กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1064.2 ที่เกินมาก็คือความอ่อนโยน
ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับยิ้มน้อยๆ “เฉาสือคือผู้ฝึกยุทธเต็ม ตัว แต่ข้านั้นไม่เหมือนกัน นอกจากจะเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแล้วยัง เป็ นผู้ฝึกกระบี่ เป็ นผู้ฝึกตนสายยันต์ด้วย”
เชียโก่วกระจ่างแจ้งโดยพลัน ใช ้หมัดทุบฝ่ ามือ “ที่แท้ก็เป็ นอย่าง นี้นี่เอง”
เจ้าขุนเขาของพวกเราคือมือดีในการเลือกอาหารเลยนี่นา ฝีมือ การปรุงไม่ธรรมดา
มิน่าเล่าทุกครั้งที่ทุกคนกินอาหารเลิศรสอุดมสมบูรณ์หรือ อาหารป่ าเรียบง่ายจากฝีมือของพ่อครัวเฒ่า บางครั้งเจ้าขุนเขาก็จะ โพล่งประโยคแฝงความอิจฉาที่ความหมายไม่แตกต่างกันออกมา หากข้าตั้งใจทากับข้าวแล้วจะเป็ นอย่างไร อย่างไร
บนโต๊ะอาหาร นอกจากพ่อครัวเฒ่าที่เอ่ยคล้อยตามแล้ว อย่าง มากสุดก็เป็ นหมี่ลี่น้อยที่รีบวางชามและตะเกียบลง ปรบมือรัวเร็วแต่ไร ้ เสียง
อิงจากความรู ้ชั้นยอดบนสมุดลับเล่มนั้นของนาง นี่เรียกว่ายามนี้ ความเงียบอยู่เหนือการมีเสียง
แต่คนอื่นๆ บนโต๊ะต่างก็ไม่ได้พูดอะไร คนที่กินข้าวก็กินข้าว คน ที่คีบกับข้าวก็คืบกับข้าว คนที่ดื่มเหล้าก็ดื่มกันต่อไป
คงเป็ นเพราะระหว่างที่เดินทางไปขอศึกษาต่อในปีนั้น เด็กบ้าน นอกขาเปื้อนโคลนบางคนที่ในมือถือมีดผ่าฝืน มักจะไปตกปลาบ่อยๆ เคยถูกท าให้เสียใจมาก่อน จึงเป็ นเหตุให้ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้
แล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวางเรื่องนี้เสียที
ส่วนเรื่องที่ว่าทาไมทุกคนในภูเขาลั่วพั่วต่างก็รู ้เรื่องนี้กันดีอยู่แก่ ใจ ทว่าทุกคนกลับดันทาเป็ นไม่รู ้เรื่อง ไม่เคยพูดรับค าบนโต๊ะอาหาร ต่างก็พร ้อมใจกันเงียบ จงใจท าให้เจ้าขุนเขาอัดอั้นตันใจ
แน่นอนว่าเป็ นผลจากการที่หมี่ลี่น้อยช่วยทวงความเป็ นธรรม
แทนให้กับเจ้าขุนเขา
ยกตัวอย่างเช่นบางครั้งที่นางไปอยู่กับพ่อครัวเฒ่าที่ไปสอนวิชา หมัดที่ภูเขาด้านหลังหมี่ลี่น้อยก็จะเอ่ยประโยคที่ยิ่งพูดยิ่งมีพิรุธบอก ว่า เจ้าขุนเขาคนดีของข้า ฝีมือการท าอาหารไม่ได้แย่ไปกว่าพ่อครัว เฒ่าเลย
ถ้าอย่างนั้นเฉาอินกับเฉายางก็จะเข้าใจได้ในทันใดว่า อาจารย์ เฉินน่าจะเก่งกาจสารพัดอย่าง มีเพียงฝีมือการทาอาหารที่…ธรรมดา อย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันไม่อยากให้เซี่ยโก่วพูดเรื่องนี้ต่อไป จึง เอ่ยว่า “สหายฉางมิ่ง เจ้าช่วยแนะนาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดของ พื้นที่มงคลให้จู๋จิ่วฟังหน่อยเถอะ”
