กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1066.2 ในปีหนึ่งที่เหล่าบุปผาประชันกันเบ่งบาน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1066.2 ในปีหนึ่งที่เหล่าบุปผาประชันกันเบ่งบาน
ป๋ ายเติงคุยถึงวันเวลาอันรุ่งโรจน์ของเผ่าตัวเองเมื่อสามพันปี ก่อน อิ๋นลู่พูดถึงว่า บรรพบุรุษของตนมือเติบเพียงใดตอนอยู่ที่นคร เซียนจานบ้านเกิดในเปลี่ยวร ้าง เกาเกิงก็คุยถึงเรื่องการวางแผนปัด แข้งปัดขากันเองของภูเขาชิงกง ภายนอกแสดงออกว่ามีหน้ามีตาแต่ ภายในมีแต่ความน้อยเนื้อต่าใจเต็มท้องอย่างไร บอกว่าตาแหน่งเจ้า สานักเบื้องล่าง เดิมทีเอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง ตอนนั้นอาจารย์ก็ พยักหน้าตอบตกลงแล้ว แต่กลับถูกศิษย์พี่ชายที่เคารพครูบา อาจารย์และศิษย์พี่หญิงที่รักแอบเล่นงานอย่างลับๆ ยอมมอบให้คน นอกมากกว่าจะยอมช่วยเหลือศิษย์น้องของตัวเอง…พวกพี่น้อง ทั้งหลายต่างก็พูดคุยถึงเรื่องที่ตัวเองเสียใจ ขณะที่กาลังดื่มกันอย่าง ฮึกเหิม เกาเกิงจึงถามว่าจะให้เรียกเฉินหลิงจวินมาดื่มด้วยกันไหม สหายรักสองคนที่เดิมทีนั่งเมาตาปรืออยู่ข้างโต๊ะพลันสร่างเมาขึ้นมา ได้หลายส่วน บอกเกาเกิงว่าให้ยับยั้งตัวเองหน่อย อย่าวู่วามเด็ดขาด
คุยกันถึงเรื่องของการเปลี่ยนชื่อเป็ น “เฉิงฉว่อ” และ “นามรื่ อจาง” ในทุกวันนี้ เกาเกิงกับป๋ ายเติงต่างก็เอ่ยชมไม่หยุดปาก รู ้สึก นับถือยิ่งนัก คนหนึ่งบอกว่าสหายชิ้นลู่มีความรู ้ความสามารถอย่าง แท้จริง อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่เสียแรงที่เป็ นวิถีแห่งวิญญูชน แม้จะเก็บ งาอาพราง แต่ก็ต้องค่อยๆ ส่องประกายแสงขึ้นมา วิญญูชนซ่อนคม ไว้ในฝักอย่างลึกซึ้งมองการณ์ไกล ถ่อมตนไม่แย่งชิง คนทั่วไปยาก
จะเข้าใจ มีเพียงยามที่พบเจอเหตุการณ์จึงจะเปล่งประกายให้เป็ นที่ ประจักษ์ ทาหน้าที่ที่พึงปฏิบัติอย่างไม่เกี่ยงงอน…..
อิ๋นลู่ท าสีหน้าขลาดๆ จะพูดไม่พูด สุดท้ายก็ยังไม่ได้บอกความ จริงแก่พี่น้องร่วมสาบานทั้งสองว่า ก่อนหน้านี้ตนถูกอิ่นกวานหนุ่มจับ ขังเอาไว้ ทุกวันต้องเขียนอะไรบ้าง ฝ่ ายหลังมักจะมาตรวจเนื้อหาเป็ น ประจ า บอกกับอิ๋นลู่ว่าในเมื่อทุกวันนี้เป็ นนักเขียนนิยายครึ่งตัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เอาท่าทีจริงจังที่ “ทาอาชีพอะไรก็รักอาชีพนั้น ทุก อาชีพล้วนมีจ้วงหยวนออกมา ทุกวันพยายามเขียนบทความให้ ได้มากหน่อย จะสั้นหรือยาวไม่เป็ นปัญหา สาคัญที่ ความจริงใจ ทุก ตัวอักษรอย่าได้เขียนส่งๆ ให้จบเรื่องกันไป….
เรือนของเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอยู่ห่าง กันไม่ไกล
คืนนี้ในเมื่อไม่มีเหล้าให้ดื่ม เฉินหลิงจวินที่ไม่มีอารมณ์จะฝึกตน จึงมานั่งเหม่อที่ขั้น บันได แล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน หยิบหินก้อนหนึ่งใน ลานบ้านขึ้นมาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ขว้างไปบนหลังคาเรือนของ บ้านอีกหลัง ก้อนหินกลิ้งดังขลุกๆ เพียงไม่นานก็มีเสียงตวาดในใจ ของเด็กโง่ผู้นั้นดังขึ้นมา เฉินหลิงจวิน เจ้าไม่ร าคาญบ้างหรือไร?! เฉินหลิงจวินท าหน้าเหลอหราใช ้เสียงในใจถามว่า หน่วนซู่ อะไรของ เจ้า เจ้าอย่าได้เข้าใจคนอื่นผิดแบบนี้สิ ที่บ้านถูกโจรปล้นหรือไร? หน่วนซู่เอ่ยอย่างเดือดดาลว่าหากเจ้ายังทาตัวน่าเบื่อแบบนี้อีก พรุ่งนี้ ข้าจะไป บอกนายท่านเจ้าขุนเขาแล้วนะ! ต่อให้เฉินหลิงจวินจะไม่
กลัวฟ้ าไม่กลัวดินแค่ไหน แต่เขากลับกลัวถูกฟ้ องเรื่องนี้มากที่สุด ได้ แต่อธิบายอย่างขลาดๆ ว่าเมื่อครู่ข้าเปิดอ่านตาราลับที่ใช ้ฝึกวิชาน้า โดยเฉพาะ อ่านเจอจุดที่ตรงใจก็เลยอดเอาอย่าง ร่ายมรรคกถาที่ยัง ฝึกไม่ส าเร็จออกไปไม่ได้…ไม่รอให้เฉินหลิงจวินพูดจบ นังเด็กโง่ที่ นิสัยใจร ้อนเจ้าอารมณ์ผู้นั้นก็เริ่มสั่งสอนคนอื่นอีกครั้ง แต่งเรื่อง แต่ง เรื่องของเจ้าต่อไปสิ ทางที่ดีที่สุดก็แต่งชื่อหนังสือแล้วก็เนื้อหามา พร ้อมกันเลยด้วยสิ!
โชคดีที่เจียงซ่างเจินซึ่งบังเอิญนั่งอยู่บนหลังคาเรือนของเขา พอดียิ้มถามว่า “หน่วนซู่จึงชิง พวกเจ้าทะเลาะอะไรกันหรือ”
หน่วนซู่ยอบกายคารวะโจวอันดับหนึ่งแล้วกลับเข้าไปในห้อง ของตัวเอง บนโต๊ะของนางมีแต่สมุดบัญชีที่เอาไว้จดบันทึกค่าใช ้จ่าย ยิบย่อยโดยเฉพาะ ไม่มีเวลาว่างมาสนใจเจ้าคนที่ไม่ทาอะไรเป็ นการ เป็ นงานอย่างเฉินหลิงจวินนั่นหรอก
เฉินหลิงจวินดีดปลายเท้าลอยตัวไปยังหลังคาเรือนของโจว อันดับหนึ่ง กดเสียงลงต่าเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยความกระอักกระอ่วน เล็กน้อย โจวอันดับหนึ่ง นางเป็ นแม่นางน้อยคนหนึ่ง แต่กลับดุดัน ขนาดนี้ วันหน้าจะออกเรือนได้อย่างไร ว่าไหม
เจียงซ่างเจินเอนกายนอนหงาย ศีรษะหนุนหมอนหยกใบหนึ่ง สองมือวางทับซ ้อนกันไว้บนหน้าท้อง ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าว่าหน่วนซู่ไม่ต้อง กลัดกลุ้มเรื่องออกเรือนหรอก”
เฉินหลิงจวินเปลี่ยนเรื่องคุย “ในเมื่อค่าคืนยาวนานแต่นอนไม่ หลับ ท าไมโจวอันดับหนึ่งไม่ดื่มเหล้าล่ะ”
เจียงซ่างเจินลืมตามองฟ้ า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ากาลังคิดไปเรื่อย เปื่อยว่าด้านล่างภูเขาสูง ชายเมฆย้อยลงมา ดูจากท่าทางแล้วน่าจะมี ฝนตกกระหน่า ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ควรจะหลบฝนอยู่ใต้ชายคาหรือว่า ควรจะถือถังน้าใบใหญ่ไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถืออ่างไป ใหญ่ออกไปรองรับน้าฝนดี”
