กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1064.4 ที่เกินมาก็คือความอ่อนโยน
เพียงแค่เหลือบมองปราดๆ เฉินผิงอันก็เห็นสตรีหน้าตางดงามที่ สวมชุดแพรต่วนกระโปรงยาวสีเดียวคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งกลมปัก ลาย หันข้างให้คนมอง ในมือนางถือหนังสืออยู่ใต้พุ่มดอกไม้ ตรง พื้นที่ว่างของภาพวาดยังเขียนบทกวีไว้บทหนึ่ง จุดที่ทาให้เฉินผิงอัน จดจาได้ลึกซึ้งที่สุดก็คือนิ้วก้อยที่ตวัดงอนขึ้นซึ่งกาลังคืบหนังสือของ สตรีสวมปลอกนิ้วยาวส่องประกายแสงแวววาว มองดูแล้วไม่น่าจะใช่ ของธรรมดาทั่วไป
คาดว่าด้านหลังก็น่าจะมีบทความหัวข้อจาพวกบทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และตัวประหลาด บทเซียนเหรินหลอมลมปราณและบทผู้ฝึกยุทธใน ยุทธภพอยู่ด้วย เฉินผิงอันเปิดกลับมาที่หน้าสอง พูดเหมือนพึมพ า กับตัวเองว่า “ไม่รู ้ว่าจูเหลี่ยนสอนความรู ้อะไรไปให้บ้าง”
เพ่ยเซียงรู ้สึกเขินอายอีกครั้ง
บอกให้แคว้นหูร่วมมือกับหอจิ้งหย่าง เขียนเส้นหลักของ “เรื่องราว” ไว้ในบทน าให้ชัดเจน ส่วนบทความที่เป็ นเนื้อหาในช่วง หลักก็ให้แบ่งแยกเป็ นประเภท คือแผนการที่จูเหลี่ยนช่วยคิดให้จริงๆ
ชิวชิงกระชิบพูดคุยกับแม่นางเซี่ยที่ “แค่พบเจอก็ถูกชะตา’ พลาง เงี่ยหูตั้งใจฟังไปด้วยฟังเรื่องที่อิ่นกวานหนุ่มพูด รวมไปถึงน้าเสียง ยามพูดคุยของบุรุษชุดเขียว
่
หึ ไม่ใช่น้าเสียงที่เปี่ ยมล้นไปด้วยปราณสังหารอย่างที่นาง จินตนาการไว้เลย น้าเสียงของเขาทุ้มอบอุ่น พูดจาก็น่าฟังอย่างมาก
ส่วนหลัวฟูเม่ย นางก็ยิ่งเอาความคิดจิตใจทั้งหมดไปไว้ที่เซียน กระบี่เฉิน หนึ่งกลัวว่าอีกฝ่ ายจะรังเกียจที่น้าชาและผลไม้เชื่อม รสชาติจืดเกินไป อยู่ดีๆ ก็โพล่งคาว่า “เพิ่มอาหาร” อยากจะกิน อาหารคาวเนื้อนุ่มสดใหม่ขึ้นมา…นางอยู่ใกล้เขากว่าศิษย์น้องหญิง อีกนะ! อีกอย่างนางก็อยากรู ้มากด้วยว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่ไกลสุด ขอบฟ้ าประเภทนี้จะ…พูดคุยกับคนอื่นอย่างไร?
