กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1064.3 ที่เกินมาก็คือความอ่อนโยน
ดอกท้อข้างทางบ้างเป็ นสีแดงเข้มบ้างเป็ นสีชมพูอ่อน ล้วนแอบ อิงลมวสันต์อย่างเกียจคร ้าน
ขยับเข้าใกล้ลานบ้านที่แขวนโคมไฟ ทางเดินเส้นหนึ่งที่ทอด ผ่านระหว่างภูเขาจ าลองจุดที่สูงที่สุดของภูเขาจาลองสองลูกคุมเชิง กันเหมือนมวยผมสองข้างของเด็กสาว คล้ายกับก้นหอยที่ขดม้วนตัว สองข้างของเส้นทางและบนยอดเขาปลูกดอกบัว ดอกโบตั๋นและดอก เสาเหย้า ดอกไม้ใบไม้ไต่เกาะเนินเขา แขกที่เดินทางมาเยือนเห็น ทัศนียภาพของที่แห่งนี้ไกลๆ ก็เหมือนเห็นสตรีปักปิ่ นบุปผา โชคชะตาน้าและปราณวิญญาณในฟ้ าดินเข้มข้นอบอวล กระเพื่อม แผ่เป็ นริ้วระลอก ระหว่างที่คนเดินผ่านทางเส้นนั้น หากเงยหน้ามอง ไปเหนือศีรษะจะเห็นดอกบัวชูช่อราวกับว่าถูกปลูกอยู่บนฟากฟ้ า
เดินผ่านประตูโค้งวงเดือนที่แขวนกรอบป้ ายคาว่า “สะพาน กางเขน” เข้าไปในเรือนที่เงียบสงบ เนื่องจากมักจะไปเป็ นแขกที่ภูเขา ลั่วพั่วเป็ นประจาจึงรู ้ความชื่นชอบของเจ้าขุนเขาเฉินดี
เพ่ยเซียงได้เตรียมเก้าอี้ไม้ไผ่ไว้ก่อนแล้วหลายตัว วางไว้ใต้ ชายคา ระหว่างเก้าอี้มีโต๊ะน้าชาตัวเตี้ยกั้นขวาง ด้านบนเตรียมน้าชา ของว่างและอาหารจาพวกผลไม้เชื่อมไว้พร ้อมสรรพ
หากจะพูดถึงการรับรองแขกผู้สูงศักดิ์ของภูเขาลั่วพั่ว แคว้นหูที่ พยายามแสดงน้าใจของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ก็ถือว่าประหยัดแรงกาย แรงใจอยู่มาก เพ่ยเซียงไม่ต้องท าอะไรเอิกเกริกหรือจัดขบวนใหญ่โต
ในที่สุดก็ได้เจอกับเซียนกระบี่ชุดเขียวที่รูปโฉมไม่ถือว่าหนุ่ม แต่ ก็ไม่ได้ดูแก่ผู้นั้น ลูกศิษย์สองคนของเพ่ยเซียงที่มายืนรออยู่ตรงเชิง
บันไดนานแล้วพากันยอบกายคารวะ
ดวงตาเรียวยาวคลอประกายน้าสองคู่รู ้ใจกันดีเยี่ยม ต่างคนต่าง เคลื่อนสายตามองไปอีกด้าน ไม่กล้ามองเจ้าขุนเขาแห่งภูเขาลั่วพั่ว อิ่ นกวานหนุ่มที่เล่าลือกันว่าสังหารปีศาจเป็ นผักปลาทั้งยังชอบจับกิน เป็ นอาหารผู้นี้
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มพลางกุมมือคารวะกลับคืน ในเมื่อพูดเยอะ ก็ผิดเยอะ เขาจึงเลือกไม่พูดเลยดีกว่า
ความเสียเปรียบที่คล้ายคลึงกันนี้ ในอดีตเจ้าขุนเขาเฉินเคย เผชิญจากเฉินยวนจีมาจังๆ แล้วครั้งหนึ่ง