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความมึนงง ถึงแม้จะแพ้ที่ตัวคน แต่จะไม่ยอม แพ้มาดเด็ดขาดเขาจึงเริ่มพูดจาเหลวไหลว่า “นี่ก็ยังไม่ง่ายอีกหรือ หากว่าน้าฝนเอามาใช ้แทนเงินได้ คอยดูเถอะว่าในลานบ้านของข้า จะวางถ้วยโถโอชามไว้จนเต็มเลยหรือไม่!”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “เว่ยซานจวินยังพอมีฝี มืออยู่บ้าง หาก เปลี่ยนข้าไปเป็ นซานจวินฉายาที่ดีที่สุดที่พอจะคิดได้ก็คงจะเป็ นแค่ “หลิงเจ๋อ” เท่านั้นแล้ว”
อันที่จริงในความเห็นของเจียงซ่างเจิน หากเว่ยป้ อแห่งภูเขา พีอวิ๋นตั้งฉายาเทพให้ตัวเองว่า “หลิงเจ๋อ” อันที่จริงนี่ก็เป็ นตัวเลือกที่ ไม่เลว ผลประโยชน์ที่จะได้รับในช่วงสั้นๆ จะมากกว่า “เย่โหยว” เพราะสอดคล้องกับ “ฟ้ าอานวย” ที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหมื่นปีมาก ที่สุด แน่นอนว่าหากมองในระยะยาว บางทียังคงเป็ นเย่โหยวที่มั่นคง มากกว่า ผลประโยชน์บนมหามรรคาเป็ นดั่งน้าเส้นเล็กไหลยาว
เฉินหลิงจวินนอนเอนกายลงบนหลังคา เจียงซ่างเจินพลันยื่นมือ มาคว้าแขนของเด็กชายชุดเขียว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จิ่งชิง ค าพูดจาก ใจจริงที่ข้าเอ่ยชื่นชมผู้คุมกฏฉางมิ่งตอนอยู่บนโต๊ะเหล้า ใครเป็ นคน พูดออกไป?”
เฉินหลิงจวินรีบลุกขึ้นนั่ง ไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทางเหมือนวัวสัน หลังหวะ กลับกันยังมีสีหน้าล าพองใจ ยกสองแขนกอดอก พูดขอ ความดีความชอบจากโจวอันดับหนึ่งว่า “ต้องเป็ นข้าที่พูดอ้อมๆ ให้ หมี่ลี่น้อยฟังน่ะสิ แล้วค่อยให้เทพรายงานข่าวน้อยอย่างนางนาความ ไปบอกต่อผู้คุมกฏฉางมิ่งอีกที โจวอันดับหนึ่งเจ้าคิดดูนะ เจ้าเองก็ โสดมานานหลายปีแล้วรูปโฉมหล่อเหลา บ้านก็รวย นอกจากอายุ มากไปสักหน่อยก็ไม่มีข้อบกพร่องอะไรอีกแล้วไม่ใช่หรือ? ไม่มี ข้อบกพร่องแน่นอน! ผู้คุมกฏฉางมิ่งของพวกเราก็โสดเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่แค่มองก็รู ้ว่านางไม่ชอบหนุ่มน้อยหน้าอ่อนที่ ไม่หนักแน่น เมื่อเป็ นเช่นนี้พวกเจ้าสองคน ชายยังไม่ได้แต่งงานหญิง ยังไม่ได้ออกเรือน ท าไมไม่มาอยู่ด้วยกันเลยเล่า? ผู้ชายจีบผู้หญิง เหมือนมีขุนเขาหนาชั้นกั้นขวาง แต่ผู้หญิงจีบผู้ชายเหมือนมีแค่ม่าน โปร่งกางกั้น ก็ข้ารู ้สึกว่าโจวอันดับหนึ่งไม่สะดวกจะเปิดปากพูด หาก เปลี่ยนเป็ นผู้คุมกฏฉางมิ่งที่มีความคิดนั้นอยู่ แล้วนางแพร่งพรายให้ หมี่ลี่น้อยรู ้จากนั้นก็มาพูดให้ข้าได้ยิน ข้าเอามาเล่าต่อให้โจวอันดับ หนึ่งฟังอีกที หึ นี่ก็สาเร็จแล้วไม่ใช่หรือ?! คนหนึ่งเป็ นผู้คุมกฏ คน
หนึ่งเป็ นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง อย่างพวกเจ้านี่เรียกว่าคู่สร ้างคู่สม สานต่อสายสัมพันธ ์ให้ยิ่งแนบแน่นขึ้นกว่าเดิม!”
