กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1065.3 ทั้งกระบี่และกวี ป๋ ายเหย่ล้วนไร ้เทียมทาน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1065.3 ทั้งกระบี่และกวี ป๋ ายเหย่ล้วนไร ้เทียมทาน
พวกอิ๋นลู่เองก็ไม่คิดจะตีสนิทกับเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือผู้นั้น ยอดฝีมือนอกโลกหรือ? มียอดฝีมือนอกโลกที่เป็ นเช่นนี้ด้วยหรือ?
แม้จะบอกว่ามักจะมียอดฝี มือที่สถานะและขอบเขตต่างก็น่า ตกใจมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่วเป็ นประจ า แต่ต่อให้พวกเขาจะรู ้สึกว่า ยอดฝีมือที่แท้จริงไม่เปิดเผยตัวตนง่ายๆ แค่ไหน เกรงว่าก็คงมีแค่ไม่กี่ คนที่ยินดีแต่งกายเช่นนี้ออกมานอกบ้านกระมัง?
ดังนั้นพวกเกาเกิงจึงเดินไปหยุดอยู่ข้างกายบุรุษร่างกายาที่ยก สองแขนกอดอกแล้วพากันแนะนาชื่อกับฉายาของตัวเอง
จวินเชี่ยนกุมหมัดคารวะกลับคืน “เลื่อมใสในชื่อเสียงยิ่งใหญ่มา นาน เป็ นเกียรติที่ได้พบ เป็ นเกียรติที่ได้พบ”
ป๋ ายเติงรู ้สึกเบื่ออยู่บ้าง บุรุษร่างแข็งแกร่งกายาตรงหน้าผู้นี้ นอกจากอาจจะเคยได้ยินชื่อของเกาเกิงและภูเขาชิงกงมาก่อนแล้ว เขาจะเลื่อมใสในชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของใครได้อีก ตนหรือ? หรือจะบอก ว่าเฉิงฉว่อที่แม้กระทั่งนามแฝงก็ยังเป็ นนามที่เพิ่งออกจากเตามาสดๆ ร ้อนๆ?
แต่ในเมื่ออยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ป๋ ายเติงจึงไม่กล้าแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ส่วนเกาเกิงก็เริ่มคุยเรื่องไร ้สาระอย่างเรื่องดินฟ้ าอากาศและ ทัศนียภาพกับบุรุษผู้นั้นแล้ว
ตรงราวรั้วบนยอดเขาที่ห่างไปไกล
“อาจารย์ป๋ าย ท่านกับอาจารย์จวินเชี่ยนมาเป็ นเพื่อนกันได้ อย่างไร?”
“ค่อนข้างถูกชะตากัน”
เพราะบทสนทนาของหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กทางฝั่งนั้นไม่ได้ใช ้เสียง ในใจ
ได้ยินค าเรียกขานว่า “อาจารย์ป๋ าย” อันที่จริงก็มิอาจวิเคราะห์ อะไรออกมาได้
ผู้ฝึกลมปราณแซ่ป๋ ายในใต้หล้านี้ นับได้ไหวหรือ?
จวินเชี่ยน?!
