กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1063.4 ข้ารู ้ว่าเจ้าคือใคร
ตอนนั้นคนที่สมคบคิดกับเขาหม่าจานคือชุยหมิงหวงแห่งสานัก ศึกษากวานหูหรือก็ คือลูกหลานสกุลชุยในตระกูลของศิษย์พี่ชุยฉาน
แต่ยิ่งชัดเจนเช่นนี้ หม่าจานก็ยิ่งไม่สนใจสิ่งใด เขามีใจเห็นแก่ ตัวจริง แต่เขาก็ยอมรับว่าต่อให้ใจเห็นแก่ตัวจะมากแค่ไหนก็ไม่มาก ไปกว่าใจเพื่อส่วนรวมที่อยากจะทาให้สายเหวินเซิ่งกลับมา เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
ตอนนั้นทุกอย่างเป็ นดั่งน้าลดหินผุด ยามที่หม่าจานอับอายจน ไม่รู ้จะพาตัวเองไปอยู่ตรงไหน ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังคงเป็ นศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ได้ปลอบใจหม่าจาน กลับกันยังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ใช ้ คาพูดที่แฝงไว้ด้วยการเสียดสีทิ้งประโยคที่เป็ นการสรุปแบบตอกปิด ฝาโลงเหมือนของขวัญจากลาที่มอบให้แก่หม่าจานศิษย์น้องในอดีต เพื่อนร่วมเรียนที่ในใจเคารพนับถือศิษย์พี่ชุยอย่างเขามากที่สุด
หม่าจานเอนหลังพิงก าแพงของโรงเรียน
พูดประโยคจากใจจริงของศิษย์พี่ชุยให้ศิษย์พี่จวินเชี่ยนฟังโดย ไม่มีปิดบัง
“หม่าจาน เดิมทีเจ้าสามารถกลายเป็ นเจ้าขุนเขาของส านัก ศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นควบกับเจ้ากรมขุนนางต้าหลีได้ นี่คือหนึ่ง ในทางถอยที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า น่าเสียดายที่ตัวเจ้าเองไม่ต้องการ
ข้าก็คงไม่ถึงขั้นขอร ้องให้เจ้ารับเอาไว้ ดังนั้นถึงได้บอกว่าเจ้าต้อง โง่เง่าแค่ไหน ถึงได้คิดว่าใจที่เห็นแก่ส่วนรวมและใจที่เห็นแก่ส่วนตัว ของคนคนหนึ่งสามารถเอามาบวกลบคูณหารกันได้?”
“อันที่จริงเจ้าไม่เคยเข้าใจเลยว่า ความไม่ฉลาดของเจ้าไม่ได้มา จากการขาดไหวพริบในการเรียนหนังสือ ปีนั้นอาจารย์มักจะชอบพูด ว่าในเรื่องเรียนเจ้าโง่ไปสักหน่อย เจ้าก็คิดว่าอาจารย์ปฏิเสธเจ้า อันที่ จริงนั่นเป็ นประโยคที่ดี ดังนั้นเจ้าจึงไม่รู ้ว่าในทางส่วนตัวซิ่วไฉเฒ่า มักจะบอกให้ข้าเรียนรู ้จากเจ้าให้มากๆ จาได้ว่ามีครั้งหนึ่งซิ่วไฉเฒ่า ดื่มจนเมามาย รู ้สึกลาพองใจในตัวเองอย่างมาก หึ สายเหวินเซิ่งของ พวกเราจะมีผู้รอบรู ้แท้จริงที่สะสมมากใช ้ทีละน้อย ประสบความส าเร็จ ในช่วงบั้นปลายแล้ว!”
“พอถึงเวลาเข้าจริงกลับเหมือนการเอาหนังสือออกมาตากแดด เอาใจคนที่อยู่ในด้านมืดมาวางไว้ใต้แสงอาทิตย์ ความอัปลักษณ์ถูก เปิดเผยหมดสิ้น น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ไหว”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้ซิ่วไฉเฒ่าที่เป็ นอาจารย์สามารถให้อภัย เจ้าได้ ตัวเจ้าหม่าจานเองจะอภัยให้ตัวเองได้หรือ? ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ มิอาจแก้ไขความผิดและมิอาจชดเชยสิ่งที่ทาพลาดไปจะมีหน้ามาให้ อภัยตัวเองได้อย่างไร จะมีหน้าไปพบอาจารย์ของตัวเองได้อย่างไร?”