ต่างคนต่างนั่งลง เพ่ยเซียงหยิบไม้ชี้ภาพที่วางอยู่บนโต๊ะน้าชา ขึ้นมา นางมองไปทางเจ้าขุนเขาเฉิน เฉินผิงอันก็พยักหน้าให้
ลานบ้านท่ามกลางแสงสียามสนธยาปรากฏเป็ นภาพภูเขา สายน้าของพื้นที่มงคลที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ เทือกเขาทอดตัวสูงต่า สายน้าไหลคดเคี้ยว เขตและจังหวัดของแต่ละแคว้นพื้นที่ประกอบ พิธีกรรม พรรคตระกูลเซียน ศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนถูกระบุพิกัด
ออกมาอย่างละเอียด ตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกแดงและหมึกดาลอย อยู่กลางอากาศประหนึ่งแสงรุ่งอรุณหากขอบเขตไม่สูงมากพอ ความสามารถในการมองเห็นไม่มากพอ แต่อยากจะเข้าใจ ทัศนียภาพของพื้นที่บางแห่งอย่างชัดเจน เพ่ยเซียงก็สามารถใช ้ไม้ที่ อยู่ในมือ ชี้ไปตามแม่น้าภูเขา” ขยายพื้นที่แห่งนั้นให้กว้างขึ้นอีกร ้อย
เท่าพันเท่าได้
เฉินผิงอันปอกส้มลูกหนึ่งยื่นส่งให้กับกวอจู๋จิ่วที่อยู่ข้างกายก่อน จากนั้นจึงบอกชื่อสถานที่และชื่อคนออกไป
เพ่ยเซียงจึงใช ้ไม้ชี้ภาพวาดที่อยู่ในมือชี้ไปตามพรรคและพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมตามที่อีกฝ่ ายระบุมา หนึ่งในนั้นก็มีสถานที่มังกรลุก ผงาดของสกุลเว่ยแคว้นหนันเยวี่ยน
เป็ นอย่างที่เฉินผิงอันคาดการณ์เอาไว้ ตอนนั้นที่เกาจวินสร ้าง โอสถทอง ผู้ฝึกลมปราณคนแรกที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้ า ดินก็คือเว่ยเหลียงที่บุกเบิกพื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ในสถานที่ที่มี ปราณมังกรเข้มข้น
ตอนนั้นเว่ยเหลียงเดือดเป็ นฟืนเป็ นไฟ จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง เกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก
ภูเขาลั่วพั่วเคยมอบกล่องหินที่ด้านในบรรจุคัมภีร ์เต๋สามเล่ม ให้กับเว่ยเหลียง แต่หากอิงตามข้อตกลง ภูเขาลั่วพั่วแค่รับปากว่าจะ ช่วยให้เว่ยเหลียงเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตกลางเท่านั้น
เพราะเว่ยเหลียงยังมีสถานะของไท่ซ่างหวง ดังนั้นหลายปีมานี้ ราชสานักแคว้นหนันเย วี่ยนจึงมีการอบรมปลูกฝังและรวบรวมซานจ วินของห้ามหาบรรพตและองค์เทพของแม่น้าแต่ละสายมาอย่างลับๆ อยู่ตลอด หวังว่าจะใช ้สิ่งนี้มาถ่วงดุลกับผู้ฝึ กลมปราณที่มีพรรคหู ซานเป็ นผู้น า
