กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1066.5 ในปีหนึ่งที่เหล่าบุปผาประชันกันเบ่งบาน
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1066.5 ในปีหนึ่งที่เหล่าบุปผาประชันกันเบ่งบาน
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากไม่พุ่งเป้ าเล่นงาน ต่างคนต่างคอยหาเรื่องกลั่นแกล้งอีกฝ่ าย ไม่อย่างนั้นก็ร่วมมือกัน ช่วยเพิ่มและสร ้างความมั่นคงให้กับโชคชะตาฟ้ าดิน แต่หากว่ากัน โดยภาพรวมแล้ว ต่อให้ถอยมาพูดหมื่นก้าว เพื่อนบ้านไม่ปรองดอง กัน ทั้งสองฝ่ ายมิอาจหาเงินร่วมกันอย่างสามัคคีได้ แต่ผลลัพธ ์ก็ยังมี ข้อดีมากกว่าข้อเสียอย่างแน่นอน”
ฉางมิ่งยิ้มเอ่ย “ต้องเป็ นเรื่องดีแน่”
ไม่ว่าจะเป็ นฟ้ าดินเล็กในพื้นที่มงคลแห่งใดก็ตาม สุดท้ายแล้วก็มี ขีดจากัดอยู่ที่อาณาบริเวณและจานวนสรรพชีวิต บวกกับที่ยังมีการ แบ่งเป็ นใต้หล้าที่แตกต่างกันอยู่ด้วย เป็ นเหตุให้ต่อให้โชคดีสามารถ กลายเป็ นสิ่งมีชีวิตได้ ภาพบรรยากาศนี้ก็ไม่มีทางยิ่งใหญ่เกินไป
ใจกลางเรือนมีภาพวาดลอยตัวอยู่ คือภาพของทะเลสาบชิวชี่ใน มุมสูง หูจวินหญิงก็คือสาวงามที่สวมปลอกนิ้วยาวบนนิ้วก้อยใน ภาพวาด ‘ภาพหญิงงามแห่งโลกมนุษย์
เกี่ยวกับการประชุมลับที่สามารถตัดสินทิศทางการด าเนินไป ของใต้หล้าในครั้งนี้แค่เรื่องตัวเลือกสถานที่ในการประชุมก็มีการ ถกเถียงกันไม่หยุดแล้ว ทั้งมีคนที่หวังให้จัดที่ภูเขาบ้านตน เพื่อที่จะ ได้สร ้างป้ ายอักษรทอง สะดวกในการช่วงชิงหาตัวอ่อนการฝึกตนมา
มากกว่าเดิม แล้วก็มีคนที่หวังให้ทางที่ดีที่สุดคือเลือกพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมของบ้านอื่นเพราะกังวลว่าจะเจรจากันไม่ส าเร็จ พูดไม่ถูกหู กันค าเดียวก็ตีกันทันที เทพเซียนตีกันประเภทนี้ หากลามไปโดน ปราณวิญญาณฟ้ าดินและโชคชะตาภูเขาสายน้าของพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมบ้านตัวเอง หากไม่ผ่านการซ่อมแซม การบริหารจัดการที่ดี หลายร ้อยปีก็อย่าหวังว่าจะกลับคืนมาเป็ นแบบเดิมได้
สุดท้ายเลือกเป็ นที่ทะเลสาบชิวชี่ ส่วนเหนียงเนียงเทพวารีของ ศาลเถื่อนที่ตั้งตาแหน่ง“เหิงชิวหูจวิน” ให้กับตัวเองผู้นั้น นางคิด อย่างไร สวรรค์เท่านั้นที่รู ้
เฉินผิงอันยิ้มถาม “พวกเจ้าว่าเว่ยเหลียงจะลงจากภูเขามา ต้อนรับหรือไม่?”
ฉางมิ่งเองก็ถามเช่นกัน “เกาจวินจะแพร่งพรายความลับสวรรค์ หรือไม่?”
