กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1065.1 ทั้งกระบี่และกวี ป๋ ายเหย่ล้วนไร ้เทียมทาน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1065.1 ทั้งกระบี่และกวี ป๋ ายเหย่ล้วนไร ้เทียมทาน
ป๋ ายเหย่ติดตามหลิวสือลิ่วมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ไม่ไปไหนอีก ต่อให้เว่ยป้ อจะมาเชื้อเชิญถึงที่ ป๋ ายเหย่ก็คร ้านจะเปิดปากพูดถ้อยค า ตามมารยาท เขาเพียงแค่ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย นี่ก็คือคาสั่ง ไล่แขกที่ชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว เว่ยซานจวินที่อีกเดี๋ยวก็จะได้รับฉายา เทพว่า “เย่โหยว” จึงรีบขอตัวลากลับไปทันที ไม่กล้าอยู่รบกวนการ ฝึ กตนของผู้ที่เป็ นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ท่านนี้แม้แต่ น้อย
ต่อให้จะรู ้ว่าทุกวันนี้อาจารย์ใหญ่ผู้นาของสิบศิษย์เอกแห่งศาลบุ๋ นอยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋น ป๋ ายเหย่ที่พักอยู่ในเรือนบนภูเขาลั่วพั่วก็ยังเก็บตัว เงียบไม่ออกไปไหน มีแค่บางครั้งที่จะไปเดินเล่นบนยอดเขาซึ่งเป็ น ที่ตั้งของศาลเทพภูเขาเก่าเพื่อชมทิวทัศน์ มองดูดวงตะวันขึ้นทาง ทะเลบูรพาแล้วหายลับไปทางภูเขาตะวันตก
ไม่รู ้ว่าเหตุใด ป๋ ายเหย่มักจะได้เจอกับแม่นางน้อยชุดด าท่าทาง ประหลาดคนนั้นอยู่เสมอ แต่แม่นางน้อยที่ว่ากันว่าเป็ นผู้พิทักษ์ขวา ของภูเขาลั่วพั่วกลับไม่เคยขยับเข้ามาพูดคุยกับเขา นางจะแค่ยืนอยู่ ห่างๆ สะพายกระเป๋ าผ้าฝ้ ายใบนั้นของนาง ครั้งแรกด้วยมารยาท แน่นอนว่ายิ่งเป็ นเพราะเห็นแก่หน้าของสหายรักจวินเชี่ยน ป๋ ายเหย่ ถึงได้เอ่ยทักทายโจวหมี่ลี่ แม่นางน้อยเม้มปากยิ้ม พยักหน้ารับแรงๆ
กอดไม้เท้าไม้ไผ่เขียวและคานหาบสีทองไว้ในอ้อมอก มือน้อยก า เชือกของกระเป๋ าสะพายเอาไว้แน่น
ป๋ ายเหย่คิดว่าจะเอาแต่ตาใหญ่มองตาเล็กอยู่กับแม่นางน้อยไป ตลอดคงไม่ดีจึงเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ เห็นว่านางยังคงไม่พูดอะไร ป๋ าย เหย่จึงหันไปชมภาพก้อนเมฆสีแดงดุจเปลวเพลิงบนขอบฟ้ าของ
ตัวเองต่อไป
ฟังเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง แม่นางน้อยย่องจากไปเงียบๆ แล้ว พอไปถึงที่ขั้นบันไดเส้นทางเทพก็เริ่มวิ่งเหยาะๆ รอกระทั่งวิ่งจากไป ไกลแล้วถึงได้ชักเท้าออกวิ่งเร็วรี่
ครั้งที่สองที่ได้เจอแม่นางน้อยคือตอนเช ้าที่ขอบฟ้ าเป็ นสีขาว พุงปลา เป็ นป๋ ายเหย่ที่มาถึงเร็ว แม่นางน้อยมาถึงช ้ากว่าครู่หนึ่ง
ป๋ ายเหย่จึงหันมายิ้มถามว่า หมี่ลี่น้อย มีธุระหรือไม่?
