กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1065.2 ทั้งกระบี่และกวี ป๋ ายเหย่ล้วนไร ้เทียมทาน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1065.2 ทั้งกระบี่และกวี ป๋ ายเหย่ล้วนไร ้เทียมทาน
แม่นางน้อยที่อารมณ์ดีสุดขีดหันหน้ามา ยื่นมือมาป้ องข้างปาก กดเสียงต่าเอ่ยว่า “อาจารย์ป๋ าย ข้าจะบอกความลับท่านให้นะ แม้ว่า เจ้าขุนเขาคนดีจะพ่ายแพ้การประลองบทกวีกับคนอื่น แต่ขอแค่เขา ดื่มเหล้าจนเมาเมื่อไหร่ พรสวรรค์ก็จะผุดขึ้นมาทันทีเลย”
ป๋ ายเหย่ยิ้มถาม “ไหนลองเล่าให้ฟังสิ?”
หมี่ลี่น้อยพลันคืนคืนสติทันใด ข้างกายคืออาจารย์ป๋ ายที่เขียน บทกวีมามากมาย คุยเรื่องนี้จะเหมาะสมหรือไม่นะ?
โชคดีที่อาจารย์ป๋ ายเข้าใจผู้อื่นเป็ นอย่างดี จึงยิ้มบางๆ ช่วย คลี่คลายสถานการณ์ให้นางด้วยการพูดว่า “จาได้ว่าเคยไปเยี่ยม เยือนเซียนถามมรรคากับภูเขาและสายน้าที่มีชื่อเสียงกับจวินเชี่ยน โดยที่ไม่ใช ้ชื่อจริง แล้วก็เคยบังเอิญเจอกับนักพรตในภูเขาและยอด ฝีมือนอกโลกบางส่วน….น่าจะถือว่าเป็ นการประลองกวีกันอย่างถูไถ กระมัง ผลคือพอพวกเขา ได้ยินกลับไม่เห็นด้วยนัก ค าประเมินไม่สูง เอาเป็ นว่าล้วนมีข้อบกพร่องไปทุกจุด หากไม่มีสัมผัสคล้องจองเลย ก็ คือเปลี่ยนสัมผัสไม่เหมาะ หรือไม่ก็สัมผัสซ้ากันตรงนี้ หลุดสัมผัสตรง นั้น ไม่สอดคล้องกับกฎบรรทัดฐาน แม้แต่เรื่องการการวางสัมผัสใน กลอนสุภาพก็ยังไม่เข้าใจ”
หมี่ลี่น้อยทอดถอนใจด้วยความตกตะลึง “เป็ นพวกเขาที่ไม่รู ้จัก คุณค่า หรือเป็ นเพราะพวกเขาร ้ายกาจเกินไป?”
ป๋ ายเหย่ยิ้มเอ่ย “บางทีอาจมีทั้งสองอย่างกระมัง”
หมี่ลิ่น้อยกล่าว “เอาเป็ นว่าเจ้าขุนเขาคนดีบอกไว้แล้วว่า ขอแค่ เมามายอย่างแท้จริงถึงจะสามารถอ่านท่วงท านองในบทกวีของ อาจารย์ป๋ ายออก หากไม่เมาจะไม่ได้เลย”
ป๋ ายเหย่กล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าขุนเขาเฉินของพวกเจ้าก็ต้องคอ แข็งมากสินะ ข้าเดาว่าเขาคงแทบจะไม่เคยเมามาก่อนเลย?”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม “เจ้าขุนเขาคนดีไม่เคยดื่มจนเมามายสัก เท่าไร มีแค่บางครั้งเท่านั้นข้ารู ้ว่ามีแค่สามสี่ครั้ง แต่ตอนนั้นข้าไม่ได้ อยู่ด้วย แค่ได้ยินคนอื่นเล่ามาอีกที”
ป๋ ายเหย่ไม่เห็นเป็ นส าคัญ เห็นได้ชัดว่าจะเป็ นเฉินผิงอันแห่ง ภูเขาลั่วพั่วก็ดีหรืออิ่นกวานคนสุดท้ายของก าแพงเมืองปราณกระบี่ก็ ช่าง ล้วนไม่ใช่บัณฑิตที่จะเลื่อมใสบทกวีของป๋ ายเหย่ได้เลย
จวินเชี่ยนเพียงแค่ยืนอยู่ห่างไปไกลเงียบๆ เอนหลังพิงราวรั้ว สอง มือกอดอก หลักๆ แล้วคือกังวลว่าป๋ ายเหย่จะขาดไหวพริบ ขออย่าได้ ให้เขาเอ่ยคาพูดทุเรศคาใดทาให้หมี่ลี่น้อยของพวกเราต้องร ้องไห้ เลย
