กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1066.3 ในปีหนึ่งที่เหล่าบุปผาประชันกันเบ่งบาน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1066.3 ในปีหนึ่งที่เหล่าบุปผาประชันกันเบ่งบาน
แต่พวกเขาสองคน คนหนึ่งคือต่งครึ่งทวีปที่มีเงินหมื่นก้วนร ้อย เอว อีกคนหนึ่งคือหลินหยกดิบที่มองเงินทองเหมือนปุ๋ ยดิน เป็ นเทพ เซียนบนภูเขาที่ดูแคลนอ๋องและโหวล่างภูเขาคาดว่าคงไม่เห็น ความสาคัญเท่ากับหลี่ไหวที่นับตั้งแต่เด็กมาก็อยากมีบ้านหลังใหญ่ กระมัง?
ลูกคิดน้อยมัดผมแกละของในอดีต ดูเหมือนว่าจะเป็ นคนที่มี ความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในบรรดาคนร่วมห้องเรียน แต่ว่านางเอง ก็เป็ นสตรีที่ออกเรือน มีบุตรชายหญิงคู่หนึ่งมานานแล้ว แม้จะยัง หลงใหลในเงินทองอยู่เหมือนเดิม แต่รอกระทั่งนางได้ยินว่าที่เนิน จ้าวตู๋แห่งนี้ก็มีบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ในนามของนางเหมือนกัน นางจึง ตั้งใจแวะมาดูรอบหนึ่ง ถามติดๆ กันว่าเรือนหลังใหญ่ขนาดนี้มีมูลค่า เท่าไรหรือ หากอิงตามราคาตลาดของอ าเภอไหวหวงบ้านเกิดในทุก วันนี้แล้วเอาไปขายต่อ ขายให้กับเซียนซือบนภูเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ น่าจะต้องคิดเป็ นเงินเทพเซียน หรือแม้กระทั่งอาจเป็ นเงินร ้อนน้อย เลยกระมัง อีกอย่างตอนที่นางไม่อยู่ที่นี่สามารถให้เช่าได้หรือไม่ ค่า เช่าในแต่ละปีคงไม่น้อยเลยใช่ไหม? วันหน้าแต่ละปีที่ผ่านพ้นไป รอ ให้นางอายุมากแล้ว วันใดไม่อยู่แล้วจะสามารถส่งมอบต่อให้กับทาง ตระกูลและบุตรชายหญิงของตนได้หรือไม่…
ฟังเสียงพูดเจื้อยแจ้วด้านหน้า พวกหลี่ไหวสามคนต่างก็มีรอยยิ้ม แล้วยังเอ่ยหยอกล้อสือเจียชุนไปหลายค า เพียงแต่ว่าพอได้ยิน ค าถามข้อสุดท้ายของนาง พวกเขาต่างก็พากันเงียบงันโดยไม่ได้นัด หมาย
ตอนนั้นสือเจียชุนหยุดเดิน มองสีหน้าของพวกเขา พวกเขาที่ เป็ นเพื่อนร่วมชั้นเรียนในอดีต แต่ละคนต่างก็ยังเป็ นหนุ่ม อืม ไม่พูด ถึงหลินหนอนหนังสือที่รูปโฉมหล่อเหลามาตั้งแต่เด็กซึ่งทุกวันนี้ก็ยิ่ง รูปงามดุจต้นไม้หยกรับลม ต่งสุ่ยจิ่งที่เคยเป็ นน้าเต้าต้นอยู่ทุกวันก็มี เสน่ของบุรุษมากขึ้น แม้กระทั่งหลี่ไหวที่เป็ นเด็กแข็งแรงสวมกางเกง เปิดก้นแล้วก็มักจะถูกคนแกล้งให้ร ้องไห้เป็ นประจา กลิ่นอายตาราบน ร่างของเขาก็ทาให้เขาเหมือนบัณฑิตหนุ่มที่แท้จริงแล้ว
สตรีออกเรือนแล้วยื่นมือมาลูบเส้นผมตรงจอนหู พูดกลั้วหัวเราะ ด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “นายท่านใหญ่ทั้งหลาย ทาหน้าแบบนั้น ท าไม ขนาดข้ายังไม่เสียใจ พวกเจ้าจะเสียใจแทนข้าไปท าไม บอก มาสิว่า แท้จริงแล้วแอบชอบข้ามานานแล้วใช่ไหม? หลินโส่วอี ต่งสุ่ ยจิ่งที่บอกว่าพวกเจ้าชอบพี่สาวของหลี่ไหวเป็ นแค่ข้ออ้างบังหน้า เท่านั้นหรือ? แล้วที่หลี่ไหวชอบหลี่เป่าผิงก็เสแสร ้งเหมือนกัน?”