เหนือฟ้ ายังมีฟ้ า เหนือคนยังมีคน
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปยังจุดหนึ่งของม่านฟ้ า แล้วก็เริ่มยกมือ
นวดคลึงจุดไท่หยาง
ฉางมิ่งใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนใจกะทันหัน พวกเขายังไม่คิดจะมาที่แคว้นหูแห่งนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ตามใจพวกเขาเถอะ”
ที่แท้จูเหลี่ยนเปิ ดประตูใหญ่ของยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่ว กะทันหัน ให้คนนอกสองคนของภูเขาลั่วพั่วเข้ามาในพื้นที่มงคลราก บัว
ในฐานะผู้ดูแลใหญ่ จูเหลี่ยนกลับไม่ได้บอกกล่าวกับเจ้าขุนเขา อย่างเฉินผิงอันก่อน ทั้งไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้าแล้วก็ไม่ได้บอก หลังจากทาไปแล้ว นี่ไม่ใช่การกระทาที่ปกติเลย
่
จูเหลี่ยนนาทางพาคนนอกสองคนโดยสารเรือยันต์เดินทางมุ่ง หน้าไปยังอาณาเขตแคว้นหนันเยวี่ยนด้วยตัวเอง
เซี่ยโก่วเหลือบมองไปทางนั้น ถอนสายตากลับมาแล้วนางก็ใช ้ เสียงในใจถามอย่างใคร่รู ้ว่า “เจ้าขุนเขา ใครกัน วางท่ากร่างหยิ่งยโส ถึงเพียงนี้ ไม่คิดจะทักทายพวกเราสักคาเลยหรือ?”
พูดถึงแค่ตน จะดีจะชั่วทุกวันนี้ก็เป็ นผู้ถวายงานอันดับรองของ ภูเขาลั่วพั่วแล้ว คราวหน้าที่เข้าร่วมการประชุมศาลบรรพจารย์ของ ยอดเขาจี้เซ่อก็คือขุนนางใหญ่ที่ได้นั่งแถวหน้า!
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คือสหาย”
ฉางมิ่งอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “คือเจ้าสานักคนปัจจุบันของสานัก กระบี่หลงเฉวียนหลิวเสี้ยนหยาง และยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของ อาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาว กู้ช่านพวกเขาต่างก็เป็ นสหายรัก ที่บ้านเกิดของคุณชาย เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต”
เซี่ยโก่วพยักหน้า มิน่าเล่า…ไม่ถูกสิ ต่อให้จะเป็ นสหายรักแค่ ไหน ถึงอย่างไรก็เป็ นแขกของภูเขาลั่วพั่ว ท าไมอาจารย์จูถึงไม่บอก กล่าวกับเจ้าขุนเขาของพวกเราสักค า
ฉางมิ่งจึงได้แต่อธิบายเพิ่มเติมว่า “พวกเขาเป็ นเหมือนพี่น้อง แท้ๆ ของเจ้าขุนเขา”
เฉินผิงอันรู ้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่บ้าง “ฉางมิ่ง หากหลิว เสี้ยนหยางทาเรื่องอะไรที่เกินกว่าเหตุอยู่ที่นี่ หลังจากนี้ก็ให้คิดบัญชี
่
ลงมาบนหัวของข้าแล้วกัน เอาเป็ นว่าท าไปตามกฎระเบียบที่บ้านเรา ก าหนดไว้”
เซี่ยโก่วจุ๊ปาก ก่อนหน้านี้เจ้าขุนเขาเรียกขานคาแล้วคาเล่าว่า สหายฉางมิ่ง เวลานี้ท าไมไม่เติมค าว่าสหายมาด้วย หรือไม่เรียกผู้คุม กฏแล้วล่ะ?
