กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1063.2 ข้ารู ้ว่าเจ้าคือใคร
เทพภูเขาหญิงซ่งอวี๋หรือจะกล้าพูดค าว่าไม่
ทัศนียภาพของภูเขาเจ๋อเอ่อ (พับหู) งดงามยิ่ง มองไกลๆ ประหนึ่งเหล่าขุนนางในราชสานักที่กอดฮู้หยกไว้ในอ้อมอก มอง ไกลๆ ประหนึ่งมวยผมของสาวงาม และทาเนียบหยกทองของซ่งอวี๋ที่ หากอิงตามการป่ าวประกาศของราชส านักต้าหลี ในวงการขุนนาง ภูเขาสายน้าที่ระดับขั้นเข้มงวดไม่ต่างกัน ก็คือตาแหน่งเทพขั้นเจ็ด จะดีจะชั่วก็เข้าขั้นปลายแถวได้แล้ว นางจึงอยากจะเปลี่ยนชื่อภูเขา เป็ น “เจ๋อเยา” (ค านับ หากแปลตรงตัวก็คือพับเอว) จะได้น่าฟัง มากกว่า ความหมายแฝงก็ดีกว่าหลายส่วน คราวก่อนหม่าเหยียน ซานไปเมามายอยู่ที่ร ้านเหล้าของนางอีกครั้ง ถูกน้องสาวที่บุกมาจับ ตัวคนด้วยความเดือดดาลด่าไปรอบหนึ่ง ก่อนที่หม่าเหยียนซานซึ่ง ไม่รู ้สึกระคายกับค าด่าจะออกไปจากร ้านเหล้าได้รับปากนางว่าจะ ช่วยเรื่องเปลี่ยนชื่อ
น้องชายแท้ๆ ของหม่าขู่เสวียนคนนี้คือลูกหลานคนรวยของแท้ คือผีขี้เหล้าสามะเลเทเมา ขนาดตาแหน่งทั่นฮวาหลางของหม่าเห ยียนซานก็ยังเป็ นน้องสาวหม่าเยว่เหมยที่ใช ้วิธีโกงเข้าสอบแทนเขา
ส่วนหม่าเยว่เหมยนั้นก็ชอบก่อเรื่องก่อราวไปทั่ว อายุน้อยๆ ก็ ชอบอ่านเรื่องเล่าเทพเซียนและนิยายในยุทธภพ นางจึงตั้งใจเชิญผู้
ถวายงานประจาตระกูลมาคนหนึ่ง เป็ นปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ล้างมือ ในอ่างทองคาแล้ว เขาคอยช่วยนางอบรมปลูกฝังเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง สาวใช ้ของนางทุกคนล้วนต้องพกกระบี่ เด็กสาวกลุ่มนี้ล้วนเป็ นคนที่ ฝึกฝนวรยุทธอย่างจริงจังในสายตาของชาวบ้าน ไม่ใช่ชั้นวางดอกไม้ ที่มีดีแต่เปลือกนอก
และยังมีหม่าเช่อที่เป็ นญาติผู้น้อง ดูเหมือนว่าเขาจะเป็ นเด็ก อัจฉริยะที่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งราชสานัก อันที่จริง ความสามารถในการเรียนรู ้ของเขาเป็ นอย่างไร นิสัยใจคอเป็ น อย่างไร หม่าขู่เสวียนล้วนไม่สนใจ เด็กหนุ่มอายุน้อย เลือดร ้อนๆ ก าลังพลุ่งพล่านอยากจะนอนกับสตรีวัยกลางคนกึ่งแก่กึ่งสาวที่เรือน กายอวบอิ่มสักคนสองคนจะเป็ นไรไปแน่จริงก็ไปนอนกับพวกนางให้ ได้สิ ต่อให้จะมีสถานะเป็ นท่านหญิงหรือเป็ นฮูหยินเก้ามิ่งแล้วอย่างไร ตอนนี้ยังไม่ได้นอนกับพวกนางก็จงหันหน้าเข้าหาภาพวาดที่วาด ด้วยลายมือตัวเองแล้วก็ใช ้มือเข้าสิ