เพ่ยเซียงส่ายหน้า “เดาได้ยาก”
ต่อให้จะไม่ยินยอมพร ้อมใจแค่ไหน อีกทั้งยังคุ้นเคยกับทุกคนบน ภูเขาลั่วพั่วดีแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้เพ่ยเซียงก็ยังจ าต้องฝืนใจยอมรับ ในข้อที่ว่า เรื่องของการคาดเดาใจคน ไม่ใช่สิ่งที่นางถนัดเลย
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วแล้วบิดเบาๆ เอาอารามที่ตั้งอยู่บนเกาะ ใจกลางทะเลสาบเหิงชิวมา “วาง” ไว้ตรงหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะ เป็ นลายมือของจูเหลี่ยน”
เพ่ยเซียงปิดปากหัวเราะ “เป็ นเจ้าอารามท่านนั้นที่คัดเลือกมา อย่างตั้งใจ รวบรวมตัวอักษรมาไว้อย่างยากล าบาก”
เฉินผิงอันจุ๊ปาก “เข้าใจแล้วๆ มิน่าเล่าๆ”
เป็ นหนี้รักอีกก้อนหนึ่งที่คุณชายสูงศักดิ์จูเหลี่ยนติดค้างไว้ในปี นั้นจริงเสียด้วย
เพ่ยเซียงใช ้เสียงในใจถาม “เจ้าขุนเขากังวลว่าเกาจวินจะอาศัย การประชุมครั้งนี้ชักนาให้ใต้หล้าทั้งแห่ง ภายนอกทาเหมือน ปรองดองแต่ภายในแตกแยกกับภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา หรือไม่ก็ตั้ง ตัวเป็ นศัตรูของภูเขาลั่วพั่วโดยตรงเลย?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
ผู้คุมกฏฉางมิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เด็กน้อยเล่นสนุกกัน นอกจาก จะวิ่งไล่ตีกันจนดินทรายเปรอะเปื้อนไปทั่ว นอกจากนี้ก็มีเล่นเตะลูก ขนไก่ เล่นแมลงปอไม้ไผ่ เล่นว่าว โยนลูกข่าง กลองป๋ องแป๋ ง อ่าน หนังสือภาพ กระบี่ไม้ ดาบไม้ไผ่ ฯลฯ ของเล่นพวกนี้ก็ล้วนเป็ นผู้ใหญ่ ที่เตรียมไว้ให้ไม่ใช่หรือ?”
เพ่ยเซียงยิ้มกระอักกระอ่วน แต่ในใจรู ้สึกขนลุกขนพอง เวลานี้ ไม่รู ้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
ไม่เหมือนกับความกระอักกระอ่วนที่พูดไม่ออกก่อนหน้านี้ เพ่ ยเซียงในเวลานี้สัมผัสได้ถึงความรู ้สึกกดดันบีบคั้นอย่างหนึ่งที่ทาให้ คนหายใจไม่ออก
คราวก่อนที่รู ้สึกแบบนี้ก็เป็ นตอนที่เพ่ยเซียงออกจากแคว้นหู เข้า ร่วมการประชุมศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เช่อครั้งแรก ความรู ้สึกนี้ เกิดขึ้นในนาทีที่นางเดิมข้ามผ่านธรณีประตู