ต่อให้เป็ นเจียงซ่างเจินที่เห็นโลกมามากก็ยังอึ้งค้างไร ้คาพูดไป นาน เขายังรู ้สึกหวาดผวาไม่หาย เอ่ยเสียงสั่นว่า “ข้าต้องขอบคุณ เจ้านะ เป็ นพ่อสื่อเช่นนี้ วันหลังไม่ต้องเป็ นแล้ว”
เฉินหลิงจวินกดเสียงลงต่าถามว่า “ทาไม รู ้สึกว่าไม่เหมาะสม หรือ หรือเป็ นเพราะโจวอันดับหนึ่งสายตาสูง รู ้สึกว่านิสัยของผู้คุมกฏ ฉางมิ่งของพวกเราเย็นชาไปสักหน่อย ไม่ถูกใจเจ้า หึ นี่ก็คือเจ้าไม่รู ้ ความแล้วนะ คนบ้าตัณหาสองคนอย่างพ่อครัวเฒ่าและพี่น้องต้าเฟิง ต่างก็เอ่ยหลักการเหตุผลที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร จอมยุทธหญิงที่มองดู เหมือนใบหน้าเย็นชาดุจน้าค้างแข็งและเทพธิดาที่มองดูคล้ายผลักไส คนอื่นให้อยู่ห่างไกลพันลี้ที่กล่าวถึงในตารา รอกระทั่งพวกนางเกิด หวั่นไหวขึ้นมาแล้วก็จะ…”
เจียงซ่างเจินที่รู ้สึกชาไปทั้งหนังหัวรีบรัดคอเด็กชายชุดเขียว จากนั้นยื่นมือไปอุดปากเขา ขอร ้องเจ้าล่ะ นายท่านใหญ่จิ่งชิง ขอ เจ้าอย่าได้พูดอีกแม้แต่ค าเดียว
ในห้องที่จุดตะเกียงอบอุ่นห่างไปไม่ไกล หมี่ลี่น้อยที่แวะมาเที่ยว เล่นที่นี่ยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก เอาหูแนบติดหน้าต่าง ในที่สุดก็ไม่ได้ ยินความเคลื่อนไหวของที่นั่นแล้ว หมี่ลี่น้อยหันหน้ามาถามอย่างใคร่ รู ้“พี่หญิงหน่วนซู่ เป็ นเช่นนี้จริงหรือ?”