หากอยู่ที่อื่นในไพศาลก็คงไม่มีอะไร แต่ที่นี่คือภูเขาลั่วพั่ว อยู่ใน ถิ่นของเจ้าขุนเขาเฉินเอง…
เกาเกิงที่เดิมทีเอนหลังพิงราวรั้วเอาอย่างบุรุษร่างกายาพลันยืด เอวตรงทันใด รีบจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร ้อย สีหน้าเปลี่ยนมาเป็ น เคร่งขรึม
อิ๋นลู่ก็ยิ่งถูกคาเรียกขานว่า “อาจารย์จวินเชี่ยน” ของหมี่ลี่น้อย ท าให้รู ้สึกเหมือนมีใครมาตีกลองรัวๆ ข้างหู หลิวสือลิ่วแห่งไพศาล หนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของซิ่วไฉเฒ่ามีรากฐานอย่างไร บนภูเขา ของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างอาจจะรู ้ไม่ชัดเจน แต่นครเซียนจานจะไม่รู ้ข่าว
บนยอดเขาเลยได้อย่างไร? เวลานี้อารมณ์ของอิ๋นลู่ซับซ ้อนสุดขีด ทั้งหวาดกลัวจนขวัญแทบกระเจิง แต่ก็มีความรู ้สึกใกล้ชิดสนิทสนม ของ “คนบ้านเดียวกัน” อยู่หลายส่วน
สงสารแต่ป๋ ายเติงที่สูงศักดิ์เป็ นถึงลูกหลานมังกรแห่งวังมังกร พสุธาที่ยังถูกปิดหูปิดตาไม่รู ้เรื่องอะไรกับเขา
ทั้งเกาเกิงและอิ๋นลู่ต่างก็คิดไม่ตก ไม่รู ้ว่าควรจะบอกความจริงที่ น่าหวาดกลัวนี้กับสหายรักดีหรือไม่
ผู้ที่ดุร ้ายโหดเหี้ยมที่สุดในยุคบรรพกาล มีแต่ขับไล่งูและมังกร ไม่ขับไล่ยุง
ป๋ ายเติงได้เจอกับ ‘คนผู้นี้” จะต่างอะไรกับเจอเฉินชิงหลิวคน
พิฆาตมังกรอย่างนั้นหรือ?
ความต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือคนหนึ่งแค่ฆ่า อีกคนฆ่าแล้วค่อย กิน หรือไม่ก็กลืนลงท้องไปก่อนแล้วค่อยขยี้สังหาร?
เจียวหลงแห่งใต้หล้าที่เฉินชิงหลิวสังหารไปเมื่อสามพันปี ก่อน บางทีอาจจะเป็ นส่วนที่บุรุษร่างกายาผู้นี้ กินเหลือไว้” ในอดีตทั้งนั้น?
เกาเกิงกับป๋ ายสู่ต่างก็กลั้นลมหายใจ ประสานมือคารวะ “อาจารย์จวินเชี่ยน” ท่านนี้ไปพร ้อมกัน
ครั้งนี้พวกเขาต่างก็บอกสานักหรือไม่ก็ฉายาเดิมของตัวเองเสริม เข้ามาด้วย “เกาเกิงแห่งภูเขาชิงกงหลิวเสียทวีปคารวะอาจารย์หลิว” “อิ๋นลู่แห่งนครเซียนจานเปลี่ยวร ้าง คารวะอาจารย์หลิว”
จวินเชี่ยนยิ้มพลางยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “เกา เกิง พวกเราต่างก็เป็ นแขกของภูเขาลั่วพั่ว ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ หรอก สหายอิ๋นลู่ พวกเราถือว่าเป็ นคนครอบครัวเดียวกันของภูเขา ลั่วพั่วครึ่งตัวก็ยิ่งไม่ต้องเกรงใจกันเข้าไปใหญ่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เกาเกิงรู ้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก ในที่สุดก็รักษาจิตมรรคาไม่ให้ แหลกสลายได้แล้ว!
สหายอิ๋นลู่รู ้สึกว่าไม่ว่าผู้อาวุโสหลิวสือลิ่วจะพูดอะไรก็ล้วนเป็ น หลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ค้าฟ้ าทั้งนั้น
เพียงแต่ว่าคลื่นลูกหนึ่งสงบ คลื่นอีกลูกกลับถาโถมขึ้นมาอีก
แม่นางน้อยชุดดาที่อยู่ห่างไปไกลมีการถามตอบกับเด็กหนุ่ม หมวกหัวเสืออีกครั้ง
“อาจารย์ป๋ าย ท่านเอาชนะอาจารย์จวินเชี่ยนที่สองหมัดใหญ่เท่า ขามได้หรือไม่?”
