กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1067.1 ยุทธภพเงียบเหงาหนึ่งร ้อยปี
เมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนมีชื่อว่าต้าเหลียง เฉินผิงอันรู ้จัก พื้นที่ในเมืองหลวงดีดุจลายมือของตัวเอง เขาจึงเลือกร ้านอาหารมื้อ ดึกที่กิจการเจริญรุ่งเรืองร ้านหนึ่ง สั่งปลาเผามากิน
ชานเมืองมีล าคลองชิงฉิน ในคลองมีปลาชิงตัวอ้วนพี่อุดม สมบูรณ์ ปลาเผากินคู่กับเหล้าดอกบัวขาวต้าเหลียงคือสุดยอดของดี เพราะราคาถูกทั้งยังรสชาติอร่อย พวกขุนนางผู้สูงศักดิ์และพ่อค้า หาบเร่ทั้งหลายต่างก็ชอบแวะมากิน แต่เฉินผิงอันกินไปคาเดียวก็รู ้ แล้วว่าปลาชิงตัวนี้คือ “ปลากั้วฮู่” ที่ขนส่งมาจากสระน้าของที่แห่งอื่น เอามาแช่น้าในลาคลองชิงฉินแค่ไม่กี่วัน เพียงแต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไร เหลือบมองเถ้าแก่หนุ่มคนปัจจุบัน รูปโฉมโขลกออกมาจากพิมพ์ เดียวกันกับเถ้าแก่ของปีนั้น คงเป็ นเพราะเถ้าแก่ผู้เฒ่าอายุมากแล้ว จึงยกร ้านและถ่ายทอดฝีมือให้กับลูกชาย น้ามันพริกที่ทาด้วยวิธีลับ และผักเคียงที่กินกับปลาเผายังคงเหมือนเดิม มีเพียงขาดรสชาติส่วน หนึ่งไป นั่นเรียกว่าคุณธรรม แน่นอนว่าก็เป็ นไปได้ที่ร ้านเป็ นกิจการ เล็กๆ และทุกวันนี้ปลาในลาคลองชิงฉินก็เป็ นอาหารที่มีไว้สาหรับคน มีเงินของเมืองต้าเหลียงโดยเฉพาะแล้ว ทุกวันนี้ร ้านเล็กๆ ข้างทาง แห่งนี้จึงมีวัตถุดิบเพิ่มมาอีกชนิดหนึ่ง ชื่อว่าการทาเพื่อครองชีพ
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันนาทางพาพวกเขามาที่ร ้านเล็ก มีโต๊ะว่าง ตัวหนึ่งอยู่ติดผนัง มีม้านั่งยาวสองตัว หลิวเสี้ยนหยางนั่งครองไปก่อน ตัวหนึ่ง เขานั่งอยู่ตรงกลางม้านั่งยาว ยื่นมือมาตบโต๊ะ ถามว่ามีเหล้า หรือไม่
ตอนนั้นกู้ช่านยืนอยู่ข้างโต๊ะ เฉินผิงอันบอกเป็ นนัยให้เขานั่ง ด้านใน กู้ช่านนั่งลงไปแล้วก็ยื่นมือมาดันม้านั่งยาวฝั่งที่อยู่ติดกับเฉิน ผิงอันให้ขยับออกห่างไปข้างนอก รอกระทั่งเฉินผิงอันขยับเท้าเตรียม จะนั่งลง กู้ช่านจึงดึงม้านั่งยาวกลับเข้ามาที่เดิม
เมื่อก่อนนั่งกันอยู่บนคันนา หัวของเด็กน้อยสูงประมาณไหล่ของ เด็กหนุ่มวันนี้พวกเขาที่นั่งอยู่ด้วยกันกลับไหล่เคียงกันแล้ว
เฉินผิงอันยกเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคา โชคดีที่เหล้าต้มดอกบัวขาว ยังคงเป็ นรสชาติเดิม เขาถามว่า “กู้ช่าน ทางฝั่งของนครจักรพรรดิ ขาวมีตาราลับเกี่ยวกับสายของการมองลมปราณเก็บไว้บ้างหรือไม่?”