โดยไม่ทันรู ้ตัว หม่าจานที่เอนหลังแนบกาแพงก็นั่งลงไปบนพื้น แล้ว
“การที่ข้าชุยฉานยอมแหกกฎพูดจาร ้ายกาจพวกนี้ก็เพราะ หลายปีที่ผ่านมานี้ มีบางครั้งที่ข้าจะคิดถึงคนหนุ่มคนหนึ่งที่มาจาก สถานที่เล็กๆ ยากจน เดินทางไกลเป็ นพันลี้เพื่อมาขอศึกษาต่อ ท่ามกลางนักเรียนมากมายเหมือนปลาตะเพียนข้ามแม่น้าที่มาขอ ศึกษาต่อด้วยสภาพจิตใจที่แตกต่างกันไป เขาสวมเสื้อผ้าซอมซ่อ ใน กระเป๋ าเหลือแค่ค่าเดินทางส่วนสุดท้าย ไม่ใช่เพราะเขาคิดอยากจะ เก็บเงินค่าเดินทางกลับบ้านเกิดไว้ให้ตัวเอง แต่เป็ นเพราะคุมมือของ ตัวเองไม่อยู่ ต่อให้ต้องกัดฟันก็จะต้องซื้อหนังสือที่ราคาไม่ถูกจากที่ นั่นมาให้ได้ เพียงแค่เพื่อเก็บไว้เป็ นที่ระลึกให้กับตัวเองที่มาขอศึกษา ต่อไม่สาเร็จ ตอนนั้นข้าบังเอิญอยู่ที่ร ้านหนังสือพอดี จึงถามคนหนุ่ม ผู้นี้ว่าชื่อแซ่อะไร ทาไมถึงต้องซื้อหนังสือเล่มนี้ถ้าซื้อก็ต้องจ่ายเงิน อย่างไม่คุ้มค่าแล้วจริงๆ ในเมื่อเนื้อหาความรู ้ในหนังสือก็เหมือนกัน ไฉนต้องซื้อฉบับที่จัดพิมพ์งดงามไร ้ที่ติด้วย เขาบอกว่าตัวเองชื่อ หม่าจาน นามฮุ่ยจวิน เขายังบอกด้วยว่าปณิธานของตัวเองคือขัด เกลาตัวเองให้ดีดูแลบ้านเรือนปกครองใต้หล้าให้เป็ นสุข และยัง ต้องการสร ้างคุณูปการสร ้างกิจการ วันหน้าจะได้ทาเรื่องที่จับต้องได้ จริงเพื่อชาวบ้านของบ้านเกิดตัวเองได้”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ หม่าจานมีสีหน้าทึ่มทื่อ เหม่อลอยไร ้ค าพูด จากนั้นเงยหน้าขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “ศิษย์พี่จวินเชี่ยน เดิมทีครั้งนี้ข้าแค่ แอบมาเงียบๆ เท่านั้น ห้ามบอกเฉินผิงอันเด็ดขาดยิ่งอย่าบอกกับ อาจารย์”
จวินเชี่ยนพยักหน้า
หม่าจานเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “ศิษย์พี่จวินเชี่ยน ข้ารู ้ว่าท่านเป็ น คนเก็บเรื่องอะไรไว้ไม่อยู่ ห้ามผิดค าพูดนะ”
จวินเชี่ยนยิ้มเอ่ย “รับรอง”
หากรู ้แต่แรกตนก็คงไม่มาพบหม่าจานแล้ว ปล่อยให้ศิษย์น้อง เล็กปวดหัวไปคนเดียวพอ
ความน้อยเนื้อต่าใจของคนคนหนึ่ง บางทีอาจมาจากการไม่ได้ รับการยอมรับจากคนอื่น แต่ความไม่เข้าใจจากคนใกล้ชิดข้างกาย บางทีอาจท าให้คนเรารู ้สึกสงสัยในตัวเองปฎิเสธตัวเองและท าให้ เสียใจได้มากยิ่งกว่า
ถ้าอย่างนั้นหากขยับเข้าไปใกล้อีกก้าว หากคนที่ส่วนลึกในใจ ตนให้การยอมรับที่สุดเคารพนับถือมากที่สุดปฏิเสธตนอย่างสิ้นเชิง เล่า เขาจะเสียใจถึงเพียงใด