หม่าขู่เสวียนยิ้มเอ่ย “ซ่งจี๋ (จี้แปลว่าผ่ายผอม ตรงข้ามกับชื่ออวี่ ที่แปลว่าอวบอิ่ม อุดมสมบูรณ์) ข้าคิดว่าดวงของตัวเองธรรมดามาก เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ไม่กล้าถือสาชื่อใหม่นี้ ซ่งอวี๋ได้แต่เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ข้าคิดว่า หม่าเซียนซือโชคดีมาก”
หม่าขู่เสวียนพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างพอใจในคาตอบที่ ชื่อตรงนี้อย่างมากเพียงแต่เขากลับส่ายหน้าอีกครั้ง “ถึงอย่างไรโชค
ก็ไม่ดีเท่าคนรุ่นเยาว์ที่เป็ นคนรุ่นเดียวกันในตระกูลพวกนี้ พวกเขามี พี่ชายชื่อว่าหม่าขู่เสวียน แต่ข้าหม่าขู่เสวียนจะไปเรียกใครว่าพี่ชาย ใหญ่ได้ล่ะ?”
ซ่งอวี๋ไม่รู ้จะโต้ตอบอย่างไร
ก็จริงนะ พวกเขาต่างก็มีที่พึ่ง คือผู้นาคนรุ่นเยาว์สิบคนแห่ง แจกันสมบัติทวีป ส่วนสถานะของผู้ฝึกตนท าเนียบภูเขาเจินอู่ กลับ กลายเป็ นว่าตัวหม่าขู่เสวียนเองไม่เห็นเป็ นจริงเป็ นจัง ภูเขาเจินอู่ไม่ เห็นเป็ นจริงเป็ นจัง โลกภายนอกก็คล้ายจะไม่เห็นเป็ นจริงเป็ นจังตาม ไปด้วย
แต่พูดถึงแค่คู่พี่น้องอย่างหม่าเหยียนซานและหม่าเยว่เหมยนี้ พวกเขากลับไม่เคยเจอพี่ชายใหญ่คนนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
เกี่ยวกับเรื่องทุกอย่างของหม่าขู่เสวียนผู้เป็ นพี่ชายแท้ๆ ของ ตัวเอง
แค่เคยได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น
ในบ้านก็มีแค่พ่อแม่ที่พูดถึง นอกจากนี้แล้ว พวกเขาพี่น้องก็ได้ แต่ฟังคนอื่นเล่ามาอีกที
ตระกูลหม่าที่เรียกได้ว่าหยั่งรากฐานลึกล้าอยู่ในแคว้นอวี้เซวียน ทุกวันนี้กิจการของตระกูลมีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
เหลาสุราและโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง และ ยังมีท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ชานเมืองอีกแห่งหนึ่ง และยิ่งได้ ครอบครองเรือข้ามฟากส่วนตัวสองลาที่สามารถเดินทางผ่านพื้นที่ เกือบครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปได้
แต่หม่าเหยียนซานกลับไม่สนใจพวกนายท่านเทพเซียนหรือ
เทพธิดาอะไรที่บินไปบินมาบนภูเขาพวกนั้นเลย
เขาเป็ นคนชอบดื่มสุรา ความคิดถึงต่อบ้านเกิดมีแค่สองอย่าง นอกจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษแล้วก็คือได้เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรี ของภูเขาพีอวิ๋นสักครั้ง ไปดื่มเหล้าที่นั่นสักมื้อ