ฉางมิ่งยิ้มตาหยี พูดด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าขุนเขา ข้ารู ้แค่ ว่าจูเหลี่ยนมาที่พื้นที่มงคล ไม่รู ้สักหน่อยว่ามีคนนอกบุกเข้ามาที่นี่ ด้วย”
เซี่ยโก๋วยังคงส่งเสียงจุ๊ปากรัวๆ โอ้ย เปรี้ยวฝาดนัก
ไม่เรียกคุณชาย แต่เรียกเจ้าขุนเขา นี่ไม่ใช่การเบียดบัง ผลประโยชน์ส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนแล้วจะเรียกว่าอะไร
จูเหลี่ยนบังคับเรือยันต์ลาหนึ่งให้มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวง แคว้นหนันเยวี่ยน กู้ช่านใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะเสียงเย็นชา “เจ้านี่ไม่ทาตัวห่างเหินเลยนะ”
“กับเฉินผิงอันจะต้องท าตัวห่างเหินไปไย”
กู้ช่านไม่ได้เอ่ยอะไร
ข้าก็เคยท าตัวไม่ห่างเหินกับเขาเหมือนกัน
่
หลิวเสี้ยนหยางจงใจสาดเกลือลงบนบาดแผล ยิ้มเอ่ยว่า “นี่จะ เหมือนกันได้หรือ? เจ้าคือแมลงตามกันเฉินผิงอัน เขาคือแมลงตาม ก้นของข้า”
กู้ช่านกระตุกมุมปาก “แมลงตามกัน คากล่าวนี้ดี เจ้าก็คือกัน” หลิวเสี้ยนหยางยื่นฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมา “เจ้าขี้มูกยึด รีบดมเร็ว
เข้า ผายลมนี้ของข้ามีกลิ่นอึติดมาด้วยหรือไม่”
กู้ช่านปัดแขนที่หลิวเสี้ยนหยางยื่นมาหาทิ้งไป จูเหลี่ยนหัวเราะ
หากมีแค่กู้ช่าน คิดอยากจะเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัว แน่นอน ว่าไม่มีปัญหา แต่จูเหลี่ยนจะต้องบอกกล่าวกับคุณชายสักคา
แต่ในเมื่อข้างกายกู้ช่านมีหลิวเสี้ยนหยางอยู่ด้วยก็ไม่จาเป็ นต้อง บอกแล้ว
หากจะบอกว่าใต้หล้านี้มีใครที่สามารถทาให้คุณชายของตน โดนตีแล้วไม่เอาคืน โดนด่าไม่ด่าตอบ เกรงว่านอกจากฮูหยินเจ้า ขุนเขาแล้วก็คงมีแค่หลิวเสี้ยนหยางเท่านั้น
น้อยครั้งนักที่จูเหลี่ยนจะรู ้สึกว่าคุณชายของตัวเองโชคดี
มีเพียงการที่ได้รู ้จักกับหลิวเสี้ยนหยางแต่เนิ่นๆ เท่านั้นที่ทาให้จู เหลี่ยนรู ้สึกจากใจจริงว่าคุณชายของตนช่างโชคดี ถึงขั้นที่จูเหลี่ยน ยังรู ้สึกด้วยว่า ขาดใครไป คุณชายก็จะยังคงเป็ นคุณชายอย่างในทุก
่
วันนี้ มีเพียงขาดหลิวเสี้ยนหยางบนเส้นทางชีวิตในวัยเด็กหนุ่ม เท่านั้นที่ยากมากที่คุณชายจะประสบผลสาเร็จอย่างในทุกวันนี้ได้
ก่อนจะมาที่ภูเขาลั่วพั่ว กู้ช่านไม่ได้ไปที่ยอดเขาโหยวอี๋ของ สานักกระบี่หลงเฉวียน แต่ไปที่อาณาเขตของขุนเขาป๋ ายเยว่เก่า ตอนที่สตรีสองคนเดินเล่นกันอยู่ที่ท่าเรือตระกูลเซียนพวกเขาก็ไปดื่ม เหล้าที่เหลาสุรามาด้วยกันมื้อหนึ่ง ผลคือพอแยกว่าที่ภรรยาและสาว ใช ้ข้างกายออกไปได้ หลิวเสี้ยนหยางก็บอกว่ามีธุระกะทันหัน กู้ช่า นจึงให้สาวใช ้หลิงเยี่ยนอยู่เป็ นเพื่อนแม่นางอวี๋