หม่าจานก็เป็ นเช่นนี้
ก็เหมือนอย่างประโยคนั้นของหม่าจาน มีเพียงเรียกชุยฉานที่ ทรยศออกจากสายบุ๋นไปนานแล้วเท่านั้นที่เขาจะยังเรียกว่าศิษย์พี่ชุย ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ของอาจารย์ หม่าจานกลับเรียกชื่อตรงๆ
ไม่รู ้ว่าหม่าจานนึกอะไรขึ้นมาได้ บนใบหน้าถึงได้ปรากฏเป็ น รอยยิ้ม
ตอนนั้นชุยฉานบอกว่าตัวเขา “บางครั้งก็คิดถึง” คนบางคนเรื่อง บางเรื่อง
และกระทั่งวันนี้ นาทีนี้ ต่อให้จะถูกศิษย์พี่ชุยปฏิเสธเช่นนั้นแล้ว หม่าจานก็ยังคงจดจ าการพบเจอกันโดยบังเอิญในร ้านหนังสือของปี นั้นได้ขึ้นใจ ราวกับว่าเพิ่งผ่านไปไม่นาน
ในร ้านหนังสือที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของน้าหมึกแห่งนั้น สุดท้ายคนหนุ่มที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของ ต ารารับฟังค าพูดของหม่าจานจนจบด้วยสีหน้าอ่อนโยนแล้ว เขาก็ ยิ้มน้อยๆ พลางแนะนาตัวเอง
สวัสดี ข้าชื่อชุยฉาน คือลูกศิษย์ใหญ่ของเหวินเซิ่ง
นับตั้งแต่นี้ไป เจ้าก็น่าจะได้เป็ นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของ สายเหวินเซิ่งพวกเราแล้ว เพราะข้ารับปากแล้วก็ยังต้องรอให้อาจารย์ พยักหน้าตอบตกลงด้วย ถือว่าเป็ นการท าให้พอเป็ นพิธีกระมัง
แต่วันหน้าจะได้เป็ นลูกศิษย์เข้าห้องของอาจารย์พวกเราหรือไม่ หม่าจาน เจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้ว แน่นอนว่าหากเจอปัญหาใดๆ บน เส้นทางของการศึกษาหาความรู ้ก็ไม่ควรไปรบกวนอาจารย์ทุกเรื่อง สามารถมาถามข้าได้
หม่าจานพรูลมหายใจออกมา ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม
ได้เป็ นลูกศิษย์ของอาจารย์ เป็ นศิษย์น้องของศิษย์พี่ชุย ชีวิตนี้ก็ พอใจแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายอีกแล้ว
อดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง อันที่จริงหลายปี นั้นการ ต้อนรับดูแลผู้คนของชุยฉานมักจะสุภาพมีมารยาท ท่วงท่าอบอุ่น อ่อนโยน เป็ นมิตรน่าใกล้ชิดอยู่เสมอ
ในต ารามีสุภาษิตประโยคหนึ่งอยู่มานานแล้ว ราวกับว่ากาลังรอ คอยการปรากฏตัวของขุยฉาน
ตะวันเหมันต์อบอุ่นอ่อนโยน
และเวลานี้เอง คนชุดเขียวผู้หนึ่งก็มาเผยกายอยู่ข้างกายจวิน เชี่ยน
เขาถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “หม่าจาน ข้า ประหลาดใจนัก ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่า ทาไมศิษย์พี่ชุยถึงได้เอ่ยประโยคเหล่านั้นกับเจ้า?”