กู้ช่านกล่าว “มี อีกทั้งยังมีเยอะมากด้วย อาจารย์ค่อนข้างให้ ความส าคัญกับการยึดขยายสายของการมองลมปราณออกไปเป็ น วิชาข้างเคียงอีกมากมาย ตาราที่รวบรวมและกว้านหามาจากเก้า ทวีปของไพศาล นครจักรพรรดิขาวได้ก่อตั้งฝ่ ายจัดพิมพ์ตาราไว้ โดยเฉพาะ ส่วนของบ้านตัวเองก็มีตาราชุดหนึ่งที่ทุกสิบปีจะมีการ ปรับเปลี่ยนสารบัญและฉบับพิมพ์ใหม่หนึ่งครั้ง แบ่งเป็ นสามประเภท ใหญ่ คือแบ่งตามยุคสมัย แบ่งเป็ นหนังสือประวัติศาสตร ์ทั่วไปและ หนังสือตานานท้องถิ่น จานวนของหนังสือมีเยอะมาก เทียบเคียงได้
กับจานวนหนังสือที่สะสมไว้ในสานักงานเลขานุการหลวงของแคว้น เล็กแห่งหนึ่งได้เลยสมาชิกศาลบรรพจารย์อย่างพวกหันเชี่ยวเซ่อ หลิ่วชื่อเฉิงต่างก็มีส่วน เพื่อสะดวกให้ผู้ฝึ กตนใหญ่อย่างพวกเขา เลือกหนังสือที่เกี่ยวข้องโดยอิงตามทิศทางการฝึ กตนของตัวเอง ตอนที่ข้าเพิ่งเข้าไปอยู่ในนครจักรพรรดิขาว แม้ว่าจะเป็ นลูกศิษย์ผู้ สืบทอดของเจ้านคร แต่อิงตามกฎของนครจักรพรรดิขาวแล้ว หาก ไม่ใช่ห้าขอบเขตบนก็มิอาจเข้าไปในศาลบรรพจารย์ได้ตอนนั้นข้า จึงขอกุญแจพวงหนึ่งมาจากหันเชี่ยวเช่อ จะได้สะดวกไปอ่านหนังสือ ที่หอเก็บตาราของนางได้ทุกเมื่อ ข้าเคยเปิ ดอ่านสารบัญอย่าง ละเอียดมาก่อน แล้วก็เคยท าการคัดลอกข้อมูลมาเป็ นการส่วนตัวซึ่ง ถือว่าผิดกฏ จาได้ว่าหนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับประวัติความเป็ นมา ของกองโหราศาสตร ์และวิธีการฝึกตนศาสตร ์มองลมปราณของแต่ ละแคว้นก็มีมากถึงสองพันนสามร ้อยกว่าเล่ม”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เหนือทะเลเมฆก็ยังมีทะเลต ารา”
ทุกคนต่างก็รู ้ว่าทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีนครจักรพรรดิขาว ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสี แต่อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องวงใน ของนครจักรพรรดิขาว สมาชิกศาลบรรพจารย์มีใครบ้าง โครงสร ้าง ภายในเป็ นอย่างไร ความสัมพันธ ์ระหว่างสายสืบทอดต่างๆ โลก ภายนอกกลับรู ้น้อยมาก
ทุกครั้งที่พูดถึงนครเดียวดายที่มีเมฆหลากสีล้อมวนแห่งนั้น ผู้ ฝึกลมปราณบนภูเขามักจะหยุดพูดแต่พอสมควรเสมอ นอกจากธง
ใหญ่ที่เขียนคาว่าถ่อมตนยอมถอยให้แก่ใต้หล้าซึ่งตั้งตระหง่านมา สามพันปี ไม่เคยล้มลง และนี่ก็หมายความว่าไม่เคยมีใครสามารถ เอาชนะเจิ้งจวีจงบนกระดานหมากได้มาก่อน คนภายนอกหากไม่ได้ สงสัยว่าทุกวันนี้หันเชี่ยวเช่อที่สาบานว่าจะฝึ กเวทคาถาบนมหา มรรคาให้ได้สิบสองชนิดฝึกส าเร็จแล้วหรือยัง ก็ต้องสงสัยว่าหอแก้ว ใสของหลิ่วเต้าฉุนมีการเพิ่มอิฐเพิ่มกระเบื้องอีกครั้งแล้วหรือไม่ ตอน ที่ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกไปมีเรื่องกับผู้ฝึกตนบนยอดเขา คนใดอีก