แม่นางน้อยส่ายหน้า เกาแก้มรอกระทั่งป๋ ายเหย่หมุนตัวกลับไป ยืนพิงราวรั้ว นางก็วิ่งจากไปอีกครั้ง
ครั้งที่สาม ป๋ ายเหย่หันไปมองก็เห็นแผ่นหลังเล็กบอบบางนั่งอยู่ ตรงขั้นบันไดเงียบๆ ป๋ ายเหย่ก็ยิ่งมึนงงไม่เข้าใจ
รอกระทั่งครั้งที่สี่ ดูเหมือนแม่นางน้อยจะจงใจอ้อมเส้นทางไปไกล เลือกเส้นทางสายเล็กของยอดเขาจี๋หลิงไปถึงภูเขาด้านหลังของยอด เขาจี้เซ่อก่อน จากนั้นก็วิ่งตะบึงขึ้นภูเขามาอย่างว่องไว แล้วจึงมา หลบอยู่ที่ศาลเทพภูเขาเก่า นางไม่ได้โผล่หน้าออกมา ตั้งแต่ต้นจน
จบเพียงแค่นั่งยองอยู่ที่เดิม แล้วก็ไม่เคยโผล่มาให้ป๋ ายเหย่เห็น รอ กระทั่งป๋ ายเหย่เดินลงจากยอดเขาไปแล้วถึงได้สังเกตเห็นว่าแม่นาง น้อยแอบอ้อมผ่านสิ่งปลูกสร ้างแห่งนั้นมา วางไม้เท้าไม้ไผ่เขียวและ คานหาบสีทองเอนพิงรั้วเอาไว้ ส่วนตัวนางปืนขึ้นไปบนรั้วแล้วเริ่ม แทะเมล็ดแตงของตัวเองไป
ป๋ ายเหย่ที่เดินอยู่บนเส้นทางมึนงงไปอย่างสิ้นเชิง นี่ตนถูกแม่นาง น้อยคนหนึ่งมาเฝ้ าตอรอกระต่ายถึงสี่ครั้งติดกันเลยหรือ?
ปัญหาก็คือจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู ้ว่าแม่นางน้อยอยากพูดอะไร หรืออยากท าอะไรกันแน่
เป็ นเหตุให้คนที่ไม่แยแสสิ่งใดอย่างป๋ ายเหย่ พอไปถึงที่พักกลาง ภูเขา หลังจากสองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ก็ไปหาสหายรักจวินเชี่ยนที่ เรือนหลังติดกันเพื่อขอคาชี้แนะ ถามว่าทาไมหมี่ลี่น้อยถึงทาเช่นนี้?
หากจะบอกว่าแม่นางน้อยอยากจะขอเทียบอักษรผลงานจริงแทน ใคร หรือมีใครอยากจะขอให้สอนเวทกระบี่ อันที่จริงก็ไม่ได้เป็ น ปัญหาอะไร เพราะถึงอย่างไรตนก็เป็ นแขกอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว
จวินเชี่ยนหัวเราะเสียงดังลั่น ช่วยไขข้อข้องใจให้กับเพื่อนรัก ที่ แท้ก่อนหน้านี้เขาได้บอกกับหมี่ลี่น้อยไปว่าป๋ ายเหย่สหายรักของข้า คนนั้นรู ้สึกว่าปลาน้อยตากแห้งที่ได้ชิมตอนอยู่ตรงตีนเขารสชาติดี เยี่ยม แต่เจ้าคนนี้เป็ นคนหน้าบาง ไม่กล้าเปิดปากขอเอาจากภูเขาลั่ว พั่ว รู ้สึกว่าเป็ นการลดเกียรติเกินไป บวกกับที่เจ้ามีนิสัยแปลกแยก
พูดไม่เก่ง เวลาปกติก็มักจะชอบตีหน้าเคร่ง ใครเห็นก็รู ้สึกว่าดุมาก แม้กระทั่งเว่ยซานจวินก็ยังถูกใบหน้าเย็นชาของเจ้าท าให้ตกใจเผ่น หนีไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าคนนี้ไม่ยินดีจะติดค้างน้าใจใคร แม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้น
แม่นางน้อยจึงได้แต่ปลุกความกล้า แสร ้งท าเป็ นว่าบังเอิญเจอกับ เจ้า นางอยากจะคิดหาวิธีเชื้อเชิญให้เจ้ากินปลาเล็กตากแห้ง แค่นี้ เท่านั้น