ป๋ ายเหย่ก็หันมามองเขาแวบหนึ่ง
จวินเชี่ยนบอกเป็ นนัยว่าพวกเจ้าคุยเรื่องของพวกเจ้าไป ไม่ต้อง
สนใจข้า ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็ก ศิษย์น้องหม่าจาน
ที่คลายปมในใจส่วนหนึ่งไปได้ สุดท้ายก็ยังไม่ยอมมาที่ภูเขาลั่วพั่ว จวินเชี่ยนที่เป็ นศิษย์พี่ เฉินผิงอันที่เป็ นศิษย์น้องเล็ก สาหรับเรื่อง
นี้พวกเขาต่างก็ไม่ได้บังคับอีกฝ่าย
แต่สถานะของหม่าจานได้เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนจากหนึ่งในคน เฝ้ าศาลของศาลบุรพกษัตริย์แห่งเมืองหลวง กลายมาเป็ นผู้สอนใน ส านักศึกษาชุนซานต้าหลี
ตอนนั้นหม่าจานไม่รู ้ถึงเนื้อหาการประชุมของห้องทรงพระอักษร เมืองหลวง ดังนั้นจึงรู ้สึกประหลาดใจ เพราะถึงอย่างไรต่อให้สถานะ ของศิษย์น้องเล็กผู้นี้จะมีเยอะแค่ไหนก็คล้ายว่าจะไม่เหมาะที่จะสอด มือเข้าแทรกเรื่องกิจธุระของราชสานักต้าหลี
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย บอกว่าศิษย์พี่ชุยคือราชครูต้าหลี ทุกวันนี้ข้าก็ ใช่เช่นกัน
จวินเชี่ยนหันหน้าไปยิ้มมองเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือคนนั้น
ไปฝึกบาเพ็ญตนและฝึกกระบี่อยู่ที่อารามเสวียนตูนั้นถูกต้องแล้ว มาเยือนที่ภูเขาลั่วพั่วรอบหนึ่งก็ถูกต้องแล้วเช่นกัน
สามสุดยอดแห่งไพศาล บทกวีของป๋ ายเหย่ไร ้เทียมทาน ซิ่วหูชุย ฉาน เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่
สหายรักป๋ ายเหย่ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีใจมุ่งสู่มหามรรคามาโดย ตลอด กลิ่นอายเซียนแผ่ล่องลอย ความสามารถโดดเด่น ยิ่งใหญ่ ไพศาล ประหนึ่งธารดวงดาวสีเงินที่สาดเทลงมาในโลกมนุษย์ ในโลก
นี้ไม่มีใครเทียบเคียงได้
ผู้คนให้การยอมรับว่าเขาคือผู้ที่เป็ นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลก มนุษย์ และด้านบทกวีป๋ ายเหย่ก็ไร ้เทียมทานอย่างแท้จริง ทั้งเวทกระบี่ และบทกวีต่างก็อยู่บนฟากฟ้ า
แต่ผลลัพธ ์ก็เหมือนประโยคนั้นที่ป๋ ายเหย่พูดเอง มหามรรคาดุจ ฟ้ าคราม มีเพียงข้าที่ออกไปไม่ได้
อาจารย์ของตนก็เคยโน้มน้าวป๋ ายเหย่เช่นกันว่า อย่าได้กล่าวว่า คนธรรมดายากจะเข้าใจสัจธรรม นั่นเพียงเพราะยังฝึกฝนตนได้ไม่ดี พอ
จวินเชี่ยนกับป๋ ายเหย่คือสหายรักกัน อาจารย์เองก็ถือตัวเองว่า เป็ นคนรุ่นเดียวกับป๋ ายเหย่มาโดยตลอด ตามค ากล่าวในทางส่วนตัว ของอาจารย์ ต่างคนต่างคิดแยกกันไป จะถือสาในเรื่องพวกนี้ไปไย แน่นอนว่าหากจะถือสาจริงๆ ก็ไม่เป็ นไร อาจารย์อย่างข้านั้นเรียกว่า ปฏิบัติต่อผู้ที่มีความสามารถด้วยความเคารพ แม้เขาจะเป็ นผู้มี ปัญญาต่า
