กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1063.3 ข้ารู ้ว่าเจ้าคือใคร
เซวียหรูอี้ฟังจนปวดหัวไปหมดแล้ว นางยกมือข้างหนึ่งขึ้น “หยุด เลย!”
นางชินแล้ว อันที่จริงนักพรตวัยกลางคนก็ชินแล้วเหมือนกัน เตรียมจะลุกขึ้นจากไปเมื่อครู่นี้เกิดความคิดขึ้นมากะทันหัน คิดจะ ทาอาหารมื้อดึกให้ตัวเอง หม้อไฟก็ไม่เลวเลยห้องครัวยังมีวัตถุดิบสด ใหม่เหลืออยู่ บ ารุงอวัยวะภายในเสียหน่อย อย่างมากก็แค่ต้องแปรง ฟันอีกรอบเท่านั้น
อยู่ดีๆ เซวียหรูอี้ก็ถามขึ้นว่า “นักพรตอู๋ เจ้าคิดว่าหากข้าขวัญ กล้าเทียมฟ้ า ไม่ถือสาข้อห้ามในวงการขุนนางภูเขาสายน้าพวกนั้น พรุ่งนี้ไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองหรือไม่ก็ศาลบุ๋นบู๊ เตรียมกระดาษ ฟ้ องร ้องไว้แผ่นหนึ่ง เผายันต์ส่งคาร ้องไปที่กองตรวจสอบของจวน ซานจวินขุนเขาตะวันตก! เจ้าคิดว่าจะท าได้หรือไม่?!”
ขุนนางผู้พิพากษาหงย้ายไปอยู่ที่จังหวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ใกล้กับ เมืองหลวงส ารองของต้าหลี รับหน้าที่เป็ นท่านเทพอภิบาลเมืองประจา จังหวัด จังหวัดไม่ใหญ่ แต่ระดับชั้นของต าแหน่งเทพกลับสูงพอๆ กับ ต าแหน่งเทพของฉู่โจวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งนั้น!
ส่วนจี้เสี่ยวผิงที่เป็ นขุนนางผู้ช่วยก็ติดตามผู้พิพากษาหงออกไป จากศาลเทพอภิบาลเมืองประจาเมืองหลวงของแคว้นอวี้เซวียนด้วย
แน่นอนว่าไม่อาจรับหน้าที่เป็ นขุนนางหลักของกองหยินหยางของที่ นั่นได้ต่อแล้ว ในนามมองดูคล้ายถูก ‘ลดขั้น’ แต่แท้จริงแล้วต าแหน่ง เทพยังคงเหมือนต าแหน่งเดิม ถือว่าถูกใช ้ในงานส าคัญในวงการขุน นางอย่างหนึ่ง
ในความเป็ นจริงแล้วหลังจากที่ผู้พิพากษาหงและจี้เสี่ยวผิงออก จากต าแหน่งไป พวกเขาได้บอกกล่าวกับเซวียหรูอี้ บอกว่าจะบอก กล่าวกับทางภูเขาลู่เจี่ยวให้ แต่หากผลลัพธ ์ของการสอบเคอจวี่ไม่มี การเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็หมายความว่าไม่มีประโยชน์ ห้ามนางท าอะไร วู่วามเด็ดขาด หลังจากที่เขาไปรับหน้าที่เป็ นท่านเทพอภิบาลเมืองใน จังหวัดท้องถิ่นของต้าหลีแล้วจะพยายามคิดหาวิธีนาเรื่องนี้ไปแจ้ง ให้กับภูเขาทายาทลูกหนึ่งของภูเขาจื่อเช่อขุนเขากลางทราบ
นักพรตยิ้มเอ่ย “ตามใจเจ้า แต่บอกไว้ก่อนนะว่า เรื่องอย่างการ เขียนกระดาษฟ้ องร ้องนี้ ข้าทาไม่ได้หรอกนะ มอบเงินให้แค่ไหนก็ไม่ มีเรื่องให้ต้องคุยกันอยู่ดี!”
