กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1066.1 ในปีหนึ่งที่เหล่าบุปผาประชันกันเบ่งบาน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1066.1 ในปีหนึ่งที่เหล่าบุปผาประชันกันเบ่งบาน
บนยอดเขาของภูเขาลั่วพั่ว ป๋ ายเหย่กับจวินเชี่ยนคนหนึ่งนั่งคน หนึ่งยืน พูดคุยกันถึงเรื่องแม่น้าสามสายในเมืองหงจู๋ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี แม่น้าอวี้เย่
หมี่ลี่น้อยขอตัวกลับไปแล้ว นางกระโดดโลดเต้น แบกคานหาบสี ทองไว้บนบ่า ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่เขียว สะพายกระเป๋ าผ้าฝ้ ายที่รัก ใบนั้น ตอนนี้ข้างในไม่มีกองกาลังอยู่ชั่วคราว
ป๋ ายเหย่ฟังเรื่องเล่าบางอย่างไปแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเฉิน คนนั้นของเจ้าช่างเป็ นคนที่พูดง่ายนัก”
จวินเชี่ยนอธิบาย “จูเหลี่ยนเคยออกหมัดที่แม่น้าอวี้เย่ ศิษย์น้อง เล็กก็เคยไปเป็ นแขกที่จวนวารี หากทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วยังไม่แล้ว ไม่เลิกอีกก็จะตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่าบีบคั้นคนอื่นมากเกินไป”
ป๋ ายเหย่ยิ้มรับ
จวินเชี่ยนกล่าว “ที่สาคัญที่สุดก็คือตัวหมี่ลี่น้อยเองรู ้สึกเกรงใจ ยิ่งภูเขาลั่วพั่วทามากเท่าไร ยิ่งสร ้างเรื่องใหญ่โตจนผู้คนพูดถึงกัน อย่างดุเดือดเท่าไร จานวนครั้งที่นางจะเงียบงันยามที่อยู่ลาพังบน ภูเขาก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น ขี้ขลาด เพราะรู ้สึกว่ายุทธภพข้างนอก ค่อนข้างอันตราย จึงไม่ค่อยกล้าออกจากบ้าน กับไม่ขี้ขลาด เพียงแต่ไม่ยินดีจะออกจากบ้าน ในเรื่องของสภาพจิตใจก็ถือว่า
แตกต่างกัน ดังนั้นในเรื่องนี้ศิษย์น้องเล็กจึงคิดพิจารณาอยู่นาน จาเป็ นต้องกะน้าหนักให้ดี ไม่อาจทาตามสิ่งที่ตัวเองต้องการฝ่ าย เดียวได้ ต้องรู ้ว่าคลื่นมรสุมครั้งนี้ หมี่ลี่น้อยอยากเก็บซ่อนไว้ แสร ้งทา เป็ นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแค่ว่าเผยเฉียนไปรู ้เข้าโดย บังเอิญ ในความเป็ นจริงแล้วหมี่ลี่น้อยอยากจะพูดอะไรบางอย่างมา โดยตลอด แต่กังวลว่าตัวเองจะพูดได้ไม่ดีท าให้พวกเผยเฉียนต้อง เสียใจ ก็เลยได้แต่เก็บไว้ในใจเรื่อยมา”
ป๋ ายเหย่พยักหน้า “ก็จริงนะ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องนี้ก็จะ ค่อนข้างยากแล้ว”
นี่แสดงให้เห็นว่าที่ก่อนหน้านี้ป๋ ายเหย่บอกว่าเฉินผิงอันปกป้ อง นางไว้เป็ นอย่างดี ก็ไม่ถือว่าเขาพูดผิด
จวินเชี่ยนยิ้มเอ่ย “ภายหลังจูเหลี่ยนยกตัวอย่างข้อหนึ่งให้หมี่ลี่ น้อยฟัง ใช ้น้าเสียงกึ่งๆ ล้อเล่นมาอธิบายเหตุผล ถึงได้ทาให้หมี่ลี่ น้อยคลายปมในใจได้อย่างสิ้นเชิง ว่ากันว่าพอได้ยินหมี่ลี่น้อยก็ ถึงกับกุมท้องหัวเราะก๊าก อารมณ์ดีจนลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น รู ้สึก ว่าค าพูดบางอย่างของพ่อครัวเฒ่าพูดได้ตรงใจตัวเองอย่างมาก”
ป๋ ายเหย่ถามอย่างใคร่รู ้ “ปมในใจประเภทนี้ของแม่นางน้อยก็ คลายได้ด้วยหรือ?”