ให้น้องสาวที่มีรูปโฉมคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วนช่วยไปสอบ แทน หม่าเหยียนซานได้สถานะทั่นฮวาหลางมาครอง ถือว่าได้ทางาน ในสานักบัณฑิตฮั่นหลินแล้ว แต่อันที่จริงจะไปขานชื่อหรือไม่ก็อยู่ที่ อารมณ์ของเขาเท่านั้น
ฮ่องเต้และทางราชส านักต่างก็ไม่ได้พูดอะไร
ย้ายครอบครัวออกจากบ้านเกิดมาอยู่ที่นี่ ผ่านการแตก กิ่งก้านสาขามายี่สิบกว่าปี คนสี่รุ่นอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เรียกได้ว่า กิ่งก้านหนาครึ้มแล้ว บวกกับลูกหลานของแต่ละบ้านว่ากันว่า ทาเนียบวงศ์ตระกูลเล่มที่เรียบเรียงขึ้นมาใหม่ ชื่อที่อยู่บนนั้นมีถึงร ้อย กว่าชื่อแล้ว
หม่าขู่เสวียนผายฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมา เริ่มนับคานวณ ทุกครั้ง ที่คิดถึงชื่อหนึ่งได้ก็จะงอนิ้วลงหนึ่งนิ้ว สุดท้ายกาเป็ นหมัด
เซี่ยหลิงแห่งสานักกระบี่หลงเฉวียน ดูเหมือนว่าจะเพิ่งฝ่ าทะลุ ขอบเขตอีกครั้งแล้ว อวี๋สืออู้แห่งภูเขาเจินอู่ บางทีอาจเป็ นสหายเพียง หนึ่งเดียวของหม่าขู่เสวียน ไข่จินเจี้ยนแห่งยอดเขาลวี่กุ้ยภูเขาเมฆา เรือง เจียงอวิ้นลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของ หลิวเหล่าเฉิงเจ้าสานักเจินจิ้ง หลิวป้ าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้ า
หม่าขู่เสวียนยกมืออีกข้างขึ้นมา
โจวจวี่รองเจ้าขุนเขาสานักศึกษากวานหู จ้าวชวีถัวนักพรตผู้ฝึก ตนอิสระ สุยโย่วเปียนผู้ฝึกกระบี่แห่งภูเขาลั่วพั่ว เพราะนางไปอยู่ที่ ใบถงทวีป สถานะบนทาเนียบจึงย้ายไปอยู่ที่สานักเบื้องล่างด้วย เท่ากับว่าเว้นตาแหน่งว่างตาแหน่งหนึ่งให้กับผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์รุ่น เยาว์ของแจกันสมบัติทวีป
หม่าขู่เสวียนครุ่นคิด ดูเหมือนว่าจะลืมใครไปคนหนึ่ง นึกไม่ออก แล้วว่าเป็ นใคร
ส่วนการจัดเรียงลาดับอย่างเป็ นรูปธรรมของคนทั้งแปด แน่นอน ว่าหม่าขู่เสวียนยิ่งจาไม่ได้เข้าไปใหญ่
หม่าขู่เสวียนงอนิ้วกาเป็ นหมัดอีกครั้ง เอ่ยว่า “ซึ่งจี๋ เจ้าเคยได้ยิน ค าพูดโบราณประโยคหนึ่งที่ว่า หมาที่กัดคนมักไม่เห่าหรือไม่”
ซ่งอวี๋พยักหน้า “เคยได้ยินมาหลายครั้ง”
หม่าขู่เสวียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สองมือหนุนต่างหมอน เอ่ยว่า “ภูเขาตะวันเที่ยงที่มีเซียนกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆแห่งนั้นไม่เข้าใจ หลักการเหตุผลที่ตื้นเขินข้อนี้”
ซ่งอวี๋เอ่ยเตือนเสียงเบา “ประตูใหญ่เปิ ดออกแล้ว จะเริ่มการ ประชุมแล้ว”
หม่าขู่เสวียนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เงี่ยหูรอฟังกัน เถอะ”