ภายหลังนางกลัวว่าจะไปรบกวนการชมทัศนียภาพของเจ้า ก็ เลยไปนั่งที่ขั้นบันไดสุดท้ายก็ไม่กล้ามาเจอเจ้า ทั้งอยากจะมาพูดคุย ตีสนิทเจ้า แต่ก็กลัวด้วยว่าตัวเองจะเดือดร ้อนท าให้เจ้ารู ้สึกอคติต่อ เจ้าขุนเขาคนดีและภูเขาลั่วพั่ว
คิดถึงท่าทางของแม่นางน้อยชุดดาที่ขมวดคิ้วน้อยๆ พอตนหัน ไปมองนางก็จะเม้มปากยิ้ม กาเชือกของกระเป๋ าผ้าฝ้ ายสะพายไหล่ เอาไว้แน่น
สีหน้าและแววตาของเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือก็อ่อนโยนละมุน ลง
หลิวสือลิ่วตบหมวกหัวเสือของสหายรัก พูดบ่นว่า “ป๋ ายเหย่ หนอป๋ ายเหย่ เจ้าเอาแต่รู ้สึกว่าคนบนโลกมนุษย์ต้องมีสิ่งที่ต้องการ เสมอ ครั้งนี้เป็ นเจ้าที่คิดผิดไปแล้วสินะ”
แต่เรื่องราวทางโลกก็มักจะแปลกประหลาดเช่นนี้ รอประทั่งป๋ าย เหย่อยากจะเป็ นกระต่ายที่ถูกเฝ้ าตอรอ วันนี้แม่นางน้อยกลับเอาแต่ ลาดตระเวนเช ้าค่าสองรอบเท่านั้น จากนั้นก็ไปคุยเล่นกับนักพรต เซียนเว่ยแก้เบื่อที่หน้าประตูภูเขา หรือไม่ก็แวะไปหาพ่อครัวเฒ่านั่ง ยองมองดูพ่อครัวเฒ่าสานที่ตักผงด้วยมือไม้ที่คล่องแคล่วฝีมือประณี ติ มองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ จากนั้นพอถึงเวลาขานชื่อก็ไปอยู่เป็ นเพื่อนเจ้า ขุนเขาคนดีที่อ่านตารากับพี่หญิงหน่วนซู่ที่ทางานเย็บปักถักร ้อย หมี่ ลี่น้อยรับผิดชอบแค่นั่งเหม่อ นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในระเบียงนอนฟุบ คว่ามองเมฆขาวนอกภูเขาที่มาเยือนแล้วก็จากไป คอยช่วยตั้งฉายา ให้พวกมันอยู่ในใจ
วันนี้งานลาดตระเวนครั้งที่สองเสร็จสิ้นลง งานใหญ่สาเร็จลุล่วง ลงด้วยดี ก็แค่ต้องนอนหลับให้ดี รอคอยสหายรักของตนที่มีชื่อว่า “พรุ่งนี้” มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญอีกครั้ง
ตอนที่หมี่ลิ่น้อยเดินผ่านขั้นบันไดเส้นทางเทพของยอดเขาจี้เซ่อ นางชะลอฝี เท้า เงยหน้ามองไปยังยอดเขา สองจิตสองใจอยู่นาน สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิด
หากไปที่นั่นอีกก็จะดูว่านางทาอะไรไร ้ประสบการณ์ ไม่แน่ว่าวัน หน้าอาจารย์ป๋ ายอาจจะร าคาญจนไม่อยากออกมาชมทัศนียภาพ ข้างนอกอีกก็เป็ นได้
หมี่ลี่น้อยแบกคานหาบอันเล็กไว้บนบ่า ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่ เขียว เดินอาดๆ จากไปไม่เป็ นไร ยังคงอารมณ์ดีมากกว่าอัดอั้น กอง
กาลังของ “อัดอั้น” มีน้อยเกินไป กองกาลังของ “อารมณ์ดี” แข็งแกร่งกว่า พวกความอัดอั้นก็ได้แต่แอบโยนหมวกเหล็กถอดเสื้อ เกราะไปเท่านั้น น่าสงสารยิ่งนัก กองทัพพ่ายแพ้ดุจภูเขาพังถล่ม!