หลินโส่วอีหันมาสบตากับต่งสุ่ยจิ่ง หาได้ยากที่พอพูดถึงหลี่หลิ่ว แล้วพวกเขาไม่ได้ด่ากันและกันว่าเป็ นคนไร ้ประโยชน์เหมือนลูกเจี๊ยบ ที่ออกจากเล้ามาจิกกันเอง
หลี่ไหวเอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “อย่าพูดเหลวไหล หากหลี่เป่ าผิงได้ ยินเข้า นางไม่ถือสาเจ้า แต่จะต้องเล่นงานข้าแน่
กางเกงของหลี่ไหวตอนเด็กมักจะถูกเอาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้เป็ น ประจ า ส่วนตัวเขาก็นั่งบองร ้องไห้จ้าอยู่บนพื้น แม่นางน้อยที่สวมชุด ผ้าฝ้ ายบุนวมสีแดงกลับเผ่นหนีไปไม่เหลือเงานานแล้ว อาจารย์ฉีที่ไล่ ตามมาเพราะได้ยินเสียง คงเป็ นเพราะจานวนครั้งหลายครั้งแล้ว ภายหลังก็เหมือนคร ้านจะสอบถามต้นสายปลายเหตุ เพียงแค่ใช ้ไม้ ไผ่ยาวๆ ช่วยเกี่ยวลงมาให้ เป่ าผิงน้อยอายุไม่มาก แต่เรี่ยวแรงกลับ ไม่น้อย มีครั้งหนึ่งที่โยนกางเกงของหลี่ไหวไปถึงยอดบนสุดของ ต้นไม้ ไม้ไผ่ยาวไม่พอเกี่ยวลงมาด้วยซ้า พวกเด็กนักเรียนที่มุงดูเรื่อง สนุกอยู่นอกห้องเรียนเอาหัวมาสุมกัน ช่วยกันออกความคิดให้กับ อาจารย์ฉี ต่งสุยจิ่งที่ไม่ชอบพูดคุยเป็ นฝ่ ายเปิดปากเอ่ยก่อนอย่างหา ได้ยาก บอกว่าตัวเองปื นต้นไม้ได้ อาจารย์ฉีส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม บอกว่าคอยดูข้านะ แล้วก็หยิบก้อนหินก้อนหนึ่งบนพื้นขึ้นมา ลองชั่ง น้าหนักอยู่สองสามที เหวี่ยงแขนสี่ห้าครั้ง แล้วค่อยโยนหินขึ้นไปบน ฟ้ า
น่าเสียดายที่ไม่โดน หินก้อนนั้นแค่ลอดทะลุกิ่งไม้ส่งเสียงดังสวบ สาบเท่านั้น แสงสีทองที่สาดส่องทะลุกิ่งไม้ลงมาบนพื้น เมื่อกิ่งไม้สาย ไหว แสงอาทิตย์บนพื้นก็ส่ายสะบัดแตกละเอียดตามไปด้วย
พวกนักเรียนประถมที่ยืดคอยอดมองมาต่างก็ถอนหายใจ อาจารย์ฉีพลาดไปแค่นิดเดียวเอง
อาจารย์ฉีหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกก้อน คราวนี้ขว้างไปโดนกิ่งไม้ สูงจริงๆ กางเกงก็ร่วงลงมาแล้ว หลี่ไหวรีบสวมกางเกงกลับไป ครั้งนั้น ระหว่างทางที่เดินตุปัดตุเป้ กลับบ้าน เขาอารมณ์ดีมากเป็ นพิเศษ ฮ่า กางเกงตัวนี้ วันนี้ได้ดิบได้ดีใหญ่แล้ว เหมือนว่าวตัวหนึ่งเลยระหว่าง ทางเจอกับพี่สาวที่บอบบางอ่อนแอหน้าตาไม่สวยแม้แต่น้อย นางมา รับเขากลับบ้านหลี่ไหวจึงเล่าเรื่องคุณูปการยิ่งใหญ่ของตัวเองในวันนี้ ให้พี่สาวฟัง บอกว่าพรุ่งนี้ก็จะยังสวมกางเกงตัวนี้อีก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ ต้องกลัวเป่ าผิงน้อยอีกแล้ว หลี่หลิ่วจูงมือน้องชาย เด็กสาวเพียงแค่ ยิ้มตาหยี ฟังน้องชายพูดเจื้อยแจ้วอย่างคนทาเป็ นเก่งนอกแต่ภายใน หวาดกลัวจนจบอย่างอดทน