ในศาลบรรพชน การประชุมในวันนี้มีบรรยากาศเคร่งเครียด จริงจัง
คนที่นั่งในตาแหน่งประธานคือเจ้าประมุขสกุลหม่าที่มีชีวิตสุข สบายอยู่ดีกินดี ด้านข้างยังมีเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง คือประมุขหญิงของ ตระกูลหม่าที่เก่งกาจแพรวพราวไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
ในห้องโถงใหญ่มีเทียนแดงหนาเท่าแขนอยู่หลายเล่ม ส่องสว่าง ให้ศาลบรรพชนทั้งเจิดจ้าราวกับเวลากลางวัน
แขวนกรอบป้ าย เขียนชื่อศาล
หม่าขู่เสวียนไม่ได้สังเกตด้วยซ้าว่าเขียนเป็ นคาว่าอะไร
บนคานขนาดใหญ่เหนือหัวของทุกคน มี “วิญญูชนบนขื่อคาน” อยู่สองคนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
หม่าขู่เสวียนหันหน้าไปมอง น้องชายแท้ๆ คนนั้นเคยมีการถาม ตอบที่น่าสนใจกับหญิงงามคนขายเหล้าในร ้านเหล้าของเหนียงเนียง เทพภูเขา
พรุ่งนี้ฝนจะตกหรือไม่ ไม่ตกแน่นอน แต่ต้องมีสักวันที่ฝนจะตก กระหน่าฟ้ าจะร ้องดังถูกหรือไม่? ถึงเวลานั้นกางร่มคันใหญ่สักคันก็
พอแล้ว
หม่าขู่เสวียนรู ้สึกว่าการถามตอบครั้งนี้น่าสนใจอย่างมาก ดังนั้น ถึงได้ยินดีช่วยซ่งอวี๋เปลี่ยนชื่อภูเขา อันที่จริงอีกไม่นานทางฝั่งของ ภูเขาลู่เจี่ยวจะมีเอกสารฉบับหนึ่งถูกส่งไปอนุญาตให้ภูเขาเจ๋อเอ่อ เปลี่ยนชื่อเป็ นภูเขาเจ๋อเยา ตาแหน่งเทพของซ่งอวี๋ไม่เปลี่ยน แน่นอน ว่าหม่าขู่เสวียนใช ้คุณความชอบของตัวเองแลกเปลี่ยนมา แล้ว นับประสาอะไรกับที่ก็แค่การเปลี่ยนชื่อภูเขาเท่านั้น ไม่ใช่การ ยกระดับความสูงของร่างทองต าแหน่งเทพเสียหน่อย
ส่วนหลังจากนี้ซ่งอวี๋จะเปลี่ยนชื่อเป็ นซึ่งจี่หรือไม่ ไม่สาคัญ เปลี่ยนไปแล้วก็ไม่มีอะไรดีไม่เปลี่ยนก็ไม่มีอะไรเสีย หม่าขู่เสวียนไม่มี อารมณ์จะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนี้
ในศาลบรรพจารย์มีคนหนุ่มสองคนที่ทุกวันนี้ต่างก็มียศตาแหน่ง ติดตัว ดังนั้นถึงได้มีคุณสมบัติมานั่งอยู่ที่นี่
ยามใดที่พวกเขากับลูกหลานตระกูลร่ารวยของแคว้นอวี้เชวียน รู ้สึกว่าอยู่เมืองหลวงแล้วเบื่อหน่ายก็มักจะหาข้ออ้างออกไปจากเมือง
หลวง ไปเข้าร่วมการ “ล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง” ที่ไม่มีใครรู ้เป็ นประจา ไป ยังดินแดนห่างไกลในอาณาเขตของแคว้นเล็กทั้งหลาย แล้วเริ่มท า การล่าเหยื่อภายใต้การนาพาของสหายรักในท้องถิ่น คนกลุ่มนี้พอ มาถึงเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนก็กลายเป็ นพวกสุนัขรับใช ้ที่คอยก้ม หัวค้อมเอว แต่อยู่ที่บ้านเกิดของพวกเขากลับเป็ นลูกหลานคนมี อานาจอันดับหนึ่ง คาว่าออกล่าก็คือขี่ม้าสวมเสื้อเกราะ สะพายธนู พก เหยื่อที่ถูกล่าก็คือ “โจรขี่ม้า” และ “กองโจรเร่ร่อน” ฝั่งของ ข้าราชการในพื้นที่ล้วนให้ความร่วมมือดีมาก