เซวียหรูอี้ถอนหายใจ “ใจกล้าพอจะหาเงิน แต่ไม่มีความกล้า พอจะผดุงความเป็ นธรรมหรือ?”
นักพรตหัวเราะ
นางปิ ดปากหัวเราะคิก “ปี นั้นภรรยาของเจ้ามาถูกใจเจ้าได้ อย่างไร? ชอบในความสามารถของเจ้าหรือน้าลายสอในรูปโฉมของ เจ้ากันล่ะ?”
นักพรตยืนหัวเราะอย่างโง่งมอยู่ตรงนั้น
เซวียหรูอี้กระโดดลงจากชิงช ้า ยื่นมือข้างหนึ่งไปจับเชือกของ ชิงช ้าไว้ หันหน้ามาหานักพรต ผีสาวคลี่ยิ้มหวาน “นักพรตอู๋ที่แสร ้ง ทาเป็ นหลอกผีหลอกเจ้าก็ดี ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แต่กลับเป็ นเซียนกระบี่ เฉินที่เลื่อมใสผู้ฝึกกระบี่ก็ช่าง เป็ นเพื่อนบ้านกันมานานขนาดนี้ ข้ารู ้
ว่าต่อให้เจ้าจะขี้ขลาดแค่ไหนก็ยังเป็ นคนดี!” “สายตาดี!”
นักพรตยกนิ้วโป้ งให้ “บอกตามตรง ตอนที่ผินเต้ายังหนุ่มแล้ว ออกท่องในยุทธภพ ใช ้นามแฝงว่าเฉินคนดี! ได้สร ้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ไว้ต่างบ้านต่างเมืองด้วยล่ะ”
เซวียหรูอี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คาพูดดีๆ ก็พูดไปแล้ว พรุ่งนี้เจ้า ย้ายออกไปจากที่นี่เถอะ ข้าไม่ได้ไล่เจ้า แต่แนะน าให้เจ้าออกห่างจาก สถานที่อันตรายโดยเร็ว ไม่ให้ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยขโมยไม่เคยแย่งชิง ใคร แค่อาศัยความสามารถในการหาเงิน แต่กลับต้องมีจุดจบเหมือน คนที่ดินเหลืองเปื้อนเต็มกางเกง”
นักพรตยิ้มถาม “แม่นางเซวีย ฟังจากน้าเสียงคือเจ้าจะเผายันต์ ส่งค าร ้องไปจริงๆ สินะ?”
เซวียหรูอี้แสร ้งพูดอย่างผ่อนคลาย “บางทีอีกไม่นานก็อาจจะ เปลี่ยนใจ วันมะรืนเจ้าก็ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ได้แล้ว”
ภูเขากานโจวขุนเขาตะวันออกของในจังหวัด มีซานจวินเป็ นถง เหวินช่าง
เซวียหรูอี้หรือจะกล้าคิดไปที่นั่น?
แต่ขุนเขาตะวันตกได้ครอบครองภูเขาทายาทอยู่สองลูก นอกจากภูเขาลู่เจี่ยวที่ไม่มีทางพึ่งพาได้แล้ว อันที่จริงยังมีภูเขาหลวน ซานอีกลูกหนึ่งที่เทือกเขาสูงตระหง่านมิอาจปีนป่าย ยอดเขาหลักสูง เกินกว่าภูเขากานโจวอยู่หลายเท่า
แม้จะบอกว่าก็ยังไม่ค่อยกล้าคิดอยู่ดี แต่เมื่อเทียบกับภูเขากาน โจวแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็ นการบากหน้า ปลุกความกล้าไปลองดูที่ภูเขา หลวนซานเท่านั้น
ส่วนนักพรตต่างถิ่นที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ดูเหมือนว่านอกจากจะหา เงินและเขียนยันต์ผีวาดแล้ว เขายังมีความสามารถในการมอง ลมปราณอยู่บ้างเล็กน้อยด้วย ถึงกับมองออกว่าเด็กหนุ่มจางโหวที่อยู่ บ้านข้างๆ คือคนที่มีร่มเงาบรรพบุรุษคอยปกป้ อง อีกทั้งยังเป็ นคนใน ม่านโปร่งมรกตที่มีโชคชะตาบุ๋นติดกาย แม้นางจะเป็ นผีขอบเขตชม มหาสมุทร แต่สายของการมองลมปราณเกี่ยวพันไปถึงชะตาชีวิต ลี้ ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปจะทาได้ มีเพียง ผู้ที่บรรลุมรรคาหรือไม่ก็ขุนนางหลักในกองชะตาบุ๋นของศาลเทพ อภิบาลเมืองเท่านั้นที่ถึงจะกล้าพูดว่าตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องนี้ แน่นอน ว่านักพรตที่นับนิ้วคานวณได้ก็น่าจะพอนับเป็ นคนหนึ่งในนั้นได้ เหมือนกันกระมัง?