“เมื่อก่อนเอาชนะได้ ตอนนี้เอาชนะไม่ได้ วันหน้าเอาชนะได้”
“ถ้ารอให้กินปลาน้อยตากแห้งหมดล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยังเอาชนะจวินเชี่ยนไม่ได้”
ในทะเลสาบหัวใจของเกาเกิงที่เป็ นขอบเขตหยกดิบมีคลื่นลูก
ยักษ์ถาโถมขึ้นมาอีกครั้งจิตแห่งมรรคาดวงนี้ เขาไม่เอาไว้แล้วก็ได้ ผู้ฝึกลมปราณบนโลกมนุษย์จะมีสักกี่คนที่กล้าพูดว่าตัวเอง ใน
อดีต” และ “ในอนาคตล้วนเอาชนะหลิวสือลิ่วได้? เขายังแซ่ป๋ ายอีกด้วย! หมวกหัวเสือท าให้ข้าเข้าใจผิดไปมากมาย!
อิ๋นลู่ที่เป็ นผีไปแล้วก็ตกใจเกือบตายไปอีกรอบ ตอนนี้เขาขวัญ หนีดีฝ่อไปหมดแล้ว
เมื่อหลายปีก่อนเหมือนเคยได้ยินว่ามีป๋ ายเหย่แห่งไพศาลที่พก กระบี่ท้าทายราชาบนบัลลังก ์หลายคนอยู่ที่ฝูเหยาทวีปใช่ไหม?
มีเพียงป๋ ายเติงที่โชคดีอย่างแท้จริง ไม่รับรู ้อะไรทั้งนั้น
หากรู ้อย่างนี้แต่แรก ไม่สู้ให้พวกเขาสามคนดื่มเหล้าจนเมาปลิ้น ไปเป็ นเพื่อนเฉินหลิงจวินยังดีกว่า
จวินเชี่ยนยกสองแขนกอดอก ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ “ยังมีธุระ อีกไหม?”
เกาเกิงและอิ๋นลู่ดึงแขนสหายรักป๋ ายเติงคนละข้าง ลากเขาลง จากภูเขาไปอย่างรู ้กาลเทศะ
ตอนมามาอย่างสุขุมเยือกเย็น ตอนไปจากไปอย่างรีบร ้อน
ป๋ ายเติงมึนงงไม่เข้าใจ เกาเกิงพูดเสียงในใจสั่นๆ ว่า “ดื่มเหล้า กันหน่อยดีไหม?”
อิ๋นลู่พูดคล้อยตามอย่างหนักแน่น “ต้องระงับความตกใจหน่อย!”
ป๋ ายเติงถามอย่างสงสัย “พวกเจ้าสองคนเป็ นอะไรไป?”
เดินลงไปจากเส้นทางเทพ มุ่งหน้าไปยังที่พัก ป๋ ายเติงถามว่า “ไม่ ไปดื่มเหล้ากับสหายจิ่งชิงหรือ?”
เกาเกิงกับอิ๋นลู่หันมาสบตากัน สหายป๋ ายเติงของพวกเราเป็ น คนโง่ที่มีโชคของคนโง่จริงๆ
อิ๋นลู่ยิ้มอธิบายว่า “ไฉนต้องให้สหายจึงชิงสิ้นเปลืองค่าสุราด้วย เล่า พวกเราพี่น้องปิดประตูดื่มกันเองก็พอแล้ว”
บนยอดเขา หมี่ลี่น้อยถามอย่างใคร่รู ้ “อาจารย์ป๋ าย ได้ยินจึงชิง ของพวกเราบอกว่าท่านคือมือกระบี่ ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือ?”
