความ คล้ายคลึงใดๆ กับอาจารย์ของเขาในด้านรูปโฉม แต่บุคลิกท่วงท่า เช่นนั้นกลับดันทาให้อวี๋โต้วเกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็ นอาจารย์ที่อยู่
ในรูปลักษณ์ของวัยกลางคนที่นอกเหนือจากร่างจริงซึ่งมีรูปโฉมเป็ น เด็กหนุ่มและกายธรรมเป็ นคนชราเสียแล้ว!
ลาพังแค่มรรคกถาที่เจิ้งจวีจงร่ายออกมาก็มีเส้นสายมากหลาย สิบเส้น หนึ่งในนั้นก็มีวิชาห้าอสนีดั้งเดิมของจวนเทียนซือภูเขามังกร พยัคฆ์ ถึงขั้นที่ว่ายังมีวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายของสามนครสี่หอเรือน
ของป๋ ายอวี้จิงอยู่ด้วย
นอกจากนี้เจิ้งจวีจงยังสามารถใช ้ของปลอมสวมรอยเป็ นของจริง เลียนแบบตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ท่า มุทราของดินแดนพุทธะสุขาวดี เวทกระบี่สายนอกจ านวนนับไม่ถ้วน ของกระบี่จาลอง วิชาอภินิหารของสานักการทหาร เวทลับบรรพกาล ที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ค่ายกลยันต์ของอาจารย์ซานซานจิ่วโหว ได้ตามใจชอบ…
เรือนกายของเจิ้งจวีจงสองคนสลายหายไป หวนกลับไปยังใต้ หล้าไพศาลอย่างลับๆ
เจิ้งจวีจงคนสุดท้ายนั่งขัดสมาธิ ยื่นนิ้วโป้ งไปปาดเช็ดคราบเลือด ข้างแก้ม ไม่เสียแรงที่เป็ นหนึ่งในสี่กระบี่เซียน คมกริบมากจริงๆ
หากตนได้ครอบครองตาหนักไท่หยางของเจ้าแห่งถ้าปี้เซียวก็ ดีน่ะสิ จะได้หลอมกระบี่ ได้ด้วยตัวเอง
น่าเสียดายที่ปีนั้นไปเยือนอารามกวานเต๋าในพื้นที่มงคลดอกบัว ใบถงทวีปมารอบหนึ่งทั้งสองฝ่ ายมิอาจเจรจากันเรื่อง ‘ราคา’ ได้ ส าเร็จ
เจิ้งจวีจงถาม “อวี๋โต้ว เจ้ารู ้หรือไม่ว่าเมื่อหมื่นปีก่อน สรุปแล้วมีกี่ หมื่นปีกันแน่”
อวี๋โต้วไม่ได้ปิดบัง เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ได้ยินมาว่ามีอยู่หนึ่งหมื่น แต่ก็แค่เคยได้ยินมาเท่านั้น ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ พวกเจ้าที่ออกไป แล้วสามารถไปถามอาจารย์ของข้าได้”
เจิ้งจวีจงยิ้มถาม “ได้ยินมาว่าลู่เฉินได้ไปเยือนโลกประหลาดแห่ง หนึ่งมา”
อวี๋โต้วพยักหน้า “บางทีอาจจะยังมีพันโลกธาตุขนาดใหญ่อยู่อีก นับไม่ถ้วน ศิษย์น้องลู่เคยไปเยือนโลกใบหนึ่งในนั้นมา เขาอยู่ที่นั่น นานหลายปี หรือจะพูดให้ถูกก็คือนานจนนับปีไม่ได้ในความรู ้สึกของ เขา เป็ นเหตุให้ถึงท้ายที่สุดศิษย์น้องลู่ก็แยกไม่ออกว่ากี่ร ้อยกี่พันกี่ หมื่นหรือกี่ร ้อยล้านปี เขากลับมาถึงป๋ ายอวี้จิง ข้าก็ไม่ได้ถามอะไร มาก และเขาเองก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังอย่างที่หาได้ยาก บอกแค่ว่า ตอนที่อยู่ที่นั่นเขาใช ้แค่สองนิ้วก็บี้ให้ดวงดาวนับไม่ถ้วนแตกได้ แค่ ใช ้ความคิดเดียวก็สามารถจาแลงธารดวงดาวพร่างพราวที่กว้างใหญ่ ไร ้ที่สิ้นสุดเส้นหนึ่งขึ้นมาได้แล้ว นี่เป็ นแค่การฝึกตนมาถึงช่วงกลางๆ เท่านั้น ทุกครั้งที่เขาเป่ าหรือสูดลมก็เป็ นการเก็บและปล่อยของ กฎเกณฑ์แห่งมหามรรคาทั่วทั้งใต้หล้า มาภายหลังศิษย์น้องลู่ที่อยู่ที่