พอก่อเรื่องแล้วก็มาหลบอยู่ที่นครจักรพรรดิขาว หลบไม่ พ้นก็เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋สีชมพูสะดุดตาตัวนั้นเพื่อแนะนาตัวเอง กับคนอื่น หรือไม่ก็พูดคุยกันถึงฟู่ จิ้นเซียนกระบี่ที่เป็ นลูกศิษย์ใหญ่ เปิดขุนเขาของเจิ้งจวีจง ตรงเอวของเขาห้อยน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เป็ น ผลน้าเต้าจากเถาน้าเต้าที่มรรคาจารย์เต๋าปลูกเองกับมือ ต้องใช ้เวลา อีกนานแค่ไหนเวทกระบี่ของคนผู้นี้ถึงจะไปถึงระดับของเผยหมิ่นแห่ง เวทกระบี่ได้ ชีวิตนี้จะสามารถไล่ตามจั่วโย่วผู้นั้นได้ทันหรือไม่
หลิวเสี้ยนหยางคีบเนื้อปลาคาใหญ่ขึ้นมาเคี้ยว ยิ้มเอ่ยว่า “ตอบ ไม่ตรงค าถาม พวกเจ้าพูดออกนอกเรื่องกันแล้วหรือไม่?”
การพูดคุยกันในคืนนี้ พวกเขาทั้งสามต่างก็ใช ้ภาษาถิ่นของบ้าน เกิด
ทั้ง ๆ ที่รู ้ดีว่ า กู้ช่า น อ ย า ก จ ะ อ า ศัย โ อ ก า ส นี้เ ล่ า เ รื่อ ง ขนบธรรมเนียมและผู้คนของนครจักรพรรดิขาวให้เฉินผิงอันฟังมาก หน่อย หลิวเสี้ยนหยางกลับยังขัดคอเขา หากอิงตามคากล่าวของเจ้า
ขี้มูกยึดน้อยในอดีตก็คือหลิวเสี้ยนหยางคนนี้ปากเสีย หากจะให้เขา พูดจาจริงจังที่ไม่สัปดนหยาบคาย หลิวเสี้ยนหยางก็ไม่มีทางพูดคุยได้ เลย
กู้ช่านกล่าว “หลังจากที่ข้าเลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบก็มี คุณสมบัติได้ครอบครองหอเก็บตาราแห่งหนึ่ง ใช ้เวลาเล็กน้อย ตรวจสอบและจัดระเบียบอยู่พักหนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่า หากไม่นับฉบับ จัดพิมพ์ที่มีจานวนมากมายซับซ ้อน และไม่นับตัวอักษรแนะนา จ าพวกต านานท้องถิ่นทั้งหลาย เลือกเอามาเฉพาะฉบับที่ได้รับการ ตรวจสอบและแก้ไขอย่างละเอียดซึ่งบรรยายเกี่ยวกับความรู ้ด้าน ศาสตร ์การมองลมปราณ เงื่อนไขก็คือเนื้อหาของแต่ละเล่มจะซ้ากัน ไม่เกินสองส่วน ตาราที่เป็ นเช่นนี้ นครจักรพรรดิขาวก็มีอยู่ประมาณ หกสิบสองเล่ม”
หลิวเสี้ยนหยางจุ๊ปาก “คาพูดคาจาผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดี ทุกคาเช่นนี้ กู้ช่านตอนนี้เจ้ามีมาดของปรมาจารย์ผู้มีความรู ้ กว้างขวางที่เชี่ยวชาญด้านการอธิบายค าศัพท์โบราณอย่างมากเลย นะ หากจะถามข้า ให้เจ้ามาเป็ นวิญญูชนสานักศึกษาที่ช่วยสอนใน โรงเรียนประถมโดยเฉพาะก็มากพอเหลือแหล่ ได้ยินมาว่าเจ้ามีฉายา ว่าคนวิกลจริตหรือ? บัณฑิตบ้าคลั่งสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน เมื่อก่อน ในส านักศึกษาของสกุลเฉินผู้รอบรู ้มีอาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งที่ อธิบายบทในนอกของเจ้าลัทธิลู่โดยเฉพาะ มีครั้งหนึ่งเขาสอนพวก