ผู้คุมกฏฉางมิ่งพยักหน้าแล้วอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “จู๋จิ่ว ทุก วันนี้พื้นที่มงคลรากบัวแห่งนี้ของพวกเรา แม้ว่าจะแตะระดับคอขวด ของระดับบนแล้ว ระดับขั้นอยู่ในขั้นที่สูงจนสูงไปมากกว่านี้ไม่ได้อีก แล้ว แต่จ านวนของผู้ฝึกลมปราณก็ยังน้อยมาก ทั้งใต้หล้ารวมกัน ตอนนี้หากคานวณคร่าวๆ ก็น่าจะไม่เกินครึ่งร ้อย อีกทั้งพวกเขายัง ค่อนข้างระมัดระวังกับเรื่องของการขี่เมฆหมอกออกเดินทางไกล อย่างมาก เหมือนอย่างเซียนดินของใต้หล้าไพศาลที่ปล่อยจิตหยิน ออกจากช่องโพรงเดินทางไกล อันที่จริงเป็ นเรื่องที่ทาได้ง่ายดายมาก แต่ผู้ฝึ กตนโอสถทองอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลกลับมองว่าเป็ น หนทางที่อันตราย จึงไม่เคยกล้าทดลองทาง่ายๆ ดังนั้นครั้งนี้นางออก เดินทางหาประสบการณ์ อีกทั้งยังได้ยืมอ่านตาราจากภูเขาพีอวิ๋นไป มาก เชื่อว่าเจ้าประมุขเกาก็น่าจะได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อย กลับไปฝึกตนที่พรรคหูซาน การฝึกตนของนางก็คงจะพัฒนาไปได้ เร็วยิ่งกว่าเดิม”
เซี่ยโก่วหลุดหัวเราะพรีด “กบใต้บ่อ เห็นแสงไฟเหมือนเห็นแสง ตะวัน”
ฉางมิ่งไม่สนใจคาเอ่ยแทรกของเซี่ยอันดับรอง ยังคงอธิบาย ขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้คนที่นี่ให้กวอจู๋จิ่วฟังต่อ “ส่วนสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้า ภูตผีปีศาจทั้งหลายในสถานที่ต่างๆ ที่ผุด ออกมาเหมือนหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตก ฝ่ ายแรกต้องยุ่งอยู่กับ การคลาหาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตว่าจะนาควันธูปที่ชาวบ้านจุด ให้มาหล่อหลอมร่างทองได้อย่างไร อีกทั้งยังไม่สะดวกจะออกจาก พื้นที่ที่ดูแลโดยพลการ จึงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่าง ถูกต้องจากทางราชสานักจานวนไม่น้อยที่ไม่รู ้หนักเบา ละทิ้งหน้าที่ ของตัวเองเทพภูเขาเดินลุยน้า เทพวารีเดินขึ้นเขา เป็ นการละเมิดข้อ ห้ามระหว่างภูเขาและสายน้า เป็ นเหตุให้ร่างทองได้รับความเสียหาย พวกเทพภูเขาเขียนน้าศาลเถื่อนและพวกภูตผีวิญญาณหยินก็ไม่ ค่อยกล้ามาเดินอาดๆ อยู่ในโลกมนุษย์เช่นกัน พายุลมกรดมีอยู่ทั่ว ทุกหนแห่งในฟ้ าดิน ทุกครั้งที่เจอกับอากาศที่มีทั้งฟ้ าร ้องฟ้ าผ่า สาหรับพวกเขาแล้วก็คือด่านยากที่ค่อนข้างจะทุกข์ทรมาน”
เซี่ยโก่วร ้องฮ่าเป็ นการแสดงการดูถูก ผู้ถวายงานอันดับรองกับผู้ คุมกฏแห่งภูเขาต าแหน่งขุนนางไม่ต่างกันสักเท่าไร!