มีเก้าอี้สองตัวกั้นขวาง สตรีร่างสูงใหญ่ที่ไม่ว่ามองใครก็ล้วนมี รอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าตลอดเวลาผู้นั้น อันที่จริงความรู ้สึกที่นาง มอบให้เพ่ยเซียงก็คือเย็นยะเยือกน่าขนลุกดังนั้นนางจึงไม่เคยรู ้สึก ใกล้ชิดสนิทใจกับผู้คุมกฏศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เชื่อผู้นี้แม้แต่ น้อย ทุกครั้งที่เจอกับนางในภูเขาหรือในเรือนของจูเหลี่ยน เพ่ยเซียง จะรู ้สึกเหมือน….คีบเหรียญทองแดงเยียบเย็นเหรียญหนึ่งไว้ตรงปลาย นิ้วในฤดูหนาว ราวกับว่าทุกประโยคที่พูดคุยกันก็คือการเอาเหรียญ ทองแดงมากาไว้ในฝ่ ามือ อีกทั้งเหรียญทองแดงเหรียญนี้ไม่ว่าจะกุม อย่างไรก็ไม่มีทางอุ่นขึ้นมาได้
เพ่ยเซียงใช ้หางตาเหลือบมองบุรุษชุดเขียวอย่างระมัดระวัง สหายฉางมิ่งเป็ นผู้คุมกฏก็จริง แต่เฉินผิงอันต่างหากที่ถึงจะเป็ นเจ้า แห่งส านัก
แต่ผิดไปจากการคาดการณ์ของเพ่ยเซียง สาหรับคากล่าวนี้ของ สหายฉางมิ่ง ดูเหมือนเขาจะทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เพ่ยเซียงถอนสายตากลับมา ในใจถอนหายใจเบาๆ กระทั่งบัดนี้ นางถึงเพิ่งจะเข้าใจหลักการเหตุผลที่จูเหลี่ยนพูด รวมไปถึงการ อธิบายที่เป็ นการ “เขียนคาวิจารณ์และให้เชิงอรรถ ต่อหลักการ เหตุผลข้อนั้นอย่างแท้จริง
มองใกล้ๆ ทัศนียภาพไม่ยิ่งใหญ่โอฬาร ทั้งคนและเรื่องราวล้วน ราบเรียบ
ตอนที่เจ้าขุนเขาอยู่บนภูเขาลั่วพั่วยังพูดง่าย รอวันใดที่เจ้า ขุนเขาออกเดินทางไกลอีกครั้ง พวกเราทุกคน ทั้งในและนอกภูเขา ใครก็อย่าได้ไม่เห็นผู้คุมกฏฉางมิ่งเป็ นผู้คุมกฏแห่งภูเขาเด็ดขาด
เป็ นเหตุให้ในบางความหมาย การด ารงอยู่และไม่ด ารงอยู่ของ ฉางมิ่งจึงต้องดูแค่ว่าเจ้าขุนเขาอยู่บนภูเขาหรือไม่
แต่สตรีก็คือสตรี นอกจากเพ่ยเซียงจะรู ้สึกหวาดผวาแล้ว นางก็ เริ่มใคร่ครวญถึงปัญหาข้อหนึ่ง ฉางมิ่งผู้นี้คงไม่ได้ชอบเฉินผิงอัน หรอกกระมัง?
คิดไม่ถึงว่าฉางมิ่งจะยิ้มจนตาหยี ใช ้เสียงในใจพูดกับเพ่ยเซียง คนเดียวด้วยน้าเสียงอ่อนโยนเหมือนข้าวเหนียวนุ่มดั่งที่เคยเป็ นมา “ข้าชอบหรือไม่ชอบเฉินผิงอัน เกี่ยวอะไรกับสหายเพ่ยเซียงด้วย หรือ?”
เพ่ยเซียงที่ถูกอีกฝ่ ายเดาใจออกกระอักกระอ่วนจนนึกอยากจะ ขุดรูมุดหนีไป อีกฝ่ ายจะอาฆาตแค้น จดจาบัญชีนี้หรือไม่? ดู เหมือนว่าบนภูเขาลั่วพั่วจะมีคนไม่น้อยที่สืบทอดระบบนี้มา?
เฉินผิงอันคืนสติ เขาเก็บความคิดทั้งหลายกลับคืนมา ถามว่า “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าใช ้เสียงในใจพูดถึงข้ากันใช่ไหม?”