เราอาจารย์ผู้เฒ่าก็บอกว่าใต้หล้านี้มีแค่หนึ่งคนครึ่งเท่านั้นที่เข้าใจ แก่นแท้ของบทในนอกอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ช่วยดื่มเหล้าของเจ้าไปได้ ไหม ข้าจะคุยเรื่องเป็ นการเป็ นงานกับกู้ช่าน”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มตาหยี “หากพวกเจ้าสองคนเดาออกว่าหนึ่ง คนครึ่งนี้คือใคร ข้าก็จะหุบปากแต่โดยดี”
กู้ช่านเอ่ย “คนหนึ่งคือตัวลู่เฉินเอง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็คืออาจารย์ ผู้เฒ่าคนนั้น”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
กู้ช่านพลันเข้าใจได้ในทันที
คิดดูแล้วคาตอบต้องยิ่งบ้าคลั่งกว่านี้แน่นอน ตัวลู่เฉินเองที่เขียน บทในนอกถึงจะถือว่าเป็ นครึ่งหนึ่ง ส่วนอาจารย์ผู้เฒ่าที่เป็ นผู้สอน ต่างหากที่กลับกลายเป็ น “หนึ่ง” นั้น
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะฮ่าๆ “กู้ช่าน ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าหากจะ เทียบกันในเรื่องของระดับความหัวไวล่ะก็ พวกเราสองคนรวมกันยังสู้ เจ้าน้าเต้าต้นเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ได้เลย”
กู้ช่านกล่าว “ปีนั้นมีครั้งไหนบ้างที่เจ้าพูดแบบนี้แล้วข้าเถียง? เรื่องที่ข้าทะเลาะกับเจ้าคือพวกเราสองคนใครฉลาดมากกว่ากัน ต่างหาก”
“พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ ข้าจะดื่มเหล้ากินเนื้ออย่างรู ้กาลเทศะ ไม่ท าตัวขวางหูขวางตาพวกเจ้าแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางยกชามขาวขึ้นแกว่ง สุราในชามกระเพื่อมเป็ นริ้ว คลื่น ใช ้ตะเกียบคีบเนื้อปลาขึ้นมา “สถานที่แห่งนี้ในเวลาเช่นนี้ ไม่ ควรต้องร่ายบทกวีสักบทหรือ? ใครจะเริ่ม?”
กู้ช่านกลอกตามองบน ท่านปู่เจ้าเถอะหลิวเสี้ยนหยาง
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ยามค่าคืนคิดถึงบ้านเกิด ปลาชิงถูกคีบอยู่บน ตะเกียบ ดอกบัวขาวในชามเล็ก เมามายขับไล่หมื่นทุกข์”
หลิวเสี้ยนหยางร ้องเอ๊ะ “ไปคัดลอกมาจากไหน?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “บทกลอนมีชื่อว่า “ดวงจันทร ์ราตรีกระบี่พ่าน เมืองต้าเหลียงพาสหายกินปลาดื่มสุราจึงเกิดแรงบันดาลใจแต่ง กลอน”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “เจ้าแต่งเองมั่วๆ จริงหรือ? ขอข้ายืมใช ้ หน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เชิญท่านตามสบาย”
กู้ช่านกล่าว “หนังสือหกสิบกว่าเล่มนี้ ข้าพกติดตัวมาด้วย ครั้งนี้ มาที่พื้นที่มงคลก็เพราะอยากจะเอามามอบให้ภูเขาลั่วพั่วของพวก เจ้า ถือเป็ นของขวัญร่วมแสดงความยินดีที่ชดเชยให้จากตอนที่ ก่อตั้งสานัก”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “ภูเขาลั่วพั่วยังมีภูเขาเบื้องล่างอีกไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ชดเชยไปพร ้อมกันด้วยหรือไร?”