ช่วงเวลายุคบรรพกาลที่ข้าฝึกตนกับเสี่ยวโม่ ก่อนจะกลายเป็ น เซียนดิน หากไม่ได้เจอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของกองงานบางกองในกรม สายฟ้ าแห่งสรวงสวรรค์ก็ไม่เรียกว่าเป็ นด่านยากด้วยซ้า
ผู้คุมกฏฉางมิ่งชี้ไปยังภูเขาสายน้าแห่งหนึ่ง “เนื่องจากแคว้นหูมี การร่ายตราผนึกภูเขาสายน้าหนึ่งชั้น ดังนั้นคนในท้องถิ่นของพื้นที่ มงคลที่รู ้ว่ามีถ้าสาวงามแห่งนี้อยู่จึงมีอยู่แค่ไม่กี่คน”
แคว้นหูมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ เพ่ยเซียงที่เป็ นเจ้าแห่งแคว้นหู จึงมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็ นงูดินเหมือนกับพวกเกาจวิน จงเชี่ยน สามารถเข้าร่วมการประชุม “บนยอดเขา” แห่งใต้หล้าครั้งนี้ได้
ในฐานะบุคคลอันดับหนึ่งที่สมชื่อของใต้หล้า เกาจวินคือผู้ริเริ่ม การประชุมครั้งนี้
แล้วก็มีแค่นางเท่านั้นที่สามารถเรียกรวมพลเหล่าผู้กล้าจาก สถานที่ต่างๆ มาได้
ไม่เพียงแค่เพราะนางคือเซียนดินโอสถทองคนแรกของโลก มนุษย์แห่งนี้ ยังเป็ นเพราะเจ้าประมุขคนปัจจุบันของพรรคหูซานผู้นี้ เคยเดินทางไกลไปเยือนสถานที่ต่างๆ นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน และเกาจวิ นเองก็เคยคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกลมปราณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขา สายน้ามาไม่น้อย ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็ นคนอื่นที่คิดจะจัดการ ประชุมครั้งนี้ หากคนผู้นี้มีขอบเขตสูงเพียงอย่างเดียว แต่พฤติการณ์ กลับเหมือนพวกติงอิง ยังจะมีการประชุมอะไรได้อีก ใครบ้างจะไม่ กังวลตัวเองจะถูกรวบจับมาหมดในทีเดียว?
อวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูชานคนก่อนคือ “เซียนเหริน” ใน ท้องถิ่นที่ฝึกบาเพ็ญตนฝึกมรรคกถาตามความหมายที่เข้มงวดเป็ น คนแรกในประวัติศาสตร ์ของพื้นที่มงคล
หลังจากอวี๋เจินอี้บินทะยานจากไป ใครจะสามารถกลายมาเป็ น บุคคลอันดับหนึ่งใหม่ล่าสุดของใต้หล้าได้ มีคนที่คิดว่าตาแหน่งนี้
ต้องเป็ นของตัวเองอย่างแน่นอน นั่นก็คือเว่ยเหลียงไท่ช่างหวงของ แคว้นหนันเยวี่ยนซึ่งเป็ นฝ่ายสละราชบัลลังก ์ด้วยตัวเอง
น่าเสียดายที่หลายปี มานี้เว่ยเหลียงหยุดชะงักอยู่ที่คอขวด ขอบเขตประตูมังกรมาโดยตลอด ปิดด่านออกจากด่านสองครั้งกลับ ไม่เคยส าเร็จผล มิอาจกลายเป็ นเซียนดินโอสถทองคนแรกของพื้นที่
มงคลได้