ความน้อยเนื้อต่าใจของเด็กน้อยมักจะใหญ่เท่าแผ่นฟ้ าเสมอ พวกเขาจะต้องร ้องไห้อย่างเจ็บปวดร ้าวรานปานจะขาดใจ ร ้องจนคอ แหบแห้ง
แต่พอผ่านไปครู่เดียว ความน้อยเนื้อต่าใจนั้นก็ไม่เหลืออยู่แล้ว ราวกับว่ากลายไปเป็ นกุญแจบ้านที่ไม่มีทางรู ้เลยว่าถูกเด็กน้อยโยน ทิ้งไว้ตรงไหน
คืนนี้หลี่ไหววางตาราอริยะปราชญ์ลง เดินออกมาจากห้อง หนังสือและบ้านพัก เดินไปตลอดทางกระทั่งไปถึงลานชมทิวทัศน์ริม หน้าผา มีศาลาตั้งอยู่ราวกับนกสยายปีก
ช่วงนี้เขารวบรวมคาถามมาเพิ่มได้อีก หมายจะขอคาตอบจาก เฉินผิงอัน
ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่ว่า “ผู้ที่บรรลุมรรคา ปรับตัวกับการ เปลี่ยนแปลงภายนอกโดยไม่เปลี่ยนแปลงภายใน” ตอนนี้หลี่ไหวได้ แค่เข้าใจความหมายตามตัวอักษรเท่านั้น
เหวยไท่เจินเดินเยื้องย่างมาถึง
หลี่ไหวที่เดิมทีนอนเกียจคร ้านอยู่บนเก้าอี้ยาวในศาลาลุกขึ้นนั่ง เหวยไท่เจินรู ้สึกละอายใจเล็กน้อย นางรบกวนเวลาผ่อนคลายสงบ จิตใจของเจ้านายอีกแล้ว
หลี่ไหวลุกขึ้นนั่งแล้วก็ยิ้มถามว่า “อาจารย์ป๋ ายที่ถูกเรียกขานว่า เป็ นผู้ที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ ทุกวันนี้อยู่ในภูเขาลั่วพั่ว เจ้า อยากไปพบเขาสักหน่อยหรือไม่? หากอยากพบก็ตามข้าไปเยี่ยมหา เขาที่เรือนด้วยกัน แต่พบหน้าแล้วจะได้พูดคุยสักกี่ประโยค หรือ จะต้องกินน้าแกงประตูปิ ดเหมือนเว่ยซานจวินหรือไม่ ข้าไม่กล้า รับรอง”
เขาสนิทกับหมี่ลี่น้อยมาก หมี่ลี่น้อยเองก็รู ้สึกว่าอาจารย์หลี่ร ้าย กาจมาก เจ้าขุนเขาคนดีเป็ นคนใจกว้างขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าปี นั้นเพราะคาบ่นเล็กๆ ประโยคเดียวของอาจารย์หลี่ เป็ นเหตุให้จนถึง ทุกวันนี้เจ้าขุนเขาคนดีก็ยัง “ข้ามผ่านหลุมในใจหลุมนั้นไปไม่ได้” คิดอยากจะให้ทุกคนยอมรับว่าอันที่จริงฝีมือการทาอาหารของตัวเอง ไม่แย่เลยแม้แต่น้อย
น่าเสียดายที่บนภูเขาลั่วพั่ว นอกจากหมี่ลี่น้อยกับพ่อครัวเฒ่า แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครยินดีฝืนใจพูดยกยอปอปั้นในเรื่องนี้เลย
เหวยไท่เจินส่ายหน้าอย่างแรง “คุณชาย ข้าไม่กล้าไปพบ อาจารย์ป๋ าย แล้วก็ไม่ต้องพบด้วย แค่คิดว่าได้อยู่บนภูเขาลูกเดียวกับ อาจารย์ป๋ าย บ่าวก็พอใจมากแล้ว”
นั่นคืออาจารย์ป๋ ายเชียวนะ หมื่นปีที่ผ่านมา มีอาจารย์ป๋ ายคนนี้ คนเดียวเท่านั้น!