ต่อให้จวินเชี่ยนจะเคารพครูบาอาจารย์แค่ไหน ตอนนั้นที่ได้ยิน คากล่าวที่ว่า “ปฏิบัติต่อผู้ที่มีความสามารถด้วยความเคารพ แม้เขา จะเป็ นผู้มีปัญญาต่า” นี้ก็เริ่มเกร็งหน้าต่อไปไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าเถียง อะไร
ซิ่วไฉเฒ่าเขย่งปลายเท้าตบไหล่ของลูกศิษย์ อย่าได้รู ้สึกว่า อาจารย์พูดจาไม่ดีถึงป๋ ายเหย่ลับหลังเด็ดขาด จวินเชี่ยนอ่า เจ้าคงลืม ไปแล้วสินะว่า มรรคาจารย์เต๋าเคยเอ่ยว่าผู้มีปัญญาต่าเมื่อได้ยินหลัก ค าสอนมักจะหัวเราะออกมา ในสายตาของอาจารย์ เห็นได้ชัดว่าป๋ าย เหย่คือวัตถุดิบของผู้มีปัญญาสูง แล้วก็เคยมีสภาพจิตใจของผู้มี ปัญญาสูง ทว่าทุกวันนี้เขากลับเป็ นผู้มีปัญญาต่า ต่อให้มีเวทกระบี่ และขอบเขตเช่นนี้ หากสามารถหวนกลับคืนสู่ความจริงแล้วเดินขึ้น บันไดสูงไปอีกก้าว สักวันหนึ่งเมื่อจิตใจเชื่อมโยงกับฟ้ าดิน ฟ้ าและ คนรวมเป็ นหนึ่ง แล้วเดินขึ้นบันไดสูงขึ้นไปอีกเล่า? พวกเทพเซียน บนภูเขาชมคนว่ามีอนาคตก็มักจะชอบพูดว่ามีหวังบนมหามรรคา ค า กล่าวนี้ไม่ธรรมดาเลยสักนิด ความเรียบง่ายก็คือความสง่างามอย่าง หนึ่ง อย่างป๋ ายเหย่นั้นไม่ถือว่ามีความหวังบนมหามรรคา แล้วใครจะ ถือว่ามีความหวังบนมหามรรคาได้เล่า? แต่ว่านะ
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็กระทืบเท้า ในเมื่อเป็ นผู้มีปัญญา ต่าที่ถามมรรคาแล้วแต่กลับถูกใจของตัวเองพันธนาการ ถ้าอย่างนั้น ก็ทุ่มไหที่แตกแล้วให้แหลกไปเสียเลย ทาให้สมจริงสักหน่อย ไม่สู้ เหยียบย่างลงพื้นอย่างจริงจัง หากจะให้ข้าบอกนะ ผืนแผ่นดินบนโลก
มนุษย์แห่งนี้ ไม่ใช่ว่าเห็นไปแล้ว เดินทางผ่านไปแล้ว แล้วทุกอย่าง จะต้องกลายมาเป็ นของของข้า ล้วนพูดกันว่าผู้ฝึ กบ าเพ็ญเพียร จิตใจต้องไร ้สิ่งใดให้พะวงหา ไม่เคยอืดอาดล่าช ้าอยู่ห่างจากโลก โลกีย์? นั่นเป็ นแค่ความคิดที่ถูกต้องของผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ไม่มี ปัญหาใดๆ! แต่นี่คือสหายรักของเจ้า เขาคือป๋ ายเหย่เชียวนะ! จะมี ความคิดคับแคบแบบนี้ได้อย่างไรเห็นภูเขามีชื่อเสียงมาถ้วนทั่ว เคย ไปเยือนโลกมนุษย์มาก่อน ผิดหวังอย่างถึงที่สุด ก็จะเป็ นอย่างที่ป๋ าย เหย่พูดแล้วจริงๆ นักเดินทางข้ามเวลาได้พักผ่อนชั่วคราวในโรงเตี้ยม แห่งฟ้ าดินหยุดเท้าพักผ่อนพันปีหมื่นปี ก็ยังเป็ นเวลาเพียงชั่วครู่เดียว อยู่ดีไม่ใช่หรือ ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าจวี้จื่อแห่งสานักโม่กล่าว ได้ดีมาก มีความรู ้ยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่มีที่ให้พักพิงอย่างสงบ ใจของ ข้าก็มิอาจสงบได้เช่นกัน! ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า จิตใจไม่สงบ จะเป็ นผู้ที่ภาคภูมิใจได้อย่างไร? เมื่อขอบเขตยิ่งสูงขึ้นก็จะยิ่งมีแต่ เปลี่ยวเหงามากขึ้นเท่านั้นท าไมป๋ ายเหย่จึงมีคนรู ้ใจอยู่แค่ไม่กี่คน ต่างก็พูดกันว่าเขาคือผู้ที่เป็ นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ แต่ตัว เขาเองกลับรู ้สึกผิดหวัง? ออกเดินทางไกลอยู่ตลอด และป๋ ายเหย่ก็ เห็นอะไรมามากมาย จึงผิดหวังมากเกินไป อาจารย์ยังไม่ไปสนว่าคน อื่นจะคิดเช่นไร พูดถึงแค่เขาป๋ ายเหย่คนเดียว แบบนี้ก็ไม่ถูกต้องแล้ว
จวินเชี่ยนรู ้สึกว่าขอแค่เป็ นหลักการเหตุผลที่อาจารย์ของตนพูด ก็ต้องถูกต้องอย่างแน่นอน
จึงอยากจะถ่ายทอดหลักการเหตุผลพวกนี้ให้สหายรักป๋ ายเหย่ ฟัง
แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับส่ายหน้า บอกกับลูกศิษย์ไปตามตรงว่าไม่มี ประโยชน์ใดๆ ป๋ ายเหย่คือใคร จิตแห่งมรรคาหนักแน่นมั่นคงถึง เพียงใด แล้วนับประสาอะไรกับที่มีหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ใดบ้างที่ เขาไม่เข้าใจ? คาพูดแค่ไม่กี่ประโยคนี้ของอาจารย์บางเบาดุจขนนก ไม่พอให้คนเขารู ้สึกจักจี้ด้วยซ้า
ใบหน้าของจวินเชี่ยนเต็มไปด้วยความอ่อนใจ
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ข้าไม่ได้พูดเหลวไหลนะ ไม่ต้อง รีบร ้อน ในอนาคตจะต้องมีเวลาสักชั่วครู่หนึ่งที่ป๋ ายเหย่ตระหนักรู ้ใน คาพูดนั้นได้เอง จากนั้นก็รั้งจิตแห่งมรรคาส่วนนั้นเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ สลายหายไป แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
จวินเชี่ยนรู ้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเตือนลูกศิษย์ของตนว่า จวินเชี่ยนอ่า คา กล่าวว่าปฏิบัติต่อผู้ที่มีความสามารถด้วยความเคารพ แม้เขาจะเป็ น ผู้มีปัญญาต่านี้ อย่าไปพูดกับป๋ ายเหย่เลย จะไม่เป็ นที่ชื่นชอบ ง่ายที่ จะท าลายมิตรภาพระหว่างสหายที่รักกันดุจพี่น้อง เดี๋ยวจะไม่มีเหล้า ให้ดื่ม
ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง เดินก้าวเท้าจากไป ครุ่นคิดว่าคราวหน้าควรจะไปหาสหายบนภูเขาคนไหนเพื่อถามสุรา
มีสหายมากเกินไป แต่ละคนกระตือรือร ้นในการต้อนรับแขก กังวลว่า จะเป็ นการให้เกียรติคนนี้ดูถูกคนโน้น นี่ก็น่ากลุ้มเหมือนกัน
ลองให้ป๋ ายเหย่ในอนาคตได้ถามใจตัวเองสักประโยคว่า เมื่อ หลอมกระบี่ไปถึงขีดสูงสุดแล้ว สิ่งที่ข้าต้องการคือสิ่งใด?