จวินเชี่ยนพยักหน้า หยิบเหล้าหมักตระกูลเซียนไม่ทราบชื่อกา หนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เอ่ยเนิบช ้าว่า “ได้สิ จูเหลี่ยนเล่าเรื่อง
ภูเขาสายน้าของบ้านเกิดตัวเองให้นางฟังก่อนใช ้มันมาบรรยายถึง คลื่นมรสุมครั้งนี้ บอกว่าในยุทธภพมีสตรีที่ฐานะทางบ้านร่ารวยโดด เด่นคนหนึ่งเจ็บปวดจากความรัก นางก็เลยท าร ้ายให้ชายทรยศคน นั้นต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ตัวบุรุษเองก็ถูกตัดขา ชายทรยศผ่าน ความยากล าบากสุดแสนกว่าจะได้มาพบเจอนางเล่าเรื่องน่าสังเวช ของตัวเองให้นางฟังด้วยน้ามูกน้าตานองหน้า สตรียกคิ้วกิ่งหลิวขึ้น กัดฟันกรอด บอกว่าเจ้าก็แค่ขาหักต้องใช ้ไม้เท้า แต่ใจของข้าแหลก สลายไปแล้ว ใครน่าสงสารมากกว่ากัน? ตอนแรกหมี่ลี่น้อยฟังแล้วก็ รู ้สึกกลุ้มใจ ถามพ่อครัวเฒ่าว่าเป็ นเรื่องจริงหรือ จูเหลี่ยนบอกว่าเขา แต่งเรื่องเองส่งเดช หมี่ลี่น้อยถึงได้วางใจ ภายหลังจูเหลี่ยนถามหมี่ลี่ น้อยว่ายังโกรธอยู่อีกไหม หากยังโกรธข้าก็จะให้เหนียงเนียงเทพวารี ผู้นั้นเดินขากะเผลกมาขอโทษเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่ว หมี่ลี่น้อยตกใจมาก รีบบอกให้พ่อครัวเฒ่าสาบานว่าจะไม่ทาเรื่องเลวร ้ายเช่นนี้เด็ดขาด จากนั้นจูเหลี่ยนก็ถามหมี่ลี่น้อยว่าหากภูเขาลั่วพั่วของพวกเราคว้า จับเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมปล่อย ผู้พิทักษ์ขวาที่อันที่จริงข้ามผ่านมันมาได้ แล้วถึงได้รู ้สึกผิดอยู่ในใจตัวเองมาตลอด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร กลัว ว่าจะถูกเข้าใจผิดว่าตัวเองไร ้มโนธรรม ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดอะไรเลย สักอย่างใช่หรือไม่ หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับแรงๆ ดังนั้นจูเหลี่ยนจึง อธิบายให้นางฟังว่า เจ้าขุนเขาที่กลับมายังบ้านเกิดรู ้สึกอยุติธรรม แทนเจ้าจึงตั้งใจไปที่จวนวารีเพื่อตักเตือนเหนียงเนียงเทพวารี ทางอ้อม นี่ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะว่ามีแค้นแล้วต้องช าระ นอกจากจะช่วยทวงความยุติธรรมที่ควรต้องได้รับแทนเจ้าแล้ว ยัง