นักพรตเคยถามนางว่าทาไมถึงไม่ไปเป็ นเหนียงเนียงเทพภูเขาที่ ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากทางราชส านัก ถึงอย่างไรก็ดีกว่า คอยมองสีหน้าคนอื่นอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้
เด็กหนุ่มบ้านติดกันมีเทียบอักษรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษอยู่ แผ่นหนึ่งที่เขียนตัวอักษรไว้ทั้งสิ้นสามสิบหกตัว ผู้พิพากษาหงที่ ดวงตาเฉียบแหลมเห็นเข้าก็บอกว่าเป็ นสามสิบหกไข่มุก ซุกซ่อนเวท คาถาชักนาที่บริสุทธิ์และสูงส่งลึกล้าบทหนึ่งเอาไว้ สามารถกลายมา เป็ นรากฐานในการหยัดยืนของจางโหวได้ แต่ความรู ้ในการให้ อรรถาธิบายค าศัพท์โบราณของนางกลับธรรมดาอย่างมาก ส่วน นายท่านหงและพี่หญิงจี้ ถึงอย่างไรก็เป็ นขุนนางในสายของปรโลก ไม่เหมาะจะแพร่งพรายความลับให้กับเด็กหนุ่มในโลกสว่าง ดังนั้นเซ วียหรูอี้จึงได้แต่บากหน้าตามหาไปทั่วสารทิศ ด้านหนึ่งก็เรียนรู ้ด้วย ตัวเองอย่างยากล าบาก อีกด้านก็คอยไขข้อข้องใจให้กับจางโหว นี่ ถึงได้ท าให้เด็กหนุ่มก้าวเดินเข้าสู่เส้นทางของการฝึ กตนกลายมา เป็ นผู้ฝึกลมปราณขั้นสอง
จากนั้นก็ถูกนักพรตผู้นั้น “สวมรอยเป็ นยอดฝีมือนอกโลก แล้ว เขาก็ดันแกล้งท าได้เหมือนจริงๆ
เพราะหากอิงตามวิธีการเว้นวรรคประโยคที่ถูกต้องของนักพรต แล้วทดลองถ่ายทอดวิชาเปิ ดประตูถ้าสถิตกับวิชาอัคคีหล่อหลอม ตะวันอีกครั้ง จางโหวถึงกับฝ่ าทะลุขอบเขตได้จริง ตอนนี้เขาเป็ นผู้ ฝึกลมปราณขอบเขตเส้นเอ็นหลิวแล้ว!