ช ้าไปก้าวหนึ่งก็ช ้าไปทุกก้าว สิ่งที่เขาขาดไม่เพียงแค่เพราะเว่ย เหลียงฝึกตนช ้าเกินไปอายุมากถึงหกสิบปีแล้วเพิ่งจะเดินขึ้นเขาฝึก วิชาเซียน สิ่งที่สาคัญยิ่งกว่านั้นยังเป็ นเรื่องของฟ้ าอ านวยดินอวยพร ที่ต่างก็ไปอยู่กับเกาจวินแห่งพรรคหูซาน ไม่ได้อยู่กับเขา
ไม่เหมือนกับเจ้าประมุขเกาที่มีปณิธานสูงส่งยาวไกล อันที่จริงจง เชี่ยนไม่ค่อยยินดีจะเข้าร่วมกับเรื่องทานองนี้เท่าใดนัก เขาอยากจะ อยู่ “สั่งอาหาร” ที่ภูเขาลั่วพั่วมากกว่า
หมี่ลี่น้อยที่รับหน้าที่เป็ นผู้พิทักษ์ฝ่ ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว ละเอียดอ่อนเอาใจใส่อย่างมาก ช่วยขอตาราอาหารเล่มหนึ่งจากพ่อ ครัวเฒ่ามาให้จงเชี่ยน ทุกครั้งที่สั่งอาหารจึงมีเป้ าหมาย
ผู้ฝึ กยุทธขอบเขตร่างทองคนแรกของพื้นที่มงคลแห่งนี้ไร ้ ปณิธานยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงวันเวลาที่กินดื่มไปวันๆ อยู่บนภูเขาลั่ว พั่ว ทุกวันสิ่งที่เขาปล่อยออกไปไม่ใช่ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธหรือ มาดของปรมาจารย์อะไร แต่ทุกวันที่ออกจากบ้านไปพบผู้คนก็ราว
กับแปะกระดาษแผ่นหนึ่งไว้บนหน้าผาก ด้านบนเขียนประโยคว่า พวกเจ้าไม่ต้องมาประคองข้านอนอย่างนี้ก็สบายมากแล้ว
ลูกพี่ใหญ่ที่มาจากสานักเบื้องบนกลุ่มนี้มาเยือนพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมด้วยตัวเองทางฝั่งของแคว้นหู เพ่ยเซียงจึงมา “เปิดประตู” รับรองแขกด้วยตัวเอง รอให้เรือยันต์ลานั้นมาจอดลงในลานบ้านที่
เงียบสงบของคฤหาสน์แห่งหนึ่งของเพ่ยเซียง
เพ่ยเซียงแขวนโคมแดงใบใหญ่ที่แคว้นหูทาขึ้นด้วยกรรมวิธีลับ ไว้ในลานบ้าน ยามค่าคืนส่องประกายแสงเรืองรอง ดึงดูดสายตาผู้คน ได้เป็ นอย่างดี
เวลานี้ “คนนอก” ของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ในลานบ้านก็มีแค่ลูกศิษย์ ผู้สืบทอดสองคนที่เพ่ยเซียงให้ความสาคัญที่สุด พวกนางอายุยังน้อย ยังไม่สร ้างโอสถ แต่ฐานกระดูกและคุณสมบัติล้วนดีเยี่ยม ถือได้ว่า เป็ นต้นกล้าด้านการฝึ กตนที่โดดเด่นของแคว้นหู เพ่ยเซียงมิอาจ เลียนแบบคุณธรรมความประพฤติอันสูงส่งของใต้เท้าเจ้าขุนเขาได้ ในฐานะเจ้าแห่งแคว้นหู เป็ นก่อกาเนิดเพียงหนึ่งเดียว นางจึงชอบ เลือกสิ่งที่ดีที่สุด รับภูตจิ้งจอกอายุน้อยในแคว้นหูที่มีหวังจะเลื่อนเป็ น เซียนดินมากที่สุดมาเป็ นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของตัวเองส่วน เรื่องของการถ่ายทอดมรรคาให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดกลุ่มใหญ่ นาง จะสามารถทุ่มเทแรงกายแรงใจได้อย่างเต็มที่หรือไม่ จะไปถ่วงรั้งลูก ศิษย์ของคนอื่นหรือไม่ จะเป็ นการจัดการที่ดีที่สุดสาหรับแคว้นหูของ