เพราะถึงอย่างไรนั่นก็คืออาจารย์ป๋ ายในตานานเชียวนะ เมื่อก่อน ตนผมยาวความรู ้สั้นมีความรู ้แค่หางอึ่ง ดูท่าคงถึงเวลาที่ต้องขอยืม
“รวมเล่มคนผ่านทาง” จากจึงชิงมาอ่านเสียแล้ว
เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเหตุใดอาจารย์ป๋ ายถึงได้ถูกเรียกว่า “ผู้ที่ ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์” เรื่องนี้แม้กระทั่งเจ้าขุนเขาคนดีก็ยัง อธิบายไม่ได้
หมี่ลี่น้อยคิดแล้วก็หันไปมองที่ยอดเขา ทันใดนั้นความคิดดีๆ ก็ บังเกิด นางไม่ได้รีบร ้อนกลับไปที่เรือนพักของตน แต่วิ่งตะบึงไป จนถึงตีนเขา
นางยกเก้าอี้มานั่งลงข้างกายนักพรตเซียนเว่ย ขยับเก้าอี้เบี่ยง หันข้างเล็กน้อย เพื่อที่จะได้ใช ้หางตาเหลือบมองความเคลื่อนไหวบน ยอดเขาได้สะดวก
ทุกครั้งที่อาจารย์ป๋ ายลงมาจากภูเขาล้วนจะต้องเดินด้วยฝีเท้าที่ ไม่รีบไม่ร ้อน ถ้าอย่างนั้นเมื่อถึงเวลาตนก็แค่ ตนก็แค่เพิ่มแรงเดินก้าว เร็วๆ ราวกับบิน สามก้าวเดินแค่สองก้าวคาดว่าก็น่าจะบังเอิญไปเจอ กันที่เส้นทางภูเขาที่ทอดยาวสู่ที่พักพอดี เป็ นแผนที่ดีจริงๆ ต ารา พิชัยยุทธที่อ่านมาไม่ได้เสียเปล่า สามสิบหกกลยุทธ การหนีคือกล
ยุทธ ์อันเฉียบขาดเรียนปุ๊ บก็เอามาใช ้ได้ปั้บ! ยอดเยี่ยมไร ้รอยต่อ ไม่ เผยร่องรอย!
เซียนเว่ยสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงยิ้มถามว่า “ผู้พิทักษ์ขวา มองอะไรหรือ”
หมี่ลี่น้อยเอ่ยอย่างเขินอาย “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
เซียนเว่ยกลัวว่านางนั่งอยู่ตรงนี้แล้วจะเบื่อจึงชวนหมี่ลี่น้อยคุย เรื่องโน้นเรื่องนี้ หมี่ลี่น้อยฟังอย่างเพลิดเพลิน รอกระทั่งนางคืนสติ กลับมา หันไปมองตรงเส้นทางวิถีเทพสายนั้นแย่แล้ว เห็นเพียงว่า อาจารย์ป๋ ายเดินลงจากยอดเขามาแล้ว ร่างของเขาก าลังเดินแยกไป ยังทางที่ตรงไปที่เรือนแล้ว
แม่นางน้อยย่นจมูก เอ่ยเสียงเบาอย่างน้อยใจว่า “นักพรตเซียน เว่ยหนอ ท่านถ่วงรั้งงานใหญ่ของข้าแล้ว”
เซียนเว่ยถามอย่างตื่นเต้น “หมายความว่าอย่างไร?”
แม่นางน้อยเกาแก้ ยิ้มตอบ “ต้องโทษที่ข้าฟังเพลินเกินไป เลย เสียสมาธิ โทษนักพรตเซียนเว่ยไม่ได้หรอก”
เซียนเว่ยถามอย่างประหลาดใจ “หมี่ลี่น้อย อย่าไม่พูดแบบนี้สิ บอกมาหน่อยเถอะ ดูสิว่าข้าจะชดเชยแก้ไขอะไรได้หรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มสดใส “ขุนเขาเขียวไม่แปรเปลี่ยน สายน้าใสไหลยาว นักพรตเซียนเว่ย ไว้เจอกันพรุ่งนี้!”