ป๋ ายเหย่ยิ้มเอ่ย “เมื่อก่อนเป็ นแค่มือกระบี่ ตอนนี้เป็ นผู้ฝึกกระบี่ แล้ว”
กลายมาเป็ นผู้ฝึ กกระบี่ อันที่จริงป๋ ายเหย่สนใจแค่เรื่องเดียว เท่านั้น พยายามเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ในเร็ววัน จะได้ไปถามกระบี่ ต่อมหามรรคาฟ้ าคราม มอบของขวัญกลับคืนแก่โจวมี่
ส่วนหมวกหัวเสือที่สวมไว้บนศีรษะ เมื่อก่อนถูกซิ่วไฉเฒ่าหลอก ถ่ายทอดโองการปลอม บอกว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ก าชับเอ่ย
เตือนซ้าไปซ้ามาว่าจะต้องรอให้เป็ นขอบเขตหยกดิบก่อนถึงจะถอด ออกได้
เพียงแต่ว่ารอกระทั่งเลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบแล้ว ป๋ ายเหย่กลับ เริ่มเคยชินกับสายตามีเลศนัยของเต้ากวานสายเซียนกระบี่ที่อาราม เสวียนตูดูแล้ว ไม่รู ้ว่าใครเป็ นคนพูดออกไปบอกว่าเขาตั้งใจฝึกกระบี่ เลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบก็เพื่อให้ได้ถอดหมวกหัวเสือที่น่าขันใบนั้น ออก ป๋ ายเหย่จึงคิดว่าถอดช ้าไปแค่ไม่กี่วันก็คงไม่เป็ นไร ก็แค่เลื่อน เป็ นขอบเขตหยกดิบเท่านั้น หรือว่าตนจะยังต้องจัด “งานพิธี” เฉลิม ฉลองให้ดีๆ ครั้งหนึ่งด้วย? รอกระทั่งเลื่อนเป็ นขอบเขตเซียนเหริน ป๋ ายเหย่ก็รู ้สึกว่าไม่สู้รอให้เป็ นขอบเขตบินทะยานก่อนค่อยถอด ทีเดียวถึงอย่างไรก่อนหน้าจะเป็ นขอบเขตบินทะยานเขาก็ไม่คิดจะ ออกไปข้างนอกอยู่แล้ว
คิดไม่ถึงว่าจวินเชี่ยนจะบอกว่าจะพาเขามาแจกันสมบัติทวีปใต้ หล้าไพศาลด้วยกัน
ไปๆ มาๆ ป๋ ายเหย่ก็สวมหมวกหัวเสือใบนี้ไว้ตลอดเวลา
เป็ นศัตรูกับใครในโลกมนุษย์? ถามกระบี่กันครั้งหนึ่ง? เพียงแต่ ว่าจะมีใครกล้ามาหาเรื่องตน? ด้วยนิสัยเย็นชาของป๋ ายเหย่แล้ว เขา ก็ไม่มีทางกินอิ่มว่างงานแล้วจงใจหาเรื่องสร ้างศัตรูให้ตัวเอง
หากจะพูดถึงการรับลูกศิษย์ ถ่ายทอดความรู ้หรือเวทกระบี่ให้กับ ใคร อันที่จริงป๋ ายเหย่กลัวความยุ่งยากนี้มากกว่า เขาเคยครุ่นคิดถึง
ภาพเหตุการณ์นี้อย่างจริงจัง แต่กลับคันพบว่าตัวเองไม่อาจสอนใคร ได้เลย
“อาจารย์ป๋ าย ข้าจะทดสอบปริศนาท่านข้อหนึ่งนะ? คนคนหนึ่งมี ห้องสามห้องที่ประตูสองบานเชื่อมต่อกันได้ ห้องที่คนผู้นี้ยืนอยู่ล้วนมี ข้าวของเครื่องใช ้ที่ใช ้งานได้ ห้องที่อยู่ติดกันกลับต่างออกไป ห้องมี ขนาดใหญ่มาก ของบางอย่างก็มีประโยชน์ บางอย่างก็ไม่มีประโยชน์ บางอย่างเจ้าของก็จ าได้ แต่คนนอกกลับไม่รู ้เลย บางอย่างแม้แต่ เจ้าของเองก็ยังจาไม่ได้ แต่คนนอกกลับจาได้ ส่วนห้องที่สามห้อง สุดท้ายก็ยิ่งมหัศจรรย์บางครั้งมีคนรู ้สึกว่าเปิดประตูห้องออก ด้านใน ล้วนเป็ นสีสันสดใส ต้องงดงามอย่างมากแน่นอน แต่บางครั้งก็มีคน รู ้สึกว่าด้านในต้องเป็ นสีเทาขมุกขมัว ถึงขั้นที่ว่าอาจดามืด ไม่มี ความหมายเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากจะเปิดออกดูด้วยซ้า อาจารย์ป๋ าย ท่านลองเดาดูสิว่า ห้องทั้งสามเรียกว่าอะไรบ้าง?”