กู้ช่านเหล่ตามองมา “เกี่ยวผายลมอะไรกับเจ้าด้วย เจ้าชดเชย แล้วหรือยัง? หากเจ้าหลิวเสี้ยนหยางเคยมอบของขวัญแสดงความ ยินดีให้กับภูเขาลั่วพั่ว เหรียญทองแดงเดียวก็นับ ข้าก็กล้าลุกขึ้นยืน เดินไปถอดกางเกงขี่บนถนนหน้าประตูร ้านทันที อีกทั้งหากมีคนเดิน ผ่านคนหนึ่ง ข้าก็จะบอกชื่อตัวเองหนึ่งครั้ง”
หลิวเสี้ยนหยางนวดปลายคาง
บ้านเกิดของพวกเขามีคากล่าวหนึ่งบอกว่า “มีใจเป็ นห่วง” (โหย่วกู้ชิน) ไม่เหมือนกับคากล่าวว่าลังเลไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าที่ เอ่ยถึงในต าราของโลกภายนอก ไม่เหมือนกันอย่างมาก พูดถึงคน คนหนึ่งที่มีใจเป็ นห่วงคนใกล้ชิดอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นคนที่ให้ ความสาคัญกับบ้านมาก ดังนั้นหากผู้เฒ่าบอกว่าใครมีใจเป็ นห่วง ก็ คือความหมายในเชิงบวกอย่างแท้จริงแล้ว สาหรับในเรื่องนี้หลิว เสี้ยนหยางที่ใจใหญ่อย่างไร ้ขอบเขตมาตั้งแต่เด็กมิอาจเทียบกับเจ้าขี้ มูกยึดน้อยของตรอกหนีผิงได้จริงๆ หากจะพูดกันถึงความผูกพันต่อ บ้านเกิด หลิวเสี้ยนหยางที่อยากออกไปเผชิญโลกกว้างด้านนอก ตั้งแต่ตอนเป็ นเด็กหนุ่มก็ยิ่งมิอาจเทียบกับเฉินผิงอันที่รักและอาลัย บ้านเกิดได้
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้ากับจูเหลี่ยนแอบสมคบคิดกันนานแล้วใช่ ไหม?”
กู้ช่านมองสีหน้าของเฉินผิงอันก่อน แล้วค่อยพยักหน้ารับเบาๆ “ความคิดบางอย่างข้าเป็ นคนเสนอเอง อาจารย์จูแค่ผลักเรือตามน้า”
ที่แท้ปีนั้นที่กู้ช่านพาหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่กลับบ้านเกิดมาด้วยกัน ก่อนที่กู้ช่านจะออกจากบ้านเกิดกลับไปยังนครจักรพรรดิขาว จูเห ลี่ยนได้ไปที่บ้านตระกูลกู้ในตัวเมืองหลงโจวตามที่คุณชายของตน กาชับไว้ นาตะกร ้าใส่ถ่านใบหนึ่งไปมอบกลับคืนให้เจ้าของ หลังจาก ที่จูเหลืยนมอบตะกร ้าใส่ถ่านใบนั้นให้กับกู้ช่านแล้วก็ยิ้มเอ่ยประโยค หนึ่งที่คนฉลาดล้วนฟังกันเข้าใจ ความหมายคร่าวๆ ก็คืออันที่จริง เขาจูเหลี่ยนยินดีลงจากภูเขาอย่างยิ่ง แต่บนภูเขาลั่วพั่วมีเรื่องยิบ ย่อยในบ้านให้ทามากมาย จึงถ่วงเวลามาถึงตอนนี้
กู้ช่านที่ได้ยินเสียงพิณก็รู ้ถึงความหมายลึกล้าที่ซ่อนอยู่ หลังจากจูเหลี่ยนออกจากตัวเมืองกลับไปยังภูเขา กู้ช่านก็ออก เดินทางไปยังนครจักรพรรดิขาว ระหว่างทางที่โดยสารเรือข้ามฟาก ตระกูลเซียน เขาได้เขียนจดหมายตอบโต้กับจูเหลี่ยนซึ่งถูกปิดบังไว้ อย่างมิดชิด ถึงอย่างไรห้องกระบี่เรียบง่ายของภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้นก็ เป็ นจูเหลี่ยนที่ดูแลมาโดยตลอดอยู่แล้วจูเหลี่ยนเองก็อาศัยเนื้อหาใน จดหมายลับถึงได้รู ้ว่าที่แท้นอกจากทะเลสาบซูเจี้ยนแล้ว กู้ช่านยังเคย สอดแทรกเส้นสายของตัวเองเข้าไปที่ภูเขาตะวันเที่ยงและสกุลสวี่นคร ลมเย็นมานานแล้ว เพราะปีนั้นเบี้ยในมือกู้ช่านมีจากัด บวกกับที่เขา ท าอะไรค่อนข้างระมัดระวัง พวกสายลับที่แฝงตัวเข้าไปจึงมิอาจ สัมผัสได้ถึงเรื่องลับวงในของกองกาลังทั้งสองได้อย่างแท้จริง รอ