หม่าจานแน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ ายแล้วก็รีบหันไปถลึงตาเดือด ดาลใส่ศิษย์พี่จวินเชี่ยนที่อยู่ข้างๆ ทันที
จวินเชี่ยนพูดเล่นแง่ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าแค่บอกว่ารับรอง ไม่ได้บอกว่ารับรองว่าจะไม่พูดออกไปเสียหน่อย”
หม่าจานเงียบไปพักหนึ่ง “หมายความว่าอย่างไร? ขอถามเจ้า ขุนเขาเฉินหน่อยเถิดว่าคาพูดที่ศิษย์พี่ชุยของข้าเอ่ยแปลกประหลาด ตรงไหน”
ในเมื่ออีกฝ่ ายเรียกชื่อตัวเองตรงๆ หม่าจานก็เรียกอีกฝ่ ายว่าเจ้า ขุนเขาเฉินก็แล้วกัน
เป็ นแบบนี้ย่อมดียิ่งกว่า
เฉินผิงอันกล่าว “คาพูดที่ศิษย์พี่ชุยเอ่ย แน่นอนว่าเป็ นความจริง ทุกค า เหลือทางถอยไว้ให้เจ้า ด่าว่าเจ้าโง่เขลา ใจคนมีด้านที่ดามืด ทนมองตรงๆ ไม่ไหว ขนาดตัวเองยังไม่กล้าตากต าราใต้แสงแดด และ ศิษย์พี่ชุยก็ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ได้แก้ไขข้อผิดพลาด ให้เจ้าอภัย ตัวเองไม่ได้มาตลอด ทุกวันได้แต่กล่าวโทษตัวเอง เสียใจที่ตอนนั้น ไม่ควรทาเช่นนั้นอาจารย์เคยฝากความหวังกับเจ้าไว้มาก แต่เจ้ากลับ ดูถูกตัวเอง ขณะเดียวกันส่วนลึกในใจก็อิจฉาศิษย์พี่ฉี สุดท้ายศิษย์ พี่ชุยโหดร ้ายที่สุด เขาทาให้เจ้าได้เห็นตัวเองในช่วงเวลาที่เคยงดงาม ที่สุด ให้เจ้ารู ้สึกว่านั่นคือบัณฑิตที่แม้แต่เขาชุยฉานก็ยังยินดีที่จะรับ ศิษย์แทนอาจารย์”
หม่าจานเงียบไม่เอ่ยอะไร สายตาหม่นหมอง จิตใจเหมือนขี้เถ้า มอด
จวินเชี่ยนตามองจมูกจมูกมองใจ ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เข้าร่วม ความขัดแย้งภายในของคนร่วมสานักประเภทนี้เด็ดขาด เพราะเขา เองก็เคยเสียเปรียบมามากแล้วจริงๆ
นี่คือความเคยชินอันดีที่เขาใคร่ครวญพิจารณามาได้นานแล้ว อย่างมากสุดหากพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องทะเลาะกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ
ต่อกัน เขาก็ค่อยเข้าไปห้าม ส่วนการโต้เถียงก่อนจะต่อยตีกันนั้น แค่ ชมเรื่องสนุกไปก็พอ หลีกเลี่ยงไม่ให้หลังจากจบเรื่องแล้ววางตัวไม่ถูก ศิษย์พี่จั่วต่อยศิษย์น้องฉี หรือศิษย์น้องฉีไล่ตามไปต่อยตีกับศิษย์พี่ ชุย หรือศิษย์น้องฉีลากเอาอาจารย์ไปซ ้อมศิษย์พี่จั่ว แรกเริ่มสุดจวิน เชี่ยนก็คอยห้ามปราม แต่ผลลัพธ ์ในแต่ละครั้งก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร พอ ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนเขาดีกันเมื่อไหร่ก็กลายเป็ นเขาจวินเชี่ยนที่ไม่ เป็ นที่พอใจของใคร ดีนักนะ ข้าอุตส่าห์หวังดีช่วยห้าม กลับกลายเป็ น ว่าข้าไปพัดลมกระพือไฟเสียอย่างนั้น?
เห็นว่าอีกฝ่ ายไม่ได้ใช ้ปากโต้เถียง ยังดี ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็ คงต้องใช ้มือเอาคืนแล้ว
เจ้าหม่าจานมีหน้ามาที่โรงเรียนเก่าแห่งนี้ แต่ไม่มีหน้าไปที่ภูเขา ลั่วพั่ว?
มาดใหญ่โตนักนะ คิดว่าตัวเองคือศิษย์พี่จริงๆ หรือ?