เซียนเว่ยลุกขึ้นถาม “มีเรื่องจริงๆ หรือ?”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
หมี่ลี่น้อยเพิ่งจะวิ่งออกไปได้แค่ไม่กี่ก้าวก็หยุดเท้าหันหน้ามาเอ่ย เตือน “นักพรตเซียนเว่ย ตอนเย็นแสงไม่ค่อยมีแล้ว อย่าตั้งใจอ่าน หนังสือมากเกินไป ต้องระวังไว้หน่อยนะ”
เซียนเว่ยยิ้มเอ่ย “ผู้ที่ฝึ กบาเพ็ญตน แม้จะบอกว่าตอนนี้ข้ายัง เป็ นแค่น้าครึ่งถังมีความรู ้ครึ่งๆ กลางๆ แต่อันที่จริงไม่จาเป็ นต้องระวัง เรื่องพวกนี้แล้ว แต่เจ้าวางใจเถอะ วันหน้าข้าจะต้องระวังแน่”
มาถึงบนยอดเขา แม่นางน้อยชุดดาถอนหายใจ นางมาที่ข้างราว รั้ว แม่นางน้อยตัวเล็กเตี้ยใช ้หัวดันรั้ว ตาหนิตัวเอง ตาราพิชัยยุทธ มากมายขนาดนั้น อ่านมาเสียเปล่าแล้ว
และเวลานี้เองข้างหูก็ได้ยินน้าเสียงที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มดังขึ้นมา “หมี่ลี่น้อยก าลังท าอะไรอยู่หรือ?”
หมี่ลิ่น้อยรีบยึดตัวตรง กะพริบตาปริบๆ ถึงกับเป็ นอาจารย์ป๋ าย จริงๆ นางหน้าแดงเล็กน้อย “ฮ่าๆ ก าลังเล่นสนุกอยู่นะ ดันเขาวัวกับ รั้ว”
ป๋ ายเหย่เอามือข้างหนึ่งดันไว้บนราวรั้ว ดีดปลายเท้า นั่งลงบน ราวรั้ว ยื่นมือออกมา “มานั่งคุยกันไหม?”
หมี่ลิ่น้อยรีบวางไม้เท้าไผ่เขียวและคานหาบสีทองของตัวเองไว้ ให้ได้ จากนั้นกระโดดขึ้นไปนั่งบนราวริ้ว แม่นางน้อยก าเชือกของ กระเป๋ าสะพายที่พาดมาด้านหน้าเอาไว้แน่น
ป๋ ายเหย่จงใจไม่ใช ้สายตาเหลือบมองแม่นางน้อยชุดด า กลัวว่า นางจะตื่นเต้นจนพูดไม่ออกอีกครั้ง
เพียงแค่ใช ้หางตามองสีหน้าและการขยับเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของหมี่ลี่น้อยจนหมดสิ้น
หากไม่เป็ นเพราะตนถาม จวินเชี่ยนเองก็ให้คาตอบแล้ว
บางทีป๋ ายเหย่อาจจะไม่มีทางรู ้เลยว่าโลกมนุษย์เคยมีความคิด เช่นนี้อยู่
เหมือนว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้ ราวกับว่าต่อให้มองข้ามไปไม่คิด อะไรก็ยังไม่เป็ นไร
ก็เหมือนชีวิตนี้ของป๋ ายเหย่ที่ชอบขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเชียน เคยไปเยือนมหาบรรพตใหญ่มีชื่อมากมายและยอดเขาที่ไม่ทราบชื่อ ซึ่งมีจานวนมากยิ่งกว่า แต่ก็ต้องมีภูเขาที่มีชื่อเสียงมากกว่านั้นที่ คลาดสวนไหล่ผ่านกันไป
แต่ป๋ ายเหย่ในเวลานี้เงยหน้ามองไป ยื่นมือจับประคองหมวกหัว เสือ รู ้สึกเพียงว่า…ทัศนียภาพท่ามกลางยามสนธยาเหมือนจะไม่เลว
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กนั่งอยู่ด้วยกันบนราวรั้วหยกขาวเช่นนี้
“หมี่ลี่น้อย บ้านเกิดอยู่ที่ไหนหรือ?”