ป๋ ายเหย่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
หมี่ลี่น้อยเอ่ยปลอบใจว่า “เดาได้ตามสบาย เดาไม่ถูกก็ไม่เป็ นไร นี่คือข้อที่เดาได้ยากที่สุดในบรรดาปริศนาเป็ นกระบุงโกยของข้า ระดับความยาก อย่างน้อยก็ต้องติดสามอันดับแรก!”
ป๋ ายเหย่เอ่ย “คาตอบใช่เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้หรือไม่?”
ดวงตาหมี่ลี่น้อยเป็ นประกายวาบ ยื่นปลาเล็กตากแห้งส่วน สุดท้ายให้กับป๋ ายเหย่ทั้งหมด เอ่ยชื่นชมจากใจจริงว่า “อาจารย์ป๋ าย
ความสามารถในการทายปริศนาของท่านร ้ายกาจพอๆ กับเจ้า ขุนเขาคนดีเลย!”
ป๋ ายเหย่ยิ้มพลางรับเอาปลาลาธารตากแห้งมาแค่ครึ่งเดียว ถาม ว่า “ใครเป็ นคนสอนปริศนาพวกนี้กับเจ้า?”
หมี่ลี่น้อยเคี้ยวปลาตากแห้ง โคลงศีรษะ ใช ้ส้นเท้าเคาะราวรั่ว เบาๆ “เจ้าขุนเขาคนดีสอนข้ามาแทบทั้งหมด แต่ว่าปริศนาที่เพิ่งถาม อาจารย์ป๋ าย ข้าเป็ นคนคิดเอง”
ป๋ ายเหย่ยิ้มเอ่ย “หมี่ลี่น้อย เจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งหรือไม่ ระหว่างฟ้ าดินมีต้นชุนต้นหนึ่งเป็ นเขตแบ่ง แบ่งออกเป็ นเหนือกับใต้ ทางเหนือมีปลา ทางใต้มีสระน้า ปลากลายเป็ นนกแบกขุนเขาสายน้า ไว้บนหลัง มีเรือน้อยขนาดเท่าเมล็ดงาอยู่บนหลังของมัน มันแบก น้าหนักมหาศาลมาพักพิงอยู่ที่สระ นกสามารถบินตามคลื่นทะเล เดินทางไปมาระหว่างเหนือกับใต้ได้”
หมี่ลี่น้อยเอ่ยอย่างตกตะลึง “บนโลกมนุษย์มีปลาใหญ่ขนาดนี้ได้ ด้วยหรือ เจ้าขุนเขาคนดีที่ความรู ้กว้างขวางก็ยังไม่เคยเล่าเรื่อง ประหลาดเรื่องนี้ให้ข้าฟังเลยนะ”
ป๋ ายเหย่พยักหน้า “ปลาใหญ่ตัวนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก บางทีอาจจะมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่พอๆ กับเหล้าทะเลสาบคนใบ้เลยล่ะ”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับแรงๆ หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
ป๋ ายเหย่ถาม “หมี่ลี่น้อย เจ้าจะอยากมีวิชาอภินิหารเช่นนั้น ไหม?”