ที่แท้เมื่อครู่นี้ในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันได้เกิดริ้วกระเพื่อม มีเสียงดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง แต่เขากลับไม่ได้ยินคาพูดที่ชัดเจน เหมือนปลาตัวหนึ่งที่งับเบ็ดแล้วก็เผ่นหนีไป
ตะขอตกปลาก็คือชื่อ การงับเหยื่อก็คือคาพูดของผู้ฝึ กตนที่ เกี่ยวข้อง ถ้าอย่างนั้นขอแค่เฉินผิงอันยกคันเบ็ดตกปลาขึ้นมาก็จะ มองเห็นร่างจริงของปลาตัวนั้น หรือควรจะพูดว่าเห็นตัวอักษรที่ร ้อย เรียงต่อเนื่องกัน
เดิมทีไม่ได้อยากถาม แต่สองคนที่อยู่ข้างกาย ฉางมิ่งผู้คุมกฏ และเพ่ยเซียงแห่งแคว้นหูถึงกับเรียกชื่อของตัวเองตรงๆ อย่างที่หาได้ ยาก เฉินผิงอันถึงได้อดไม่ไหวถามออกมา
ฉางมิ่งโน้มกายมาด้านหน้า หันไปมองเจ้าแห่งแคว้นหู ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายเพ่ยเซียงรู ้สึกว่าเกาจวินแห่งพรรคหูซานอาจจะชอบ คุณชาย ข้ารู ้สึกว่ามีโอกาสไม่มาก ใช่ไหม?”
เพ่ยเซียงรีบพยักหน้าคล้อยตามทันใด เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขาๆ ปนฉุน “นี่มันอะไรกับอะไรกัน” ฉางมิ่งยิ้มเอ่ย “ก็นั่นน่ะสิ” ในใจเพ่ยเซียงมีแต่ความขมฝาด ตนจะยังอธิบายอะไรได้อีกเล่า
เพราะถึงอย่างไรหากอิงตามหลักการเหตุผลที่จูเหลี่ยนพูดถึง แล้วท าการอนุมานไปตามเส้นสายนั้น ก็ทาให้เพ่ยเซียงได้ผลลัพธ ์อัน น่าตกใจที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าได้อย่างง่ายดาย
เฉินผิงอันอยู่บ้าน ผู้คุมกฏฉางมิ่งก็จะถอยไปอยู่เบื้องหลัง เก็บตัว เงียบไม่เปิดเผยตาแหน่งผู้คุมกฎเหมือนเป็ นแค่เครื่องประดับ
แต่หากเฉินผิงอันออกเดินทางไกล นางก็คือบุคคลเพียงหนึ่ง เดียวที่สามารถเป็ นตัวแทนของภูเขาลั่วพั่วทั้งแห่งได้
เจ้าขุนเขาเฉินของพวกเรามีประสบการณ์โชกโชนถึงเพียงนั้น ย่อมรู ้สึกได้ว่าบรรยากาศระหว่างผู้คุมกฏฉางมิ่งและเพ่ยเซียงไม่ ถูกต้อง มีความหมายเหมือนชักกระบี่หน้าไม้ขึ้นสาย (เปรียบเปรยถึง สถานการณ์ตึงเครียดพร ้อมปะทุ) เพราะตอนนี้ขอบเขตยังไม่สูงพอ ค าพูดของคนนอกจ าแลงกลายมาเป็ นตัวอักษรของตัวเองมิอาจ ประคองไว้ได้นานเป็ นเหตุให้ปลาสองตัวก่อนหน้านี้เหมือนหลุดออก จากตะขอแล้วว่ายหนีไป รอกระทั่งเวลานี้ยกคันเบ็ดล่อปลาอีกครั้ง เฉินผิงอันก็เข้าใจในฉับพลัน ที่แท้พวกนางก็คุยกันเรื่องนี้ นี่มีอะไร ให้ต้องปิดบังกันเล่า
บนภูเขาลั่วพั่ว นอกจากตนที่เป็ นอาจารย์พ่อแล้วยังจะมีใครที่ทา ให้เผยเฉียนเกิดใจกริ่งเกรงได้อีก? ก็มีแค่ผู้คุมกฏฉางมิ่งคนเดียว เท่านั้นจริงๆ
เฉินผิงอันจึงยิ้มเอ่ย “เพ่ยเซียง ความคิดนี้ของเจ้าไม่ผิดนะ”