แรกเริ่มนักพรตยังไม่ค่อยยินดีเท่าใดนัก บอกว่าตัวเองเป็ นแค่ นักพรตคนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าถ่วงรั้งลูกศิษย์ของคนอื่น
รอกระทั่งเซวียหรูอี้เป็ นฝ่ ายเสนอว่าจะซื้อยันต์ผีวาดพวกนั้น นักพรตที่ลุ่มหลงในทรัพย์สินเงินทองก็ขับเรือตามกระแสลม เปลี่ยน ค าพูดใหม่ทันที บอกว่ามองออกแต่แรกแล้วว่าคุณชายเล่อจางคือผู้มี
พรสวรรค์ด้านการฝึกตน…
แต่แม้กระทั่งขุนนางผู้พิพากษาหงและจี้เสี่ยวผิงที่มาที่นี่คราว ก่อน มาบอกลากับเซวียหรูอี้ ก็ยังมองรากฐาน ประวัติความเป็ นมา ของนักพรตวัยกลางคนผู้นี้ไม่ออก จี้เสี่ยวผิงบอกว่ามีความเป็ นไปได้ แค่สองอย่างเท่านั้น หากไม่ใช่เทพเซียนพสุธาที่ตบะสูงส่งลึกล้าก็ต้อง เป็ นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่ทุกวันตั้งแผงหาเงินด้วยความ ยากล าบาก
เพราะขายภาพเด็กหนุ่มกับวัวฤดูใบไม้ผลิ เซวียหรูอี้เคยรู ้สึกว่า นักพรตผู้นั้นเป็ นคนใจดาอามหิตทั้งยังสกปรกโสมมแสร ้งวางมาดให้ ดูภูมิฐาน ตอนนั้นจึงเกือบจะถูกนางขับไล่ออกจากบ้าน ภายหลัง พบว่าเขาน่าสงสารจริงๆ จึงปล่อยเลยตามเลย บวกกับที่สุดท้าย สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ ายไม่ใช่คนประเภทนั้น ให้ภาพลักษณ์ของนักพรต ที่อยู่ในใจนางจึงเปลี่ยนแปลงไปมาก
ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าเขาเป็ นคนดี ก็ไม่ต้องสนใจแล้วว่าจะเป็ นใคร มาจากไหน ใช่นักพรตตัวจริงสวมรอยเป็ นเซียนกระบี่อะไรหรือไม่ รีบ
ออกไปจากเรือนแห่งนี้โดยเร็ว ฟ้ าดินกว้างใหญ่ อยู่ที่ไหนก็หาเงินได้ ทั้งนั้น
นักพรตยิ้มถาม “แม่นางเซวีย คิดถึงผลลัพธ ์ที่จะตามมาอย่าง ชัดเจนแล้วจริงๆ หรือ? หากว่าพวกขุนนางปกป้ องกันเอง การ ฟ้ องร ้องของเจ้าไม่ประสบผล กลับกลายเป็ นว่าถูกจวนเทพภูเขาบาง แห่งจับไปขังไว้ แล้วเจ้าจะจัดการสัญญาเดิมพันและค าสาบาน อย่างไรจางโหวที่อยู่บ้านข้างๆ จะทาอย่างไร?”
เซวียหรูอี้เม้มปาก พยักหน้าเบาๆ
นักพรตเงียบไม่เอ่ยอะไรอีก
บนโลกมนุษย์มีเรื่องอยุติธรรมอยู่มากมายที่มักจะมาจากเรื่องที่ ท าถูก ทว่ากลับถูกคนข้างกายทุกคนผลักดันให้ต้องโดดเดี่ยว อันที่ จริงก็ไม่ได้ผิด นี่ดีมาก ไม่จาเป็ นต้องสงสัยในตัวเองนับจากนี้
แต่หากก่อนจะทาอะไรก็รู ้อยู่แล้วว่าผลลัพธ ์ที่ตามมาจะเป็ นเช่น ไร แบบนั้นก็ดียิ่งกว่าเดิม หากยังมีเรื่องทานองเดียวกันนี้อีกแล้วไม่ท า แล้ว ก็ไม่เป็ นไร หรือหากยังจะทาอีก นั่นก็ย่อมดีที่สุด!
นักพรตเปิ ดปากยิ้มเอ่ย “ข้าจะฟังคาแนะนาจากแม่นางเซวีย พรุ่งนี้จะย้ายออกไปจากเรือน ถ้าอย่างนั้นแม่นางเซวียก็ฟังคาแนะนา ของข้าบ้างได้หรือไม่ เรื่องของการฟ้ องร ้อง เก็บไว้หลังชิงหมิงของปี นี้?”