หมี่ลี่น้อยส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่อยาก ข้าชอบอยู่ที่บ้าน ไม่ชอบ ออกเดินทางไกล”
พูดถึงแค่หน้าหนาวและหน้าใบไม้ผลิ ทุกวันที่ตื่นมาตอนเช ้า วิชาหมัดของนางไม่เก่งกาจ ขอบเขตต่าเกินไป แม้กระทั่งผ้าห่มที่ อบอุ่นผืนหนึ่งก็ยังเอาชนะไม่ได้ มักจะต้องต่อสู้กับผ้าห่มที่มีผู้ช่วย สองคนชื่อว่า “ความง่วง” และ “เย็นวาบๆ” อยู่เสมอ ทุกครั้งล้วน เอาชนะได้อย่างยากลาบาก หากไม่เป็ นเพราะมีหน้าที่ที่ต้อง ลาดตระเวนภูเขาในยามเช ้าตรู่ คาดว่านางก็คงจะนอนจนตะวันลอย สายโด่ง และตอนนั้นนางก็มีผู้ช่วยอยู่สองคนเหมือนกัน มีชื่อว่านาย ท่านดวงตะวันและสกุณาบนกิ่งไม้
ป๋ ายเหย่พยักหน้า บอกเป็ นนัยว่าตัวเองเข้าใจแล้ว
เขายื่นมือมาลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย
แม่นางน้อยรีบหันหัวหลบ ลูบไม่ได้ๆ เดี๋ยวจะตัวไม่สูง
คิดไม่ถึงว่าป๋ ายเหย่จะเป็ นฝ่ ายก้มตัวหันข้างมาให้ หมี่ลี่น้อยยื่น มือไปตบหมวกหัวเสือเบาๆ เอียงหัวหัวเราะร่า “วันนี้ตัวไม่สูง ถ้าอย่าง นั้นก็ค่อยว่ากันพรุ่งนี้แล้วกัน”
ป๋ ายเหย่ลูบหัวของแม่นางน้อย ยิ้มจนตาหยี ยกมือขึ้นตบเข่า เบาๆ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
จวินเชี่ยนที่พิงราวรั้วอยู่ห่างไปไกลคิดในใจว่า ใช่แล้ว สุราของ เช ้าวันนี้ ดวงจันทร ์ของภูเขาเอ๋อเหมย ความกลัดกลุ้มของวันพรุ่งนี้ กลุ่มยาวสามพันจั้ง ฟ้ าครามไพศาลมองไม่เห็นก้นบึง หนทางอันน่า หวาดหวั่น หน้าผาสูงชันจนคนมิอาจปืนป่ าย เป็ นเหตุให้ป๋ ายเหย่มิ อาจมีรอยยิ้มอย่างสบายใจ
หมี่ลีน้อยดวงตาเป็ นประกายแวววาว ใบหน้าแดงก่า เงี่ยหูรอฟัง ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ป๋ ายกาลังครุ่นคิดถึงบทกวีที่พอออกจาก ปากก็จะทิ้งชื่อเสียงไว้ได้นานพันปีอยู่หรือ?”
ป๋ ายเหย่ส่ายหน้ายิ้มตอบ “ในเมื่อฝึกกระบี่แล้วก็ต้องตั้งใจฝึกให้ ดี ก่อนหน้านี้มีข้อตกลงกับจวินเชี่ยนว่า วันหน้าข้าจะดื่มเหล้าแค่ บางครั้งเท่านั้น แต่จะไม่แต่งบทกวีอีก”
จวินเชี่ยนถอนหายใจ
ไม่มีป๋ ายเหย่ที่บทกวีไร ้เทียมทานอีกต่อไป โลกมนุษย์ต้องเงียบ เหงาไปอีกหลายพันปี
หมี่ลี่น้อยได้ยินอาจารย์ป๋ ายพูดอย่างนี้ก็รู ้สึกเสียใจเล็กน้อย และ ยังมีความผิดหวังอีกนิดหน่อย
เสียใจเพราะแม่นางน้อยรู ้สึกว่าดูเหมือนอาจารย์ป๋ ายเองก็เสียใจ
ส่วนความผิดหวังของหมี่ลี่น้อยนั้นเป็ นเพราะการที่หมี่ลี่น้อยมา พบอาจารย์ป๋ าย นางเองก็มีใจเห็นแก่ตัว ฮ่า ล าบากใจจริงๆ
หมี่ลี่น้อยคิดว่าหากสนิทกับอาจารย์ป๋ ายเมื่อไหร่ก็จะได้ช่วยขอบ ทกวีที่เป็ นวลีติดปากผู้คนสักบทมาให้กับภูเขาลั่วพั่วบ้านตน
เพราะถึงอย่างไรตนอยู่ภูเขาลั่วพั่วมานานขนาดนี้ก็ยังไม่เคย สร ้างคุณความชอบเลยสักกะนิด
พี่หญิงหน่ วนซู่มักจะชอบชมตน เผยเฉียนก็มักจะจดคุณ ความชอบของตนลงบนสมุดความดี แต่นางไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย รู ้ ว่าพวกนางแค่หยอกให้ตนมีความสุขเท่านั้น
แต่ก็ไม่เป็ นไร ถึงอย่างไรก็อ่านต าราพิชัยยุทธมามากมายขนาด นั้น สามสิบหกกลยุทธล้วนท่องจาขึ้นใจแล้ว เรื่องอย่างการสร ้าง คุณูปการนี้ ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!