ตัวเองแล้วหรือไม่ เพ่ยเซียงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ถึงอย่างไรก็คว้ามาไว้ ในมือให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
ลูกศิษย์สองคนที่โชคดีถูกเพ่ยเซียงพามาพบเจ้าขุนเขาเขียน กระบี่ในตานานล้วนมีท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด พวกนางต่างก็ เป็ นดรุณีน้อยเรือนกายสะโอดสะองรูปโฉมงดงาม คนหนึ่งกัดริม ฝี ปาก ทัศนียภาพตรงหน้าอกของนางเดิมทีก็เป็ นเทือกเขาที่ กระเพื่อมขึ้นลงอยู่แล้ว ยามนี้ก็ยิ่งเหมือนริ้วน้าแผ่กระเพื่อมไหว เด็ก สาวอีกคนกาชายเสื้อตัวเองเอาไว้แน่น หากนั่นไม่ใช่ชุดคลุมอาคมที่ อาจารย์มอบให้กับมือตัวเอง คาดว่าคงถูกนางฉีกขาดไปแล้ว จะโทษ ที่พวกนางทาอะไรไม่ถูกเช่นนี้ไม่ได้ พูดถึงแค่เพ่ยเซียงผู้เป็ นอาจารย์ ก่อนหน้านี้ตอนที่นางไปเยือนภูเขาลั่วพั่วก็ตื่นเต้นเหมือนกันไม่ใช่
หรือ?
เพ่ยเซียงยิ้มกล่าว “ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก หากตกอยู่ในสายตา ของคนอื่นจะกลายเป็ นว่าพวกเจ้ามีท่าทีของคนตระกูลต่าต้อย สตรีที่ มีรูปโฉมสูสีกัน ต่อให้หยกของตระกูลเล็กจะงามแค่ไหน แต่จะ เปรียบเทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ได้อย่างไร”
ลูกศิษย์ที่รูปร่างอวบอิ่มกว่าใช ้เสียงในใจพูดหน้าม่อย “อาจารย์ ข้ากลัว”
เพราะนางเคยได้ยินเรื่องเล่าลือที่น่าขนพองสยองเกล้าบางอย่าง มา ปีนั้นตอนที่เซียนกระบี่เฉินเฝ้ าพิทักษ์หัวกาแพงเมืองอยู่ที่กาแพง เมืองปราณกระบี่เพียงลาพัง ระหว่างนั้นมีเซียนจิ้งจอกขอบเขตหยก
ดิบของเปลี่ยวร ้างตนหนึ่งผ่านหัวกาแพงมา ว่ากันว่านางแค่ทะยาน ลมผ่านแล้วก้มหน้ามองอื่นกวานคนสุดท้ายที่นิสัยฉุนเฉียวเจ้า อารมณ์ อีกทั้งจิตสังหารยังเข้มข้นผู้นั้นมากหน่อย ก็ถูกเซียนกระบี่ ท่านนั้นกระชากลงมาที่หัวกาแพง หากเป็ นบุรุษทั่วไป ได้เซียน จิ้งจอกห้าขอบเขตบนคนหนึ่งมาอยู่ในมือ ไม่พูดถึงว่าต้องรักหยก ถนอมบุปผาให้อีกฝ่ ายไปเป็ นสาวใช ้ ต่อให้จะฆ่า ก่อนจะฆ่าก็ไม่ควร ต้อง…? แต่เพียงแค่เพราะตกอยู่ในน้ามือของอิ่นกวานคนสุดท้าย เซียนจิ้งจอกตนนั้นถึงได้ถูกเฉินผิงอันฉีกทิ้งกับมือตัวเอง….