เซวียหรูอี้กลั้นขา “ทาไม เรื่องอย่างการฟ้ องร ้องยังต้องพลิกเปิด ปฏิทินเหลืองดูว่ามีวันมงคลหรือไม่ด้วยหรือ? ไหนลองว่ามาสิ เป็ น หลักการเหตุผลเก่าแก่ข้อใดที่คาโบราณคาใดบอกเจ้าไว้?”
สายตาของนักพรตใสกระจ่าง ไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่มองนางด้วย รอยยิ้ม หรือควรจะบอกว่ามองชิงช ้าที่อยู่ข้างกายนาง
เซวียหรูอี้พลันรู ้สึกลังเลไม่แน่ใจ
นักพรตกลับช่วยตัดสินใจให้นางโดยตรง “ตกลงตามนี้”
เซวียหรูอี้ปล่อยเชือกในมือออก ยกมือสองข้างขึ้นถูใบหน้าอย่าง แรง เบ้ปากเอ่ย “หากข้ารู ้จักเหนียงเนียงเทพภูเขาของภูเขาหลวน ซานที่ไร ้ความเห็นแก่ตัวไม่ไว้หน้าใครคนนั้นเต่เนิ่นๆ ก็ดีน่ะสิ เหอะ!”
ถึงอย่างไรนางก็เป็ นเพียงผีเร่ร่อนตนหนึ่ง หากเปลี่ยนเป็ นเวลา ปกติก็อย่าว่าแต่ยื่นเรื่องฟ้ องร ้องไปยังภูเขาหลวนซานเลย นางไม่ กล้าจะขยับเข้าใกล้จวนเทพภูเขาของภูเขาทายาทพวกนี้ด้วยซ้า
นักพรตเอ่ย “ผินเต้าก็ไม่รู ้จักเหมือนกัน”
จากนั้นนักพรตก็เอ่ยเสริมมาประโยคหนึ่งว่า “แต่ผินเต้ารู ้จักถึง ซานจวิน”
เซวียหรูอี้ยิ้มถาม “เจ้ารู ้จักถึงชานจวิน ถงชานจวินรู ้จักเจ้า หรือไม่?”
นักพรตวัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด ถามหยั่งเชิงว่า “หากผิน เต้าบอกว่ารู ้จัก เจ้าจะเชื่อไหมล่ะ?”
เซวียหรูอี้หัวเราะปากกว้าง “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?!”
นักพรตกุมหมัดยิ้มเอ่ย “แม่นางเซวีย ถ้าอย่างนั้นภูเขาสายน้า ย่อมมีวันบรรจบ ก็ไว้ให้พวกเราพบกันใหม่วันหน้า?”
เซวียหรูอี้พยักหน้า นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว สหายแซ่จงที่ เจ้าพูดถึง จะช่วยแนะน าให้รู ้จักเมื่อไหร่ล่ะ?”
นักพรตบอกว่าตัวเองมีสหายบนภูเขาหลายคนที่เก่งกาจอย่าง มาก คนหนึ่งในนั้นก็คือสหายแซ่จงที่เขาจะช่วยแนะนาให้รู ้จัก
นักพรตยิ้มเอ่ย “ได้เลย แค่บอกว่าเป็ นสหายของข้าก็จะต้อง กลายเป็ นสหายกันได้แน่นอน”
“พูดจาวางโตนัก!”
สุดท้ายเซวียหรูอี้ก็อดไม่ไหวกุมท้องหัวเราะก๊าก ยื่นนิ้วชี้ไปที่ นักพรตคนนั้น “ทาไมไม่บอกว่าตัวเองชื่อเฉินผิงอันไปเลยล่ะ ยังจะมา บอกว่าชื่อเฉินคนดี ฮ่าๆ…”
ดวงตาของนักพรตเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่สีหน้ากลับแสร ้งทาเป็ น โกรธ “บังอาจ ต่อให้ไม่เรียกเจ้าขุนเขาเฉินหรือเซียนกระบี่เฉิน เจ้าก็ ควรจะเรียกว่าคุณชายเฉินนะ!”
มองนักพรตวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า แล้วพอคิดถึงคากล่าวที่ว่า คุณชายเฉิน ก็ให้นึกไปถึงค าพูดที่แพร่หลายอย่างมาก คือกลอนต่า โหยวที่ไม่คล้องจองกันเลย
อาจารย์รูปโฉมหล่อเหลาสะอาดตา สวมชุดเขียวปักปิ่นหยกขาว แสงกระบี่ตัดสลับกลางอากาศ ฉับพลันนั้นหัวคนหล่นลงพื้น…
แล้วพอหันกลับมามองนักพรตวัยกลางคนตรงหน้านี้อีกครั้ง หน้าตาอาจไม่ถึงขั้นเหมือนแตงเบี้ยวพุทราแตก พอจะถือว่าสมส่วน ได้ แต่ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้าขุนเขาเฉินเซียนกระบี่เฉินอะไร นักพรตเจ้า ถามใจตัวเองดูเอาเถิดว่ามีความใกล้เคียงกับค าว่า “หล่อเหลาสะอาด ตา’ บ้างไหม?
นางกระแอมสองสามทีก่อน จากนั้นก็ทาเสียงขากแล้วหันหน้า ท าท่าเหมือนจะถ่มน้าลายลงพื้น
นักพรตวัยพลางคนร ้องเฮ้อเสียงดัง หมุนตัวได้ก็จากไปทันที “ไม่ รู ้กาลเทศะเอาเสียเลย!”
……
อ าเภอไหวหวง นอกโรงเรียนเก่า
จวินเชี่ยนกล่าว “มนุษย์ไม่ใช่อริยะปราชญ์ ไฉนจะไม่เคยท า ผิดพลาด รู ้ว่าผิดแล้วแก้ไขย่อมไม่มีสิ่งใดประเสริฐไปมากกว่านี้”
รอยยิ้มของหม่าจานยิ่งฝาดเผื่อน “ศิษย์พี่จวินเชี่ยน ท่านไม่รู ้ อะไร ปีนั้นศิษย์พี่ใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้แก้ไขความผิดพลาด ด้วยตัวเองเลย”
ปีนั้นหลังจากที่หม่าจานตายไป ชุยฉานผู้เป็ นศิษย์พี่ที่มีฐานะ เป็ นราชครูก็แค่รวบรวมดวงวิญญาณของหม่าจานเอาไว้ จากนั้นก็ ให้ฝ่ายหลังคอยมองดูอยู่ตลอด ไม่อาจท าอะไรได้ทั้งนั้น
“แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นข้าเองก็รู ้สึกว่าตัวเองมีความผิด คิดมาตลอดว่าเป็ นเพราะส านักศึกษาซานหยาหละหลวมเกินไป เทียบกันแล้วศิษย์พี่ฉีก็คือไม่มีพันธนาการอะไรเลย ปล่อยให้เมล็ด พันธ ์บัณฑิตพวกนั้นไปขอศึกษาต่อที่แคว้นอื่น อย่างน้อยที่สุดก็มี บัณฑิตถึงแปดส่วนที่ไปแล้วไม่ได้กลับมา ในบรรดาบัณฑิตที่กลับมา ก็มีส่วนหนึ่งที่ใช ้ชีวิตอยู่ข้างนอกต่อไปไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงยอมรับใน วิธีการของเสิ่นเฉินรองเจ้ากรมขุนนางมากกว่าเลือกที่จะจากไปคือ อิสระของพวกเจ้า ถ้าอย่างนั้นวันหน้าพวกเจ้าจะเป็ นขุนนางในต้าหลี ได้หรือไม่ก็ไม่มีอิสระอย่างนั้นอีกแล้ว”
จวินเชี่ยนกล่าว “ข้าปลอบใจคนไม่เก่งจริงๆ”
แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเรื่องวกวนอ้อมค้อม ของปีนั้น ความถูกความผิด ตรงหรืออ้อมค้อม เพียงแค่รู ้สึกว่าในเมื่อ ศิษย์น้องเล็กยินดีเชื้อเชิญให้หม่าจานมาที่นี่ ก็เท่ากับยอมรับใน สถานะศิษย์พี่สายบุ๋นบ้านตัวเองของหม่าจาน
การยอมรับของศิษย์น้องเล็ก อันที่จริงก็เท่ากับว่าอาจารย์ยังคง ยอมรับว่าหม่าจานคือลูกศิษย์ของตัวเอง