ป๋ ายเหย่แค่ต้องท าจิตใจให้สงบ ดอกบัวเขียวก็จะเบ่งบานได้แล้ว
ข้าป๋ ายเหย่คือความยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้า คือผู้ที่ภาคภูมิใจที่สุดใน โลกมนุษย์อย่างแท้จริง
หลังจากนั้นมาก็เป็ นสายเหวินเซิ่งที่แตกแยก ซิ่วไฉเฒ่ากักขัง ตัวเองไว้ที่สวนกงเต๋อรอกระทั่งเกิดเหตุการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน ใต้หล้า ป๋ ายเหย่ก็พกกระบี่ออกเดินทางไกลไปยังฝูเหยาทวีปเพียง
ล าพัง
ต่อจากนั้นมาอีกก็เป็ นเด็กชายสวมหมวกหัวเสือที่ยืนอยู่ใต้ต้น หลีที่ออกดอกบานสะพรั่ง ถูกซิ่วไฉเฒ่าพาไปที่อารามเสวียนตูใต้ หล้ามืดสลัว
จวินเชี่ยนทาตามคาสั่งของอาจารย์ ก่อนที่ป๋ ายเหย่จะเลื่อนเป็ น ห้าขอบเขตบนจะต้องพาป๋ ายเหย่ออกเดินทางเยอะๆ ดูเรื่องราวต่างๆ ให้เยอะ ภูเขาที่มีชื่อเสียงและพื้นที่ประกอบพิธีกรรมต้องไปเยือน โลก มนุษย์ก็ยิ่งต้องไปเยือน หลังจากเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบนแล้ว ก่อนจะ เป็ นขอบเขตบินทะยานยังต้องพาป๋ ายเหย่ออกเดินทางอีกหลายครั้ง เอาเป็ นว่าเป้ าหมายก็คือทั้งไม่อาจปล่อยให้ป๋ ายเหย่ฝ่ าทะลุขอบเขต
เร็วเกินไป ขณะเดียวกันก็ไม่อาจปล่อยให้ป๋ ายเหย่ออกไปข้างนอก เพียงลาพัง เอาแต่ไปชมทัศนียภาพที่เขาเห็นมาจนชินตาแล้ว
สุดท้ายอาจารย์ยกตัวอย่างให้จวินเชี่ยนฟัง ในอนาคตเมื่อพวก เจ้าสองคนออกไปเที่ยวชมทิวทัศน์ ก็เหมือนได้กลับไปสะพายหีบ ตาราออกทัศนาจรอยู่ในโลกมนุษย์กันอีกครั้งในหีบตาราที่แต่ละคน สะพายเอาไว้ คนหนึ่งบรรจุเหล้า อีกคนหนึ่งบรรจุหลักการเหตุผล ทัศนียภาพเหมือนเหล้ารสกลมกล่อม เรื่องราวและคนบนโลกเหมือน หลักการเหตุผล การทัศนาจรครั้งนี้พอเห็นภาพก็เกิดคิดถึงอดีต หยิบเอาหลักการเหตุผลสองสามข้อมาเป็ นกับแกล้มแกล้มสุรา ออก เดินทางหมื่นลี้ อ่านตาราหมื่นเล่ม ไม่เพียงแต่ป๋ ายเหย่เท่านั้นที่จะได้ ประโยชน์ จวินเชี่ยนเจ้าเองก็จะได้รับผลเก็บเกี่ยวเช่นเดียวกัน
จวินเชี่ยนเอนกายพิงราวรั่ว มองเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือกับ แม่นางน้อยชุดด า ยังคงเป็ นแม่นางน้อยที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ป๋ าย เหย่คอยพูดตอบรับแค่ไม่กี่ประโยค
แต่เมื่อเทียบกับป๋ ายเหย่ตอนที่อยู่เพียงลาพังในอดีตแล้ว หรือต่อ ให้เป็ นป๋ ายเหย่ที่อยู่ข้างกายจวินเชี่ยน คาพูดของป๋ ายเหย่ในวันนี้ก็ ยังมากกว่าไม่น้อย
เวลานี้ระหว่างคิ้วตาของเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดไม่เหลือความ กลัดกลุ้มอันเจือจางอยู่อีกแล้ว
หัวใจที่ชื่อบริสุทธิ์ดวงหนึ่งกับความไร ้เดียงสาน่าสนใจ ต่างก็ ช่วยขับเสริมกันและกัน