วันนี้ได้พูดคุยกับอาจารย์ป๋ ายมากมายขนาดนี้ นางก็มีความสุข สุดๆ แล้ว!
ดังนั้นแม่นางน้อยจึงบอกให้อาจารย์ป๋ ายยื่นมือข้างหนึ่งออกมา
เด็กหนุ่มหมวกหัวเสือยังคงไม่เข้าใจความคิดของแม่นางน้อย แต่ กระนั้นก็ยังยิ้มพลางยื่นฝ่ ามือออกไปให้ เดาว่าหมี่ลี่น้อยจะหยิบเมล็ด แตงหรือไม่ก็ปลาน้อยตากแห้งออกมาจากชายแขนเสื้อไม่ก็กระเป๋ า ผ้าฝ้ ายหรือไม่
คาดไม่ถึงว่าหมี่ลี่น้อยจะแค่ยกหมัดขึ้น ก้มหน้าเป่ าลมลงไปบน หมัดเบาๆ แล้วเคาะลงบนฝ่ ามือของอาจารย์ป๋ ายเบาๆ หนึ่งที แบฝ่ า
มือออกเหมือนปล่อยของอะไรออกไป “ฮ่า อาจารย์ป๋ าย ไม่ต้องเสียใจ ข้าให้ท่านยืมความอารมณ์ดีและความสุขแล้ว!”
ป๋ ายเหย่หัวเราะ กามือเป็ นหมัด โบกข้อมือ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะ รับไว้อย่างไม่เกรงใจแล้วนะ”
โดยไม่ทันรู ้ตัวเวลาก็ผ่านพ้นไป หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กพูดคุยกันไป อย่างนี้ โลกมนุษย์กลายมาเป็ นค่าคืนที่แสงจันทร ์สาดส่องแล้ว แสง จันทร ์ส่องสว่างทั่วภูเขาลั่วพั่ว
หมี่ลี่น้อยแกว่งขาสองข้างอย่างคนไร ้ทุกข์ไร ้กังวล มองไปยังทิศ ไกลอยู่ในบ้านของตัวเอง
ป๋ ายเหย่ถาม “หมี่ลี่น้อย เจ้าว่าบนโลกมนุษย์มีคนที่เหมือนกับ เจ้าเยอะมาก แล้วก็มีคนที่ไม่เหมือนกับพวกเจ้าเยอะมาก ข้าจะพบ เจอหรือไม่พบเจอ พวกเจ้าก็ล้วนอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ละคนต่างก็มี พบมีพรากมีความสุขความทุกข์เป็ นของตัวเองใช่ไหม”
หมี่ลี่น้อยยกมือเกาแก้ม ตนคือภูตน้าใหญ่จากทะเลสาบคนใบ้นะ จึงตอบอย่างเขินอายว่า “น่าจะใช่ กระมัง?”