เฉินผิงอันกล่าว “ใจคนไม่เหมือนกัน เส้นสายแตกต่างกันไป ต่างก็เคยชินที่จะเดินไปบนทางสายเก่า”
ฉางมิ่งพยักหน้า “เว่ยเหลียงที่เคยเป็ นฮ่องเต้มาก่อน หลังจากขึ้น เขาฝึกตน แม้จะกลายเป็ นผู้ฝึกลมปราณไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ ละทิ้งตัวตนในโลกมนุษย์ไม่ได้ ไม่ว่าจะท าอะไรก็ชอบมุ่งไปทางการ วางแผนในราชส านักและการวางแผนทางการสู้รบตามจิตใต้ส านึก ไม่ได้บอกว่าทาแบบนี้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี หาก ยังไม่ขีดเส้นความสัมพันธ ์ให้ชัดเจนอีก เว่ยเหลียงอยากจะสร ้าง โอสถเป็ นเซียนดินก็ยังยากมาก ย้อนกลับมามองเกาจวิน แม้ว่าจะมี สถานะเป็ นเจ้าประมุขพรรคหูซานเช่นกัน แต่จิตแห่งมรรคาและความ เด็ดขาดของนางก็เหนือกว่าเว่ยเหลียงอยู่ระดับหนึ่งจริงๆ”
คนสิบคนในใต้หล้าของพื้นที่มงคลในอดีต ปีนั้นจังชิวได้ไล่ตาม เสียงกลองขึ้นไปบนหัวกาแพงเมือง ได้รับภาพห้ามหาบรรพตที่ แท้จริงไปภาพหนึ่ง หรือก็คือความเป็ นมาที่แท้จริงของห้ามหาบรรพต ในใต้หล้าทุกวันนี้ นอกจากนี้อีกสี่แคว้นของพื้นที่มงคลก็มีจักรพรรดิ
ของแต่ละแคว้นเป็ นผู้แต่งตั้งห้ามหาบรรพต ดังนั้นจึงมีการแบ่งห้าม หาบรรพตน้อยใหญ่
หลังจากพื้นที่มงคลดอกบัวเปลี่ยนจากพื้นที่มงคลระดับล่าง กลายมาเป็ นพื้นที่มงคลรากบัว ก็ได้เลื่อนขั้นกลายมาเป็ นพื้นที่มงคล ระดับสูง การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ที่ปราณวิญญาณระหว่าง ฟ้ าดิน เปลี่ยนจากระดับความแร ้นแค้นขาดแคลนที่แทบจะไม่มีอะไร เลยมาเป็ นอุดมสมบูรณ์เปี่ยมล้นอย่างถึงที่สุด พูดถึงแค่ศาลในใต้ หล้า องค์เทพแห่งภูเขาสายน้าทั้งหลายที่ราชส านักของแต่ละแคว้น แต่งตั้งอย่างเป็ นทางการ ศาลที่ด้านในบูชาวิญญาณวีรบุรุษบุ๋นบู๊ บวกกับศาลเถื่อนที่ชาวบ้านในท้องถิ่นบูชากันเอง หรือเป็ นศาลที่ ภูตผียึดครองแล้วสาแดงอิทธิฤทธิ์ความศักดิ์สิทธิ์ ศาลที่บ่มเพาะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ควันธูปขึ้นมาได้เอง ก็มีมากถึงร ้อยกว่าแห่งแล้ว
นอกจากการเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณแล้ว โชคชะตาบู๊ ของพื้นที่มงคลก็เพิ่มขึ้นพรวดพราดเช่นเดียวกัน