แทะเมล็ดแตงด้วยกัน กินปลาน้อยตากแห้งด้วยกัน ทุกครั้งที่หมี่ ลี่น้อยได้ยินอาจารย์ป๋ ายเล่าเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต นาง จะต้องฟังด้วยความเหม่อลอย ฟังด้วยความตกตะลึง ร ้องว้าวๆๆ ร ้อง
โอ้โห โอ้โห
แทะเมล็ดแตงแล้ว เด็กหนุ่มก็เลียนแบบแม่นางน้อย ใช ้นิ้วดีด เปลือกเมล็ดแตงออกไปนอกภูเขา
แม้ว่าจวินเชี่ยนจะไม่รู ้ว่าจิตแห่งมรรคาของป๋ ายเหย่จะแตกต่าง ไปจากเดิมหรือไม่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย แล้วก็อาจจะ เป็ นเหมือนเดิม แต่จวินเชี่ยนคร ้านจะไปสืบเสาะแล้ว เขาเอาสองมือ สอดไว้ใต้ท้ายทอย เริ่มหลับตาทาสมาธิ
และเวลานี้เอง สหายสุราที่ร่วมทุกข์กันมาหลายคนก็พากันเดิน เล่นมาถึงยอดเขา มีเซียนกระบี่ป๋ ายเติงเจ้าของเก่าของซากปรักวัง มังกรพื้นพสุธาที่อีกเดี๋ยวก็จะได้กลายเป็ นเทพวารีแม่น้าเถี่ยฝู
และยังมีผีอิ๋นลู่ที่ขอบเขตทั้งหลายล้วนเป็ นเพียงของนอกกาย รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจิงเฮาบุคคลอันดับหนึ่งบนภูเขาของ หลิวเสียทวีปอย่างเกาเกิงที่เป็ นขอบเขตหยกดิบ
ป๋ ายเติงจ าเป็ นต้องมาปรึกษาเรื่องศาลเทพวารีแม่น้าเถี่ยผู้ กับเฉินผิงอันที่นี่ เพราะถึงอย่างไรวันหน้าทั้งสองฝ่ ายก็จะกลายเป็ น เพื่อนบ้านใกล้เคียงกันแล้ว
ส่วนเกาเกิงนั้น อันที่จริงไม่อยากจะมาเป็ นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วอีก แล้ว ฝ่ ายอิ๋นลู่ก็เป็ นเพราะพระหนีได้แต่วัดหนีไปไหนไม่ได้
จาเป็ นต้องกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว
ดังนั้นอิ๋นลู่กับป๋ ายเติงจึงร่วมกันวางแผน รู ้สึกว่าจ าเป็ นต้องลาก เอาสหายรักเกาเกิงให้กลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกันให้ได้…สหายจะได้ ช่วยดูแลกันและกัน
พวกเขาสามคนกลัวเด็กชายชุดเขียวที่มีฉายาว่าจิ่งชิงผู้นั้นแล้ว จริงๆ ต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร ้น ติดสุราดุจชีวิต อันที่จริงนี่ก็ยัง ไม่เท่าไร สหายไม่อยากดื่มเหล้า เจ้าเฉินหลิงจวินก็ไม่อาจกดหัวพวก ข้าจุ่มลงไปในชามเหล้าได้หรอกกระมัง แต่ปัญหานั้นอยู่ที่เจ้าเฉิน หลิงจวินผู้นี้มีรากฐานมหามรรคาจากงูน้าแม่น้าอวี่เจียง ทุกวันนี้เพิ่ง จะเป็ นขอบเขตก่อก าเนิด แต่ดันเป็ นสหายรักของคนพิฆาตมังกร ตอนอยู่บนโต๊ะสุราก็ทั้งด่าทั้งตีเฉินชิงหลิวหากไม่ตบไหล่ก็ตบหัว อย่าว่าแต่พวกเขาสามคนเลย ขนาดบินทะยานเฒ่าที่มีฉายาว่าชิงกง ไท่เป่าผู้นั้น ตอนอยู่บนโต๊ะสุราก็กลัวเหมือนกัน ผลล่ะเป็ นเช่นไร โต๊ะ สุราตัวหนึ่ง เด็กชายชุดเขียวเป็ นเจ้าภาพหลัก จิงเฮาก็ได้แต่เป็ น เจ้าภาพรองผลัดกันอยู่กับเฉินชิงหลิวสองคนพวกป๋ ายเติงที่เป็ นแขก
หากไม่ดื่มให้เป็ นที่พอใจของเจ้าภาพจะออกจากโต๊ะได้หรือ กล้า ออกจากโต๊ะหรือ?