หยิบเขียวมาผสมกับขาว กระดูกแข็งเส้นเอ็นอ่อน บทกวีมาถึง ตรงนี้ จิตน้าแข็งวิญญาณหิมะ
หลี่ไหวเอ่ยสัพยอก “โชคดีที่ข้าคิดคาประจบสอพลอไว้เรียบร ้อย แล้ว”
อันที่จริงเวลาปกติที่อยู่กับเหวยไท่เจิน ไม่ว่าจะเป็ นคาพูดหรือ การกระทา หลี่ไหวล้วนมีความจริงใจอย่างมาก กลัวก็แต่ว่าเหวยไท่ เจินจะเข้าใจตัวเองผิดว่าเขาเป็ นพวกคนเสเพลที่จิตใจไม่เที่ยงตรง ปากหวานหวังผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกังวลว่าจะทาลายชื่อเสียงของ นางซึ่งเป็ นสิ่งที่สาคัญที่สุดของสตรี เพียงแต่ว่าพอกลับมาถึงบ้านเกิด มาถึงภูเขาลั่วพั่ว หลี่ไหวก็ผ่อนคลายขึ้นมาก เขาถึงได้ทาตัวสบายๆ กว่าเดิมหลายส่วน ตอนอยู่ที่สานักศึกษาซานหยาต้าสุย ถึงอย่างไรห ลี่ไหวก็มีสถานะของนักปราชญ์ อยู่นอกสานักศึกษา หลี่ไหวก็เป็ นลูก
ศิษย์ของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะทาเรื่องอะไรเขาจึง ค่อนข้างระมัดระวัง มองแม่นางเหวยที่ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงเป็ นพระจันทร ์เสี้ยว ปิดปาก หัวเราะคิกคัก หลี่ไหวก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “หัวเราะอะไรหรือ?” เหวยไท่เจินยิ้มเอ่ย “บ่าวแค่คิดถึงภาพที่คุณชายประจบคนอื่นก็ รู ้สึกว่าน่าสนุกมากแล้ว”
หลี่ไหวกล่าวอย่างเขินอาย “จะเล่าเรื่องตอนที่ข้าเดินทางไปขอ ศึกษาต่อตอนเด็กให้เจ้าฟังก็แล้วกัน”
สายตาของเหวยไท่เจินเป็ นประกายจ้า ลิงโลดอย่างถึงที่สุด นาง รีบนั่งตัวตรงอย่างส ารวม เอาสองมือวางทับซ ้อนกันไว้บนหัวเข่าเบาๆ “ดีสิ”
“นี่คือเรื่องเล่าที่ไม่สั้นเลยนะ”
หลี่ไหวครุ่นคิด ทาลาคอให้ชุ่มชื้น เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็จะเริ่ม เล่าตอนที่ข้าเพิ่งได้รู ้จักกับเฉินผิงอันก็แล้วกัน เป็ นช่วงต้นฤดูใบไม้ ผลิที่ต้นไม้งอกงามนกโบยบิน หากจ าไม่ผิด ตอนนั้นข้าอายุเจ็ดขวบ เฉินผิงอันอายุสิบสี่”
หลังจากนั้นผ่านมานานมากหลี่ไหวถึงเพิ่งจะรู ้จากห่านขาวใหญ่ ว่า เพื่อให้ตนได้กินอาหารดีๆ มื้อหนึ่งในวันเกิด เฉินผิงอันที่เพิ่งรู ้ เรื่องในวันนั้นได้แอบไปตกปลาตลอดทั้งคืนแล้วยังบ่นซุยตงซานที่อยู่ ข้างกันด้วยว่าไม่รีบบอกเขาให้เร็วกว่านี้
แต่วันที่สอง หลี่ไหวที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังลืมว่าวันนี้เป็ นวันเกิด ตัวเองกลับยังบ่นว่าได้
“นี่คือเรื่องเล่าที่ไม่สั้นเลยนะ”
หลี่ไหวครุ่นคิด ทาลาคอให้ชุ่มชื้น เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็จะเริ่ม เล่าตอนที่ข้าเพิ่งได้รู ้จักกับเฉินผิงอันก็แล้วกัน เป็ นช่วงต้นฤดูใบไม้ ผลิที่ต้นไม้งอกงามนกโบยบิน หากจาไม่ผิด ตอนนั้นข้าอายุเจ็ดขวบ เฉินผิงอันอายุสิบสี่”