รออีกพักหนึ่ง หม่าจานก็ยังคงปิดปากไม่พูดอะไร
เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยต่อว่า “เพราะศิษย์พี่ชุยรู ้สึกว่าเจ้ายังมีทางให้ เยียวยา คู่ควรให้เขาพูดจาร ้ายกาจใส่ น่าเสียดายที่ความจริงพิสูจน์ ให้เห็นแล้วว่าเจ้ายังคงไร ้ทางเยียวยาอยู่เหมือนเดิม”
หม่าจานถาม “หมายความว่าอย่างไร”
เฉินผิงอันแสร ้งทาเป็ นตกใจ ร ้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนถามว่า “อะไรคือ หมายความว่าอย่างไร ต่อจากนี้จะยังถามด้วยไหมว่า เจ้าขุนเขาเฉิน จะคุยอย่างไร จะพูดอย่างไร?”
หม่าจานมื้อใบ้พูดไม่ออกไปทันที
จวินเชี่ยนได้แต่กลั้นขา
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็ นความรู ้ทางใจนอกตาราที่ถ่ายทอด ให้กับศิษย์น้องเหมือนกันระดับความยากของเจ้าหม่าจาน อย่างมาก ก็คือสอบติดเป็ นจวี่เหริน ผลคือเจ้ายังสอบไม่ติดแต่กับข้า กระดาษค าตอบที่ศิษย์พี่เป็ นคนออกคาถามเองนั้น ระดับความยาก คือต้องสอบติดคือสามอันดับแรกในระดับหนึ่งถึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ ได้อย่างถูไถ สอบติดเป็ นจ้วงหยวนถึงจะได้รับค าประเมินว่า “ดี”
หยุดพักไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็พึมพากับตัวเองว่า “แน่นอนว่าข้า เองก็สอบไม่ติดเหมือนกัน”
หม่าจานพยักหน้า
เฉินผิงอันหุบยิ้ม พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์พี่ชุยจงใจหลอก ล่อให้เจ้ายึดติดอยู่แต่กับค าว่า “ให้อภัย” ก็เพราะต้องการให้เจ้า เหมือนถูกผีบังตากับคาคานี้ ปีนั้นเจ้างับเหยื่อไปแล้วครั้งหนึ่ง ผลคือ ครั้งที่สองก็ยังคงเป็ นเช่นนี้ ศิษย์พี่ชุยบอกว่าเจ้าโง่ อันที่จริงก็ถือว่า เขาเกรงใจเจ้าแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็ นข้า ช่างเถอะ ข้าลาดับอาวุโส ไม่สูงพอ หน้าไม่หนาพอเป็ นแค่เจ้าขุนเขาเฉินที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร
ด้วย ไหนเลยจะมีคุณสมบัติมาด่าเจ้า สายเหวินเซิ่งของพวกเราไม่ได้ ตัดชื่อหม่าจานออกเสียหน่อย เจ้ามีหน้าเรียกศิษย์พี่จวินเชี่ยน ข้า กลับไม่กล้าเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่หม่าหรอกนะ”
เฉินผิงอันพูดไปพูดมาก็เริ่มรู ้สึกแปลกๆ แล้วเหมือนกัน
จวินเชี่ยนรีบกระแอมทันใด อันที่จริงอยากเปิดปากเอ่ยเตือนสัก
ค า แต่ก็ยังอดทนเอาไว้
ศิษย์น้องเล็ก เจ้าด่าคนก็ด่าไปสิ อย่าลากข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ศิษย์พี่จวินเชี่ยน แค่ข้าอดกลั้นไว้ไม่ลงมือก็ถือว่าไม่ง่ายแล้วนะ ท่านยังต้องการอะไรอีก?
หากเจ้ายังด่าแบบนี้ต่อไป ระวังหม่าจานจะชักสีหน้าใส่ล่ะ
มารดามันเถอะ ชักสีหน้าก็ชักสีหน้าสิ ข้าสู้ศิษย์พี่ชุยไม่ได้จะยัง สู้หม่าจานไม่ได้อีกหรือ?
ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ด่าต่อสิ ศิษย์พี่อย่างข้าเคยเห็นคลื่นลมมรสุมมา นักต่อนักแล้ว คนสองคนทะเลาะกันหากไม่ใช่ต่างคนต่างพ่นน้าลาย แตกฟองก็เถียงกันจนถึงท้ายที่สุดก็เอาหัวมาชนกัน ศิษย์พี่จวินเชี่ยน เคยเห็นมาหมดแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “หม่าจาน ข้าถามเจ้า ไฉนเจ้าต้องเอาแต่คิดไม่ ตกอยู่กับคาถามที่ว่าควรจะให้อภัยตัวเองดีหรือไม่ หรือจะถูกคนอื่น ให้อภัยหรือไม่? สิ่งที่ศิษย์พี่ชุยต้องการก็คือชั่วชีวิตนี้เจ้าไม่ต้องไปคิด
ที่จะให้อภัยตัวเอง ถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าวันหน้าเจ้าจะทาอะไร ทาเรื่องที่ดีที่ ถูกต้อง สามารถท าให้มโนธรรมในใจของเจ้ารู ้สึกดีไปมากน้อยแค่ ไหนก็ต้องยืนหยัดที่จะไม่ให้อภัยตัวเองที่เคยทาผิดมาก่อน มีเพียง หม่าจานที่เป็ นเช่นนี้ถึงจะคู่ควรให้เขาชุยฉานและอาจารย์ของเจ้า หม่าจานให้อภัยเจ้า”
สมองของหม่าจานเหมือนก้อนแป้ งเปียกๆ กองหนึ่ง เขาอึ้งงันไร ้ ค าพูด เป็ นเช่นนี้จริงหรือ? เรียบง่ายแค่นี้เองหรือ? แต่กลับเหมือนว่า จะยากมาก ไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น?
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์ของพวกเราเคยเอ่ยว่า การพูดอย่าง เหมาะสมคือปัญญาการเงียบอย่างเหมาะสมก็เป็ นปัญญาเช่นกัน”
“ถ้าอย่างนั้นตามความเห็นของข้า ไม่ว่าจะพูดหรือเงียบ พูด หรือไม่พูด เหตุผลกับการกระทา ทากับไม่ทา ล้วนเป็ นคู่ที่สอดคล้อง กัน ทาได้ ก็คือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่แท้จริง ไม่จ าเป็ นต้องให้ศาลบุ๋นม อบสถานะหรือยศตาแหน่งให้ก็เป็ นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงแล้ว เล็ก เท่าตัวคน ครอบครัว ตระกูล ใหญ่เท่าส านักศึกษา เขตและอ าเภอ หนึ่งแคว้น ใต้หล้า คิดดูแล้วก็ล้วนเป็ นเช่นนี้ เหตุผลนี้มีเพียงหนึ่งไม่มี สอง”
“อันดับแรก เมื่อทาความผิด หากแก้ไขได้ก็แก้ไข ทาผิดครั้ง หนึ่งก็แก้ไขครั้งหนึ่งแก้ไขความผิดในเรื่องที่ทาผิด และในใจก็ส านึก ว่าตัวเองผิด”
“อันดับรองลงมา หากท าผิดแล้วไม่มีโอกาสให้แก้ไข สถานการณ์ยุติลงแล้วก็ไม่ควรหลอกตัวเองหลอกคนอื่น ทาผิด ซ้าซาก ปัดเบาๆ ให้ผ่านพ้นไปทั้งกับในใจและกับเรื่องราวแต่ต้อง พยายามที่จะชดเชยแก้ไขความผิด หลังจากนั้นก็ไม่ต้องกล่าวโทษ ตัวเอง ไม่ต้องคิดจะให้อภัยตัวเองไปตลอดกาล จะไม่ยอมปล่อยผ่าน ไปเช่นนี้เด็ดขาด จะต้องรู ้สึกผิดอีกทั้งรู ้สึกทุกข์ใจกับเรื่องนี้ไปโดย ตลอด”
“ในใจคนต้องแบ่งส่วนรวมและส่วนตัวให้ชัดเจน ถูกหรือผิดก็มิ อาจเอามาบวกลบกันได้ ผิดครั้งหนึ่งก็คือผิดครั้งหนึ่ง คาว่าชดเชย แก้ไขก็คือต้องไม่ให้ตัวเองทาความผิดซ้าเดิมนอกจากนี้ก็ยิ่งต้องถูก สองถูกสาม หรือถึงขั้นถูกสิบถูกร ้อย”
“สุดท้าย”
เฉินผิงอันเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็คลี่ยิ้ม “สุดท้ายนี้จะเป็ นเช่นไรต่อ เจ้า ก็ไปคิดเอาเอง”
จวินเชี่ยนตั้งใจฟังอย่างละเอียด และเขาก็คอยพยักหน้ารับอยู่ ตลอดเวลา
หม่าจานจัดเสื้อผ้าให้เป็ นระเบียบ สีหน้าเคร่งขรึม เขายืดเอวขึ้น ตรงก่อน ครั้นจึงประสานมือคารวะเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย คิดจะประสานมือคารวะกลับคืน แต่กลับ ถูกจวินเชี่ยนยื่นมือมาจับแขนเอาไว้ ส่ายหน้า แสดงให้รู ้ว่าไม่ต้อง คารวะกลับคืน หลักการเดียวกัน เจ้าจงรับไว้เถิด
เฉินผิงอันถึงได้ยืนอยู่ที่เดิม รับการคารวะอย่างหนักแน่นจริงจัง ของอีกฝ่าย
จวินเชี่ยนใช ้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “หลักการเหตุผลพวกนี้ พูดได้ ไม่เลว”
เฉินผิงอันพรูลมหายใจยาวเหยียด ใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะ เช่นเดียวกันว่า “ถึงอย่างไรก็เป็ นลูกศิษย์ปิดส านักของอาจารย์ อีก อย่างทุกวันนี้ลูกศิษย์ของข้าก็มีหลายคนเลยนะ”
ก็แค่ว่านักเรียนประถมสามคนลาออกไปแล้ว โชคดีที่หมี่ลี่น้อย ยังไม่รู ้เรื่องนี้
ไม่ได้ จ้าวซู่เซี่ยนั้นยังดี รู ้ขนบธรรมเนียมประจาตระกูล แต่ลืม เตือนหนิงจี้ไปเลย เขาไม่รู ้ถึงความสามารถในการสืบข่าวของหมี่ลี่ น้อย ตนต้องรีบกลับไปเสียแล้ว
เผยเฉียนเคยแพร่งพรายความลับข้อหนึ่ง อันที่จริงหมี่ลี่น้อยมี คลังสมบัติที่เก็บเป็ นความลับไม่บอกกล่าวใครอยู่ชิ้นหนึ่ง ก็คือสมุด เล่มบางๆ เล่มหนึ่ง
เนื้อหาด้านในมีไม่มาก แต่เขียนประสบการณ์ของนางว่าควรจะ เป็ นเทพรายงานข่าวที่ดีได้อย่างไร วันนี้เขียนสี่ห้าคา พรุ่งนี้เขียน
สุภาษิตหรือไม่ก็หนึ่งประโยค ทุกครั้งจะต้องเขียนหนึ่งหน้า สะสมจาก น้อยเป็ นมาก เขียนจนเกือบจะได้ครึ่งเล่มแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นบนตาราลับเล่มนั้น หน้าแรกที่เป็ นบทเปิดก็เขียน เอาไว้ว่า “มองให้มากฟังให้มากพูดให้น้อย จ าไว้แล้ว จ าไว้แล้ว!” ขยันแวะเวียนไปพูดคุยกับคนอื่น ไปเที่ยวหาบ่อยๆ สังเกตสีหน้า ท่าทาง ดวงตามองแปดด้านหูฟังสี่ทิศ เคาะตีขนาบข้าง เหลียวซ ้าย แลขวาแล้วพูดเรื่องอื่น…..ตาราพิชัยยุทธมีสามสิบหกแผนการ ขอแค่ ทุกวันเรียนรู ้กลยุทธหนึ่งให้ส าเร็จ สามสิบหกวันผ่านไปก็จะไม่ ว้าว ว้าว ว้าว เลยหรือ… (ข้อควรระวัง ต้องเขียนค าว่าว้าวไว้เยอะๆ จะได้ ช่วยปลุกเร ้าให้กาลังใจตัวเอง) …ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ไม่ พูดโกหก แต่ต้องมีทั้งจริงและเท็จสลับกันไป ทาให้คนสับสนจับทาง
ไม่ได้….
ทางฝั่งของโต๊ะตัวที่ตั้งอยู่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว หมี่ลี่ น้อยฟังค าพูดไร ้เจตนาของลูกศิษย์คนใหม่ของเจ้าขุนเขาคนดีไป หลายประโยค คิ้วน้อยๆ สองข้างก็ขมวดเข้าหากันพูดอย่างเดือดดาล ว่า “โมโหมากเลยนะ!”