เรื่องอย่างการดื่มเหล้านี้ ส่วนใหญ่จะเรียกหาพรรคพวกมาดื่ม ด้วยกันตอนที่อารมณ์ดีหรือไม่ก็อารมณ์ไม่ดี ค าพูดค าจาระหว่างกัน ไม่มีอะไรให้ต้องกริ่งเกรง เอ่ยสัพยอกกันระบายทุกข์ช่วยแก้ปัญหาให้ กัน อาศัยฤทธิ์สุรามาคุยโวโดยไม่ต้องร่างคาพูด แต่ไม่ควรกลายมา เป็ นการบ้านที่ต้องทาทุกวันเช ้าค่าไม่เคยขาดแบบนี้สิ!
ขอแค่ไม่ได้ดื่มเหล้าตอนเช ้าก็ทาเหมือนเด็กนักเรียนเกเรที่โดด เรียนไม่รู ้จักแสวงหาความก้าวหน้า ต่อให้จะได้ดื่มเหล้าเซียนทุกมื้อ แต่รสชาติมันจะดีได้สักเท่าไรกันเขียว?
โชคดีที่ครั้งนี้ป๋ ายเติงกับเกาเกิงมาเป็ นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เฉิน หลิงจวินจัดโต๊ะสุราโต๊ะหนึ่งแล้วพูดอึกอักด้วยสีหน้าละอายใจ อธิบายว่าคราวก่อนที่เลี้ยงเหล้าพวกเขาถือเป็ นค่าใช ้จ่ายส่วนรวมที่ ต้องเบิกจากห้องบัญชีของภูเขาลั่วพั่ว ไม่ต้องให้ตนออกเงิน แต่ ตอนนี้ถือเป็ นมิตรภาพส่วนตัวแล้ว วันหน้าอาจจะไม่อาจรับรองพวก พี่ชายด้วยเหล้าสองมื้อทุกวันได้อีกแล้ว เว้นเสียจากว่าจะเปลี่ยนจาก เหล้าเขียนราคาแพงหูฉี่มาเป็ นเหล้าตระกูลเขียนธรรมดาที่ราคาถูก กว่าถึงจะดื่มเหล้ามื้อเช ้าด้วยกันได้….พวกเขาสามคนหันมามองหน้า กัน ดีใจจนเกือบจะน้าตาไหล จากนั้นก็พากันร่ายวิชาอภินิหาร เอ่ย โน้มน้าวว่าผู้อาวุโสจึงชิง เรื่องทานองนี้ เกาเกิงบอกว่ารอให้ป๋ ายเติง ได้รับหน้าที่เป็ นเทพวารีแม่น้าเถี่ยฝูก่อน พวกเราพี่น้องค่อยเลี้ยง
ฉลองกันดีๆ สักครั้ง ป๋ ายเติงพูดว่ารอให้อิ๋นลู่กลายเป็ นผู้ฝึ กตน ท าเนียบอย่างเป็ นทางการของภูเขาลั่วพั่วก่อน จะดื่มเหล้าอะไร ตน จะเป็ นคนรับผิดชอบเอง อิ๋นลู่พูดว่าไม่ว่าจะเป็ นเรื่องส่วนรวมหรือเรื่อง ส่วนตัว วันหน้าเกาเกิงก็มาที่แจกันสมบัติทวีปและภูเขาลั่วพั่วบ่อยๆ ได้ เงื่อนไขก็คือต้องบอกพี่น้องล่วงหน้าสักคา จะได้นัดกันล่วงหน้า แต่เนิ่นๆ…เด็กชายชุดเขียวได้ยินถ้อยคาอบอุ่นหัวใจพวกนี้แล้วก็ชาบ ซึ้งใจยิ่งนัก ยกขึ้นดื่มรวดเดียวสามชาม
เพื่อตัดขาดความสัมพันธ ์กับนครเซียนจานเปลี่ยวร ้างอย่าง ชัดเจน อิ๋นลู่ได้บอกกล่าวกับภูเขาลั่วพั่วอย่างเป็ นทางการ และได้ ผ่านความเห็นชอบจากทั้งอิ่นกวานเจ้าขุนเขาและผู้คุมกฏฉางมิ่งแล้ว ทุกวันนี้จึงใช ้นามแฝงอย่างเป็ นทางการว่าเฉิงฉว่อ นามชื่อจาง ยังไม่