ไม่ได้ยินอาจารย์ป๋ ายพูดต่อ นางจึงหันหน้ามามอง เงยหน้าขึ้นก็ เห็นว่าอาจารย์ป๋ ายที่อยู่ข้างกายลุกขึ้นยืนแล้ว กาลังบิดขี้เกียจ เอ๊ะ คงไม่ใช่ว่าอาจารย์ป๋ ายจะแต่งบทกลอนแล้วหรอกนะ? ในต าราไม่ได้ มีค ากล่าวบอกว่า จิตใจเบิกบานเสรี ความคิดฮึกเหิมทะยานไกล หรอกหรือ?
ป๋ ายเหย่ก้มหน้าลงยิ้มเอ่ย “ไม่ได้จะแต่งบทกวี แต่วันหน้าเมื่อป๋ าย เหย่ส่งกระบี่ออกไปก็ถือเป็ นบทกวีเช่นกัน”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับอย่างแรง จดจาคากล่าวนี้ไว้เงียบๆ วันหน้า ต้องได้เอามาใช ้แน่นอน นางเคยยืมค ากล่าวมาจากหลิวสัปหงก จนถึงทุกวันนี้ยังไม่ได้ใช ้คืนเขาเลย ท่องอยู่ในยุทธภพ อยู่นอกบ้าน
อาศัยสหาย มียืมมีคืน ยืมอีกก็ไม่ยากอย่างไรล่ะ
เด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือผายฝ่ ามือข้างหนึ่งออกไป ป๋ ายเหย่ แห่งไพศาลในอตีดเซียนกระบี่แห่งใต้หล้ามืดสลัวในทุกวันนี้เอ่ยเสียง ก้องกังวานว่า “โชคชะตามีดีมีร ้าย ฝูงสกุณาส่งเสียงร ้องยามค่าคืน ใต้แสงจันทร ์มีเจ๋อเซียน ลมหายใจจากจมูกเป๋ าสายรุ ้งสายหมอก เหือดหาย ท่านทั้งหลายในภูเขาโปรดหยุดชนจอก เชิญมาชมมือ กระบี่อย่างข้าโบกมือกาหนดเมฆคล้อย เคลื่อนไหวสะบัดส่ายแสง ทิวา บัญชาการณ์ฟ้ าคราม!”
จวินเชี่ยนได้ยินถ้อยคาใหญ่โตประโยคนี้ก็ยิ้มอย่างชอบใจ สหายรักป๋ ายเหย่ย่อมยังคงเป็ นป๋ ายเหย่ ชีวิตนี้ชอบเรียกตัวเองว่ามือ กระบี่ด้วยความภาคภูมิใจ ก็แค่ว่าเปลี่ยนเส้นทางใต้ฝ่ าเท้าที่ก้าวเดิน ไปเท่านั้น
พื้นฐานคือบัณฑิต มีจิตใจที่สงบนิ่ง สร ้างผลแห่งมรรคา สุดท้ายกลายมาเป็ นเซียนกระบี่ป๋ ายเหย่ที่แท้จริง
และเวลานี้เองจวินเชี่ยนก็ได้ยินเสียงในใจที่ค่อนข้างจะกระอัก กระอ่วนจากป๋ ายเหย่
“จวินเชี่ยน ดูเหมือนว่าข้าจะได้เห็นใครบางคนเพิ่งกลายเป็ นผู้ ฝึ กกระบี่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ข้าสบตากับเขา เห็นว่าในใจเขามี ดอกบัวสีเขียวผลิบาน”
จวินเชี่ยนอึ้งตะลึง จากนั้นก็กระจ่างแจ้งโดยพลัน
ที่แท้ก็เป็ นอย่างนี้นี่เอง!
คิดดูแล้วในพื้นที่มงคลดอกบัวของอารามกวานเต๋าในอดีต กับ พื้นที่มงคลรากบัวของ ภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้
“ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่ม” ที่อยู่ในพื้นที่มงคลคนนั้น กับเซียนกระบี่ ป๋ ายเหย่ที่อยู่นอกพื้นที่มงคล อันที่จริงต่างก็มองเห็นตัวเอง