เลือดเนื้อและกระดูกไหลพลั่กๆ ร่วงกระจายเต็มพื้น
ที่น่ ากลัวที่สุดก็คือพวกผู้ฝึ กตนของแคว้นหูพูดกันอย่าง น่าเชื่อถือราวกับว่าพวกนางเห็นมากับตาตัวเองอย่างไรอย่างนั้น บอกว่าตอนนั้นอื่นกวานหนุ่มอยู่บนหัวก าแพงได้เด็ดหัวของเซียน จิ้งจอกลงมาถือไว้ในมือ ตัวเขายืนอยู่ในกองเลือด อ้าปากกัดหัวของ เซียนจิ้งจอกคาใหญ่ อีกมือหนึ่งใช ้ต่างชาม ยกเลือดสดๆ ซดเหมือน ดื่มสุรา…
เพ่ยเซียงยิ้มเอ่ย “อย่าไปฟังข่าวลือเหลวไหลพวกนั้น ล้วนพูดกัน ไปส่งเดช เจ้าขุนเขาเฉินของพวกเรา แท้จริงแล้วคือวิญญูชนผู้ เที่ยงตรงที่องอาจสง่างามคนหนึ่ง พวกเจ้าได้เจอแล้วก็จะเข้าใจเองว่า อะไรคือ “ท่านอาจารย์อ่อนโยนรูปโฉมหล่อเหลาสะอาดตา วิญญูชน ประหนึ่งกระบี่หยกประหนึ่งสายรุ ้ง” แล้ว
ก็ไม่แปลกที่พวกลูกศิษย์จะอกสั่นขวัญผวากันขนาดนี้ ไม่พูดถึง พวกนาง พูดถึงแค่ลูกศิษย์ของหลิวสือลิ่วอย่างเจิ้งโย่วเฉียนที่มีชาติ ก าเนิดจากภูติของใบถงทวีป ตอนก่อนจะได้เจอกับอาจารย์อาน้อย และตอนที่ถูกหลิวสือลิ่วพาไปพบกับอาจารย์อาน้อยก็ไม่ทาท่าราว กับพร ้อมกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญเหมือนกันหรอก หรือ? เป็ นเหตุให้ก่อนที่จะได้พบกับเฉินผิงอัน เจิ้งโย่วเฉียนยังถึงขั้น ต้องถามหลิวสือลิ่วอย่างอ้อมๆ ว่า อาจารย์ความสัมพันธ ์ของคนร่วม ส านักระหว่างท่านกับอาจารย์อาน้อยยังพอใช ้ได้กระมัง?
เด็กสาวร่างบอบบางอีกคนหนึ่งที่กาชายเสื้อแน่นจนหลังมือขาว นวลมีเส้นเอ็นปูดโปนเอ่ยเสียงสั่นว่า “อาจารย์ มีท่านกับศิษย์พี่หญิง อยู่รับแขกก็พอแล้ว ข้าอยากจะกลับไปหลอมลมปราณท าการบ้าน แล้ว ผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา เวลาหนึ่งชุ่นมีค่าเท่าทองหนึ่งชุ่น อาจารย์ ท่านวางใจเถอะ วันหน้าข้าจะต้องตั้งใจฝึกตนให้ดีอย่างแน่นอน”
สาหรับเรื่องของการฝึ กตน เนื่องจากเด็กสาวมีคุณสมบัติที่ดี เยี่ยมติดตัวมาแต่กาเนิดแล้วก็รู ้จักทะนุถนอมเห็นค่าในความโชคดีที่ ตัวเองได้กลายเป็ นลูกศิษย์ของเพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นเป็ นอย่างดี นางจึงไม่เคยเกียจคร ้าน แต่หากจะบอกว่านางเป็ นคนขยันหมั่นเพียร ก็ไม่ถึงขั้นนั้นจริงๆ
เพ่ยเซียงได้ยินแล้วก็หัวเราะไม่ได้ร ้องไห้ไม่ออก ดูพวกเจ้าตกใจ กลัวเข้าสิ อีกเดี๋ยวพอได้เจอกับเจ้าขุนเขาเฉิน ได้เห็นกับตาตัวเองก็ จะรู ้แล้วว่าพวกเจ้าเข้าใจผิดไปมากขนาดไหนกัน