อยากจะให้ทั้งนางและจวนวารีจดจาให้ดี ถ้าอย่างนั้นหากวันหน้ายังมี คนต่างถิ่นอย่างหมี่ลี่น้อยไปเยือนอาณาเขตของจวนวารีแม่น้าอวี้ เจียงอีก ไม่ว่าจะเป็ นใคร มีสถานะอย่างไร ขอบเขตสูงหรือไม่ ก็จะไม่ ถูกพวกเขารังแกง่ายๆ อีกแล้ว พวกเขาจะไม่กล้าใช ้อ านาจข่มเหงคน อื่นอีก ดังนั้นจึงพูดได้ว่าเจ้าหมี่ลี่น้อยมีคุณความชอบ ไม่ได้เจ็บ ตัวอย่างเสียเปล่า หากครั้งนี้คุณชายไม่จัดการให้ดี ในอนาคตก็ อาจจะมีหมี่ลี่น้อยอีกหลายคนที่จวนวารีของแม่น้าอวี้เย่ทาผิดใส่ครั้ง แล้วครั้งเล่า บางครั้งอาจแตะไปโดนแผ่นเหล็ก แต่พวกเขาก็ยังไม่ รู ้สึกว่าตัวเองผิด อย่างมากก็แค่รู ้สึกว่าป้ ายจวนวารีของบ้านตนไม่ โด่งดังมากพอ หมัดของเหนียงเนียงเทพวารีไม่แข็งมากพอ หมี่ลี่น้อย เจ้าคิดว่าหากเป็ นเช่นนี้ดีหรือไม่? หมี่ลี่น้อยพูดเสียงดังว่าไม่ดี ไม่ดี จู เหลี่ยนยิ้มเอ่ยว่าถ้าอย่างนั้นคราวก่อนที่คุณชายพาเจ้าไปเป็ นแขกที่ จวนวารีก็มีความรู ้แล้ว ทั้งไม่ได้บุกไปเอาเรื่องเหนียงเนียงเทพวารี อย่างดุดัน แต่ก็ไม่ได้ปล่อยผ่านไปง่ายๆ นี่ก็เหมือนว่าคุณชายได้ทิ้ง รองเท้าข้างหนึ่งไว้ที่จวนวารี ในเมื่อทิ้งรองเท้าไว้ในบ้านคนอื่น ถ้า อย่างนั้นไม่ช ้าก็เร็วต้องมาเอากลับคืนไป เหนียงเนียงเทพวารีและ จวนวารีแม่น้าอวี่เจียงต้องระวังตัวไว้สักหน่อย คราวก่อนเจ้าขุนเขา เฉินไม่ได้เดือดดาลปานฟ้ าผ่า ไม่ได้ถือสาจวนวารีมากมายถ้าอย่าง นั้นคราวหน้าที่มาเยือนจะเอาบัญชีเก่าบัญชีใหม่มาคิดรวมกัน รวม โทษสองครั้งลงทัณฑ์พร ้อมกันเลยหรือไม่? หมี่ลี่น้อยเอ่ยชื่นชมไม่ ขาดปาก เจ้าขุนเขาคนดีเก่งเหลือเกิน คนเก่าแก่ในยุทธภพ สมกับ เป็ นคนเก่าแก่ในยุทธภพจริงๆ สุดท้ายจูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยว่า หมี่ลี่น้อย
ทุกวันนี้เจ้าออกจะขี้ขลาดไปสักหน่อย ไม่ค่อยกล้าออกไปเที่ยวเล่นที่ อื่นนอกภูเขาลั่วพั่วแล้ว แล้วเจ้าคิดว่าเหนียงเนียงเทพวารีจะกล้า ออกมาจากศาลและจวนวารีง่ายๆ หรือ ความใจกล้าของนางใหญ่ไม่ เท่าเมล็ดข้าวสารด้วยซ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่นอกจากพวกเรา แล้วก็ได้ยินมาว่าเว่ยซานจวินที่เป็ นหัวหน้าของนางคล้ายจะเคย แนะนานางไปหนึ่งประโยค บอกกับนางว่าไม่ต้องคิดมาก โทษทัณฑ์ ไม่ร ้ายแรงถึงกับต้องตาย หมี่ลี่น้อย เจ้าฟังดูสิ นี่ใช่ซ่อนมีดไว้ใน รอยยิ้ม เปี่ยมไปด้วยปราณสังหารหรือไม่ ทาเอาเหนียงเนียงเทพวารี ตกใจแทบตายหากเรื่องราวแค่ดาเนินมาถึงตรงนี้ก็คงไม่มีอะไร แต่หมี่ ลี่น้อยอารมณ์ดีอยู่ในเรือนของจูเหลี่ยนไปแล้ว วันนั้นก็ปลุกความ กล้าแอบวิ่งไปนับต้นไม้ในป่ าไผ่ขนาดเล็กของภูเขาพีอวิ๋นมารอบ หนึ่ง ส่วนหมี่ลี่น้อยจะคุยอะไรกับเว่ยซานจวินที่รีบปรากฏตัวอย่าง ว่องไวบ้าง ดูเหมือนว่าจะเป็ นปริศนาที่พวกเขาเกี่ยวก้อยสัญญากัน ว่าจะไม่พูดถึงเด็ดขาดไปแล้ว”