หน่วนซู่ที่กาลังพลิกเปิดหน้าบัญชียื่นมือมาวางทับไว้บนลูกคิด ร ้องชิ
เจียงซ่างเจินอุดปากนายท่านใหญ่เฉินได้แล้วก็ถามว่า “ดื่มเหล้า หรือไม่? ได้ยินว่าเจ้ามีสหายใหม่เพิ่มมาหลายคน ไม่แนะนาให้รู ้จัก บ้างหรือ? แค่พยักหน้าก็พอ แต่ถ้าไม่ดื่มก็ส่ายหน้า”
เฉินหลิงจวินรีบพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก เจียงซ่างเจินถึงได้กล้าปล่อยเฉินหลิงจวิน เหลือบตามองเรือนที่อยู่ ห่างไปไม่ไกล ปิดประตูดื่มเหล้า แสงไฟสว่างเพียงเล็กน้อย ไม่กล้า เล่นทายหมัดกันด้วยซ้า จะดื่มอย่างสาแก่ใจได้หรือ?
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “คนพวกนั้นดื่มเหล้ากันเองไม่ชวนเจ้า แล้ว”
เฉินหลิงจวินอึ้งตะลึง ถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง “ต้องโทษเจ้า เลยนะโจวอันดับหนึ่ง!”
เจียงซ่างเจินมึนงง “จะโทษข้าได้อย่างไร?”
เฉินหลิงจวินยิ้มกว้าง “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทันระวังพูดเรื่องเงินกับ สหายเหล่านั้น เดือดร ้อนให้ตอนนี้พวกเขาไม่กล้ามานัดดื่มเหล้ากับ ข้าแล้ว ไม่โทษเจ้าแล้วจะโทษใคร?”
เจียงซ่างเจินยิ้มอย่างเข้าใจ “ต้องโทษข้าจริงๆ ด้วย”
พลิ้วกายลงบนเส้นทางที่ปูด้วยหินเขียวด้วยกัน เจียงซ่างเจิน สอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เฉินหลิงจวินสะบัดชายแขนเสื้อสอง ข้างดังพึ่บพั่บ
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ “ยวนยางเกี่ยวคอเคียงคู่พันปี นกคู่โบยบิน สยายปีกงามอย่างสุขสันต์ เสียงฉินและเส้อประสานกลมเกลียวตราบ ร ้อยปี ผมขาวชราวัยไปด้วยกันใต้หมอกเมฆแห่งยามอรุณ บางครั้ง คนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็อิจฉาคนที่คนที่เคยมีประสบการณ์ มาก่อนอย่างพวกเจ้า”
เฉินหลิงจวินไม่ได้เอ่ยสัพยอกโจวอันดับหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก แล้วยังเข้าใจด้วยว่าคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน” สองคานี้มี ความหมายแตกต่างกัน
เด็กชายชุดเขียวเอ่ยเสียงเบา “อีกเดี๋ยวน้องชายจะดื่มเหล้าเป็ น เพื่อนท่านให้มากหน่อย”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “น้องเฉิน เจ้าคิดว่าข้า เป็ นฝ่ ายยอมตกตาแหน่งให้อาจารย์เสี่ยวโม่มาเป็ นผู้ถวายงานอันดับ หนึ่งดีไหม?”
เฉินหลิงจวินรู ้สึกหัวโตเป็ นกระดังในทันที นี่คือ…คาถามที่เอา ชีวิตไปทิ้งหรือไม่?!
ข้าเห็นเจ้าเป็ นพี่น้องที่รักของตัวเอง แต่พี่น้องเอาหัวข้าไปแลก เป็ นเงินค่าเหล้าอย่างนั้นหรือ?
พี่น้องที่เคยผ่านความเป็ นความตายมาด้วยกันบนโต๊ะสุรา คุณธรรมในยุทธภพที่อยู่ในชามอยู่ตรงไหน?!
เฉินหลิงจวินกลอกดวงตาเร็วรี่ เอ่ยว่า “โจวอันดับหนึ่ง ข้าคิด แล้วนะ เจ้าเป็ นก็ดีอยู่แล้ว อย่าได้ยกตาแหน่งให้คนอื่นเลย ผู้ถวาย งานอันดับหนึ่งไม่ใช่ว่าใครก็เป็ นได้ดีนะ”
ไม่รอให้เจียงซ่างเจินพูดอะไร เด็กชายชุดเขียวก็เดินก้าวยาวๆ สามก้าวเดินแค่สองก้าว แล้วยกเท้าถีบประตูใหญ่ของเรือนพักป๋ าย เติง เท้าเอวยิ้มเอ่ย “พี่น้องทั้งหลาย ดึกๆ ดื่นๆ มาหลบดื่มเหล้ามื้อเช ้า กันอยู่หรือ นี่ออกจะเช ้าไปหน่อยนะ ฮ่าๆๆ….