บนโต๊ะสุรา หลิวเสี้ยนหยางกล่าวโทษตัวเองด้วยสีหน้าไม่พอใจ บอกว่ากู้ช่านอ่า พี่ชายใกล้จะได้แต่งงานแล้ว ยังไม่เคยดื่มเหล้าเคล้า นารีเลยสักครั้ง ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าชู้อะไรหรอกนะ พี่ชายไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรประสบการณ์ก็ยังตื้นเขินเกินไป รอให้ผ่านไปอีกไม่กี่ วันก็ต้องจัดงานเลี้ยงสุราแต่งงานมีภรรยาแล้ว ด้วยนิสัยของข้าก็ยิ่ง ต้องส ารวมกายใจ…
กู้ช่านไม่พูดอะไรสักคา เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว
หลิวเสี้ยนหยางยังคงระบายความทุกข์ไม่หยุด ต่างก็พูดกันว่า เดินผ่านพุ่มกอร ้อยบุปผา ใบไม้สักใบไม่ติดกาย แต่ในใจของพี่ชาย ช่างขมขื่นนัก ไม่เหมือนกับเจ้าและเฉินผิงอันเจ้าอยู่บนเกาะชิงเสีย ทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีสตรีรายล้อมมากมายเคยได้เห็นโลกกว้างมา ตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้ว เขาเฉินผิงอันก็ออกท่องยุทธภพ ไม่พูดว่าอิง แอบแนบกายอยู่ในกองสาวงามแต่เทพธิดา จอมยุทธหญิง เขาได้เจอ
่
น้อยนักหรือ? ต่อให้แย่แค่ไหนก็ยังได้เจอภูตจิ้งจอกผีสาวงามบ่อยๆ แล้วลองมาดูข้าสิ คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย ออก จากบ้านทีก็คือการข้ามทวีปไปศึกษาต่อ พอไปถึงสกุลเฉินผู้รอบรู ้ที่ ถูกขนานนามว่าเป็ นแหล่งรวบรวม ผู้ประสบความสาเร็จแห่งนั้น สิ่งที่ ได้สัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหากไม่ใช่ตาราอริยะปราชญ์ก็ต้องเป็ น วิญญูชนนักปราชญ์ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเที่ยงตรง ไม่รู ้ โดยซ้าว่าคาว่าพุ่มบุปผาในโลกมนุษย์คืออะไร
กู้ช่านร าคาญอีกฝ่ ายมากแล้วจึงพูดว่าข้าจะพาเจ้าไปหอโคม เขียว แล้วยังจะเลี้ยงเหล้าเคล้านารีเจ้าด้วย หรือจะให้ข้าเลี้ยงเหล้า เคล้านารีเจ้าที่หอโคมเขียวโดยตรง เจ้าเลือกมาสักอย่างสิ
บอกว่าจะไปก็ไปจริงๆ
พวกเขาสองคนตรงดิ่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
ดื่มเหล้าเคล้านารีก็ไม่ควรต้องไปหาเศรษฐีบ้านนอกกับคน หลอกง่ายสักคนหรอกหรือ
หลอกคนนอก นั่นเรียกว่าไร ้คุณธรรมในยุทธภพ แต่หากหลอก สหายของตัวเอง ขอแค่มีภาระทางใจแม้เพียงเศษเสี้ยวก็แสดงว่าเจ้า ส านักหลิวของพวกเราไม่เห็นอีกฝ่ายเป็ นสหายมากพอ
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช ้าว่า “การประชุมของทะเลสาบชิวซี่พรุ่งนี้ ทางฝั่งภูเขาลัวพัวของพวกเรา หลักๆ แล้วมีสองเรื่องที่ต้องการพูดคุย กับพวกเกาจวินอย่างเปิดเผย เรื่องแรก “บนภูเขา” จะมีการตั้งกฎสอง
่
สามข้อเพื่อขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนให้กับภูเขาสายน้า มนุษย์ธรรมดา และโลกมืดโลกสว่างของใต้หล้าแห่งนี้ในเวลาเดียวกัน ส่วน รายละเอียดอย่างเป็ นรูปธรรมพรุ่งนี้รอให้พวกเขาพูดกันให้จบก่อน แล้วข้าค่อยเจรจาอย่างละเอียด”