แต่เนื่องจากพื้นที่มงคลดอกบัวถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าแบ่งออกเป็ น สี่ส่วน สีสันของขุนเขาสายน้าเจือจางเหมือนกลายมาเป็ นภาพ ลายเส้นขาวด า ปรมาจารย์ในยุทธภพรุ่นอาวุโสอย่างพวกเฉินหยวน ซาน ถังเถี่ยอีกลายมาเป็ นว่าจิตวิญญาณเหลือไม่ครบถ้วน ดังนั้นไม่ ว่าจะเป็ นเส้นทางของการฝึกตน ปีนั้นแม้เกาจวินแห่งพรรคหูซานจะ ขอบเขตต่าต้อย ก็กลับกลายเป็ นว่ามีโชคหลังเคราะห์ร ้าย เหมือนเรือ ลาน้อยที่หันหัวกลับได้ง่าย หรือจะเป็ นเส้นทางของการฝึกวรยุทธที่
กลับกลายเป็ นว่าถูกจงเชี่ยนผู้ฝึกยุทธหนุ่มของแคว้นเป่ ยจิ้นชิงน า ตัดหน้า กลายเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองไปก่อน นอกจากนี้เฉิง หยวนซานและถังเถี่ยอี้ที่เมื่อเทียบกับการเดินขึ้นสู่ยอดสูงบนวิถีวร ยุทธและความร่ารวยสูงศักดิ์ในโลกมนุษย์แล้วอันที่จริงต่างก็ต้านทาน การล่อลวงจากการ “พิสูจน์มรรคาเป็ นอมตะ เทพเซียนพสุธา ประจ าการอยู่ในโลกมนุษย์ สามารถส่องแสงเคียงคู่ตะวันจันทรามี อายุขัยยาวนานไปพร ้อมกับฟ้ าดิน ไม่ได้ พวกเขาจึงแอบหันไปฝึก ตนกันแล้ว
ครั้งนี้สมาชิกของพื้นที่มงคลที่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมการประชุม มีซานจวินห้ามหาบรรพตใหญ่ ส่วนห้ามหาบรรพตเล็กที่อยู่ในอาณา เขตของสี่แคว้น เนื่องจากเกาจวินได้เชิญฮ่องเต้ของสีแคว้นมาแล้ว ซานจวินสิบสองท่านจึงไม่ได้รับเทียบเชิญจากพรรคหูซาน กลับ กลายเป็ นว่าเทพแห่งสายน้า หูจวินที่ความสัมพันธ ์กับราชสานัก แคว้นต่างๆ ไม่ได้แนบแน่นถึงเพียงนั้นและยังมีเทพภูเขาบางส่วนที่ไม่ เคยเข้าร่วมกับแช่สกุลใดที่ต่างก็ต้องมาเข้าประชุม
เดิมทีตาแหน่งที่นั่งที่เพ่ยเซียงคิดเอาไว้คือเจ้าขุนเขาเฉินนั่งตรง กลาง ตนที่เป็ นเจ้าแห่งแคว้นหูถือว่า “อยู่เป็ นเพื่อน” ฉางมิ่งผู้คุมกฏ แห่งภูเขาลั่วพั่วนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเจ้าขุนเขาเฉิน จากนั้นก็เป็ นก วอจู๋จิ่วลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาเฉิน แล้วจึงเป็ นเด็กสาวสวม หมวกขนเตียวที่ขึ้นภูเขามาค่อนข้างช ้า ส่วนลูกศิษย์ผู้สืบทอดสอง