หม่าขู่เสวียนที่นั่งอยู่บนคานมองพวกเขาแล้วจึงหันไปมองทุกคน ที่นอกเหนือจากเก้าอี้สองตัวนั้น แล้วจู่ๆ ก็รู ้สึกว่าน้องชายแท้ๆ อย่าง หม่าเหยียนชานมองแล้วสบายตาขึ้นมาหลายส่วน
เพราะถึงอย่างไรก็เป็ นคนฉลาดที่มีจานวนไม่มาก ทั้งคนแก่และ เด็กที่อยู่ในศาลบรรพชน รวมกันแล้วก็ยังไม่มีใครฉลาดเท่าหม่าเห ยียนซานเลยสักคน
ไม่รู ้ว่าเป็ นยามใด รู ้เพียงว่าม่านราตรีดามืด เด็กน้อยคนหนึ่งถูก เสียงดังปลุกให้ตื่นเขาแอบฟังเสียงทะเลาะในห้องโถงใหญ่ด้านนอก ท่านย่าพูดโน้มน้าว พ่อแม่กลับไม่ฟัง ซ้ายังหันมาด่าท่านย่าว่าแก่ แล้วเลอะเลือน ส่วนผลลัพธ ์น่ะหรือ ตระกูลหม่าตรอกซิ่งฮวาได้รับ โชคลาภร่ารวยล้นฟ้ า ถึงได้มีทัศนียภาพที่รุ่งเรืองงดงามดั่งภาพวาด ที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉาอย่างในทุกวันนี้
หม่าขู่เสวียนลืมตาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คร ้านจะถือสา แค่คิดถึงท่านย่าของตนเท่านั้น
อยู่ในเมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนเช่นเดียวกัน มีอาเภอสองแห่งที่ อยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้
อาเภอหย่งเจียที่อยู่ทางเหนือคือที่อยู่ของตระกูลร่ารวยมีอานาจ อาเภอฉางหนิงที่อยู่ทางใต้คือที่อยู่ของตระกูลยากจนตรอกเก่าโทรม
เรือนหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากที่ว่าการอาเภอฉางหนิงมาไม่ไกล ใน ลานเรือนเต็มไปด้วยพืชพรรณดอกไม้นานาชนิด
อากาศคืนนี้ไม่เลว เชวียหรูอี้ผีสาวสวมชุดกระโปรงแดงนั่งอยู่บน ชิงช ้า ไกวเบาๆ
กระโปรงมีมากมายหลายหีบใหญ่ นางต้องคอยเลือกชุดใส่อยู่ ทุกวัน อันที่จริงก็เป็ นเรื่องที่น่ากลุ้มมาก
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะขึ้นชื่อว่าเป็ น “เรือนผีดุ” แต่กลับไม่เหมือน สถานที่แห่งอื่นในเมืองหลวง แม้กระทั่งนายท่านเทพอภิบาลเมือง ประจาอาเภอที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดก็ยังไม่มาควบคุมนาง เพียงแค่ เพราะขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบุ๋นที่รับหน้าที่ในศาลเทพอภิบาลเมือง คนก่อนเคยเป็ นผู้นาปกครองหกกองซึ่งมีกองหยินหยางเป็ นหนึ่งใน นั้น ตาแหน่งขุนนางใหญ่มาก แต่กลับเป็ นคนรู ้จักเก่าของนาง เพราะ มีความสัมพันธ ์ชั้นนี้อยู่ แม้นางจะเป็ นผี แต่ก็เพราะยังรักษากฎเป็ น