มีฉายา
และได้ลงบันทึกไว้ที่ห้องสามะโนครัวของที่ว่าการอาเภอไหวหวง เรียบร ้อยแล้ว นับแต่นี้ไปผีอิ๋นลู่ก็จะได้กลายมาเป็ นลูกศิษย์นักการ คนหนึ่งที่ตอนนี้ยังไม่ถูกบันทึกชื่อลงทาเนียบของภูเขาลั่วพั่ว ถือว่า เป็ นคนที่สองในประวัติศาสตร ์
ในฐานะลูกศิษย์นักการฝ่ ายนอกคนแรก ขุนนางผู้เรียบเรียง ต าราคนใหม่ของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนี้ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องอะไร เด็กชายผมขาวก็มักจะหาอื่นสู่เพื่อเปิดใจคุยกัน บอกกับเขาว่าเมื่อ รู ้จักละอายต่อความผิดพลาดแล้วก็จงก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ตั้งใจฝึกตนให้ดี อย่าให้สายลูกศิษย์นักการของภูเขาลั่วพั่วต้องขาย
หน้า ไม่อย่างนั้นหากเจ้าอิ๋นลู่ท าตัวน่าอาย เกียจคร ้านในการฝึกตน ไม่เป็ นคนให้ดีๆ ก็อย่าโทษที่บรรพบุรุษอย่างตนจะชักสีหน้าไม่จ าคน
ไม่ต้องดื่มเหล้าจนฟ้ ามืดดินมัวเหมือนเดิมทุกวัน ในที่สุดเกาเกิง ก็มีอารมณ์สุนทรีผ่อนคลายได้บ้าง จึงเริ่มค้นพบความงดงามของ ทัศนียภาพบนภูเขาลั่วพั่วและภูเขาใต้อาณัติได้บ้างแล้ว
ภูเขาสิบกว่าลูกทางทิศตะวันตกของเมืองเล็ก หางมองอย่าง ละเอียดจะเห็นความมหัศจรรย์ในทุกที่ แต่เป็ นเพราะขอบเขตมี ขีดจ ากัดจึงยังรู ้สึกเหมือนมองดอกไม้ในม่านหมอก เห็นความจริงไม่ ชัดเจนนัก
วันนี้มาที่ยอดเขาก็ได้เห็นเด็กหนุ่มและแม่นางน้อยที่นั่งกันอยู่บน ราวรั้ว และยังมีบุรุษร่างกายาอีกคนหนึ่งที่ยืนห่างออกมาอีกด้าน
นอกจากโจวหมี่ลี่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาแล้ว อีกสองคนพวก เขาล้วนไม่รู ้จัก ป๋ ายเติงเพิ่งจะออกจากซากปรักวังมังกรมาได้แค่ไม่กี่ วัน อิ๋นลู่ก็มีสภาพการณ์พอๆ กัน ถูกใต้เท้าอิ่นกวานจับขังมานาน เขียนหนังสือด้วยความมานะหมั่นเพียร หากเขียนไม่ดีก็จะต้องถูกอิฐ ทุบ อันที่จริงก็เพิ่งจะออกมาดูทิศทางลมได้แค่ไม่กี่วัน ดังนั้นพวกเขา ต่างก็ถามเกาเกิงว่ารู ้รากฐานของอีกฝ่ ายหรือไม่ เกาเกิงได้แต่ส่าย หน้าบอกว่าไม่รู ้