“บ้านเกิดข้าอยู่ไกลมากเลยล่ะ คือแคว้นเป่ าเชียงทางทิศเหนือ ของแคว้นไหวหวงอุตรกุรุทวีป คือสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าทะเลสาบ คนใบ้ซึ่งอยู่ติดกับหุบเขาลมเหลือง คือสถานที่ที่เล็กเท่าเมล็ดข้าว อาจารย์ป๋ ายต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ข้ามทวีปมาสินะ ไม่ใกล้เลยจริงๆ เจ้ามาอยู่ที่ภูเขา ลั่วพั่ว เคยคิดถึงบ้านเกิดบ้างไหม?”
“คิดถึงสิ แต่ว่าคิดถึงไม่บ่อย ทว่าบางครั้งที่คิดถึงก็จะคิดถึงมากๆ แต่ก็แค่บางครั้ง ที่นี่ก็คือบ้านของข้าแล้วนี่นา ที่ยังคิดถึงบ้านเกิด เหตุผลครึ่งหนึ่งเพราะข้าเกิดและเติบโตทั้งยังหลอมเรือนกาย สติปัญญาเปิดออกที่นั่น เหตุผลอีกครึ่งหนึ่งก็เพราะข้าได้พบเจอกับ เจ้าขุนเขาคนดีครั้งแรกก็ที่ทะเลสาบคนใบ้ ภายหลังมีเซียนซือบน ภูเขาคิดจะจับตัวข้า แต่เซียนซือพวกนั้นไม่ใช่คนเลว ก็แค่อยากจะ เชิญให้ข้าไปเป็ นแม่ย่าล าคลองน้อย”
เมื่อป๋ ายเหย่ได้ยินแม่นางน้อยพูดว่า “เซียนชื่อจับตัว’ ก็พลันหรี่ ตาลงทันใด แต่พอได้ยินแม่นางน้อยบอกว่าพวกเขาไม่ใช่คนเลว ป๋ ายเหย่ก็ปล่อยวางได้ สีหน้าแววตากลับคืนมาเป็ นปกติ
แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ ในเมื่อแม่นางน้อยบอกว่าจับตัว แล้วจะ บอกว่าเชื้อเชิญได้อย่างไร ความคิดและการกระท าของแม่นางน้อย มักจะเปี่ยมไปด้วยจินตนาการบรรเจิดเช่นนี้เสมอหรือ?
พูดมาถึงตรงนี้ แม่นางน้อยก็ยิ้มหน้าบานอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ เอาสองมือดันไว้บนรั้ว แกว่งขาสองข้างเบาๆ “เจ้าขุนเขาคนดีใจป้ า มาก จ่ายเงินฝนธัญพืชสองเหรียญซื้อตัวข้ามา แล้วให้ข้าอยู่ต่อที่ ทะเลสาบคนใบ้ แต่ข้าไม่ยอม อยากจะติดตามเขาไปใช ้ชีวิตสุขสบาย กินดีอยู่ดี อันที่จริงก็เพราะอยากจะออกไปจากทะเลสาบคนใบ้ ไปหา บัณฑิตสักคน ขอให้เขาช่วยข้าเขียนเรื่องราวที่ตกลงกันไว้นานแล้ว เจ้าขุนเขาคนดีขัดข้าไม่ได้ก็เลยพาข้าออกท่องยุทธภพไปด้วยกัน พวกเราขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน มีเรื่องราวมากมาย เปี่ยมไปด้วย สีสันตระการตา ตอนนั้นข้ายืนอยู่ในตะกร ้าไม้ไผ่ที่เจ้าขุนเขาคนดี สะพายไว้บนหลัง เหมือนเทพเซียนบนภูเขาที่ได้ขี่เมฆขี่หมอกเลยล่ะ”
ป๋ ายเหย่ยิ้มบางๆ “ที่แท้ก็เป็ นอย่างนี้นี่เอง”