ป๋ ายเหย่ยิ้มเอ่ย “หาได้ยากนักที่เจ้าจะพูดรวดเดียวยาวๆ เช่นนี้ มี เนื้อหาแล้ว แล้วหัวข้อล่ะ?”
สหายรักจวินเชี่ยนไม่ใช่คนที่ถนัดพูดคุย ในอดีตตอนเดินทางไป เยือนภูเขามีชื่อเสียงด้วยกัน จวินเชี่ยนทั้งไม่ชอบคุยเรื่องในยุคบรรพ กาล แล้วก็ไม่ยินดีจะพูดคุยเรื่องการไปขอศึกษาต่อในสายบุ๋นของ ตัวเองด้วย
จวินเชี่ยนกล่าว “ขอแค่ไม่ใช่ขอบเขตสิบห้าก็มีแต่จะเป็ นใบไม้ บังตา”
ป๋ ายเหย่จับประคองหมวกหัวเสือ เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ขอบเขตสิบห้าเลยนะ”
จวินเชี่ยนพลันยิ้มเอ่ย “จะพาเจ้าไปที่โรงเรียน เจ้าจะกินเมล็ด แตงกับปลาตากแห้งเปล่าๆ ไม่ได้ ต้องช่วยศิษย์น้องเล็กของข้าท า อะไรเล็กๆ น้อยๆ ด้วย”
จากนั้นป๋ ายเหย่ก็ถูกจวินเชี่ยนที่หดย่อพื้นที่ลากไปถึงห้อง หนังสือสะอาดสะอ้านของโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมลาธาร จวิน เชี่ยนหยิบสมุดต้นฉบับเล่มหนึ่งขึ้นมา พลิกเปิ ดไปหน้าหนึ่งอย่าง คล่องแคล่ว เรื่องราวในตาราเขียนถึงตอนที่จอมยุทธพเนจรในยุทธ ภพกับภูตน้าใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้พลัดหลงเข้าไปในภูเขาเซียน เรื่องราวบรรยายว่าพวกเขาได้บังเอิญไปเจอกับยอดฝี มือผู้บรรลุ มรรคาสามคนที่มีมาดองอาจ ทั้งสองฝ่ ายประลองบทกวีกัน แล้วพวก เขาก็กลับมาพร ้อมกับชัยชนะ ป๋ ายเหย่กวาดตามองไปรอบด้าน เดา ออกว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่เจ้าขุนเขาเฉินเป็ นอาจารย์สอน หนังสือ จวินเชี่ยนกางหน้าหนังสือต้นฉบับในมือออก บอกป๋ ายเห ย่ว่าอย่ามัวยืนซื้อ รีบขยับเข้ามาอ่านใกล้ๆ
ป๋ ายเหย่เดินเข้าไปอ่าน กวาดตามองสามสี่ทีก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว ด้วย ผลคือถูกจวินเชี่ยนกดหมวกหัวเสือเอาไว้ ยิ้มเอ่ยอย่างฉุนๆ ว่า
“ยังไม่มีน้าใจในยุทธภพอีกหรือ เร็วเข้า ข้าจะช่วยฝนหมึกให้ เจ้า อย่าได้คิดหนีเชียว”
ที่แท้ในต้นฉบับเล่มนี้ก็เขียนเนื้อหาในช่วงประลองบทกวีไว้ไม่สั้น แต่ทุกครั้งที่จอมยุทธเด็กหนุ่มแซ่เฉิน “ร่ายบทกวี” เนื้อหาในช่วงของ บทกวีล้วนถูกปล่อยว่างเอาไว้