“ข้อสอง ช่วยให้ราชสานักของแต่ละแคว้นก่อตั้งสานักโหรหลวง
เพื่อถ่ายทอดวิชามองลมปราณ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หยิบถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา คือภาชนะตระกูลเซียนที่ราคาไม่ธรรมดา เขาจิบน้าชาหนึ่งอีก ใช ้ฝ่ า มือรองถ้วยชาเอาไว้ “ใต้หล้านี้ไม่มีกาแพงใดที่ไร ้ลม ราชสานักที่ได้ เรียนรู ้ศาสตร ์แห่งการมองลมปราณจะต้องแพร่งพรายให้ภายนอกรู ้ แน่นอน อยู่แค่ว่าจะช ้าหรือเร็วเท่านั้น เชื่อว่าอีกเดี๋ยวสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่ง ภูเขาสายน้าก็จะเป็ นวิชาอภินิหารบทนี้ พวกเขารู ้แล้ว ตลอดทั้งใต้ หล้าก็ต้องรู ้ด้วย เพียงแต่ว่าธรณีประตูของวิชานี้ค่อนข้างสูง จึงไม่ ต้องกังวลว่าคนทั้งใต้หล้าจะใช ้กันพร่าเพื่อ”
ผู้คุมกฏฉางมิ่งเห็นว่าเจ้าขุนเขาไม่พูดต่อ นางก็ช่วยอธิบายแทน ว่า “ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ขอแค่ขอบเขตยิ่งสูงก็ยิ่งง่าย ที่จะถูกผู้ฝึ กลมปราณของสานักโหรหลวงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ค้นพบ ร่องรอย แน่นอนว่าผู้ฝึ กลมปราณจะต้องศึกษาวิชาคาถาประเภท ต่างๆ ที่ใช ้สาหรับเก็บซ่อนลมปราณได้แน่นอน แต่ขอแค่ลงมือต่อสู้ กับใครอย่างจริงจังในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ยิ่งวิธีการที่ผู้ฝึ ก
่
ลมปราณเอาออกมาใช ้รุนแรงเท่าไร ปณิธานหมัดที่ผู้ฝึกยุทธแสดง ออกมาสูงเท่าไร ทั้งสองฝ่ายก็จะยิ่งปิดบังร่องรอยได้ยากมากเท่านั้น”
ยกตัวอย่างเช่นพรรคหูซานมีผู้ฝึกลมปราณหกคน สองคนใน นั้นเก็บซ่อนฝีมือไว้อย่างลึกล้า หากไม่เป็ นเพราะตอนนั้นเฉินผิงอัน มาเยือนพรรคหูชานแล้วพูดแพร่งพรายความลับสวรรค์ออกไป เกรง ว่าเกาจวินที่เป็ นเจ้าประมุขก็คงถูกปิ ดหูปิ ดตาไปตลอด ผู้ฝึ ก ลมปราณที่ท าตัวลับๆ ล่อๆ สองคนนั้น ถือว่าเป็ นหมากสองเม็ดที่อวี๋ เจินอี้ทิ้งไว้ในพรรคหูซาน คนหนึ่งในนั้นก็คือเฉิงหยวนซานอดีตหนึ่ง ในสิบคนของใต้หล้า เป็ นเหตุให้ไม่ว่าจะเป็ นจ านวนของผู้ฝึ ก ลมปราณหรือขอบเขตโดยเฉลี่ย พรรคหูซานก็ถือว่าเป็ นอันดับหนึ่ง ในใต้หล้าได้อย่างสมชื่อ
และคิดดูแล้วผู้ฝึ กลมปราณที่ใจคิดแต่อยากจะได้รับอิสระ ยิ่งใหญ่อย่างเฉิงหยวนซานก็คงไม่ยินดีจะให้โลกมนุษย์มีนักมอง ลมปราณปรากฏขึ้นมา
“การทาเช่นนี้ของเจ้าขุนเขาไม่ได้ป้ องกันความแค้นส่วนตัว สารพัดรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นบนภูเขา แต่เพื่อป้ องกันไม่ให้ผู้ฝึ ก ลมปราณและปรมาจารย์วิถีวรยุทธเข้าร่วมสนามรบมากเกินไป สังหารคนอย่างก าเริบเสิบสานมากเกินไป เพราะถึงอย่างไรเซียนซือ ในท้องถิ่นก็ยังไม่รู ้ถึงผลกระทบอันลึกล้าที่ผลกรรมในโลกโลกีย์มีต่อ จิตแห่งมรรคาและบุญกุศลคุณความดี เพียงแค่พลิกภูเขาคว่า มหาสมุทรง่ายๆ วิชาคาถาดุจดั่งสายฝน ทุบทาลายทหารสวมเสื้อ