นั่น ขนาดคนที่จิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งอย่างเขาก็ยังสิ้นหวังจนได้แต่ ทาลายตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับจาต้องสร ้างเรือนกายขึ้นมา ใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนแปลงสถานะ ความทรงจาส่วนหนึ่งจะฟื้น คืนกลับมาในนาทีใดนาทีหนึ่ง ขอบเขตยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็เป็ นฝ่าย กระทา บ้างก็เป็ นฝ่ ายถูกกระทา สุดท้ายล้วนจดจาเรื่องทั้งหมดได้ หลังจากนั้นมาอีกเขาก็จาต้องสร ้างศัตรูให้กับตัวเอง ให้ตัวเองสังหาร ตัวเองทิ้งกับมือ ดังนั้นจึงมีผู้มีพรสวรรค์ที่ความสามารถโดดเด่นเลิศ ล้าเพิ่มมาร ้อยคนพันคน ไม่ขาดแคลนทั้งจิตใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่และ โชควาสนา บ้างก็ราบรื่นบ้างก็เจอกับอุปสรรค บ้างก็ห้าวเหิม บ้างก็ เดือดดาลคารามเกรี้ยวกราด บ้างก็เงียบงันไม่เอ่ยคาใด บ้างก็บุก ตะลุยไปเดี่ยวๆ บ้างก็มีสหายไปด้วยหลายคน บ้างก็จับกลุ่มสร ้าง ขบวนดึงคนบนเส้นทางเดียวกันนับหมื่น นับแสนนับล้านมาเป็ นพวก สุดท้ายสังหารบุคคลที่เป็ นตัวร ้ายอย่างเขาได้สาเร็จ หรือไม่ทุกสิ่งที่ ท ามาก็สูญเปล่า สรุปก็คือมีเรื่องราวมากมายเกินกว่าจะนับได้ไหว”
เจิ้งจวีจงยิ้มบางๆ “ฟังแล้วมีสีสันน่าสนใจอย่างมาก”
เปลี่ยนไปเป็ นคนอื่น อวี๋โต้วก็คงจะให้เขาไปลองดูด้วยตัวเอง จริงๆ ต่อให้เขามิอาจคัดลอกโลกใบนั้นออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หา “พื้นที่ประกอบพิธีกรรม” ที่คล้ายคลึงกันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ในเมื่อเป็ นเจิ้งจวีจง ก็ช่างเถิด
เล่นงานคนประเภทนี้ หากเกิดการช่วงชิงบนมหามรรคากัน ขึ้นมาก็ได้แต่ใช ้พลังพิฆาตที่สูงยิ่งกว่ามาบดขยี้สังหารอีกฝ่ ายให้สิ้น ซากเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว
อวี๋โต้วเตรียมจะกลับไปอยู่ข้างกายอาจารย์ แต่ว่าเกิดความคิด บางอย่างกะทันหันจึงหยุดเท้าถามว่า “เจิ้งจวีจง เจ้าต้องการสิ่งใด?”
ไม่คิดว่าจะได้รับค าตอบ แต่เรื่องที่ทาให้อวี๋โต้วสนใจได้ก็มีน้อย มากจริงๆ น้อยยิ่งกว่าน้อย จึงไม่ถ่วงรั้งการที่เขาจะเอ่ยถามสักคา
“หากแค่ในตอนนี้ สิ่งที่ต้องการ…”
เจิ้งจวีจงเก็บเบาะรองนั่งมา ลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อวี่โตัว แสวงหาความพ่ายแพ้ข้าแสวงหาการร่วมสังหาร”
อวี๋โต้วมองเขาแล้วส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “เป็ นคนบ้าจริงๆ”
พริบตานั้นอวี๋โต้วที่เพิ่งจะหันตัวกลับก็พลันหันหน้ากลับมา “ใน ที่สุดข้าก็รู ้แล้วว่าเจ้าคือใคร”
เจิ้งจวีจงยิ้มเอ่ย “แล้วเจ้ายังไม่รีบเรียกว่าอาจารย์อีกหรือ?”
ไม่ได้รู ้สึกว่าอวี๋โต้วกาลังแกล้งทาเป็ นลึกลับซับซ ้อน ดังนั้นสิ่งที่ เจิ้งจวีจงคิดในใจในเวลานี้กลับเป็ นชื่อชื่อหนึ่ง โจวมี่?