แต่ทุกครั้งที่พระเอกร่ายบทกวีไปแล้ว เซียนซือในภูเขาที่มีชาติ ก าเนิดมาจากภูต แต่กลับชอบแสร ้งทาตัวมีรสนิยมสูงพวกนั้น พอ ได้ ยิน” บทกวีที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถทางวรรณกรรมซึ่งเกิดจาก แรงบันดาลใจอันแรงกล้าของจอมยุทธน้อยเฉินแต่ละบทแล้ว จาก แรกเริ่มสุดที่พวกเขาไม่เห็นด้วยเลยสักนิด ไปถึงการไม่ปิดบังสีหน้าดู แคลนของตัวเอง จนกระทั่งแต่ละคนลูบหนวดครุ่นคิดไม่พูดไม่จา ใน ใจสะท้านสะเทือนอย่างหนัก ต่อมาก็ถึงกับเอ่ยชื่นชมอย่างไม่ออมคา ตื่นตะลึงว่าเขาช่างมีพรสวรรค์ สุดท้ายก็ยอมแพ้ ยอมศิโรราบให้ทั้ง กายและใจ…ในส่วนนี้เขียนได้ละเอียดยิ่งนัก ไม่ขี้เหนียวตัวอักษรเลย แม้แต่น้อย ท าให้คนที่เปิดอ่านอย่างป๋ ายเหย่และจวินเชี่ยนสองคน เห็นตัวอักษรเหมือนได้พบหน้า
เจ้าขุนเขาเฉินผู้นี้ไม่มีพรสวรรค์ด้านบทกวีถึงขนาดนี้เชียวหรือ? กลอนสิบกว่าบทล้วนปล่อยว่างไว้ทั้งหมด
แต่งกลอนมีอะไรยากกัน?
จวินเชี่ยนหันไปหยิบจานฝนหมึกมาแล้ว เขาเทน้าเริ่มฝนหมึก อยู่ข้างๆ ป๋ ายเหย่โคลงศีรษะกล่าว “บอกแล้วว่าจะไม่แต่งกลอน ข้า ไม่ได้ล้อเล่นนะ”
จวินเชี่ยนยิ้มเอ่ย “ใช ้กลอนเก่าของเจ้า”
ป๋ ายเหย่เอ่ยตามสัตย์จริง “ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู ้เสียหน่อย กลอนที่เคย แต่งไปแล้ว ส่วนใหญ่ข้าล้วนลืมไปหมดแล้ว ส่วนที่ยังไม่ลืม ส่วนมาก ก็ถูกพวกชอบสอดรู ้สอดเห็นเอาไปรวบรวมเป็ นเล่มแล้วแพร่ไปทั่วใต้ หล้า ข้าคัดลอกเองกับเฉินผิงอันคัดลอกกลอนของข้า จะมีอะไรต่าง? ไม่สู้ให้เขาเปลี่ยนไปคัดลอกกลอนที่ไม่ค่อยมีใครรู ้จักยังดีเสียกว่า”
จวินเชี่ยนกล่าว “กลอนที่เจ้าทิ้งไปไม่เอามาใช ้ ข้าล้วนจาได้ หมด ข้าพูดแล้วเจ้าเขียนก็แล้วกัน ส่วนหัวข้อเจ้าก็คิดเอาเอง”
ป๋ ายเหย่พลิกเปิ ดหน้าหนังสือต้นฉบับจนไปเจอเนื้อหาส่วน สุดท้ายที่เขียนบทใหม่ล่าสุดเอาไว้ เขาพบว่าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็ น เรื่องเล่าแห่งภูเขาสายน้าระหว่างจอมยุทธน้อยกับภูตน้าใหญ่ ทะเลสาบคนใบ้ทั้งสิ้น ไม่ใช่เฉินผิงอันโอ้อวดความดีของตนหรือเกิด ขึ้นมาจึงแต่งนิยายเอาอย่างรองเจ้าลัทธิหันของศาลบุ๋น ป๋ ายเหย่จ า ได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนบนยอดเขา หมี่ลี่น้อยบอกว่าครั้งแรกที่นางออก ท่องยุทธภพก็เหมือนจะเพื่อไปตามหาบัณฑิตคนหนึ่งที่เคยผ่านทาง มาซึ่งติดค้างเรื่องเล่าของนาง?