ผู้ฝึกตนหญิงอีกคนถลึงตาใส่ศิษย์น้องหญิงที่ “สหายตายข้าไม่ ตาย เอาตัวรอดไปคนเดียว” ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาคีบชายแขนเสื้อ ของอาจารย์ “อาจารย์ ศิษย์น้องงดงามขนาดนี้ข้าเห็นแล้วยังเอ็นดู นางบอบบางน่าทะนุถนอมถึงเพียงนี้ ต่อให้เจ้าขุนเขาเฉินเห็นแล้วจะ ไม่ชอบ แต่ก็คงไม่ถึงขั้นรังเกียจ แต่ข้าไม่ได้เลย ใครเห็นก็ต้องด่าว่า นั่งจิ้งจอก อย่าให้ข้าอยู่ขวางหูขวางตาเจ้าขุนเขาเฉินเลย เดี๋ยวจะ เดือดร ้อนให้อาจารย์ถูกกล่าวหาว่ารับรองแขกไม่ดีพอไปด้วย”
เพ่ยเซียงเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “เจ้าเด็กสองคนนี้ พวกเจ้ารู ้จัก มิตรภาพของคนร่วมส านักกันบ้างไหม?!”
แต่อันที่จริงหากจะพูดถึงข่าวลือที่แพร่หลายซึ่งเป็ นการปล่อย ข่าวเขย่าขวัญผู้คนพวกนั้น เพ่ยเซียงก็มีคุณู ปการในเรื่องนี้ เหมือนกัน บวกกับพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายช่วยผลักคลื่นลม ให้อยู่ลับๆ เฉินอิ่นกวานที่ยังไม่เคยย่างเท้าเข้ามาในแคว้นหูก็มี ชื่อเสียงดุดันเลื่องลืออย่างยิ่งแล้ว
พวกผู้ฝึ กตนของแคว้นหูที่ขอบเขตสูงหน่อย คนที่คุ้นเคยกับ ขนบธรรมเนียมของแจกันสมบัติทวีปดี พวกนางยังไม่เท่าไร รู ้สึกว่า ต้องไม่มีทางเกินจริงขนาดนั้นเป็ นแน่ เรื่องเล่าข่าวลือที่ทาให้คนฟัง รู ้สึกเสียวสันหลังวาบๆ พวกนั้นจะไม่มีน้ามากกว่าเนื้อได้อย่างไร?
แต่ยิ่งเป็ นภูตจิ้งจอกที่อายุน้อยเท่าไรก็ยิ่งเห็นเป็ นจริงเป็ นจัง เท่านั้น เป็ นเหตุให้ต่างก็พูดกันว่าขอแค่เฉินอิ่นกวานที่เกลียดชังผู้
ฝึกลมปราณเผ่าปีศาจที่สุดเข้ามาในแคว้นหูของพวกเรา กระเพาะ
ของเขาก็จะต้องเริ่มทางานส่งเสียงร ้องดังโครกครากทันที เดินไปตลอดทางก็กินไปตลอดทาง แล้วยัง “ดื่มสุรา” ไปตลอด
ทางด้วย ใครเจอคนนั้นก็ดวงซวย เตรียมตัวคิดไว้ก่อนได้เลยว่าชาติหน้า
จะไปเกิดในครรภ์ดีๆ ได้อย่างไร
เวลาที่มีการประชุมในศาลบรรพจารย์ของแคว้นหู “บางครั้ง” เพ่ ยเซียงก็จะชอบเอ่ยขึ้นมาว่าเซียนกระบี่เฉินสร ้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไร “อีกครั้ง
เป็ นนางที่จงใจพูดกระทบกระเทียบภูตจิ้งจอกแพศยาบางตนที่ อบรมจิตใจตัวเองได้ไม่ดีพอ