หรือจะบอกว่าเป็ นผู้ฝึกตนบางคนที่ในอนาคตจะผสานมรรคา ขอบเขตสิบห้าได้ส าเร็จ? หากเป็ นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นก็สะบั้นโซ่ ยาวแห่งผลกรรมเส้นนั้นได้อย่างสิ้นเชิงอาศัยสิ่งนี้มายืนยัน “ปัจจุบัน”
ให้แน่ใจ แน่ใจว่าแม่น้ายาวแห่งกาลเวลาที่เรียกขานกันแท้จริงแล้ว คือมายา คือกรงขังที่ยิ่งใหญ่ เมื่อหลุดพ้นจากสิ่งนี้ไปอย่างสิ้นเชิง หรือควรจะพูดว่าหลุดพ้นจากพันธกาลของชื่อนี้ บางทีอาจเป็ น โอกาสสาคัญที่จะทาให้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงไปบนธรณีประตูของ ขอบเขตสิบหกในอนาคตก็เป็ นได้
ดังนั้นจึงควรต้องไปพบองค์เทพหุนเจ่อผู้เฝ้ าพิทักษ์แม่น้าแห่ง กาลเวลาผู้นั้นสักครั้งจริงๆ แล้ว
อวี๋โต้วสะพายกระบี่ แต่กลับจากไปพร ้อมเสียงหัวเราะก้องกังวาน
เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนแจกันสมบัติทวีป
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน คนต่างถิ่นแซ่หมาได้จ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อ เรือนหลังเก่าของอัครเสนาบดีในราชวงศ์ก่อนเอาไว้
ในเมืองหลวง หากเป็ นตระกูลทั่วไปที่พอจะมีเงินมีอานาจ ต่อให้ จะเป็ นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกับตระกูลหม่าก็ยังเห็นเพียงว่าตระกูลหมา คือคนต่างถิ่นที่พอจะมีเงินเหม็นๆ ใน กระเป๋ าอยู่บ้าง
ยามสนธยาของวันนี้คนหนุ่มแช่หมาคนหนึ่งได้เข้ามาในศาล บรรพชนประจ าตระกูลพอเข้าประตูมาแล้วก็ทั้งไม่จุดธูปคารวะแล้วก็ ไม่กราบไหว้ภาพแขวน แต่กระโดดขึ้นไปนอนบนขื่อคานโดยตรง
สาวใช ้สู่เตี่ยน ลูกศิษย์วั่งจู่ต่างก็ไม่ได้ตามเขาเข้ามาในอาณา เขตของแคว้นอวี้เซวียนล้วนเป็ นแค่มดตัวเล็กตัวน้อย บางทีคนบาง
คนแค่จามหรือยกเท้าเหยียบลงพื้นก็อาจขยี้ให้เศษสวะอย่างพวกเขา ตายได้แล้ว
อวี๋สืออู้เกลี้ยกล่อมเขาว่าอย่าได้กลับมาอีก
หม่าขู่เสวียนบอกว่าคนผู้นั้นต้องการแก้แค้น ตนก็ต้องการใช ้หนี้ แทนบิดา ล้วนเป็ นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
ในเมื่อในที่สุดอีกฝ่ ายก็ทนไม่ไหวจะลงมือแล้ว ตนจะต้องหลบ ท าไม ไม่หลบหรอก
หม่าขู่เสวียนนอนยกขาไขว่ห้าง ปากคาบหญ้าหวานที่ไม่รู ้ว่าไป เด็ดมาจากไหน ดีดนิ้วหนึ่งที
เหนียงเนียงเทพภูเขาท่านหนึ่งถูกหม่าขู่เสวียนสั่งให้ออกมา เป็ น เขาที่กระชากนางออกมาจากร่างทองโดยตรง
นางสัมผัสได้ถึงวิธีการของหม่าขู่เสวียนแล้ว เหนียงเนียงเทพ ภูเขาที่ยืนอยู่บนขื่ออจึงรีบนั่งลงทันใด
หม่าขู่เสวียนลืมตาขึ้นมองฝ้ าเพดานทรงกลมงามประณีต เอ่ยว่า “น้องชายของข้าไม่ได้หลอกเจ้า เขาอยากจะช่วยเปลี่ยนชื่อให้เจ้า จริงๆ เพียงแต่ว่าเขาไม่มีความสามารถนั้น ทุกวันนี้ราชสานักต้าหลี เปลี่ยนฟ้ าแล้ว เทพภูเขาลู่เจี่ยวที่มีความสัมพันธ ์อันดีเยี่ยมกับตระกูล หม่าของพวกเรา หรือก็คือเจ้านายของเจ้า ไม่กล้าที่จะช่วยทาเรื่อง แบบนี้ในเวลาเช่นนี้ แต่หม่าเหยียนซานท าไม่ได้ ข้ากลับท าได้ จะ
ช่วยเปลี่ยนชื่อภูเขาให้เจ้าเอง ข้อเรียกร ้องเพียงหนึ่งเดียวก็คือเจ้า ต้องเปลี่ยนชื่อก่อน ซ่งอวี๋ ชื่อนี้ดีเกินไป ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่คู่ควร”