หากไม่เป็ นเพราะเห็นแก่หน้าหมี่ลี่น้อย ป๋ ายเหย่ก็ไม่ยินดีจะท า เรื่องพวกนี้ด้วยซ้าเหลวไหลชะมัด ต่างจากเขาสวมหมวกหัวเสือสอง ใบไว้บนศีรษะตรงไหน?
ป๋ ายเหย่นั่งลงบนเก้าอี้ รับพู่กันที่จวินเชี่ยนส่งมาให้ ครุ่นคิดอยู่ ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “จาได้ว่าคราวก่อนที่เดินทางไปเยือนหลูซาน ดู เหมือนจะมีกวีอักษรโบราณและกลอนเจ็ดอยู่สองบทที่เขียนได้ไม่เลว เลย”
จวินเชี่ยนเอ่ยเตือน “ห้ามใส่อารมณ์แห่งกวีของบนยอดเขาไป ทันทีเด็ดขาด กวีบทแรกๆ ต้องเก็บออมฝีมือไว้สักหน่อย กวีสิบสอง บทนี้ต้องค่อยๆ ไต่ระดับความสามารถด้านวรรณกรรมไปอย่างเป็ น ลาดับขั้นตอน โดยเฉพาะบทสุดท้ายที่ต้องคู่ควรกับคาตกตะลึงและ คาชมเชยอย่างไพเราะของเซียนซือทั้งสามคนในเรื่องด้วย….”
ป๋ ายเหย่เงยหน้า พูดมากขนาดนี้ เจ้ามาเขียนเองเลยไหม?
จวินเชี่ยนพูดกลั้วหัวเราะ “เจ้าอารมณ์ไม่เบา หากข้าเป็ นศิษย์ น้องเล็กจะยืนถือก้อนอิฐอยู่ตรงนี้เลยล่ะ”
ก่อนที่ป๋ ายเหย่จะจรดพู่กัน ได้ถามว่า “การพิศมรรคาครั้งนี้ ติด ค้างน้าใจครั้งใหญ่ต่อเฉินผิงอัน จะคิดกันอย่างไร?”