หลังจากนั้นผ่านมานานมากหลี่ไหวถึงเพิ่งจะรู ้จากห่านขาวใหญ่ ว่า เพื่อให้ตนได้กินอาหารดีๆ มื้อหนึ่งในวันเกิด เฉินผิงอันที่เพิ่งรู ้ เรื่องในวันนั้นได้แอบไปตกปลาตลอดทั้งคืนแล้วยังบ่นชุยตงซานที่อยู่ ข้างกันด้วยว่าไม่รีบบอกเขาให้เร็วกว่านี้
แต่วันที่สอง หลี่ไหวที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังลืมว่าวันนี้เป็ นวันเกิด ตัวเองกลับยังบ่นว่าได้กินแต่เนื้อปลาดื่มน้าแกงปลา ไม่มีรสชาติอะไร เลย เฉินผิงอันเจ้าเป็ นพ่อครัวอย่างไรกันพวกเราเปลี่ยนรสชาติกัน ไม่ได้เลยหรือ น่องไก่ตุ๋นน้าแดง เนื้อกวางผัดสักจาน ขาหมูที่ตุ้นจน เปื่อยสักหม้อ…
เหวยไท่เจินลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “คุณชาย เหล่าบุปผาประชันกันเบ่งบาน พืชหญ้าเติบโตสกุณาขับขานที่เอ่ยถึง ในต ารา ไม่ได้พูดถึงช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิหรอกหรือ?”
หลี่ไหวเก็บซ่อนความเสียใจจางๆ ที่อยู่ในดวงตาของตัวเองไว้ อย่างมิดชิด ยิ้มเอ่ยว่า “เพราะฤดูใบไม้ผลิของปีนั้นไม่เหมือนทุกปี ยาวนานเช่นเดียวกับเรื่องเล่าที่ข้าจะเล่านี้”
พื้นที่มงคลรากบัว คฤหาสน์ของเพ่ยเซียงในแคว้นหู เซี่ยโก่วถาม “ในเมื่ออาจารย์จูกลับบ้านเกิดมาพร ้อมกับพวก หลิวเสี้ยนหยางแล้วทาไมถึงไม่แวะมาที่นี่ล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เขาไม่มีหน้ามา กลับบ้านเกิดคราวนี้ จ าเป็ นต้องเก็บหัวเก็บหางให้ดีไม่กล้าไปพบเจอใคร”
ติดหนี้รักบานเบอะขนาดนั้น น้าลายของสตรีสามารถท่วมทับ เขาตายได้เลย
เพ่ยเซียงเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ชายหญิงในยุทธภพที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกับจูเหลี่ยนล้วนโชค ร ้าย บุรุษเอาชนะคนคลั่งวรยุทธผู้นั้นไม่ได้
คนที่เคยเห็นโฉมหน้าของจูเหลี่ยน ว่ากันว่าสตรีสิบคนก็มีถึงเก้า คนที่เกลียดจูเหลี่ยนและยังมีอีกคนหนึ่งที่เป็ นเพราะยังไม่เคยเจอหน้า เขา
เพ่ยเซียงอยู่ในพื้นที่มงคลมานาน เรื่องที่แคว้นหูปิ ดแคว้น กฎระเบียบข้อนี้มิอาจใช ้บังคับเจ้าแห่งแคว้นหูอย่างนางได้ ดังนั้นเพ่ ยเซียงจึงมักจะออกไปผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกเป็ นประจ า จึงรู ้ว่า
ทุกวันนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าหลายองค์ที่ “คิดถึง” จูเหลี่ย นอย่างมากมาโดยตลอด คนหนึ่งในนั้นก็คือปรมาจารย์หญิงวิถีวร ยุทธที่ปีนั้นตายด้วยน้ามือของจูเหลี่ยนในศึกเมืองหลวงแคว้นหนัน เยวี่ยน จิตวิญญาณที่แท้จริงส่วนหนึ่งของพวกนางไม่เคยสลาย หายไปจากฟ้ าดิน แบกรับปราณวิญญาณจึงกลายมาเป็ นผีหญิง กลายเป็ นวิญญาณวีรบุรุษแห่งฟ้ าดิน เมื่อได้รับควันธูปสุดท้ายจึง กลายไปเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหล่า “เหนียงเนียง” ที่ได้รับตาแหน่งเทพ และมีศาลเป็ นของตัวเองพวกนี้ หลายปีที่ผ่านมานี้ต่างก็คาดหวังว่า คุณชายผู้สูงศักดิ์จูเหลี่ยนที่ “ทิวทัศน์งดงามสิบส่วน ยึดครองคน เดียวไปแล้วเก้าส่วน” ผู้นั้นจะตายแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาได้ใหม่เฉก เช่นเดียวกับพวกนาง
แน่นอนว่าหากได้เจอกันอีกครั้งก็จะได้แก้แค้นชายทรยศที่ใจจืด ใจดาผู้นั้น พวกนางเกลียดแค้นจูเหลี่ยนจนบดฟันกรอดๆ มานาน แล้ว ขอแค่พูดถึงสองคาว่าจูเหลี่ยน เกรงว่าพวกนางคงบดฟันจนฟัน แทบแตกกันเลยกระมัง
บนเส้นชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นซงไล่กับแคว้นเป่ยจิ้ง ใน อาณาเขตของไช่โจวมีทะเลสาบชิวชี่อยู่แห่งหนึ่ง ใจกลางทะเลสาบมี ภูเขาขนาดเล็กที่ภูเขาเป็ นสีเขียวขจีปลั่งราวกับจะเค้นน้าได้ บน ภูเขามีอารามอยู่แห่งหนึ่งชื่อว่าอารามต้ามู่
ก่อนหน้านี้ไม่นานในอาณาเขตร ้อยลี้รอบทะเลสาบขนาดใหญ่ ยักษ์แห่งนี้ล้วนมีการป้ องกันอย่างเข้มงวด มีการจัดว่างด่านและหน่วย รักษาการณ์ลับๆ อย่างประณีตตั้งใจไว้หลายชั้นนานแล้ว
ริมชายฝั่งมีเรือทัศนาจรที่ประดับประดาอย่างสวยงามจอดเทียบ ท่าอยู่หลายลา อันที่จริงการที่สามารถเข้ามาในอาณาเขตของ ทะเลสาบชิวชี้ได้นั้น ไม่ว่าจะเป็ นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ หรือ แม้กระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และภูตผี ล้วนไม่จาเป็ นต้องนั่งเรือขึ้นเกาะ ดังนั้นจึงเลือกที่จะถ่อเรือล่องทะเลสาบไปยังเกาะที่อยู่ใจกลาง ก็เพื่อ หวังได้จะความผ่อนคลายและอารมณ์สุนทรี
เหนือทะเลสาบชิวชี่ในคืนนี้ เกาะน้อยใหญ่สามสิบกว่าเกาะล้วน จุดไฟสว่างไสว
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน พริบตานั้นดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ กลายเป็ นสีทอง เขาจ้องนิ่งไปยัง “คนบางคน” ในพื้นที่แห่งหนึ่งที่อยู่ ใจกลางฟ้ าดินของพื้นที่มงคล เพียงแต่ว่าไม่นานก็กลับคืนมาเป็ น ปกติ
ฉางมิ่งถอนหายใจเบาๆ อารมณ์ซับซ ้อนอย่างยิ่ง นางไม่รู ้ว่าควร จะเปิดปากพูดโน้มน้าวคุณชายอย่างไรดี
เดิมทีเซี่ยโก่วอยากจะพูดสมน้าหน้าสักสองสามคา เพียงแต่พอ คิดถึงว่าทุกวันนี้ตนเป็ นผู้ถวายงานอันดับรองของภูเขาลั่วพั่วแล้วก็
เลยแสร ้งท าเป็ นเอ่ยทวงความเป็ นธรรมแทนเจ้าขุนเขาบ้านตน นาง กระทืบเท้าอย่างแรง ทอดถอนใจดังเฮือกๆ