เพ่ยเซียงเหมือนถูกฟ้ าผ่าก่อนในตอนแรก แต่เพียงไม่นานก็ เข้าใจได้ สีหน้าของนางซับซ ้อนทันใด ใต้เท้าเจ้าขุนเขาหนอ นี่มัน อะไรกับอะไรกันเล่า
ฉางมิ่งหน้าแดงก่าทันที คืนนี้เพียงแค่ดื่มชา แต่นางกลับทา เหมือนดื่มสุรา ดั่งภาพทิวทัศน์บนหนทางยามมา ต้นท้อเอนอิงลม ตะวันออก แก้มที่แดงระเรื่อค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็ นแดงจัด
โชคดีที่เจ้าขุนเขาเฉินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องเล็ก อะไรด้วย จึงหันหน้าไปคุยเรื่องลับของแคว้นหูกับเพ่ยเซียงแล้ว แต่ เฉินผิงอันไม่ได้บอกต้นสายปลายเหตุโดยตรงเพียงแค่เลียบๆ เคียงๆ ถามถึงวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของชิวชิงกับหลัวฟู่ เม่ยรวมไป ถึงพวกเด็กสาวภูตจิ้งจอกบางคน เงื่อนไขก็คือพวกนางต้องมี คุณสมบัติในการฝึกตนดี ไม่ก็ตอนเกิดมีนิมิตหมายมงคลบางอย่าง เกิดขึ้น หรือไม่ก็เป็ นพวกที่มีโชควาสนาลึกล้าบนเส้นทางของการ ฝึกตน แม้เพ่ยเซียงจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังตอบไปตามตรง เห็นเพียงว่า เจ้าขุนเขาเฉินยื่นนิ้วออกมาจากชายแขนเสื้อทาท่านับนิ้วคานวณ เพ่ยเซียงประหลาดใจอยู่บ้าง เจ้าขุนเขาดูดวงท านายแปดอักษรให้ คนอื่นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ผู้คุมกฏฉางมิ่งใช ้เสียงในใจอธิบายว่า “เพ่ยเซียง มีเรื่อง บางอย่างที่แท้จริงแล้วคลาดเคลื่อนไปจากที่เจ้าคิด”
เพ่ยเซียงรีบใช ้เสียงในใจตอบทันที “นับตั้งแต่นาทีนี้เป็ นต้นไป ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้ง แล้วก็ไม่รับรู ้อะไรทั้งนั้นด้วย!”
ผู้คุมกฏฉางมิ่งยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ไม่ต้องสาบานหรอก ข้า เชื่อใจเจ้า”
เพ่ยเซียงเสียวสันหลังวาบ ยังไม่สู้ให้ตนเอ่ยค าสาบานรุนแรงยังดี เสียกว่า นี่เหมือนเอาชีวิตของตนจริงๆ แล้ว!
นางตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าจะต้องอยู่ให้ห่างจากผู้คุมกฏคนนี้สัก หน่อย ถือเสียว่าในเมื่อไม่ได้ทาเรื่องผิดต่อมโนธรรมในใจก็ไม่ต้อง กลัวว่าจะมีใครมาเคาะประตูยามค่าคืน
ขอแค่เคารพบรรพจารย์ผู้คุมกฏท่านนี้อยู่ห่างๆ คิดดูแล้วก็น่าจะ ยังอยู่ร่วมกันได้ดีแล้วนับประสาอะไรกับที่ขอแค่เจ้าขุนเขาไม่อยู่บน ภูเขาลั่วพั่ว นางก็จะพยายามอยู่ที่แคว้นหูให้ได้มากที่สุด
อีกอย่าง จะดีจะชั่วตนก็เป็ นเจ้าแห่งแคว้นหู ในศาลบรรพจารย์ ยอดเขาจี้เชื่อก็มีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่งไม่ใช่หรือไร? เจ้าที่เป็ นผู้คุมกฏคงจะ เอาเรื่องส่วนรวมมาแก้แค้นเรื่องส่วนตัวไม่ได้กระมัง?