ไม่อย่างนั้นจวินเชี่ยนกับหม่าจาน แม้กระทั่งกับเหมาเสี่ยวตง ความสัมพันธ ์ในปีนั้นก็ ค่อนข้างจะธรรมดา
บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดอยู่บ้าง จวินเชี่ยนก็ได้แต่หาเรื่องมา ชวนคุย “ข้าเดาว่าศิษย์พี่ใหญ่จงใจขุดหลุมไว้ให้เจ้า”
หม่าจานส่ายหน้า “แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไม่มีรอยร ้าว เป็ นศิษย์ น้องเหมือนกัน แต่ศิษย์พี่ใหญ่กลับไม่มีทางเล่นงานเหมาเสี่ยวตง เช่นนี้”
“ปณิธานของเหมาเสี่ยวตงอยู่แค่ที่การให้ความรู ้อบรมสั่งสอน ผู้คน ถ่ายทอดวิชาเพื่อให้คนรักเรียนทุกคนได้เรียนรู ้ เห็นได้ชัดว่า เขาเหมือนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อมากกว่าข้า ข้ามีใจเห็นแก่ตัวมาก เกินไป ใจคิดแต่อยากจะควบคุมส านักศึกษาซานหยา เปลี่ยนให้ข้า มาเป็ นเจ้าขุนเขา เปลี่ยนแนวทางใหม่เพื่อหาวิธีการที่ดีกว่าเดิม เพื่อที่จะให้เมล็ดพันธ ์บัณฑิตของราชสานักต้าหลีเป็ นดั่งน้าดีที่ไม่ ไหลเข้าสู่นาของคนนอก ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะไปสร ้างชื่อเสียง จอมปลอมอยู่ข้างนอกแล้วเดินอาดๆ กลับมาเป็ นขุนนาง รอให้ข้าได้ เป็ นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงของสานักศึกษาเมื่อไหร่ก็ค่อยเอาความรู ้ เรื่องทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศของศิษย์พี่ชุยเข้ามาปะปน จากนั้นไปรับหน้าที่เป็ นเจ้ากรมพิธีการอยู่ในราชสานักของต้าหลี
สุดท้ายกลายเป็ นอริยะของลัทธิขงจื๊อ เข้าไปเป็ นอริยะปราชญ์ที่มี เทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋น!”
“ตอนนั้นข้าคิดว่าสายเหวินเซิ่งของพวกเรา เทวรูปของอาจารย์ ถูกย้ายออกไปจากศาลบุ๋น ผลงานทั้งหมดล้วนถูกใต้หล้าไพศาล จัดเป็ นหนังสือต้องห้าม ถึงขั้นที่ว่าเทวรูปยังถูกพวกตะพาบทั้งหลาย ทุบทาลาย! ศิษย์พี่ชุยออกนอกลู่นอกทางทาตัวขัดต่อศีลธรรม เท่ากับว่าตัดขาดจากสายบุ๋นอย่างชัดเจนแล้ว จั่วโย่วกลับดีนัก ออก ทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียนหันไปฝึกกระบี่อย่างตั้งใจแทน! เจ้าหลิวสือ ลิ่วที่แม้จะเป็ นลูกศิษย์เข้าห้องของอาจารย์ แต่กลับมิอาจแบกเสาคาน ใหญ่ของสายบุ๋นได้ไหว ขอบเขตสูงแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เขาฉีจิ้ง ชุนก็เอาแต่เฝ้ าสานักศึกษาชานหยาที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าหลีแค่ ไม่กี่ก้าว ตั้งใจเดินทางมาที่แจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วย ศิษย์พี่ชุย กลับกันยังคอยงัดข้อกับศิษย์พี่ชุยตลอดเวลา หรือว่าเขา ฉีจิ้งชุนไม่เห็นแก่มิตรภาพศิษย์พี่ศิษย์น้องในวันวานเลยแม้แต่น้อย ดี แต่เก่งอยู่ในโป่งผ้าห่มเท่านั้นจริงๆ?!”