หากเฉินผิงอันวางแผนมานานแล้ว แต่กลับถูกคนนอกอย่างตน ชิงตัดหน้าไปก่อนน้าใจที่ติดค้างก็จะยิ่งใหญ่มากกว่าเดิมแล้ว
จวินเชี่ยนบอกกลอนเก่าบทหนึ่งออกไปก่อน แล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้า คือสหายรักของข้าเขาคือศิษย์น้องเล็กของข้า ถ้าอย่างนั้นก็อิงตาม กฎเดิม ข้าไม่ช่วยใครทั้งนั้น พวกเจ้าปรึกษากันเอาเอง”
ป๋ ายเหย่เตรียมจะเขียน จวินเชี่ยนก็พลันเอ่ยว่า “ปีนั้นศิษย์พี่ชุย เคยบอกว่าเจ้าเขียนอักษรแบบหวัดพอใช ้ได้ เพราะถึงอย่างไรบทกวี ที่มีชื่อเสียงก็วางอยู่ตรงนั้น นักเขียนพู่กันจีนในโลกยุคหลัง ไม่ว่าใคร ก็ยินดีจะฝืนใจเอ่ยชมเชย ไม่อย่างนั้นพูดถึงแค่เทียบอักษรชิ้นนั้นที่ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็ นของจริงหรือไม่ ศิษย์พี่ชุยก็บอกแล้ว ว่าเขาเอานิ้วเท้าคีบถ่านก้อนหนึ่งที่เก็บมาจากที่ตักขยะเขียนก็ยัง เขียนได้ดีกว่าเจ้า แต่ต้นฉบับเล่มนี้ของศิษย์น้องเล็กเขียนอักษร บรรจงเล็กจานฮวาที่มีฝีมือมากเสียด้วย เจ้าอย่าให้เผยพิรุธเด็ดขาด เชียว หากไม่ได้จริงๆ ให้ข้าเขียนเองดีกว่าไหม? อักษรบรรจงเล็กที่ ข้าเขียนต้องสวยกว่าเจ้าแน่นอน”
ป๋ ายเหย่ท าท่าจะวางพู่กัน อยากเขียนก็มาเขียนเองเถอะ ข้าไม่ ปรนนิบัติเจ้าแล้ว
จวินเชี่ยนร ้องเฮ้อด้วยน้าเสียงที่เป็ นเอกลักษณ์ของอาจารย์ ตนเอง “ไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว เจ้าวาดยันต์ผีของเจ้าต่อไปเถอะ”
ป๋ ายเหย่พลันถามว่า “ชุยฉานเคยพูดแบบนี้จริงๆ หรือ?”
จวินเชี่ยนพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่ชุยไม่เคยพูดจาวางโต เจ้าไม่ ชอบฟังก็ได้แต่อดทนฟังไปแล้ว”
ป๋ ายเหย่ทนแล้วทนอีก สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหวเอ่ยคัมภีร ์สาม อักษรมาคาหนึ่ง
จวินเชี่ยนเดินไปผลักหน้าต่างเปิ ดออก เหลือบมองป๋ ายเหย่ กลอนบทหนึ่งเขียนเสร็จแล้ว เขาก็บอกกลอนบทเก่าอีกบท ยิ้มเอ่ยว่า “ที่นี่มีเด็กนักเรียนสามคนลาออกกลางคันไปเรียนที่โรงเรียนข้างกัน แทน มิน่าเล่าหมี่ลี่น้อยของพวกเราถึงได้พูดว่าโมโหมากนะ”
ป๋ ายเหย่ก้มหน้า “คัดบทกวี” พลางถามชวนคุยว่า “ที่โรงเรียน แห่งนี้มีนักเรียนประถมทั้งหมดกี่คน?”
จวินเชี่ยนยิ้มเอ่ย “ดูเหมือนว่ารวมๆ แล้วก็มีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น โชคดีที่ก่อนหน้านี้ไม่นานรับหนิงขี่มาเป็ นลูกศิษย์ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ พอให้สองมือนับแล้วล่ะ”
ป๋ ายเหย่ได้ยินแล้วก็หัวเราะ
เรื่องน่าอายของบัณฑิตอย่างพวกเราไม่อาจบอกกล่าวแก่คน นอกได้จริงๆ
ในภูเขา พี่น้องสามคนที่เดิมทีแค่อยากจะปิดประตูจิบเหล้ากัน เล็กน้อย รอกระทั่งป๋ ายเติงได้รู ้ว่าบุรุษก าย าบนยอดเขาคือใคร และ เด็กหนุ่มที่สวมหมวกหัวเสือคนนั้นคือใคร…
เหล้ามื้อนี้ก็ดื่มกันอย่างเต็มคราบ มิอาจหยุดยั้งได้อีก
ทุกวันนี้พวกเขาสามคนถูกชะตากันมากจริงๆ รับกันเป็ นพี่น้อง ร่วมสาบานแล้ว หากอิงตามล าดับอาวุโสและอายุขัยการฝึกตนก็จะ เรียงจากป๋ ายเติง เฉิงฉว่อ เกาเกิง