่
เกราะบนสนามรบอย่างโอหัง คนบาดเจ็บล้มตายไปนับไม่ถ้วน หรือ ใช ้วิชาอภินิหารลับสร ้างวิธีการที่มองดูคล้ายเป็ น “ภัยจากธรรมชาติ” แต่แท้จริงกลับเป็ นฝีมือมนุษย์ขึ้นมานอกสนามรบ ยกตัวอย่างเช่น โรคระบาด ภัยแล้ง น้าท่วม ฯลฯ และยังมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ใน อนาคตยิ่งนานก็จะยิ่งเลื่อนเป็ นขอบเขตสามหลอมจิตวิญญาณกัน ได้เยอะขึ้น เอะอะก็กลายเป็ นศัตรูของคนนับหมื่นบนสนามรบ อันที่ จริงหากเป็ นอย่างนี้ยังดี เพราะถึงอย่างไรโชคชะตาแคว้นในใต้หล้าก็ มักจะตัดสินกันด้วยชะตาบู๊อยู่แล้ว กลัวก็แต่ว่าปรมาจารย์พวกนี้จะไป สร ้างเรื่องก่อคดีนอกสนามรบ แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นอื่น หรือไม่ก็เมืองหน้าด่านที่สาคัญ ตัดหัวจักรพรรดิและแม่ทัพบู๊ที่เป็ น ศัตรูตามอ าเภอใจ พอท าส าเร็จก็จากไปอย่างไร ้ร่องรอย”
“ดังนั้นเมื่อราชสานักของแต่ละแคว้นมีสานักโหรหลวงที่ เชี่ยวชาญการมองลมปราณก็จะสามารถป้ องกันและวางแผนรับมือ กับภัยแฝงพวกนี้ได้ ต่อให้ตอนที่เกิดเหตุจะไม่อาจขัดขวางได้ แต่ หลังจบเรื่องก็ยังสามารถสืบเสาะและแก้แค้นได้ ต่อให้เป็ นบนสนามรบ ที่สองกองทัพคุมเชิงกันก็สามารถทาการแลกเปลี่ยนคล้ายการ “แลก ตัวหมาก” ต่อกันได้ อาศัยกองก าลังแคว้นและทางหนีทีไล่ของแต่ละ ฝ่ ายมาผลัดกันรุกผลัดกันรับ แน่นอนว่าต่อให้ท าเช่นนี้ก็ยังไม่ สามารถระงับสงครามที่จะโน้มเอียงไปด้านเดียวเพราะพลังพิฆาตที่ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถท าให้ผู้ฝึ ก ลมปราณที่มองทหารสวมเสื้อเกราะเป็ นมดตัวน้อยและปรมาจารย์
่
วิถีวรยุทธ ์ที่ลาพองใจคิดว่าตัวเองไร ้ศัตรูเทียมทานจาต้องระมัดระวัง คอยเตือนตัวเองว่าอย่าให้ทุกอย่างที่ทามาต้องสูญเปล่า ไม่ทันระวัง กลายไปเป็ นคุณความชอบด้านการสู้รบของเพื่อนร่วมอาชีพบางคน ที่หลบอยู่ด้านหลัง หลังจากนั้นต้องกายดับมรรคาสลาย หัวหล่นร่วง ลงพื้น”
เพ่ยเซียงคิดหาคาพูดอย่างระมัดระวัง ร่างคาที่ตัวเองจะเอ่ยไว้ใน ใจคร่าวๆ ก่อนแล้วถึงได้ถามเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขา ผู้คุมกฏ ข้อบังคับในการฝึกตนที่ใต้หล้าไพศาลมีต่อผู้ครองแคว้นของที่นั่น ทางฝั่งของพื้นที่มงคลก็ต้องทาตามด้วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันปิดสมุดเล่มนั้นลง เอ่ยว่า “เรื่องนี้ยังไม่ได้คิดให้ดี”
หันหน้าไปมองลูกศิษย์ เฉินผิงอันชูสมุดในมือขึ้น ยิ้มถามว่า “จะ เอาไปอ่านเป็ นนิยายดูไหม?”