ตรงตีนเขา นักพรตคนเฝ้ าประตูที่ปักปิ่นไม้ไว้บนมวยผมยกมือ แต้มน้าลาย อาศัยแสงจันทร ์แทนแสงไฟ เปิดหนังสือหน้าหนึ่งผ่านไป ช ้าๆ ดึกมากแล้ว ผู้คนพากันหลับใหลเหมาะจะอ่านต าราต้องห้ามดีๆ สักเล่ม
ไม่เสียแรงที่เป็ นตารา ‘ส านักการทหาร’ ที่โจวอันดับหนึ่งแนะนา สุดชีวิต จานวนครั้งที่ตีกันเยอะจริงๆ สนามรบก็เยอะ เป็ นนิยายรักที่ เมื่อก่อนไม่เคยอ่านมาก่อน…ไม่สิ เป็ นการต่อสู้อย่างจริงจังต่างหาก เขียนได้ดีมากเลย ระหว่างเท็จกับจริง บางครั้งก็ทิ้งช่องว่างเอาไว้ให้ ขบคิดได้อย่างยาวไกล
สวมชุดเต๋าท าจากผ้าฝ้ ายสีเขียวอบอุ่น เสียงเปิดหน้าหนังสือดัง แสกสาก ทะนุถนอมปิ่นไม้ในมืออยู่เสมอ จุดที่ใจข้าสงบก็คือบ้านเกิด ของข้า
อยู่ดีๆ ก็ถูกคนตบไหล่ ทาเอานักพรตเซียนเว่ยที่เป็ นวัวสันหลัง หวะตกใจจนจิตหยินเกือบจะออกจากช่องโพรง
แล้วเซียนเว่ยก็ไม่สนใจว่าจะได้ผลหรือไม่ สองมือท ามุทราท่อง คาถา ใช ้คาถาที่ว่ากันว่าสามารถทาจิตใจให้สงบได้ จากนั้นรีบหัน หน้าไปมอง ถึงได้สังเกตเห็นว่าเป็ นพี่น้องต้าเฟิงของตัวเองที่หิ้วเก้าอี้ ไม้ไผ่ไว้ในมือมายืนอยู่หลังตน เซียนเว่ยบ่น “อะไรกัน ท าลับๆ ล่อๆ ข้าตกใจแทบตาย เจ้ากลับมาเป็ นคนเฝ้ าประตูเหมือนเดิมเลยนะ!”
เจิ้งต้าเฟิ งยิ้มพลางวางเก้าอี้ไม้ไผ่ไว้ด้านข้าง “เป็ นมุทรา พันธนาการปิดประตูสามด่านแล้ว ไม่มีทางท าให้เจ้าตกใจตายได้ หรอก”
นักพรตเซียนเว่ยเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “ตาราเต๋าที่ข้าจ่ายเงิน เหรียญทองแดงสิบกว่าเหรียญซื้อมาจากแผงข้างทางของท่าเรือ ไม่ หลอกลวงคนจริงๆ หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “แน่นอนว่าหลอกเอาเงิน แต่หลอกเจ้าไม่ได้”
เซียนเว่ยหัวเราะ ไม่ได้คิดเป็ นจริงเป็ นจัง
เจิ้งต้าเฟิงสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ยกขานั่งไขว่ห้าง เอน กายนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ทั้งอย่างนั้น แล้วพลันขยับก้น ร่างสะดุ้ง
โหยงสั่นเทิ้ม บ่นตัวเองว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่หนุ่มน้อยแล้ว ถึงกับ รู ้สึกเย็นกันเสียได้ หากเป็ นเมื่อก่อน ยามที่ฟ้ าดินหนาวเหน็บ นอน เปลือยร่างอยู่ในผ้าห่มก็ยังเหมือนเตาไฟร ้อนๆ จิตใจร ้อนรุ่ม ไม่ต้อง ใช ้ถ่านใช ้ฟืนด้วยซ้า”
เซียนเว่ยยิ้มเอ่ย “ลูกผู้ชายไม่พูดถึงความกล้าหาญในวันวาน ข้อนี้พี่น้องต้าเฟิงสู้พ่อครัวเฒ่าไม่ได้แล้ว”
อาจารย์ผู้เฒ่าจูไม่ชอบพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วของที่บ้านเกิด จากที่ได้ยินหมี่ลี่น้อยเล่าให้ฟัง จูเหลี่ยนที่อยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวเคย ถูกขนานนามเป็ นเจ๋อเชียน เป็ นคุณชายผู้สูงศักดิ์ในยุทธภพ
เจิ้งต้าเฟิงพึมพากับตัวเองว่า “กินอิ่มนอนอุ่น ฟ้ าไม่ผิดต่อข้า ไม่ เรียนรู ้ไม่พัฒนา จะถูกต่อฟ้ าได้หรือ?”