คนของเพ่ยเซียง แน่นอนว่าต้องนั่งอยู่ทางฝั่งของเพ่ยเซียง เมื่อเป็ น เช่นนี้เฉินผิงอันก็จะนั่งอยู่ตรงกลางพอดี
ฮ่า นอกจากเจ้าขุนเขาเฉินแล้ว ทั้งสองฝั่งล้วนมีแต่สตรี
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าผู้คุมกฏฉางมิ่งจะยกที่นั่งให้กับกวอจู๋จิ่ว
จากนั้นเด็กสาวสวมหมวกขนเดียวที่เพ่ยเซียงไม่รู ้ความเป็ นมาก็ ยิ่งมีนิสัยแปลกประหลาด นางเอาสองมือกดไว้บนที่วางแขนเก้าอี้ โยกไหล่พาเก้าอี้ถอยไปด้านหลังก่อนจากนั้นหมุนตัว ‘เดินไป” ทาง ระเบียงที่อยู่ข้างหน้าต่างห้องอย่างเนิบช ้า แล้วก็โยกตัวมาตลอดทาง จนกระทั่งมา “นั่งนิ่ง” อยู่ข้างที่นั่งของลูกศิษย์เพ่ยเซียง แล้วจึงเอ่ย ทอดอาลัยกับตัวเอง หรือไม่ก็ยกประโยคที่คัดลอก ‘ยกภูเขา” มาจาก ภูเขาต าราว่า “ฝึ กตนยากล าบากเหลือเกิน เหนื่อยยิ่งนัก เมฆฝน กลบทับขุนเขา คลื่นลมถาโถมท่วมท้น ขออย่าให้เส้นทางในโลก มนุษย์เดินได้ยากเลย”
ผู้ฝึกตนหญิงเผ่าจิ้งจอกสองคนพยักหน้ารับอย่างงงๆ
เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ ายก็เป็ นเซียนซือของสานักเบื้องบนที่สูงส่ง เกินกว่าจะอาจเอื้อมแล้ว “เด็กสาว” ยังติดตามอยู่ข้างกายเฉินอิ่นก วานได้ด้วย
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวใช ้หมัดทุบฝ่ามือ ร ้องโอ้โห “คิดไม่ถึง ว่าพวกเราจะเป็ นคนบนเส้นทางเดียวกัน ขอถามพี่สาวท่านนี้ มี ขอบเขตอะไร อายุเท่าไรแล้ว?”
ภูตจิ้งจอกตนนั้นตอบไปตามสัตย์จริง “อายุสิบเก้าปีแล้ว เพิ่งจะ เป็ นขอบเขตชมมหาสมุทร คอขวด”
เดิมทีก็พูดเสียงไม่ดัง ยิ่งคาสุดท้ายว่า “คอขวด” เด็กสาวก็ยิ่งพูด เสียงแผ่วราวกับเสียงยุง
เอ่ยสองคานี้จบ เด็กสาวที่รู ้สึกอับอายก็ก้มหน้าลงมองพื้นดิน
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวแสร ้งท าท่าตกอกตกใจ “ว้าว ว้าว พี่สาวอายุไม่ถึงยี่สิบก็เป็ นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางแล้วหรือ มิน่า ล่ะถึงได้กลายเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์เพ่ยเซียงได้ โชค ดีที่ได้พบ โชคดีที่ได้พบ ข้าชื่อเซี่ยโก่ว ฉายาเหมยฮวา เพิ่งจะเป็ นผู้ ฝึกตนท าเนียบของภูเขาลั่วพั่ว นี่เป็ นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนนี้ เอง และนี่ยังเป็ นเพราะคนรักของข้าสนิทกับเจ้าขุนเขาเฉิน ถือว่าใช ้ เส้นสายนั่นแหละ ข้าถึงได้มีสถานะเช่นนี้ ส่วนขอบเขตของข้าน่ะหรือ ไม่สูง ติดชะงักอยู่ตรงนี้มานานหลายปีมากๆ แล้ว ข้าถึงได้เอ่ยอย่าง ปลงอนิจจังว่าเส้นทางเดินได้ยากอย่างไรล่ะ เรื่องไร ้สาระพวกนี้ อย่า ไปพูดเลยดีกว่า”