กวอจู๋จิ่วที่อยู่ด้านข้างยกสองเท้าขึ้น ใช ้รองเท้าผ้าเคาะกันเบาๆ ได้ยินค าถามของอาจารย์พ่อก็รีบโบกมือปฏิเสธ
เฉินผิงอันจึงสอดสมุดไว้ในชายแขนเสื้อ เงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ ก็ ถามว่า “เพ่ยเซียง เจ้าว่าพวกเขาจะมองพวกเราอย่างไร?”
เซี่ยโก่วที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้นานแล้วยกสองแขนกอดอก หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ยึดคอยาวแหงนหน้ามองฟ้ าน่ะสิ”
ถึงอย่างไรก็เป็ นแค่พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งเท่านั้น เป็ นระดับสูงแล้ว อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้เป็ นอย่างใต้หล้าห้าสี ทางที่ดีที่สุดคือ
่
เป็ นอย่างใต้หล้ามืดสลัวที่ได้ครอบครองป๋ ายอวี้จิง เซี่ยโก่วถึงจะรู ้สึก ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะทาให้อีกฝ่ายรู ้ว่าตนคือผู้ฝึกกระบี่
กวอจู๋จิ่วลังเลเล็กน้อย ถามว่า “อาจารย์พ่อ ท่านตื่นเต้นหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ตื่นเต้นอยู่บ้าง”
กวอจู๋จิ่วถาม “เทียบกับการประชุมครั้งแรกที่เรือนชุนฟานภูเขา ห้อยหัวในปีนั้นล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “น่าจะตื่นเต้นพอๆ กันกระมัง ตื่นเต้นก็ส่วน ตื่นเต้น อันที่จริงถือว่ายังดี”
กวอจู๋จิ่วเอามือข้างหนึ่งตบแขนอาจารย์พ่อเบาๆ มืออีกข้างชู หมัดโบกอย่างแรง “อาจารย์พ่อ ไม่ต้องตื่นเต้น ท่านคือคนที่ร ้ายกาจ ที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มจนตาหยี พยักหน้ารับเบาๆ “มีเหตุผล มีเหตุผล”
เพ่ยเซียงไม่เข้าใจเลยสักนิด นางไม่อาจเข้าใจได้ ลูกศิษย์สอง คนของนางก็ยิ่งฟังไม่เข้าใจ ถึงขั้นที่เริ่มหวาดกลัว หรือว่าเฉินผิงอัน ผู้นี้เตรียมจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่แล้ว?
สัมผัสได้และเดาออกถึงสภาพจิตใจของลูกศิษย์ทั้งสอง เพ่ ยเซียงก็ไม่รู ้ว่าโทสะผุดมาจากไหน ใช ้เสียงในใจตวาดดู “อย่าคิด อะไรเหลวไหล!”
ฉางมิ่งยิ้มตาหยี
่
บุรุษที่อยู่ข้างกายกังวลว่าสรรพชีวิตที่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้จะมี ชีวิตที่ไม่ดี
ในสายตาของนาง แน่นอนว่าเป็ นคุณชายบ้านตนที่คิดมาก เกินไปกังวลเกินไป สิ่งที่เขาคิดไม่จ าเป็ นต้องหนักหน่วงขนาดนี้ สิ่งที่ ติดอยู่ในใจก็ไม่จาเป็ นต้องมากมายขนาดนี้ ไม่จาเป็ นต้องมีสิ่งที่เกิน
ความจาเป็ นขนาดนี้เลย
แต่ก็เพราะเป็ นเช่นนี้ สิ่งที่เกินมาถึงได้เป็ นความอ่อนโยน