ฟังมาถึงตรงนี้ จวินเชี่ยนไม่มีโทสะ กลับกันยังรู ้สึกเหมือนวัวสัน หลังหวะอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรคาที่หม่าจานตาหนิตนก็หา ข้อโต้เถียงไม่ได้ ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายก็เป็ นเขาที่พึ่งพา ไม่ได้มากที่สุด ไร ้ประโยชน์ที่สุดจริงๆ
ส่วนเนื้อหาที่ด่าศิษย์พี่จั่วกับศิษย์น้องฉีนั้น ถึงอย่างไรพวกเขา สองคนต้องไม่สนใจแน่นอน ศิษย์พี่จั่วได้ยินแล้วอย่างมากก็คงลูบหัว หม่าจาน เอ่ย “ค าพูดของคนกันเอง” สองสามประโยคแล้วค่อยลงมือ
หม่าจานเอ่ยด้วยสีหน้าหม่นเศร ้า “ผลคือท าผิดมหันต์ ดู เหมือนว่าจะเป็ นอย่างนี้มาโดยตลอด ทั้งๆ ที่รู ้ว่าตัวเองเรียนรู ้อะไรก็ ช ้า ศิษย์พี่ชุยนั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว อาจารย์มักจะพูดว่าศิษย์พี่ชุย เกือบจะสอนวิชาความรู ้ให้เขาได้อยู่แล้ว ฉีจิ้งฉุนมีพรสวรรค์โดดเด่น เหนือใครสามารถยกหนึ่งตัวอย่างแล้วอนุมานไปได้อีกหลายด้านใน ทุกเรื่อง ตาราอริยะปราชญ์มีมากมายขนาดนั้น เขาอ่านแค่รอบเดียว ก็หลอมรวมความรู ้จากหลายแหล่งแล้วเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ปี นั้นทุกครั้งที่ข้าขอความรู ้จากเขา ไม่ว่าจะเป็ นตาราที่หายากแค่ไหน เป็ นความรู ้ที่ไม่ค่อยมีใครสนใจแค่ไหน ดูเหมือนว่าเขาจะเคยอ่านมา หมดแล้ว มีความมั่นใจมานานแล้ว ส่วนตาราที่ไม่เคยอ่าน ฉีจิ้งชุนก็ จะให้ข้าอ่านเนื้อหาทั้งบทให้เขาฟัง ตัวฉีจิ้งชุนอ่านเองรอบหนึ่ง ก็จะ ช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าได้แล้ว เขามักจะถูกเสมอ เพราะข้าเอา ค าถามแบบเดียวกันไปถามอาจารย์เป็ นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง ค าตอบของอาจารย์ อย่างมากสุดก็มีความคลาดเคลื่อนจากฉีจิ้งชุน เพียงเล็กน้อย ไปถามศิษย์พี่ชุยก็ได้คาตอบพอๆ กัน เดิมทีข้าคิดว่า อาจจะช ้าไปสักหน่อย อย่างมากก็แค่ไม่เอาไปเปรียบเทียบกับฉีจิ้งชุน ขอแค่เส้นทางแห่งความรู ้ของข้าไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นก็พอ ข้าไม่ เหมือนกับเหมาเสี่ยวตง เขายอมเป็ นผู้ช่วยให้ฉีจิ้งชุน ยอมเป็ น
อาจารย์สอนหนังสือได้อย่างจริงใจ แต่ข้ากลับมาที่นี่ก็เพราะศิษย์พี่ ชุยเป็ นราชครูอยู่ที่ราชสานักต้าหลี”