เด็กสาวภูตจิ้งจอกที่พอได้ยินว่าแม่นางที่มีฉายาว่า “เหมยฮวา” แซ่เซี่ย แต่กลับไม่รู ้ว่าชื่ออะไร แต่คงไม่ได้ชื่อ “โก่ว” ที่แปลว่าสุนัข หรอกกระมัง เพิ่งจะได้เป็ นผู้ฝึกตนทาเนียบของภูเขาลั่วพั่วได้แค่ไม่กี่ วัน ทั้งยังบอกว่าตัวเองขอบเขตไม่สูง เด็กสาวก็วางใจได้ทันที แอบใช ้ เสียงในใจเอ่ยว่า “เซี่ยเซียนซือ ข้าชื่อชิวชิง ชิวที่แปลว่าภูเขา ชิงที่ แปลว่าขุนนาง ฉายายังไม่ได้คิด เพราะได้ยินมาว่าฉายาของผู้ฝึกตน
ท าเนียบทุกคนในใต้หล้าล้วนจะต้องมีการแจ้งให้กับส านักศึกษาของ ลัทธิขงจื๊อที่อยู่ข้างนอกทราบ คิดจะตั้งฉายาที่ฟังไพเราะ สมดังใจ ปรารถนา แล้วยังต้อง “สอดคล้องกับมรรคา” อย่างที่อาจารย์บอก ด้วย เป็ นเรื่องที่ยากมากๆ เลย ไปๆ มาๆ ก็เลยถูกชะลอไว้เรื่อยมา ใช่ แล้ว ชื่อเล่นของข้าคือเสี่ยวเย่ เซี่ยเซียนซือเรียกชื่อเล่นข้าก็พอ”
อันที่จริงเพ่ยเซียงได้ตั้งฉายาให้กับลูกศิษย์ที่ชอบยิ้มมาตั้งแต่ เด็กผู้นี้ว่า เจ้ารักแร ้
“เซี่ยเซียนซือ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ คือศิษย์พี่หญิงของข้าเอง นาง ชื่อว่าหลัวฟูเม่ย ฉายา “อวี่เตี้ยว” คุณสมบัติในการฝึกตนของศิษย์พี่ หญิงดีมากเลยล่ะ อายุไม่ถึงสามสิบก็เป็ นขอบเขตประตูมังกรแล้ว อาจารย์บอกว่าวันหน้าศิษย์พี่หญิงหลัวต้องสร ้างโอสถทองได้แน่นอน แต่กับข้า อาจารย์ไม่เคยพูดอะไรทานองนี้เลย คร ้านจะโกหกข้าด้วย ซ้า ศิษย์พี่หญิงมีชื่อเล่นด้วยนะ แต่นางไม่ชอบให้คนอื่นเรียกนางด้วย ชื่อนี้มากที่สุด ฮ่า ชื่อว่าโฉ่วหนูเอ๋อร ์(ทาสอัปลักษณ์) อันที่จริงศิษย์ พี่หญิงหน้าตางดงามถึงเพียงนั้น ก็ไม่รู ้ว่าอาจารย์คิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้เรียกนางอย่างนี้ เวลาปกติข้าก็ไม่กล้าเรียกนางหรอก”
เซี่ยโก่วตั้งตัวไม่ทันอยู่บ้าง แม่นางน้อย เจ้าก็ช่างคุยเก่งจริงๆ ลูก จิ้งจอกน้อยที่สืบทอดเชื้อสายมาจากหญิงแพศยาผู้นั้น ทุกวันนี้ไม่มี ใจระแวดระวังอะไรบ้างเลยหรือ?