อย่างดี หลายปีมานี้แทบไม่เคยย่างเท้าออกจากบ้าน จึงไม่มีใครมายุ่ง กับนาง
นักพรตวัยกลางคนที่ไปตั้งแผงดูดวงผู้นั้นยังคงออกจากบ้านแต่ เช ้ากลับมายามค่ามืดทุกวัน ฝนตกแดดออกก็ไม่มีเว้น
ใช ้นามแฝงว่าอู๋ตี บอกว่าชื่อจริงของตัวเองคือเฉินเจี้ยนเสียน อู๋ตี้? (ไร ้เทียมทาน) เฉิน เจี้ยนเซียน? (เซียนกระบี่เฉิน)
เอาเป็ นว่ามีความจริงอยู่แค่ไม่กี่คา ตบะไม่สูง ความสามารถไม่ มาก แต่ความสามารถในการตั้งชื่อให้ตัวเองกลับไม่อ่อนด้อยเลย
นางหันหน้าไปมอง มองเจ้าคนที่นั่งบ้วนปากอยู่ตรงขั้นบันได ถามชวนคุยว่า “นักพรตอู๋ สรุปแล้วเจ้ามีขอบเขตอะไรกันแน่? ใช่ เทพเซียนพสุธาที่กล่าวถึงในตานานหรือไม่? ในเมื่อเป็ นเพื่อนบ้าน กันที่เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าก็ต้องเห็นกันทุกวัน ไม่สู้จริงใจต่อกัน หน่อย”
นักพรตวัยกลางคนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณสมบัติในการฝึก ตนของผินเต้าแค่พอถูไถ พูดค าว่า “พอใช ้ได้” โดยไม่หน้าแดง แต่ก็ ไม่ใช่เซียนดินที่บันทึกไว้ในตาราจริงๆ”
เซวียหรูอี้หลุดหัวเราะพรืด “ไหนบอกว่าออกจากบ้านคาว่า ซื่อสัตย์ต้องมาเป็ นอันดับหนึ่งอย่างไรเล่า? หากข้าจ าไม่ผิด ประโยค นี้เป็ นวลีติดปากของเจ้าเลยนะ”
นักพรตยิ้มเอ่ย “ก็ไม่ได้หลอกเจ้าเสียหน่อย หากแม่นางเซวียไม่ เชื่อ ผินเต้าจะทาอย่างไรได้ นี่ยากยิ่งกว่าหาเงินมาจากกระเป๋ าของ คนอื่นอีกนะ”
เซวียหรูอี้ยิ้มถาม “เป็ นคนอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว ยังไม่ใช่เทพเซียน ห้าขอบเขตกลางอีกคุณสมบัติถือว่า “พอใช ้ได้” จริงๆ หรือ?”
จาได้ว่าก่อนหน้านี้ถามคนผู้นี้ว่ากลายมาเป็ นผู้ฝึกลมปราณได้ อย่างไร ผลคืออีกฝ่ายเอ่ย “คาพูดใหญ่โต” ที่ฟังแล้วมีกลิ่นอายเซียน อย่างมาก
ตอนอายุยังน้อยเคยเรียนวิชาขึ้นเขา
คืนนี้การที่นางพูดจาไร ้สาระมากมายขนาดนี้ก็เพราะคิดไม่ถึงว่า นักพรตที่เป็ นนักต้มตุ๋นผู้นี้จะพูดถูกจริงๆ ช่วงวันวสันตวิษุวัต ใน อาณาเขตของเมืองหลวงไม่มีฝนตก กลิ่นอายดินที่อุดมสมบูรณ์ อบอุ่นผิดแผกไปจากปกติ
อีกทั้งตอนนั้นนักพรตยังเอ่ยประโยคที่ลึกลับอีกประโยค บอกว่า วันชิงหมิงของปี นี้มีโอกาสที่จะเกิดฟ้ าผ่า ความเคลื่อนไหวนั้น ค่อนข้างรุนแรง บอกนางว่าอย่าคิดมาก
หลังจากนั้นมานักพรตก็ยังแสดงความรู ้ด้านการ “เว้นวรรค ประโยค” ที่ทาให้นางต้องมองเขาเสียใหม่จริงๆ