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปหาหลิวเสี้ยนหยางกับกู้ช่าน พวก เจ้าไม่ต้องตามไป เซี่ยโก่วก็ด้วย อย่างมากสุดหนึ่งชั่วยามข้าจะ กลับมาที่แคว้นหู”
พริบตานั้นเรือนกายชุดเขียวก็กลายร่างเป็ นแสงกระบี่ที่เล็กบาง เหมือนเส้นด้ายหลายสิบเส้น ดีดทะยานขึ้นจากพื้น กรีดผ่าอากาศ ยามค่าคืน พริบตาเดียวก็หายวับไป
สุดท้ายไปรวมร่างกับยันต์ร่างแยกซึ่งไม่จาเป็ นต้องพิศมรรคาอีก ต่อไปที่ม่านฟ้ า ก้มหน้าลงจ้องมองโลกมนุษย์ ครั้นจึงทิ้งตัวเป็ นเส้น โค้งดิ่งลงมายังพื้นดิน ระหว่างนั้นเงาร่างสีเขียวกับแสงกระบี่บ้างก็ กระจายบ้างก็รวมตัวกันไม่หยุดนิ่ง
รอกระทั่งเฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้นแล้วก็กลับคืนมาเป็ นรูปโฉม ของบุรุษชุดเขียวอีกคนหนึ่ง เขาเผยกายอยู่บนถนนของเมืองหลวงที่ ผู้คนเบียดเสียดกันแออัด ประหนึ่งเข้ามาในดินแดนไร ้ผู้คน บนถนน มีคนผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า แต่คนเดินเท้ากลับไม่มี ใครสัมผัสได้แม้แต่น้อย
มาถึงด้านหลังของคนสองคนที่เดินอยู่บนถนนซึ่งเรียงรายไป ด้วยหอสูง สตรีโบกชายแขนเสื้อกวักเรียกลูกค้า กลิ่นเครื่องประทิน โฉมแรงยิ่งกว่ากลิ่นหอมของสุรา เฉินผิงอันจุ๊ปากยิ้มเอ่ย “ขี้ขลาด ขนาดนี้เชียว ก็แค่ดื่มเหล้าเคล้านารีเท่านั้นเอง”
กู้ช่านหันมามองเฉินผิงอันแล้วกระตุกมุมปาก ผงกปลายคางไป ทางหลิวเสี้ยนหยาง “ข้ายังไงก็ได้ แต่ขาที่สามของคนบางคนกลับ เกิดหงอขึ้นมา”
เห็นเฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยางดวงตาเป็ นประกาย ความฮึกเหิม บังเกิดขึ้นมาในบัดดลหากภายหลังถูกเค้นถามขึ้นมา ยกกู้ช่านมา อ้างน่าจะไม่ได้ผล แต่ก็ยังมีเฉินผิงอันที่มีชื่อเสียงดีงามในเรื่องทานอง นี้อยู่อีกคนไม่ใช่หรือ หลิวเสี้ยนหยางยื่นแขนไปรัดคอกู้ช่านก่อนแล้ว ค่อยลากตัวเฉินผิงอันมา ใช ้แขนรัดพวกเขาที่บอกว่าตัวเองใจกล้าไว้
คนละข้าง ก้าวยาวๆ เดินไปข้างหน้า พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ไป ดื่ม เหล้า ดื่มเหล้า กู้ช่านจ่ายเงินเลี้ยงเฉินผิงอันนั่งเป็ นเพื่อน น่าสงสาร ข้าผู้แซ่หลิวที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นอายความเที่ยงตรง วันนี้ช่างดวงชวย ถูกเพื่อนชั่วร ้ายสองคนบังคับพามา ข่มขู่ข้าว่าหากไม่ดื่มเหล้าจะไม่ เห็นข้าเป็ นเพื่อน จะไม่ไปก็ไม่ได้จริงๆ…”