ในยุคบรรพกาลที่กฎระเบียบไม่เข้มงวด ผู้ฝึกลมปราณอยากทา อะไรก็ท าได้หมด โลกมนุษย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นดิน ช่วงแรกเริ่มมีราชวงศ์
เผ่ามนุษย์และแคว้นเผ่าจิ้งจอกตามความหมายในทางโลกีย์ ได้ถูก จิ้งจอกแพศยาตัวนั้นสร ้างหายนะให้จนล่มจมไปหมด เกือบจะถูกนาง อาศัยสิ่งนี้ผสานขอบเขตสิบสี่ได้จริงๆ เสียแล้ว ขาดอีกแค่ก้าวเดียว เท่านั้น ทว่ากลับถูกจอมปราชญ์น้อยที่ทนมองต่อไปไม่ไหวพานาย ท่านป๋ ายไป “พูดคุยความในใจ” กับนาง ดูเหมือนว่านางจะรู ้ข่าว ล่วงหน้าจึงไม่กล้าไปพบจอมปราชญ์น้อย แล้วก็ไม่รู ้ว่าไปหลบซ่อน ตัวที่ไหน
สิ่งที่สตรีผู้นี้ร ้ายกาจมากที่สุดก็คือล่อลวงใจคนได้เก่งกาจ ฆ่า เกลี้ยงทั้งชายและหญิง
ในสายตาของนักพรตและบัณฑิตในอดีต พวกเซียนดินยุคบรรพ กาลหลายคนที่เดิมทีสามารถเดินไปบนมหามรรคาได้สูงกว่านั้น ต่าง ก็ทยอยกันถูกนางเล่นงานอย่างโหดร ้ายส่วนพวกเซียนดินที่มี ความสุขอยู่กับบ้านเกิดแห่งความอบอุ่น ก็วีรบุรุษยากจะผ่านด่าน สาวงามนี่นะ ถึงอย่างไรสุดท้ายก็ต้องตายอยู่ใต้ชายกระโปรงสีแดงสด ที่ปักลายดอกโบตั๋น ดอกทับทิมกันอยู่แล้ว
จาได้ว่าพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแห่งที่สองนอกจากรังเก่าของนาง เหมือนจะเป็ นสถานที่ที่มีชื่อว่าหมี่จือ? น่าจะอยู่ใกล้กับลาคลองอู่ติ่งที่ เป็ นหนึ่งในสาขาแยกของลาคลองเย่ลั่วเปลี่ยวร ้างกระมัง
น่าเสียดายที่ต่างก็เป็ นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ถูกพลิกเปลี่ยนหน้า ไปแล้ว
เดิมเชี่ยโก่วคิดว่าในบรรดาสหายบนมรรคาที่ตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ จะมีอดีตผู้น าแห่งเผ่าจิ้งจอกของใต้หล้าผู้นั้นอยู่ด้วย น่าเสียดายที่ ตอนนั้นไปรวมตัวกันอยู่ริมลาคลองเย่ลัว เชียโก่วกลับไม่ได้เห็นเงา ร่างของนาง
แล้วทาไมเซี่ยโก่วถึงได้คิดถึงอีกฝ่ าย แน่นอนก็เพราะอยากจะ ฟันนางให้ตาย เพื่อที่จะได้แย่งฉายาสองอย่างที่ป๋ ายจิ่งอยาก ครอบครองมานานแล้วจากมือของอีกฝ่ าย อย่างฉายา ‘เชียโกวเจ๋อ” (โจรขโมยตะขอ) และ ‘ฮว่อสุ่ย! (หญิงงามผู้ก่อเภทภัย)
นอกจากนี้หญิงแพศยาหน้าไม่อายผู้นั้น ปี นั้นตอนที่ตนเพิ่ง เลื่อนเป็ นเซียนดิน นางก็มาขวางทาง ทาท่ากรีดกรายยั่วยวน คลี่กาง หางจิ้งจอกหางแล้วหางเล่าออกมาบดบังฟ้ าดินถึงกับคิดจะหลับนอน กับตน!
อย่าได้คิดเด็ดขาดว่าฉายามากมายของป๋ ายจิ่งล้วนเป็ นฉายาที่ นางคิดขึ้นมาเอง
เฉินผิงอันถาม “เพ่ยเซียง เกี่ยวกับรากฐานมหามรรคาของ ชานจวินห้ามหาบรรพตใหญ่ล่ะ? เจ้าตรวจสอบมาชัดเจนแล้วหรือ ยัง?”