“รู ้ว่าข้าต้องคิดถึงบ้านเกิด คราวก่อนเจ้าขุนเขาคนดีไปทาธุระที่ อุตรกุรุทวีปก็เลยตั้งใจพาตัวถ่วงอย่างข้าไปด้วย ตอนที่พวกเรา ทะยานลมข้ามมหาสมุทรไปด้วยกันยังได้นั่งเรือราตรีที่ประหลาดมาก ลาหนึ่งด้วยนะ ได้เจอกับเรื่องราวและคนแปลกๆ มากมาย ยาวเป็ น พรวน นับยังไงก็นับไม่ไหว โชคดีที่เจ้าขุนเขาคนดีของพวกเรามี ความรู ้อยู่เต็มท้อง ไม่ว่าปัญหาอะไรก็ทาอะไรเขาไม่ได้ ภายหลังขึ้น ฝั่งที่ชายหาดโครงกระดูก เดินกันไปตลอดทางก็ไปถึงทะเลสาบคนใบ้ พอได้กลับไปครั้งหนึ่ง ตอนนี้ก็ไม่รู ้สึกคิดถึงขนาดนั้นอีกแล้ว เมื่อก่อนรู ้สึกว่าทะเลสาบคนใบ้ถิ่นของตัวเองใหญ่มากเลยล่ะ แต่ที่แท้ มันกลับเล็กนิดเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องคิดถึงอยู่ดี แต่ก็ไม่ได้รีบ
ร ้อนอะไร ผ่านไปอีกสี่ห้าปีหรือสิบกว่าปี รอให้เจ้าขุนเขาคนดีไปท า ธุระที่นั่นอีกครั้ง หึ อาจารย์ป๋ าย ท่านไม่รู ้อะไร ข้ารู ้ข่าวเล็กๆ น้อยๆ เร็วมากเลยนะ ถึงเวลานั้นข้าจะเล่าให้เจ้าขุนเขาคนดีฟัง เขาจะต้อง พาข้าไปด้วยแน่นอน”
ตอนที่แม่นางน้อยพูดเรื่องพวกนี้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วย
ความภาคภูมิใจพลางโคลงศีรษะไปด้วย
“หมี่ลี่น้อย เจ้าขอบเขตไม่สูง แต่มีฐานะสูงในภูเขาลั่วพั่ว เป็ นผู้ ถวายงานพิทักษ์ภูเขาไม่รู ้สึกอยุติธรรมบ้างหรือ?”
“หา?!” ป๋ ายเหย่ยิ้มเอ่ย “ดูท่าเจ้าขุนเขาคนดีจะปกป้ องเจ้าไว้ดีมากเลย
นะ”
แม่นางน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง ยกนิ้วโป้ งให้ป๋ ายเหย่ “ใช่ แล้วๆ”
ป๋ ายเหย่กล่าว “ศิษย์พี่ฉีของเจ้าขุนเขาเฉินพวกเจ้าเคยไปหาข้า ครั้งหนึ่ง ปีนั้นความหมายคร่าวๆ ของฉีจิ้งชุนคงจะต้องการโน้มน้าว ข้าว่าอย่าได้ผิดหวังขนาดนั้นกระมัง ให้ออกไปดูโลกภายนอกให้ มากๆ หน่อย อย่าเอาแต่กักขังตัวเองอยู่ในฟ้ าดินความรู ้สึกในใจของ ตัวเอง ภายหลังข้าออกไปดู ตอนนั้นก็ไม่เห็นจะรู ้สึกว่ามีอะไรที่ แตกต่าง แค่นี้เท่านั้น”
หมี่ลี่น้อยกดเสียงลงต่า เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขาคนดีบอกแล้ว ว่า พวกเราไม่ควรเอาแต่บอกตัวเองย้าๆ ด้วยประโยค “ถ้าอย่างนั้นก็ พอแค่นี้” เจ้าขุนเขาคนดียังบอกด้วยว่าแบบนี้ไม่ค่อยดี”
ป๋ ายเหย่ยิ้มเอ่ย “ความคิดนี้ของเจ้าขุนเขาเฉิน ไม่เลวเลย”
หมี่ลี่น้อยมีสีหน้าสดใสขึ้นมาทันตา ตนพูดความจริงกับผู้อื่น ด้วยความจริงใจ อาจารย์ป๋ ายไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับกันยังชมเจ้า ขุนเขาคนดีด้วย มีความสุขนัก