กู้ช่านที่ได้แต่ก้มหน้ามองเฉินผิงอันที่มีสภาพแบบเดียวกัน เฉิน ผิงอันส่งสายตามาให้รีบร ้อนอะไร รอดูไปเถอะ อย่างเขาเนี่ยนะ? เอา ความกล้าให้เขายืมเพิ่มอีกสามส่วนก็ยังไม่กล้าเข้าไปดื่มเหล้าเลย
แล้วก็จริงดังคาด ขนาด “ถูก” สหายสองคน ‘ลาก’ มาถึงหน้า ประตู ‘เหลาสุรา” แล้วหลิวเสี้ยนหยางกลับยิ่งเดินก็ยิ่งช ้า ก่อนจะหยุด เดิน กระทืบเท้าปล่อยมือ หมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที แผ่นหลัง มองดูแล้วเปลี่ยวเหงา น่าสงสารนัก
เฉินผิงอันหัวเราะพลางเดินตามไป กู้ช่านก้าวเร็วๆ ราวกับบิน กระโดดตัวยกเท้าถีบไปบนกันของหลิวเสี้ยนหยาง ด่าขาๆ ว่า “สภาพขี้ขลาดอย่างเจ้ายังจะแสร ้งทาตัวเป็ นนายท่านใหญ่ให้ข้าดูอีก หรือ!”
ร่างของหลิวเสี้ยนหยางเซถลา ปัดกัน หันหน้ามา ผงกปลายคาง ไปยังคนบางคนที่เอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อยิ้มตาหยี เพียงแต่ ไม่รอให้เขาเปิดปากแก้ตัวอะไร เฉินผิงอันกลับพยักหน้าแรงๆ ก่อน แล้ว “ใช่ๆๆ ถูกต้องๆ หากไม่เป็ นเพราะคิดเผื่อข้า ป่ านนี้ก็คงเข้าไป นานแล้ว มองดูเหมือนอิงแอบเคล้าคลอ ไม่เมาไม่หยุดดื่ม นั่งตัวตรง
อยู่ในหมู่มวลบุปผาทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของคนเที่ยงตรง แต่ แท้จริงแล้วเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม กว่าวงเหล้าจะแยกย้ายได้ไม่ใช่ เรื่องง่าย เดินออกมา ยืนอยู่บนถนน หันกลับไปมองแล้วเตือนตัวเอง ว่า ถึงอย่างไรก็มาแล้ว”
กู้ช่านแสร ้งทาเป็ นตกตะลึง “คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง นายท่าน ใหญ่หลิวต้องค้างคืนด้วยไม่ใช่หรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางหมุนตัวกลับก้าวเดินยาวๆ ไปข้างหน้าแล้ว ยก สองมือขึ้น ชูนิ้วสองนิ้ว
เฉินผิงอันกลั้นขา เอ่ยประโยคหนึ่งแทบจะเวลาเดียวกันกับกู้ช่า นที่อยู่ข้างกาย “ข้าจะหาสถานที่” “ข้าควักเงินจ่ายเอง”
หลิวเสี้ยนหยางหันหน้ากลับมาสบถด่า “ทาไมถึงได้เดินกันช ้า อย่างนี้ เฉินน้าเต้าตันเจ้าขี้มูกยึดน้อย ทาไมพวกเจ้าไม่ใช ้ขาที่สาม เดินเล่า?”
คนสามคนที่เป็ นคนบ้านเดียวกันแต่คนละวัย ไม่ว่าทุกวันนี้แต่ละ คนจะกลายไปเป็ นคนแบบใด จะเป็ นคนอย่างที่ใจพวกเขาเคยคิดไว้ หรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคงเป็ นสหายที่ดีต่อกันและจริงใจ ต่อกันเหมือนในวันวาน