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวหันไปมองผู้คุมกฏที่ทาตัวไม่ถูก เป็ นได้แค่คนใบ้แล้วสินะแล้วลองหันมามองการแสดงออกของตนที่ เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว หึ ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วันต าแหน่งขุนนางของ ใครใหญ่ใครเล็กก็ยังบอกได้ยาก
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปที่เดิม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าก็บอกแล้วว่า ในชะตามีแปดฉื่อยากที่จะแสวงหาหนึ่งจั้ง”
ฉางมิ่งใช ้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะเสียงขึ้น “คุณชาย แม้จะบอก ว่าเป็ นการช่วยตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น แต่เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าเขาเอง ก็พอจะฝืนใจยอมรับได้?”
เฉินผิงอันพยักหน้า หยิบถ้วยชาขึ้นมา ยิ้มเอ่ย “ดื่มชาๆ ทาใจให้ กว้าง ท าใจให้กว้าง”
พื้นที่มงคลดอกบัวของเจ้าอารามผู้เฒ่า พื้นที่มงคลรากบัวของ ภูเขาลั่วพั่ว พื้นที่มงคลใหม่เก่า ต่างคนต่างตั้งชื่อ ความหมายก็คือ ดอกบัว คาดว่านี่ก็คงเป็ นดั่งคาว่าไร ้เรื่องบังเอิญก็ไม่เกิดเป็ นต ารา
ภาพเหตุการณ์ประหลาดแห่งฟ้ าดินส่วนนี้เกิดขึ้นมาจากวัดซิ นเซียงในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ประหนึ่งแสงกระบี่ที่วาดเป็ น เส้นโค้ง สายรุ ้งพาดยาวผ่านผืนฟ้ า พริบตาเดียวก็หล่นร่วงลงใจ กลางฟ้ าดินของพื้นที่มงคล ยามที่ภาพปรากฏการณ์บนท้องฟ้ าแตะ
เอื้อมมาโดนพื้นดิน ผู้ฝึกกระบี่คนแรกผู้นั้นก็ผุดขึ้นมาจากความว่าง เปล่า ต่อให้เฉินผิงอันจะสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ ในทันที แต่การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นเร็วเกินไปจนท าให้ยันต์ร่างแยก ที่ต้องถลึงตามองจนตาเกือบจะแห้งผากร่างนั้นไม่ทันได้ทาการ “พิศ มรรคา” อย่างละเอียด สถานการณ์ก็มั่นคงไปแล้ว
กวอจู๋จิ่วหลุบตาลงต่า ไม่รู ้ว่ากาลังคิดอะไรอยู่
เพ่ยเซียงไม่รู ้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เฉินผิงอันที่รู ้สึกตัวช ้าครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็พอจะคาดเดาได้ จึง ใช ้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “ต้องเป็ นความตั้งใจของเจ้าอารามผู้เฒ่า แน่นอน เขาจงใจไม่ให้ข้าได้รับผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้ านี้ ก็ดี เหมือนกัน แบบนี้ก็จะได้สบายใจมากกว่า สามารถหันไปให้ความ สนใจในเรื่องของการปิดด่านได้เร็วหน่อย”
ฉางมิ่งพยักหน้า เพียงแต่ว่าน้าเสียงแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ เล็กน้อย “ในเมื่อแบ่งพื้นที่มงคลดอกบัวออกออกเป็ นสี่ส่วนแล้ว เจ้า อารามผู้เฒ่าคนนั้นก็ยื่นมือออกมายาวเกินไปสักหน่อยแล้ว