ในเรื่องนี้ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้ลงมือท าเอง แต่ให้เพ่ยเซียง และแคว้นหูช่วยสืบข่าวและรวบรวมรายงาน
อันที่จริงการทาเรื่องพวกนี้ หากจะบอกว่าเป็ นการทาสิ่งที่เกิน ความจ าเป็ นก็ไม่ถือว่าผิด
อย่าว่าแต่พื้นที่มงคลรากบัวในทุกวันนี้เลย ต่อให้ภูเขาลั่วพั่วจะ ปิดประตูพื้นที่มงคลนานหนึ่งพันปี ปล่อยให้พื้นที่มงคลระดับบนแห่ง หนึ่งพัฒนาเจริญรุ่งเรืองต่อไปแล้วค่อยเปิดประตูอีกครั้ง จากนั้นค่อย แต่งตั้งให้เกาจวินเป็ นผู้นาของ “ใต้หล้าทั้งแห่ง” ต่อมาพื้นที่มงคลที่มี เซียนดินกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวก็มาท าการ “จับคู่เข่นฆ่า’ กับภูเขาลั่ว พั่วในทุกวันนี้ ผลแพ้ชนะไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแน่นอน เกรงว่าสิ่งเดียว ที่พอจะลุ้นได้ก็คือทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วจะส่งผู้ฝึ กกระบี่และผู้ฝึ ก ยุทธออกมาต่อสู้กี่คนก็เท่านั้น
เพ่ยเซียงพยักหน้า หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “นอกจากซานจวินของห้ามหาบรรพตน้อยใหญ่ในใต้หล้าแล้ว สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากทาง ราชสานัก และยังมีศาลเถื่อนในหมู่ชาวบ้านที่ควันธูปโชติช่วง ผู้ฝึก ตนอิสระที่โดดเด่น ภูตผีที่ค่อนข้างมีหวังจะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขต กลางต่างก็ถูกข้าจดลงไปในบันทึกเล่มนี้ทั้งหมดแล้ว อันที่จริงแคว้น หูของพวกเราก็ได้ส่งผู้ฝึ กตนท าเนียบห้าขอบเขตกลางเก้าคนให้ ออกไปจับตามองเรื่องนี้อย่างลับๆ โดยเฉพาะแล้วด้วย”
เฉินผิงอันรับสมุดที่ไม่บางเล่มนั้นมา ยิ้มเอ่ยว่า “ในนี้มีคุณ ความชอบของหอจิ้งหย่างอยู่ด้วยหรือไม่?”
เพ่ยเซียงกล่าวอย่างเหนียมอาย “รู ้อยู่แล้วเชียวว่าต้องปิดบังเจ้า ขุนเขาไม่ได้”
เฉินผิงอันเปิดหน้าแรกก็เห็นว่าถึงกับยังมีบทนาอยู่บทหนึ่ง ใน นั้นเขียนถึงการร่วมมือกันระหว่างแคว้นหูกับหอจิ้งหย่าง
เฉินผิงอันเงยหน้ามองเพ่ยเซียง เปิดไปหน้าที่สอง คือ “บทห้าม หาบรรพตน้อยใหญ่” เขาไม่ได้รีบร ้อนอ่านเนื้อหา แต่พลิกเปิดผ่าน ไปต่อ บทที่สองคือ “บทจักรพรรดิอัครเสนาบดี” ดูจากเนื้อหา โดยรวมของบทเปิ ด สี่คนแรกสุดได้แก่เว่ยเยี่ยนฮ่องเต้แคว้นหนัน เยวี่ยน ถังเถี่ยอี้แห่งแคว้นเป่ ยจิ้น นอกจากนี้ยังมีจักรพรรดิเด็กหนุ่ม ของแคว้นซงไล่ สกุลท่าป๋ ากระโจมทองเจ้าแห่งทุ่งหญ้าทางทิศเหนือ หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เปิดไปเจอ…บทสาวงามในโลกมนุษย์” ถึงกับ ยังมีภาพประกอบเป็ นภาพสตรีที่วาดด้วยลายพู่กันอย่างประณีตบน กระดาษลวดลายดอกไม้และนกที่สวยงามสอดแทรกเอาไว้ด้วย