กระทั่งกู้ช่านกลายเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจิ้งจวีจงแห่งนคร จักรพรรดิขาว มีสถานะนี้อยู่ การแทรกซึมกองกาลังทั้งสองของกู้ช่า นต่อจากนั้นก็ได้ก้าวกระโดดข้ามบันไดขั้นใหญ่ ผลลัพธ ์เด่นชัด ยกตัวอย่างเช่นหมากเม็ดหนึ่งที่ถูกกู้ช่านรับตัวมาคือผีหญิงห้า ขอบเขตกลางที่มีรูปโฉมงดงาม กู้ช่านมอบตาราลับเวทน้าเล่มหนึ่ง และวัตถุวิเศษล้าค่าหายากที่มากพอจะช่วยประคับประคองให้นางฝึก ตนไปถึงขอบเขตโอสถทองอีกหลายชิ้นให้กับนาง ภายหลังนางก็ บังเอิญไปเจอกับเขียนกระบี่หนุ่มบางคนของยอดเขาสุยหลงที่ดูแล รายงานข่าวของภูเขาตะวันเที่ยง ถูกฝ่ ายหลังเลี้ยงดูอย่างลับๆ อยู่ใน พรรคใต้อาณัติแห่งหนึ่งของภูเขาตะวันเที่ยง มีสถานะคล้าย อนุภรรยา
ต่อจากนั้นมานางก็แค่ต้องทาเรื่องเรื่องเดียว นั่นคือไม่ต้องทา อะไรทั้งนั้น
เพราะกู้ช่านทาการค้าที่ทาเพียงครั้งเดียวจบกับนาง อีกทั้งยังมี ข้อตกลงกันว่าอย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องให้นางขายชีวิต ส่วนจะให้นาง ทาเรื่องนี้เมื่อไหร่ แค่อดทนรอข่าวจากเขาก็พอ บางทีอาจเป็ นสิบปี ให้หลัง หรือบางทีอาจเป็ นหนึ่งร ้อยปี ถึงขั้นที่ว่าบางทีชีวิตนี้นาง อาจจะไม่ได้รับจดหมายลับฉบับนั้นเลย อันที่จริงตอนนั้นกู้ช่าน รับปากกับนางว่านางแค่ต้องลงมือทาตามข้อตกลงโดยที่นางไม่ต้อง เอาชีวิตไปทิ้ง นางกึ่งเชื่อกึ่งกังขา ชายหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มี ท่าทางอ่อนโยนยิ้มเอ่ยกับนางสองประโยค
แม่นางเจ้าได้ผลประโยชน์ไปแล้วอย่าท าเป็ นไม่รู ้ไม่ชี้ ของที่ข้าม อบไปให้ หากอิงตามราคาตลาดของทะเลสาบซูเจี่ยนเมื่อก่อนก็ สามารถซื้อชีวิตเจ้าได้สองครั้ง
ในเมื่อราคายุติธรรม ไฉนยังต้องยืนกรานจะเจาะกระดาษ หน้าต่างให้เป็ นรู ให้เจ้าและข้าต่างก็ลาบากใจ แม่นางแม้กระทั่ง หลอกตัวเองหลอกคนอื่นเจ้าก็ยังทาไม่เป็ นหรือ
หรือยกตัวอย่างเช่นยังมีหมากอีกเม็ดหนึ่งที่ไปลงหลักปักฐานอยู่ ในนครลมเย็นแล้วแตกกิ่งก้านสาขาสร ้างครอบครัว ก็คือผู้ฝึ กตน อิสระคนหนึ่งที่ยึดภูเขาลูกหนึ่งในกลุ่มภูเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซู เจี่ยนแล้วตั้งตัวเป็ นราชา คือเซียนดินโอสถทอง ปีนั้นเขากับนักบัญชี เกาะชิงเสียที่กู้ช่านพาไปเที่ยวด้วยกันเคยเกิดความขัดแย้งกันมา