เซียนเว่ยยิ้มเอ่ย “คิดดูแล้วสวรรค์ก็ไม่น่าจะใจแคบขนาดนั้น”
เจิ้งต้าเฟิ งหัวเราะ ตบไหล่ของนักพรตเซียนเว่ย “เจ้าและข้ามี ทุกข์แบบเดียวกันย่อมเห็นใจกันและกัน ล้วนเป็ นคนนอกที่ไม่ เชี่ยวชาญ”
เซียนเว่ยพยักหน้า เข้าใจผิดคิดว่าเจิ้งต้าเฟิงบอกว่าตนฝึกตน ได้ไม่เก่งพอ ขณะเดียวกันก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่ามิอาจเดินไปสู่ยอด สุดของวิถีวรยุทธได้?
เจิ้งต้าเฟิงเหลือบมอง ‘ต าราสงคราม” ในมือของเซียนเว่ย “เล่ม หลังล่ะ?”
เซียนเว่ยหันไปมองยังเส้นทางภูเขาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เห็นว่า ไม่มีคนถึงได้หยิบตาราอีกเล่มออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มถามว่า “ไม่อ่านเล่มแรกก่อนเล่มหลังหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงรับหนังสือมาแล้วก็เริ่มวางมาดของผู้อาวุโสทันที “อ่าน ตาราสงครามที่ฟันแทงกันเช่นนี้ เล่มแรกเล่มหลังไม่มีอะไรแตกต่าง ตอนนี้กาลังไฟเจ้ายังไม่ได้ระดับ ยังมีความหมายอีกนิดหน่อย”
หนึ่งในภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วมีชื่อว่าเนินจ้าวตู๋
หลี่ไหวมีเรือนพักส่วนตัวอยู่ที่นี่หลังหนึ่ง อันที่จริงบนภูเขาลั่วพั่ว เขาก็มีเรือนส่วนตัวเหมือนกัน เพียงแต่ว่า “สาวใช ้” เหวยไท่เจินพัก อยู่ที่นั่นคล้ายจะต้องระมัดระวังตัวอย่างมากทุกวันท าท่าทางน่าสงสาร สีหน้าซีดขาว หลี่ไหวก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่ ตอนนั้นเป็ นเฉินหลิงจวินที่ น าทางมาให้ เด็กชายชุดเขียวหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้เขาตลอดทาง ทาเอาหลี่ไหวอับอายไม่น้อย ใช ้เสียงในใจอธิบายไปรอบหนึ่ง เฉิน หลิงจวินก็พูดแค่ว่าข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ หลี่ไหวอ่อนใจอย่างมาก เจ้า เข้าใจกะผายลมอะไรล่ะ
ตอนที่หลี่ไหวมาพักอยู่ที่เนินจ้าวตู๋ หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิงก็พาสือ ขุนเจียที่ไปพักอยู่ในตรอกเถาเย่ชั่วคราวแวะมาที่นี่รอบหนึ่ง ถึง อย่างไรจวนในภูเขา พวกเขาทุกคนก็ล้วนมีส่วนอยู่แล้ว