หลายปีมานี้พวกนางมักจะชอบบ่นที่เพ่ยเซียงสั่งปิดภูเขาของ แคว้นหู วันเวลาของพวกนางผ่านพ้นไปอย่างยากล าบาก ไม่ได้ไป เยือนโลกโลกีย์ขัดเกลาจิตแห่งมรรคาก็ช่างถ่วงรั้งการฝึ กตนของ พวกนางจริงๆ
บรรพจารย์เพ่ยเซียง เจ้าขุนเขาเฉินผู้นั้นคิดอย่างไรกันแน่ เมื่อ ยกเลิกคาสั่งปิดภูเขาศิษย์ลูกศิษย์หลานแคว้นหูของพวกเราขอบเขต สูงขึ้น เลื่อนเป็ นห้าขอบเขตกลางกับเลื่อนเป็ นเซียนดิน ต่างก็เป็ น โอกาสในการที่พวกนางจะได้ผลัดเปลี่ยนเนื้อหนังมังสาเก่าทิ้งไปหาก อิงตามกฎระเบียบเก่าของแคว้นหู ก็แค่เปลี่ยนจากที่ต้องเอาหนัง
จิ้งจอกไปบรรณาการสกุลสวี่นครลมเย็น ไปมอบให้กับภูเขาลั่วพั่ว แทนก็เท่านั้น เซียนกระบี่เฉินเอาไปหลอมเป็ นยันต์หนังจิ้งจอก แล้ว เอาไปขายต่อก็จะได้เงินมาอีกไม่น้อย แคว้นหูของพวกเราได้แสดง ความกตัญญู ภูเขาลั่วพั่วก็สามารถอาศัยสิ่งนี้มาเพิ่มข้าวของ เครื่องใช ้ในบ้านได้ นี่ไม่เท่ากับว่าได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่ าย หรอกหรือ? ไฉนต้องปิดภูเขาให้ถ่วงรั้งกันทั้งสองทางด้วยเล่า
แต่ละคนชอบพูดจาเหน็บแนมโจมตี เป็ นส าลีซ่อนเข็ม พวกเจ้า แน่จริงก็ไปฟ้ องร ้องที่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี๋หลิงเองสิ!
อย่าว่าแต่เข้าใกล้ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี๋หลิงเลย สตรีปากคอ เราะร ้ายอย่างพวกเจ้า แค่ไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วยังยืนได้มั่นคง ไม่ว่า ใครที่เปิดปากพูดแล้วเสียงไม่สั่นก็ถือว่าพวกเจ้าขวัญกล้าแล้ว!
เรือยันต์ลานั้นลดระดับลงพื้น
เพ่ยเซียงถอนหายใจเบาๆ
เจ้าขุนเขาเฉินเกรงใจกันเกินไปแล้วจริงๆ
เพราะเรือยันต์ลานั้นไม่ได้ลงจอดในลานบ้านโดยตรง แต่เลือกจะ ไปจอดที่นอกประตูใหญ่ของคฤหาสน์
เพ่ยเซียงบอกลูกศิษย์สองคนว่าอย่าคิดหนีให้อาจารย์อย่างนาง ต้องขายหน้าเด็ดขาด!
นางหดย่อพื้นที่ไปที่นอกประตูใหญ่เพียงลาพัง เพ่ยเซียงยอบ กายคารวะ เอ่ยทักทายปราศรัยตามมารยาทที่ควรมีไปแล้วนางจึงพา ผู้ฝึกตนท าเนียบของภูเขาลั่วพั่วที่มีเจ้าขุนเขา เฉินเป็ นผู้นาเข้าไปใน เรือน เพ่ยเซียงกังวลว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนจะเสียกิริยาท าให้ พวกเจ้าขุนเขาเฉินเห็นเรื่องตลก จึงช่วยอธิบายแทนว่าท าไมพวก นางถึงได้มีท่าทีคลางแคลงไม่แน่ใจ เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว ไม่ได้ เอ่ยอะไร