ก่อนจนเกือบจะถึงขั้นมีคนตาย กู้ช่านไปถึงนครจักรพรรดิขาวก็มอบ ค่าตอบแทนส่วนหนึ่งไปให้คนผู้นี้ทันที เป็ นต าราระดับ “กลางบน” สองเล่มของนครจักรพรรดิขาวที่กู้ช่านช่วยเลือกมาให้ผู้ฝึกตนอิสระ คนนั้นจากหันเชี่ยวเซ่ออาจารย์อาหญิง จะพูดให้ถูกก็คือคือตาราล้า ค่าหายากเล่มหนึ่งที่สาหรับผู้ฝึกตนต่ากว่าเซียนดินลงไปแล้วถือว่า เป็ นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ เนื่องจากในจดหมายลับฉบับนั้นกู้ช่าน ได้ท าการ “เดิมพัน” อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมากับอีกฝ่ าย ต าราลับ อีกเล่มถือเป็ นการเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร มอบไปให้แล้วจะอ่าน หรือไม่อ่านก็ได้ อ่านแล้วสามารถฝึกตน หรือจะไม่ฝึกตนก็ได้ มีเพียง ฝึกมรรคกถาที่บันทึกอยู่ในตาราเล่มนี้เท่านั้นถึงจะถูกกู้ช่านมองเป็ น
การปฏิบัติตามคาสัญญาโดยอัตโนมัติ รอกระทั่งเขียนดินคอขวด โอสถทองผู้นั้นเลื่อนเป็ นก่อกาเนิดในอนาคต ถ้าอย่างนั้นชีวิตของ เขาก็เป็ นของกู้ช่านแล้ว
มอบผลประโยชน์ไปให้นานแล้ว อีกทั้งยังเป็ นสัญญาวิญญูชนที่ ไม่จ าเป็ นต้องเอ่ยค าสาบาน แล้วก็ไม่มีอักษรด าบนกระดาษขาวอะไร หากขนาดนี้แล้วพวกเจ้ายังไม่ทาตามสัญญา คิดว่าข้ากู้ช่านเป็ นคน พูดง่าย ก็รอดูกันไปได้เลย
ภายหลังจูเหลี่ยนลงภูเขามารอบหนึ่ง ใช ้นามแฝงว่า “เหยียน ฟ่าง” ไปเปิดร ้านขายเครื่องประทินโฉมอยู่ในนครลมเย็น ก็เคยติดต่อ กับสายลับสองคนนี้ของกู้ช่าน
นี่ทาให้จูเหลี่ยนได้เปรียบในเรื่องของการขโมยแคว้นหูมาไม่ น้อย
เฉินผิงอันมองกู้ช่านที่ทาท่าจะพูดแต่ไม่พูดแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่เป็ นอะไรหรอก เป็ นเจ้าบ้านสามปีแม้แต่หมาก็ยังรังเกียจ ควบคุม เรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่เป็ นที่ชื่นชอบ ข้าเป็ นเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร ้านมาจน ชินแล้ว เจ้ากับจูเหลี่ยนส่งสายตาให้กันไปมา ข้าจะทาเอาหูไปนาเอา ตาไปไร่ก็แล้วกัน”
กู้ช่านไม่ได้อธิบายอะไร แล้วก็ไม่แก้ตัวอะไร เพียงแค่ดื่มเหล้าไป เงียบๆ
เฉินผิงอันกล่าว “รอกระทั่งเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร ้านอย่างข้ากลับ บ้านเกิดถึงได้ค้นพบว่าพื้นที่มงคลถึงกับเลื่อนขั้นสองขั้นในเวลา เดียวกัน ภายหลังจึงคิดไปถึงโชควาสนาจากการพิศมรรคา อยากดู ว่าจะลองเสี่ยงดวงได้เห็นขั้นตอนการถือกาเนิดของผู้ฝึ กกระบี่ใน ท้องถิ่นคนแรกของฟ้ าดินแห่งนี้ ใช ้ขั้นตอนที่คล้ายคลึงกับ “เนตร สวรรค์” ได้หรือไม่”
หลิวเสี้ยนหยางและกู้ช่านยิ้มถามแทบจะพร ้อมกัน “ผลคือ?” “แต่ ว่า?”