คราวก่อนขุนนางผู้พิพากษาหงมาเยือนพร ้อมกับแม่นางจี้ หรือ ควรจะบอกว่า แวะมาเที่ยวคุยเล่น” ภาพเทพทวารบาลลงสีที่แปะไว้
บนประตูมีแสงสีทองเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ตอนนั้นขุนนางผู้พิพากษาหง ไม่ได้สวมชุดขุนนาง แต่แต่งกายเหมือนปัญญาชนลัทธิขงจื๊อ จี้เสี่ยว ผิงที่เป็ นผู้ติดตามและผู้ใต้บังคับบัญชา สตรีองอาจห้าวหาญ สวม เสื้อเกราะสีทองสะพายกระบี่อาคมเล่มหนึ่งที่มีรูปร่างเป็ นเหรียญ ทองแดงเจ็ดดาว นางรับหน้าที่อยู่ในกองหยินหยางศาลเทพอภิบาล
เมืองของเมืองหลวงมานานสามร ้อยปีแล้ว
พวกเขาเรียกผีสาวที่มีชาติกาเนิดมาจากนางสนมกานัลในผู้นี้ ว่าหรูอี้เหนียง แน่นอนว่ามาจากเรื่องเล่าเก่าแก่ที่ผ่านไปแล้วเรื่องหนึ่ง
หากเป็ นอย่างที่พวกเขาพูด ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบ ระดับอ าเภอ ต าแหน่งฮุ่ยหยวนในการสอบฤดูใบไม้ผลิ หลังจากนั้น นอกจากหม่าเช่อเป็ นจ้วงหยวนแล้ว ปั้งเหยี่ยนทั่นฮวาและฉวนหลู ระดับสอง ล้วนมีตัวเลือกที่เลือกกันเป็ นการภายในไว้นานแล้ว
การใช ้ดุลยพินิจเรื่องโชคชะตาบุ๋นของแคว้นถูกมองเป็ นเรื่องเด็ก เล่นไปอย่างสิ้นเชิง
ขุนนางผู้พิพากษาฝ่ ายบู๊ของศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวง มีส่วนเรื่องนี้ด้วย ตามคาอธิบายของจี้เสี่ยวผิง ขุนนางผู้พิพากษา ฝ่ ายบู๊ของศาลเทพอภิบาลเมืองที่กุมอานาจส าคัญพอๆ กับนายท่าน หง อีกฝ่ ายย่อมมีเหตุผลที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิ ชอบเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง ในความเป็ นจริงแล้วก็ไม่ถือว่าขุน นางผู้พิพากษาฝ่ ายบู๊ผู้นั้นทาตัวเหลวไหล เพราะมันมีช่องว่างทาง กฎหมายในปรโลกให้มุดลอดไปได้จริงๆ
หากมียอดฝี มือบางคนที่จิตใจไม่เที่ยงตรงช่วยวางแผนให้ก็ สามารถเล่นตุกติกในเรื่องของบุญกุศลที่สะสมไว้และในเรื่องของการ ท าความดีในโลกสว่างได้จริงๆ
ประเด็นสาคัญคือยี่สิบสี่กองงานของศาลเทพอภิบาลเมืองใน เมืองหลวง กองโชคชะตาบุ๋นเดิมที่ควรให้ผู้พิพากษาหงเป็ นผู้ดูแล กลับย้ายไปเข้าพวกกับผู้พิพากษาบู๊ ถือว่ามีความสัมพันธ ์แน่นแฟ้ นต่อกันแล้ว
แม้ว่านางจะรู ้เรื่องวงในมานานแล้ว แต่พอเกิดเรื่องเข้าจริง เซวีย หรูอี้ก็ยังโมโหมาก หลายวันนั้นนางเดือดดาลจนกัดฟันกรอดๆ เอะอะ ก็หาเรื่องด่านักพรตผู้นั้น เอาเขามาเป็ นที่ระบายอารมณ์ของตัวเอง
โชคดีที่นักพรตไม่โกรธ เพียงแค่ว่ามีบางครั้งที่พึมพาบ่นเบาๆ บอกว่าทุกเดือนก็จะต้องมีอยู่สี่ห้าวันนี่แหละ เข้าใจๆ บังเอิญเซวียหรู อี้มาได้ยินเข้าพอดี นางเกือบจะยกเท้าถีบอีกฝ่ายแล้ว
คืนนี้ได้ยินเสียงถอนหายใจของเซวียหรูอี้อีกครั้ง
“แม่นางเซวีย ค าโบราณบอกไว้ว่าคนเราควรถอนหายใจให้น้อย หน่อย”
นักพรตยิ้มเอ่ย “คาโบราณยังบอกอีกว่าใจร ้อนก็กินเต้าหู้ร ้อน ไม่ได้ หากชะตาก าหนดไว้ ถึงเวลาก็ต้องมี”
เชวียหรูอี้เอ่ยอย่างขาๆ ปนฉุนว่า “ยืนพูดไม่ปวดเอว อีกอย่างคา ว่าคนเรา ถึงอย่างไรก็ต้องเป็ นคนให้ได้ก่อนกระมัง”
นักพรตยิ้มเอ่ย “คนและผีมีความต่าง มีดสว่างอยู่กันคนละ เส้นทาง นี่ไม่ได้โกหก แต่มรรคาไม่มีทางลัด หลักการเหตุผลย่อมมี เพียงหนึ่งเดียว”
เซวียหรูอี้ถอนหายใจอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ หลักการเหตุผลของ เจ้าหมอนี่เยอะไปสักหน่อย เป็ นนักพรตไม่ใช่บัณฑิตคร่าครึที่ดีแต่
อ่านตาราคร่าเคร่งอย่างเดียวจริงๆ หรือ?
ต้องไม่ใช่แน่นอน ไม่ใช่แน่ๆ หากว่าเป็ นบัณฑิตจริง วิธีหาเงิน ต้องไม่มีทางเยอะแยะมากมาย พลิกแพลงได้สารพัดรูปแบบอย่างเขา แน่นอน
เชวียหรูอี้เงยหน้ามองดวงจันทร ์จาได้ว่าตอนนั้นจี้เสี่ยวผิงยังเคย เอ่ยค าพูดจากใจจริงที่ถือเป็ นการละเมิดข้อห้ามอย่างเดือดดาลอยู่ หลายประโยค จวนเทพภูเขาของภูเขาลู่เจี่ยวภูเขาทายาทของขุนเขา ตะวันตกซึ่งดูแลสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าและศาลเทพอภิบาล เมืองมากมายในอาณาเขตของแคว้นอวี้เซวียน ส าหรับความวุ่นวาย ในการสอบเคอจวี่ของแคว้นอวี้เซวียน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยถาม ไถ่ บางทีเรื่องวงในที่ไม่มีใครล่วงรู ้ก็อาจยังถูกปิดหูปิดตาเอาไว้ ถึง อย่างไรแผ่นฟ้ าก็สูงใหญ่ฮ่องเต้อยู่ห่างไกล ผลลัพธ ์สุดท้ายก็คือ โชคชะตาบุ๋นของแคว้นอวี้เซวียนถึงได้เละเทะขนาดนี้
เซวียหรูอี้เปิดปากเอ่ย “นักพรตอู๋ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน พวกขุน นางก็มักจะปกป้ อง กันเองเสมอหรือ?”
นักพรตนั่งอยู่บนขั้นบันได วางข้าวของอย่างพวกชามขาวและ แปรงสีพันไว้ด้านข้างสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากจะให้พูดหลักการเหตุผลข้อหนึ่งให้ชัดเจนก็ต้องแยกความ สุดโต่งสองอย่างออกไปก่อน มาพูดกันในเรื่องของสัดส่วน ในเรื่องนี้ ยังมีความต่างของเวลาและสถานที่อยู่ด้วย อีกทั้งที่ว่าการของ ทางการแต่ละแห่งก็มีวิธีการของตัวเอง นิสัยของขุนนางหลักเป็ น อย่างไร ขนบธรรมเนียมความเคยชินในพื้นที่เป็ นอย่างไร ยกตัวอย่าง เช่นพูดถึงที่แห่งนี้…”